นครน่าน
นครน่าน | |||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| พ.ศ. 2270–พ.ศ. 2442 | |||||||||||||
![]() อาณาเขตนครน่าน (สีม่วงด้านบน) | |||||||||||||
| สถานะ |
| ||||||||||||
| เมืองหลวง |
| ||||||||||||
| ภาษาทั่วไป | คำเมือง , ไทลื้อ | ||||||||||||
| ศาสนา | พุทธ (เถรวาท) | ||||||||||||
| การปกครอง | เจ้าขันห้าใบ อาณาจักรหลักคำ (กฎหมายเมืองน่าน) | ||||||||||||
| เจ้าผู้ครองนคร | |||||||||||||
• พ.ศ. 2270–2294 | พญาหลวงติ๋นมหาวงศ์ (องค์แรก) | ||||||||||||
• พ.ศ. 2329–2353 | เจ้าฟ้าหลวงอัตถวรปัญโญ | ||||||||||||
• พ.ศ. 2396–2434 | เจ้าอนันตวรฤทธิเดช | ||||||||||||
• พ.ศ. 2437–2461 | พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช | ||||||||||||
• พ.ศ. 2462–2474 | เจ้ามหาพรหมสุรธาดา (องค์สุดท้าย) | ||||||||||||
| ประวัติศาสตร์ | |||||||||||||
• ราชวงศ์ตองอูสิ้นอิทธิพลจากดินแดนล้านนาตอนล่าง | พ.ศ. 2270 | ||||||||||||
• สวามิภักดิ์ต่อกรุงธนบุรี | พ.ศ. 2318 | ||||||||||||
• สวามิภักดิ์ต่อกรุงรัตนโกสินทร์ | พ.ศ. 2331 | ||||||||||||
• สยามรับรองสถานะประเทศราช | พ.ศ. 2343 | ||||||||||||
• ย้ายเมืองน่านไปอยู่บริเวณดงพระเนตรช้าง | พ.ศ. 2362 | ||||||||||||
• ตั้งอาณาจักรหลักคำ (กฎหมายเมืองน่าน) | พ.ศ. 2396 | ||||||||||||
• ย้ายเมืองน่านจากเวียงเหนือ (บริเวณดงพระเนตรช้าง) กลับไปยังเวียงใต้ | พ.ศ. 2400 | ||||||||||||
• ผนวกกับสยาม | พ.ศ. 2442 | ||||||||||||
| พื้นที่ | |||||||||||||
| พ.ศ.2446 | 36,972 ตารางกิโลเมตร (14,275 ตารางไมล์) | ||||||||||||
| ประชากร | |||||||||||||
• ประมาณ | 397,326 คน (พ.ศ. 2460) | ||||||||||||
| สกุลเงิน | เงินทอกน่าน, เงินเจียงน่าน | ||||||||||||
| |||||||||||||
| ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ | |||||||||||||
| ประวัติศาสตร์ไทย |
|---|
![]() |
| ตัวเลขในวงเล็บ หมายถึง ปีพุทธศักราช |
นครน่าน เป็นนครรัฐบนที่ราบลุ่มแม่น้ำน่าน โดยแยกตัวออกมาจากการปกครองของเมืองเชียงใหม่ (ภายใต้การปกครองของพม่า) ในรัชสมัยของ พญาหลวงติ๋นมหาวงศ์ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 51 และปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ (พ.ศ. 2269–2294) และต่อมาเป็นเมืองประเทศราชของอาณาจักรพม่าแห่งราชวงศ์โก้นบอง และอาณาจักรธนบุรีตามลำดับ และในปี พ.ศ. 2331 สมเด็จเจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 57 และองค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ (พ.ศ. 2329–2353) ได้เสด็จลงมายังกรุงเทพฯ เพื่อขอเข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภารเป็นข้าขอบขัณฑสีมาแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี นครน่าน จึงมีสถานะเป็นเมืองประเทศราชของอาณาจักรสยาม ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ (ตอนต้น) เป็นต้นมา
ประวัติศาสตร์
]การก่อตัวของรัฐ
]ในปี พ.ศ. 2270 ได้เกิดกบฏตนบุญ เทพสิงห์ โค่นล้มผู้ปกครองพม่าที่เมืองเชียงใหม่ ทำให้เกิดสภาวะสุญญากาศทางการเมืองในดินแดนล้านนา ถึงแม้ว่าพม่าพยายามที่จะย้ายศูนย์กลางการปกครองไปยังเมืองเชียงแสนโดยมีกลุ่มรัฐต่าง ๆ ในดินแดนล้านนาตอนบน ได้แก่ เมืองเชียงแสน เมืองเชียงราย เมืองฝาง เมืองพะเยา ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของพม่า แต่กลุ่มรัฐต่าง ๆ ในดินแดนล้านนาตอนล่าง ได้แก่ นครเชียงใหม่ นครน่าน นครลำปาง นครลำพูน นครแพร่ ได้แยกตัวเป็นจากพม่า และปกครองตนเองเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน ในลักษณะเดียวกับชุมนุมต่าง ๆ หลังเสียกรุงครั้งที่ 2 พระเจ้าหลวงติ๋นมหาวงศ์ ผู้ซึ่งถูกสถาปนาแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์พม่าแห่งราชวงศ์ตองอู ให้ขึ้นครองราชย์สมบัติเป็น "เจ้าผู้ครองนครน่าน" และได้สั่งสมฐานอำนาจในนครน่าน ทำให้สามารถปกครองนครน่านได้อย่างยาวนานโดยไม่ถูกอำนาจของพม่าแทรกแซงและสามารถสืบทอดอำนาจการปกครองในนครน่านต่อไปได้ภายใต้ราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์
ต่อมาราชวงศ์อลองพญาสามารถรวบรวมอาณาจักรพม่าให้เป็นปึกแผ่นได้อีกครั้ง และทำให้นครต่าง ๆ ในดินแดนล้านนาต่างส่งบรรณาการไปสวามิภักดิ์ ในปี พ.ศ. 2306 กองทัพพม่าเข้ายึดครองเมืองเชียงใหม่ที่ยังคงตั้งตัวเป็นอิสระอยู่ พร้อมทั้งปราบปรามหัวเมืองอื่น ๆ ในดินแดนล้านนา แต่ผู้ปกครองพม่าไม่สามารถควบคุมเมืองต่าง ๆ ได้อย่างสมบูรณ์ นครน่าน ร่วมกับเมืองต่าง ๆ ก่อกบฏต่อพม่า จนกระทั่งนครน่านถูกตีแตกในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2311
นครน่านระหว่างสงครามพม่า–สยาม
]หลังจากนครน่านถูกตีแตก ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2311 ราชสำนักพม่าได้เข้ามาควบคุมการแต่งตั้งเจ้าผู้ครองนครน่านลำดับถัดมา คือ เจ้านายอ้าย เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 53 และองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ และเจ้ามโน เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 54 และองค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ หลังจากกรุงธนบุรีได้เมืองเชียงใหม่ เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) ได้เกลี้ยกล่อมเจ้าฟ้าเมืองน่านให้เข้าสวามิภักดิ์ต่อกรุงธนบุรี และฝ่ายกรุงธนบุรีได้ตั้งเจ้าวิธูรขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน โดยเจ้ามโนราชายินยอมสละอำนาจในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2318 และเดินทางออกจากนครน่านไป ฝ่ายพม่าที่เมืองเชียงแสนเมื่อทราบว่าเมืองน่านหันไปขึ้นกับอาณาจักรธนบุรีแล้ว จึงยกทัพเข้าโจมตีเมืองน่านในเดือนเมษายนทำให้เจ้าวิธูรต้องอพยพเชื้อพระวงศ์และชาวเมืองน่านหนีออกจากเมือง ต่อมาพระยากาวิละ เจ้าผู้ครองนครลำปาง ได้กล่าวหาว่าเจ้าวิธูร เป็นกบฏต่อกรุงธนบุรีและจับกุมเจ้าวิธูรลงไปยังกรุงธนบุรีในปี พ.ศ. 2321 ในปีเดียวกัน เจ้ามโน นำผู้คนเข้ามาตั้งที่เมืองงั่ว กระทั่งเดือนมีนาคม พ.ศ. 2323 กองทัพพม่าและเมืองยอง ยกมากวาดต้อนชาวเมืองน่านและเจ้ามโนไปยังเมืองเชียงแสน เมืองน่านจึงกลายเป็นเมืองร้าง
ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2325 พม่าให้เจ้ามโนนำชาวเมืองน่านมาตั้งอยู่ที่เมืองเทิง ปีถัดมาสยามสนับสนุนพระยามงคลวรยศเป็นเจ้าเมืองน่าน โดยตั้งอยู่ที่เมืองท่าปลา เจ้ามโนถึงแก่พิราลัยในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2327 ฝ่ายพม่าจึงสนับสนุนเจ้าอัตถวรปัญโญเป็นเจ้าเมืองน่านที่เมืองเทิง ภายหลังเมื่อ พ.ศ. 2329 เจ้าอัตถวรปัญโญได้ลงมาจากเมืองเทิง และปรึกษากับพระยามงคลวรยศที่เมืองท่าปลา ว่าจะขอเข้าสวามิภักดิ์กับฝ่ายสยาม พระยามงคลวรยศจึงยกราชสมบัติให้เจ้าอัตถวรปัญโญ
การฟื้นฟูนครน่านและการขยายอำนาจ
]ครั้งล่วงมาในปี พ.ศ. 2331 เจ้าอัตถวรปัญโญได้ลงมาเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเพื่อขอเป็นข้าขอบขันฑสีมา หลังจากเจ้าอัตถวรปัญโญขึ้นครองเมืองน่าน ก็ยังมิได้เข้าไปอยู่เมืองน่านเสียทีเดียว เนื่องจากเมืองน่านยังรกร้างอยู่ เจ้าอัตถวรปัญโญได้ย้ายไปอาศัยอยู่ตามที่ต่าง ๆ คือ เมืองงั่วและเมืองพ้อ หลังจากเจ้าอัตถวรปัญโญได้เริ่มบูรณะซ่อมแซมเมืองน่านแล้ว จึงได้ขอพระบรมราชานุญาตกลับเข้ามาอยู่ในเมืองน่านในปี พ.ศ. 2344 เมื่อบูรณะแล้วเสร็จ เจ้าอัตถวรปัญโญจึงได้เข้ามาอยู่ในเมืองน่านในปี พ.ศ. 2345
หลังจากได้รับสถานะประเทศราชของสยาม นครน่านร่วมมือกับนครเชียงใหม่ นครลำปาง และนครแพร่ขยายอำนาจสู่ดินแดนของเชียงแสนซึ่งยังคงถูกปกครองโดยพม่า จนในที่สุดก็สามารถทำลายเมืองเชียงแสนได้ในปี พ.ศ. 2347 ทำให้พม่าสูญสิ้นอิทธิพลไปจากล้านนาอย่างถาวร รัชกาลที่ 1 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จเจ้าฟ้าหลวงเมืองน่าน มีพระนามว่า สมเด็จเจ้าฟ้าหลวงอัตถวรปัญโญ เป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งเจ้าสมณะ ผู้เป็นพระมาตุลา (น้าชาย) ในสมเด็จเจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญขึ้นเป็น พระยาอุปราช เมืองน่าน หรือที่ราชสำนักนครน่านเรียกว่า พระยามหาอุปราชา เจ้าหอหน้า ดินแดนของเชียงแสนถูกตัดแบ่งให้กับนครเชียงใหม่และนครน่าน โดยนครน่านได้รับเมืองแก่นท้าว เมืองเทิง เมืองเชียงคำ และเมืองเชียงของ ซึ่งเปิดเส้นทางสู่กลุ่มนครรัฐไทลื้อในดินแดนสิบสองปันนาให้แก่นครน่าน
พ.ศ. 2348 เจ้าอัตถวรปัญโญยกทัพขึ้นไปโจมตีกลุ่มนครรัฐไทลื้อ ทำให้นครน่านได้เมืองฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงมาไว้ในอำนาจ เช่น เมืองภูคา รัฐเชียงแขง รวมถึงทำให้เมืองเชียงรุ่งยอมสวามิภักดิ์ต่อสยาม อย่างไรก็ตาม นครน่านและนครเชียงใหม่ไม่สามารถรักษาอิทธิพลเหนือเชียงรุ่งไว้ได้ แม้ว่าจะพยายามเข้าไปแทรกแซงการเมืองภายในเชียงรุ่งหลายครั้ง จนกระทั่งเลิกล้มความพยายามไปหลังจากสยามตีเชียงตุงไม่สำเร็จในปี พ.ศ. 2397
นครน่านถูกผนวกเข้ากับอาณาจักรสยาม
]ต้นพุทธศตวรรษที่ 25 สยามเริ่มได้รับผลกระทบจากการขยายอำนาจของชาติตะวันตก ในปี พ.ศ. 2434 รัฐเชียงแขงอาศัยปัญหาอำนาจในการปกครองที่ไม่ชัดเจนขอแยกตัวออกจากนครน่านและขึ้นตรงต่อสยาม ต่อมากรณีพิพาทในปี พ.ศ. 2436 ทำให้สยามต้องยอมสละดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้ฝรั่งเศส ซึ่งมีอาณาเขตบางส่วนของนครน่านรวมอยู่ด้วย สยามจึงเร่งผนวกประเทศราชต่าง ๆ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยาม ในปี พ.ศ. 2442 สยามประกาศจัดตั้งมณฑลลาวเฉียง ทำให้สถานะประเทศราชของนครน่านสิ้นสุดลง อย่างไรก็ตาม เจ้าผู้ครองนครน่านยังคงมีตำแหน่งเจ้าและมีอำนาจในการปกครองบางส่วน จนกระทั่งสยามเริ่มมีนโยบายไม่แต่งตั้งเจ้าผู้ครองนครในปี พ.ศ. 2469 ตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครน่านจึงสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2474

ความสัมพันธ์กับสยาม
]ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2331 เป็นต้นมา นครน่าน มีสถานะเป็นประเทศราชของอาณาจักรสยาม พระมหากษัตริย์สยามเป็นผู้มีอำนาจในการสถาปนาแต่งตั้งเจ้าผู้ครองนครน่าน (เจ้าหลวง) ให้ดำรงพระยศเป็น "พระเจ้าประเทศราช", "เจ้าประเทศราช", "พระยาประเทศราช" และเจ้าผู้ครองนครน่านมีพระสถานะเป็นกษัตริย์ประเทศราช ในยุคนี้พระมหากษัตริย์สยามทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาตั้งเจ้าผู้ครองนครน่านทุกพระองค์สืบมาจนถึง เจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 64 (พ.ศ. 2462–2474) ทรงเป็นเจ้าผู้ครองนครองค์สุดท้ายแห่งนครน่าน
ถึงแม้นครน่านมีสถานะเป็นประเทศราชเป็นข้าขอบขัณฑสีมาแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แต่เจ้าผู้ครองนครน่าน ทรงมีอำนาจสิทธิขาดในการปกครองอาณาเขตและพลเมืองของตน ถึงแม้ว่าการขึ้นครองนครจะต้องได้รับความเห็นชอบจากราชสำนักกรุงรัตนโกสินทร์ก็ตาม แต่โดยทางปฏิบัติแล้ว พระมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงให้อำนาจเจ้านายบุตรหลานและขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักนครน่าน เลือกเจ้านายผู้มีอาวุโสขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองนครกันเอง โดยมิได้ทรงยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายใน
เจ้าผู้ครองนครน่าน ในชั้นหลังทุกพระองค์ ต่างปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความเที่ยงธรรม มีความซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรี ได้ช่วยราชการบ้านเมืองสำคัญ ๆ หลายครั้งหลายคราวด้วยกัน เช่น ช่วยราชการสงครามเชียงแสนในรัชกาลที่ 1 ปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์ในรัชกาลที่ 3 ช่วยราชการสงครามเมืองเชียงตุง ในรัชกาลที่ 4 เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้ ทำนุบำรุงกิจการพระพุทธศาสนาในเมืองน่าน ซ่อมแซมวัดวาอารามต่าง ๆ อยู่เป็นนิจ ทำให้เมืองน่านกลับคืนสู่สันติสุข ร่มเย็น ต่างจากระยะแรก ๆ ที่ผ่านมา
การปกครอง
]ระเบียบบริหารการปกครองภายในนครน่าน แบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย ได้แก่
- เจ้าห้าขัน หรือ เจ้าขันห้าใบ (ฝ่ายเจ้านายบุตรหลานเชื้อพระวงศ์)
- เค้าสนามหลวง หรือ สภาขุนนาง (ฝ่ายขุนนางเสนาอำมาตย์)
- สำนักเจ้าผู้ครองนคร (ฝ่ายขุนนางในราชสำนัก)
เจ้าห้าขัน หรือ เจ้าขันห้าใบ
]ในปี พ.ศ. 2434 เจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ ได้เสด็จถึงแก่พิราลัย ภายหลังเสร็จงานถวายพระเพลิงพระศพแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี มีพระบรมราชโองการให้ เจ้าราชวงษ์ (สุริยะ) ว่าที่เจ้าอุปราชนครน่าน ลงไปเฝ้าที่กรุงเทพฯ ต่อมาเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2437 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเลื่อนยศฐานันดรศักดิ์ เจ้าราชวงษ์ (สุริยะ) ว่าที่เจ้าอุปราชนครน่าน ขึ้นเป็น เจ้านครเมืองน่าน สืบต่อจากพระบิดา และได้รับการเฉลิมพระนามว่า "เจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช กุลเชษฐมหันต์ ไชยนันทบุร มหาราชวงษาธิบดี เจ้านครเมืองน่าน"
และเนื่องจากได้มีการแก้ไขการปกครองแผ่นดินขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 2435 โดยแบ่งการปกครองหัวเมืองออกเป็นมณฑลเทศาภิบาล แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ส่งข้าราชการผู้ใหญ่จากกรุงเทพฯ เป็นผู้แทนพระองค์ต่างพระเนตรพระกรรณ มากำกับดูแลการบริหารบ้านเมืองของเจ้าผู้ครองนคร และทรงแต่งตั้งเจ้านายบุตรหลานของเจ้าผู้ครองนคร ให้เป็นเจ้าศักดินาชั้นสัญญาบัตรลดหลั่นกันลงไปเป็นกรมการพิเศษ ช่วยเหลือการบริหารบ้านเมืองของเจ้าผู้ครองนคร
เจ้าขันห้าใบแห่งนครน่าน
]เจ้าขันห้าใบแห่งนครน่าน เป็นตำแหน่งเจ้านายระดับสูง ประกอบด้วย 5 ตำแหน่ง ดังนี้
- เจ้าผู้ครองนคร/พระเจ้าผู้ครองนคร (เจ้าหลวง หรือ กษัตริย์ประเทศราช)
- เจ้าอุปราช (เจ้าหอหน้า) รัชทายาทโดยตำแหน่ง
- เจ้าราชวงศ์
- เจ้าบุรีรัตน์
- เจ้าราชบุตร
เจ้าตำแหน่งรองและเจ้าตำแหน่งพิเศษแห่งนครน่าน
]เจ้าตำแหน่งรองแห่งนครน่าน เป็นตำแหน่งเจ้านายระดับรองลงมาจากเจ้าขันห้าใบ ประกอบด้วย 10 ตำแหน่ง ดังนี้
- เจ้าสุริยวงษ์
- เจ้าราชสัมพันธวงษ์
- เจ้าราชภาคินัย
- เจ้าราชภาติกวงษ์
- เจ้าอุตรการโกศล
- เจ้าไชยสงคราม
- เจ้าราชดนัย
- เจ้าประพันธ์พงษ์
- เจ้าราชญาติ
- เจ้าวรญาติ
เจ้าตำแหน่งพิเศษแห่งนครน่าน เป็นตำแหน่งเจ้านายที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงพระยศเป็น "พระ" ประกอบด้วย 8 ตำแหน่ง ดังนี้
- พระยาวังขวา (เฉพาะนครน่าน)
- พระยาวังซ้าย (เฉพาะนครน่าน)
- พระวิไชยราชา
- พระเมืองราชา
- พระเมืองไชย
- พระเมืองแก่น
- พระเมืองแก้ว
- พระเมืองน้อย
เค้าสนาม (สภาขุนนาง)
]ระเบียบการปกครองฝ่ายธุรการนั้น ได้จัดเป็น “เค้าสนาม” เป็นที่ว่าการบ้านเมือง ซึ่งจะมีขุนนางพญาแสนท้าวกลุ่มหนึ่งเป็นผู้บริหารงานราชการส่วนกลาง การงานได้ดำเนินสำเร็จไปด้วยการประชุมปรึกษาเป็นประมาณ การงานที่ปฏิบัติในสนามนี้อาจแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ การงานที่ต้องนำขึ้นทูลเจ้าผู้ครองนครเพื่อทรงวินิจฉัยและบัญชาการอย่างหนึ่ง และการงานที่เป็นไปตามระเบียบแบบแผนอันไม่มีสารสำคัญสามัญสามารถที่จะกระทำเสร็จไปได้ที่สนาม โดยไม่ต้องนำขึ้นทูลเจ้าผู้ครองนครอีกอย่างหนึ่ง
“ขุนนางเสนาเค้าสนามหลวง” ของนครน่าน มีทั้งหมดจำนวน 32 ตำแหน่ง โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ “พญาปี๊นทั้ง 4” (หรือ “พ่อเมืองทั้ง 4”) คือ พญาผู้เป็นใหญ่ในเค้าสนามทั้ง 4 ท่าน มียศศักดิ์เป็น “พญาหลวง ปฐมอรรคมหาเสนาธิบดี” เป็นขุนนางชั้นสูงสุดมี 1 ตำแหน่ง และ “พญาหลวง อรรคมหาเสนาธิบดี” รองลงมาอีก 3 ตำแหน่ง กับ “ขุนเมืองทั้ง 8” เป็นขุนนางชั้นรองหัวหน้าและผู้ช่วยกรมการต่าง ๆ มียศศักดิ์เป็น “พญา, แสน, หลวง, ท้าว” ซึ่งเจ้าผู้ครองนครน่าน ได้ทรงแต่งตั้งให้มียศศักดิ์จัดไว้เป็นทำเนียบ ในรัชสมัย พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ ทรงเป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน มีรายนามดังต่อไปนี้
ขุนนางเสนาเค้าสนามหลวงนครน่าน
]- พญาปี๊น หรือพ่อเมืองทั้ง 4
| ลำดับ | ตำแหน่ง | หน้าที่ |
|---|---|---|
| 1 | พญาหลวงจ่าแสนราชาไชยอภัยนันทวรปัญญาศรีวิสุทธิมงคล ปฐมอรรคมหาเสนาธิบดี | ผู้สำเร็จราชการบ้านเมืองทั่วไป (ผู้แทนองค์เจ้าผู้ครองนคร) |
| ประธานแห่งขุนนางเสนาอำมาตย์ ในเค้าสนามหลวงทั้งปวง (มุขมนตรี) | ||
| 2 | พญาหลวงราชอามาตย์ อรรคมหาเสนาธิบดี | รองผู้สำเร็จราชการบ้านเมือง |
| 3 | พญาหลวงราชธรรมดุลย์ อรรคมหาเสนาธิบดี | หัวหน้าฝ่ายตุลาการ |
| 4 | พญาหลวงราชมนตรี อรรคมหาเสนาธิบดี | หัวหน้าฝ่ายสุรัสวดีและนายทะเบียน สักเลข (ทหาร) |
- พญาชั้นรอง (หัวหน้ากรม)
| กรม | หัวหน้ากรม | ผู้ช่วย |
|---|---|---|
| กรมว่าการทั่วไป | พญาหลวงนัตติยราชวงศา | พญาราชเสนา |
| พญาไชยสงคราม | ||
| พญาทิพเนตร | ||
| พญาไชยราช | ||
| กรมว่าการฝ่ายโหรหลวงประจำราชสำนัก | พญาหลวงราชบัณฑิต | พญาสิทธิมงคล |
| กรมว่าการฝ่ายอักษร | พญาหลวงศุภอักษร | พญาพรหมอักษร |
| พญามีรินทอักษร | ||
| กรมว่าการฝ่ายพระคลัง (เงิน) | พญาหลวงคำลือ | พญาสิทธิธนสมบัติ |
| พญาราชสมบัติ | ||
| พญาธนสมบัติ | ||
| พญาราชสาร | ||
| กรมว่าการฝ่ายรักษาคลัง (พัสดุ) ฉางข้าวหลวง | พญาหลวงราชภักดี | พญาราชโกฏ |
| พญาราชรองเมือง | ||
| พญาอินต๊ะรักษา | ||
| พญานาหลัง | ||
| พญาแขก | ||
| กรมว่าการฝ่ายตุลาการ | พญาแสนหลวงราชธรรมดุลย์ | พญาสิทธิเดช |
| พญานราสาร | ||
| พญาไชยพิพิธ | ||
| กรมว่าการฝ่ายโยธา | พญาหลวงไชยปัญญา | พญานันต๊ะปัญญา |
| กรมว่าการธรรมการ | พญาหลวงธรรมราช | - |
| กรมว่าการฝ่ายเหมืองฝาย | พญาหลวงเมฆสาคร | - |
ราชสำนักเจ้าผู้ครองนคร
]ส่วนนี้ต้องเรียบเรียงใหม่เนื่องจากเป็นการคัดลอกจากต้นฉบับ |
โดยพระสถานะของเจ้าผู้ครองนคร (เดิม) ทรงเป็นประมุขหรือพระเจ้าแผ่นดินน้อย ๆ เป็นเอกเทศอยู่ส่วนหนึ่งที่สำคัญของเจ้าผู้ครองนครซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินน้อย ๆ จึงไม่ผิดกับพระเจ้าแผ่นดินที่ครองราชย์ในอาณาจักรใหญ่ ๆ แต่อย่างใด กล่าวคือ ด้วยความเป็นใหญ่เป็นประธานในเหล่าพสกนิกร ผู้เป็นประมุขจักต้องบริหารการปกครองให้เจริญมั่นคง ดำรงแว่นแคว้นให้เป็นที่ร่มเย็นเป็นสุขแก่อาณาประชาราษฎร์ทั่วไป เป็นผู้นำแบบความดีงามทั้งหลายทั้งฝ่ายอาณาจักรและศาสนา นอกจากนี้ เพื่อจะยังให้พระเกียรติยศและความร่มเย็นเป็นสุขของราษฎรมีผลอันไพบูลย์ เจ้าผู้ครองนครทรงเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา ก็ย่อมจะบำเพ็ญกรณีตามคติธรรมของผู้เป็นประมุขเนื่องในทางศาสนาสืบมาแต่โบราณอันเรียกว่า "ทศพิธราชธรรม" ประกอบอีกส่วนหนึ่งด้วย
ส่วนอิสริยยศประจำตัวเจ้าผู้ครองนครนั้น ก็ย่อมเป็นไปตามฐานะของบ้านเมือง ถ้าบ้านเมืองใหญ่ก็มีอิสริยยศประดับมาก บ้านเมืองน้อยก็ลดหลั่นกันลงมาตามกำลังแต่อย่างไรก็ดีทาง ราชสำนักเจ้าผู้ครองนครน่าน ก็ได้มีคติประเพณีทางฝ่ายขัตติยสืบกันมาช้านาน กล่าวคือ เมื่อมีเจ้าขึ้นครองนคร ก็จะประกอบพิธีอุสาราชาภิเษก แม้ในชั้นหลังการตั้งเจ้าผู้ครองนครจะได้เป็นโดยพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้ง ณ กรุงเทพฯ ก็ดี ก็มิได้ละประเพณีเสียที่มีมาแต่เดิม จึงมีการประกอบพิธีอุสาราชาภิเษกเจ้าผู้ครองนคร ณ ราชสำนักคุ้มหลวงนครน่าน อีกครั้งหนึ่ง “มหาขัติยราชวงษาเสนาอามาตย์ทั้งหลาย ก็อาราธนาอัญเชิญพระเป็นเจ้าขึ้นสถิตย์สำราญในราชนิเวศน์ หอคำราชโรงหลวง (คุ้มหลวง)” ซึ่งตรงกับคำว่า “การเฉลิมพระราชมณเฑียร” มีการออกพญาแสนท้าว (ขุนนาง) ต้อนรับแขกเมืองด้วยพิธี มีการออกประพาสเมืองโดยอิสสริยศด้วยกระบวนข้าราชบริพารเป็นอาทิ
นอกจากพญาแสนท้าวอันเป็นขุนนางที่เจ้าผู้ครองนครได้แต่งตั้งขึ้นไว้ เพื่อบริหารกิจการบ้านเมืองยังเค้าสนามหลวง ซึ่งเป็นการภายนอกส่วนหนึ่งแล้ว ยังอีกการภายใน อันเป็นกิจการของราชสำนักของเจ้าผู้ครองนครโดยตรง ก็จะทรงแต่งตั้ง “ขุนใน” ขึ้นไว้รับใช้การงานและประดับพระเกียรติยศของเจ้าผู้ครองนครอีกส่วนหนึ่งด้วย ทำนองข้าราชการฝ่ายราชสำนัก ซึ่งมีความมุ่งหมายเป็นส่วนใหญ่ที่จะกล่าวถึงเรื่องนี้
กิจการภายในราชสำนักเจ้าผู้ครองนครน่าน แบ่งออกเป็น 5 แผนก คือ
- แผนกวัง
- แผนกเสมียนตรา
- แผนกมณเฑียรและอาสนะ
- แผนกการกุศล
- แผนกรับใช้
แผนกวัง
]มีหน้าที่ควบคุมตรวจตรากิจการภายในคุ้มหลวงทุกอย่าง รักษาความสงบเรียบร้อยภายในคุ้มหลวง พิทักษ์องค์เจ้าผู้ครองนครด้วยกำลังคน “เจ้าใช้การใน” ที่มีประจำอยู่ จัดพิธีออกพญาแสนท้าวในคราวที่ประกอบเป็นพระเกียรติยศ พิธีออกแขกเมือง – ต้อนรับแขกเมือง จัดกองเกียรติยศเมื่อเจ้าผู้ครองนครเสด็จออกประพาส
ขุนในแผนกวัง ประกอบด้วย
- พญาหลวงสิทธิวังราช: หัวหน้าแผนกวัง
- พญาราชวัง: ผู้ช่วยแผนกวัง
- ท้าวอาสา: หัวหน้าคนเจ้าใช้การใน มีหน้าที่จับกุมบุคคลที่ขัดอาชญาตามบัญชาของเจ้าผู้ครองนครและมีหน้าที่ถือมัดหวายนำหน้ากระบวนออกประพาสของเจ้าผู้ครองนคร
- ท้าววังหน้า: หัวหน้าคนเจ้าใช้การใน มีหน้าที่ออกหน้ากระบวนออกประพาสของเจ้าผู้ครองนคร ในอันที่จะประกาศมิให้ผู้คนจอแจข้างหน้าทางหรือตัดหน้าฉาน กับมีคนใช้การในสำหรับที่จะเรียกใช้กระทำกิจการภายในคุ้ม 1,000 คน ในเวลาปกติมีคนเจ้าใช้การในมาเข้าเวรยาม 15 คน พวกเหล่านี้ผลัดเปลี่ยนกันมาเข้าเวรครั้งละ 2 วัน 3 คืน หมุนเวียนกันไป
แผนกเสมียนตรา
]มีหน้าที่ทำหนังสือของเจ้าผู้ครองนครที่จะมีไปในที่ต่าง ๆ และรับคำสั่งอาชญาที่จะแจ้งไปให้เค้าสนามหลวงทราบกับมีหน้าที่เก็บสรรพหนังสือภายในหอคำ
ขุนในแผนกเสมียนตรา ประกอบด้วย
- พญาหลวงสิทธิอักษร: หัวหน้าแผนกเสมียนตรา
แผนกมณเฑียรและอาสนะ
]มีหน้าที่พิทักษ์ดูแลหอคำหลวงและราชนิเวศน์หอคำของเจ้าผู้ครองนครและบูรณปฏิสังขรณ์เมื่อชำรุด กับมีหน้าที่แต่งตั้งอาสนะเมื่อเจ้าผู้ครองนครเสด็จออกประพาสไปประทับ ณ ที่ใดที่หนึ่ง
ขุนในแผนกมณเฑียรและอาสนะ ประกอบด้วย
- พญาหลวงราชมณเฑียร: หัวหน้าแผนกมณเฑียร
- แสนหลวงราชนิเวศน์: ผู้ช่วยแผนกมณเฑียร
- พญาหลวงอาสนมณเฑียร: หัวหน้าแผนกอาสนะ
แผนกการกุศล
]มีหน้าที่ประกอบการพระกุศลของเจ้าผู้ครองนครต่าง ๆ กระทำพิธีบูชาพระเคราะห์ตามคราวและมีหน้าที่บันทึกเรื่องรายงานการกุศล
ขุนในแผนกการกุศล ประกอบด้วย
- แสนหลวงสมภาร: หัวหน้าแผนกการกุศล
- แสนหลวงกุศล: ผู้ช่วยแผนกการกุศล
- แสนหลวงขันคำ: ผู้ช่วยแผนกการกุศล มีหน้าที่เป็นผู้ถือพานทองนำหน้าเจ้าผู้ครองนครในคราวบำเพ็ญกุศลต่าง ๆ
แผนกรับใช้
]มีหน้าที่รับใช้เจ้าผู้ครองนครในกิจการต่าง ๆ
ขุนในแผนกรับใข้ ประกอบด้วย
- แสนหลวงใน: ผู้รับใช้จับจ่ายอาหารเลี้ยงดูผู้คนในหอคำหลวง
- แสนหลวงต่างใจ: ผู้รับใช้กิจการต่าง ๆ
หัวเมืองขึ้นของนครน่าน
]หัวเมืองขึ้นของนครน่าน พ.ศ. 2327–2347
]จากจารึกทำเนียบหัวเมืองและผู้ครองเมือง ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีหัวเมืองขึ้นอยู่ 474 หัวเมือง จารึกดังกล่าวปรากฏอยู่บนคอสองเฉลียงระเบียงล้อมพระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ซึ่งได้จารึกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี ได้ระบุถึงเจ้าผู้ครองนครน่าน และหัวเมืองที่ขึ้นกับนครน่าน ดังนี้
จารึกทำเนียบหัวเมืองและผู้ครองเมือง ทิศเหนือ ...เมืองเชียงของ 1 เมืองโปง 1 เมืองเงิน 1 เมืองสราว 1 เมืองปัว 1 อยู่ทางหนเหนือขึ้นกับเมืองน่าน เมืองหิน 1 เมืองงั่ว 1 อยู่ทางหนใต้ ขึ้นกับเมืองน่าน รวมเป็น 7 เมือง ผู้ครองเมืองน่าน มีนามว่า พระยามงคลยศประเทศราช เจ้าเมืองน่าน
หัวเมืองขึ้นของนครน่าน พ.ศ. 2400–2445
]นครน่าน เป็นหัวเมืองที่มีอาณาเขตกว้างขวาง จากรายงานทางราชการของนครน่านที่มีไปถึงกรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. 2444–2445 ในรัชสมัยพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ พระเจ้าผู้ครองนครน่าน ปกครองมีหัวเมืองขึ้น 47 เมือง ประกอบด้วย
- เมืองเชียงของ
- เมืองเทิง
- เมืองเชียงคำ
- เมืองเงิน
- เมืองหลวงภูคา
- เมืองไชยพรหม
- เมืองริม
- เมืองแงง
- เมืองเชียงคาน
- เมืองเชียงกลาง
- เมืองและ
- เมืองเปือ
- เมืองงอบ
- เมืองบ่อ
- เมืองปอน
- เมืองปัว
- เมืองย่าง
- เมืองยม
- เมืองอวน
- เมืองพง
- เมืองบ่อว้า
- เมืองควร
- เมืองเชียงฮ่อน
- เมืองเชียงลม
- เมืองคอบ
- เมืองสวด
- เมืองเชียงม่วน
- เมืองเชียงแรง
- เมืองเชียงเคี่ยน
- เมืองสะเอียบ
- เมืองสระ
- เมืองปง
- เมืองออย
- เมืองงิม
- เมืองมิน
- เมืองยอด
- เมืองสะเกิน
- เมืองลอย
- เมืองลี
- เมืองศรีษะเกษ
- เมืองหิน
- เมืองสา
- เมืองท่าแฝก
- เมืองหาดล้า
- เมืองท่าปลา
- เมืองผาเลือด
- เมืองจะลิม
- ประตูอมร เป็นประตูที่เจาะขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2450
- กำแพงด้านทิศตะวันออก ยาวประมาณ 650 เมตร ประกอบ 2 ประตู คือ
- ประตูชัย เป็นประตูที่เจ้าผู้ครองนครและเจ้านายชั้นสูงใช้ในการเดินทางชลมาร์คไปกรุงเทพฯ
- ประตูน้ำเข้ม ใช้สำหรับติดต่อค้าขายทางน้ำ และเป็นประตูเข้าออกสู่แม่น้ำน่านของประชาชนทั่วไป
- กำแพงด้านทิศใต้ ยาวประมาณ 1,400 เมตร ประกอบ 2 ประตู คือ
- ประตูเชียงใหม่ เป็นประตูเมืองที่เดินทางไปสู่ต่างเมือง เช่น นครเชียงใหม่
- ประตูท่าลี่ เป็นประตูที่นำศพออกไปเผานอกเมือง ณ สุสานดอนไชย
- กำแพงด้านทิศตะวันตก ยาวประมาณ 950 เมตร ประกอบ 2 ประตู คือ
- ประตูปล่องน้ำ ใช้ในการระบายน้ำจากตัวเมืองออกสู่ด้านนอก
- ประตูหนองห้า เป็นประตูสำหรับคนในเมืองออกไปทำไร่ทำนา และใช้ขนผลผลิตเข้ามาในเมือง
ลักษณะของประตูเมือง ทำเป็นซุ้ม บานประตูเป็นไม้ หลังคาประตูเป็นทรงเรือนยอดสี่เหลี่ยมซ้อนกันสามชั้น มีป้อมอยู่เพียงสามป้อมอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ และด้านตะวันตกเฉียงใต้ เป็นป้อมแปดเหลี่ยม หลังคาทรงเรือนยอดซ้อนกันสองชั้น หลังคาชั้นแรกเป็นทรงแปดเหลี่ยม ชั้นที่สองเป็นทรงสี่เหลี่ยม[ต้องการอ้างอิง]
รายพระนามเจ้าผู้ครองนครน่าน
]รายพระนามเจ้าผู้ครองนครน่าน 14 พระองค์ แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ (พ.ศ. 2270–2474) มีรายพระนามตามลำดับ ดังนี้
| ลำดับ | พระรูป | รายพระนาม | ครองราชย์ (พ.ศ. ไทยสากล) | หมายเหตุ | |
|---|---|---|---|---|---|
| เริ่มรัชกาล | สิ้นสุดรัชกาล | ||||
| 1 | ![]() | พระเจ้าหลวงติ๋นมหาวงศ์ (พระเจ้าเมืองน่าน) | 3 มีนาคม พ.ศ. 2270 (จ.ศ. 1088 เดือน 6 ขึ้น 11 ค่ำ) | 18 เมษายน พ.ศ. 2294 (จ.ศ. 1113 เดือน 7 แรม 8 ค่ำ) | |
| 2 | ![]() | เจ้าอริยวงษ์ (เจ้าเมืองน่าน) | 18 เมษายน พ.ศ. 2294 (จ.ศ. 1113 เดือน 7 แรม 8 ค่ำ) | 2 สิงหาคม พ.ศ. 2297 (จ.ศ. 1116 เดือน 11 ขึ้น 14 ค่ำ) | ครองเมืองน่านก่อนได้รับการแต่งตั้งจากพม่า |
| 2 สิงหาคม พ.ศ. 2297 (จ.ศ. 1116 เดือน 11 ขึ้น 14 ค่ำ) | 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2311 (จ.ศ. 1130 เดือน 10 ลง 8 ค่ำ) | ||||
| 3 | ![]() | เจ้านายอ้าย (เจ้าเมืองน่าน) | 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2311 (จ.ศ. 1130 เดือน 10 ลง 8 ค่ำ) | มกราคม พ.ศ. 2312 (จ.ศ. 1130 เดือน 4) | ราชวงษปกรณ์ไม่ระบุวันพิราลัย เพียงแต่บอกว่ากินเมืองน่านนาน 7 เดือน จ.ศ. 1130 เป็นปีอธิกมาส วันพิราลัยจึงอยู่ในเดือน 4 |
| 4 | ![]() | เจ้ามโนราชา (เจ้าเมืองน่าน) | 16 เมษายน พ.ศ. 2312 - 5 เมษายน พ.ศ. 2313 (จ.ศ. 1131 เดือน ? ขึ้น 10 ค่ำ) | 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2318 (จ.ศ. 1136 เดือน 5 ขึ้น 13 ค่ำ) | ราชวงษปกรณ์ไม่ระบุเลขเดือนของวันที่ได้รับการแต่งตั้ง วันขึ้น 10 ค่ำครั้งแรกของปีตรงกับวันที่ 16 เมษายน และครั้งสุดท้ายของปีตรงกับวันที่ 5 เมษายน |
| 5 | ![]() | เจ้าวิธูร (เจ้าเมืองน่าน) | 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2318 (จ.ศ. 1136 เดือน 5 ขึ้น 13 ค่ำ) | พ.ศ. 2321/2322 (จ.ศ. 1140) | |
| - | ![]() | เจ้ามโนราชา (พระยาน่าน) | พ.ศ. 2321/2322 (จ.ศ. 1140) | 28 มีนาคม พ.ศ. 2323 (จ.ศ. 1141 เดือน 6 ลง 8 ค่ำ) | ตั้งอยู่เมืองงั่ว ต่อมาย้ายไปอยู่เชิงดอยภูเพียงแช่แห้ง แล้วถูกกวาดต้อนไปเมืองเชียงแสน |
| 14 เมษายน พ.ศ. 2324 (จ.ศ. 1143 เดือน 7 ลง 6 ค่ำ) | 2 ตุลาคม พ.ศ. 2324 (จ.ศ. 1143 ออกพรรษา) | ตั้งอยู่เมืองภูเพียง ต่อมาย้ายกลับไปเมืองเชียงแสน | |||
| 9 ธันวาคม พ.ศ. 2325 (จ.ศ. 1144 เดือน 3 ขึ้น 5 ค่ำ) | 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2327 (จ.ศ. 1146 เดือน 8 ลง 2 ค่ำ) | ตั้งอยู่เมืองเทิง ขึ้นกับฝ่ายพม่า | |||
| - | ![]() | เจ้าอัตถวรปัญโญ (พระยาน่าน) | พ.ศ. 2327/2328 (จ.ศ. 1146) | 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2329 - 11 เมษายน พ.ศ. 2330 (ระหว่าง จ.ศ. 1148 เดือน 3 ขึ้น 4 ค่ำ จนถึงสิ้นปี) | ตั้งอยู่เมืองเทิง ขึ้นกับฝ่ายพม่า |
| 6 | ![]() | เจ้ามงคลวรยศ (เจ้าเมืองน่าน) | 22 มกราคม พ.ศ. 2327 (จ.ศ. 1145 เดือน 5 ขึ้น 1 ค่ำ) | 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2329 - 11 เมษายน พ.ศ. 2330 (ระหว่าง จ.ศ. 1148 เดือน 3 ขึ้น 4 ค่ำ จนถึงสิ้นปี) | ตั้งอยู่เมืองท่าปลา ขึ้นกับฝ่ายสยาม |
| 7 | ![]() | เจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญ (เจ้าฟ้าเมืองน่าน) | 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2329 - 11 เมษายน พ.ศ. 2330 (ระหว่าง จ.ศ. 1148 เดือน 3 ขึ้น 4 ค่ำ จนถึงสิ้นปี) | 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2331 (จ.ศ. 1150 เดือน 9 ลง 13 ค่ำ) | ครองเมืองน่าน แต่ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งจากสยาม |
| 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2331 (จ.ศ. 1150 เดือน 9 ลง 13 ค่ำ) | 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2353 (จ.ศ. 1172 เดือนยี่ ลง 4 ค่ำ) | ได้รับสถาปนาขึ้นเป็นเจ้าฟ้าเมืองน่านในปี พ.ศ. 2347 หลังตีได้เมืองเชียงแสนในสงครามเชียงแสน | |||
| 8 | ![]() | เจ้าสุมนเทวราช (พระยานครน่าน) | 6 ธันวาคม พ.ศ. 2353 (จ.ศ. 1172 เดือน 3 ขึ้น 10 ค่ำ) | 17 เมษายน พ.ศ. 2368 (จ.ศ. 1187 เดือน 8 ขึ้น 1 ค่ำ) | |
| 9 | ![]() | เจ้ามหายศ (พระยานครน่าน) | 9 มิถุนายน พ.ศ. 2368 (จ.ศ. 1187 เดือน 9 ลง 9 ค่ำ) | พ.ศ. 2378/2379 (จ.ศ. 1197) | |
| 10 | ![]() | เจ้าอชิตวงษ์ (พระยานครน่าน) | 18 ธันวาคม พ.ศ. 2379 (จ.ศ. 1198 เดือน 3 ขึ้น 10 ค่ำ) | 13 สิงหาคม พ.ศ. 2380 (จ.ศ. 1199 เดือน 11 ขึ้น 12 ค่ำ) | |
| 11 | ![]() | เจ้ามหาวงษ์ (พระยานครน่าน) | พ.ศ. 2381/2382 (จ.ศ. 1200) | 23 ตุลาคม พ.ศ. 2394 (จ.ศ. 1213) | |
| 12 | ![]() | พระเจ้าอนันตวรฤทธิเดช (เจ้านครเมืองน่าน) | 5 มีนาคม พ.ศ. 2396 (จ.ศ. 1214 เดือน 6 ลง 11 ค่ำ) | 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2434 | ได้รับสถาปนาขึ้นเป็นเจ้านครเมืองน่านในปี พ.ศ. 2399/2400 (จ.ศ. 1218) ราชวงษปกรณ์ระบุวันพิราลัยเป็นวันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2434 (จ.ศ. 1253 เดือน 8 ลง 7 ค่ำ เม็งวันศุกรไทยดับเม้า) |
| 13 | ![]() | พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช (พระเจ้านครเมืองน่าน) | 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2437 | 5 เมษายน พ.ศ. 2461 | ได้รับสถาปนาขึ้นเป็นพระเจ้านครเมืองน่านในปี พ.ศ. 2446 |
| 14 | ![]() | เจ้ามหาพรหมสุรธาดา (เจ้านครน่าน) | 22 เมษายน พ.ศ. 2461 | 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2462 | รั้งตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครน่าน |
| 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2462 | 17 สิงหาคม พ.ศ. 2474 | ||||
การขอแต่งตั้งเจ้าผู้ครองนครน่าน (ไม่สำเร็จ)
]เมื่อเสร็จการพระพิธีถวายพระเพลิงพระศพ เจ้ามหาพรหมสุรธาดาฯ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 64 และองค์ที่ 14 แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2475 แล้วนั้น เจ้านายบุตรหลานและเหล่าราษฎรนครน่าน ได้มีฎีกากราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์สยาม รัชกาลที่ 7 แห่งราชวงศ์จักรี ความว่า ..ขอให้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้ง "อำมาตย์โท เจ้าราชวงศ์ (สุทธิสาร ณ น่าน) เจ้าราชวงศ์นครน่าน" ผู้เป็นพระภาติยะ (หลาน) ของเจ้ามหาพรหมสุรธาดาฯ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 64 ขึ้นเป็น "เจ้าผู้ครองนครน่าน" องค์ต่อไป แต่เนื่องจากในเวลานั้นทางรัฐบาลสยามได้เกิดการปฎิรูปเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 จึงพระราชทานฎีกานั้นไปให้คณะราษฎร พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีสยาม คนที่ 1 พิจารณาพร้อมกับคณะรัฐมนตรีสมัยนั้นได้พิจารณาลงเห็นว่า เมื่อครั้งรัฐบาลราชาธิปไตยในสมัยรัชกาลที่ 7 พระองค์เคยมีพระราชดำริที่จะไม่ทรงตั้งเจ้าผู้ครองนครอีกต่อไป เมื่อเจ้าผู้ครองนครองค์ใดเสด็จถึงแก่พิราลัยลงก็จะไม่ทรงแต่งตั้งขึ้นอีก
แต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงเห็นว่านครน่าน เป็นหัวเมืองชายแดนที่เสี่ยงต่อการถูกยุยงให้เข้าหาจักรวรรดิฝรั่งเศส อีกทั้งสถานการณ์ปลี่ยนไปเนื่องจากอาณาจักรสยามไม่ได้ปกครองโดยพระมหากษัตริย์เหมือนแต่ก่อน เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยเช่นนี้ควรที่รัฐบาลจะได้พิจารณาทบทวนนโยบายเดิมเสียด้วย รัฐบาลในยุคนั้นได้พิจารณากันต่อเนื่องยาวนาน และมีการเสนอว่าควรจะเลิกตำแหน่งเจ้าผู้ครองนคร แล้วสถาปนาเจ้านายฝ่ายเหนือให้เป็น "Prince" แบบที่ราชสำนักญี่ปุ่นตั้งเจ้านายเกาหลี บ้างก็เสนอให้ตั้งเป็นพระองค์เจ้า แล้วแยกเป็นวงศ์ "ณ เชียงใหม่", "ณ ลำปาง", "ณ ลำพูน", "ณ น่าน" กันไป
สุดท้ายคณะราษฎรจึงได้ส่ง มหาอำมาตย์ตรี พระยาจ่าแสนยบดีศรีบริบาล (ชิต สุนทรวร) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้ขึ้นมาสืบข่าวในนครน่าน จึงพบว่า "อำมาตย์โท เจ้าราชวงศ์ (สุทธิสาร ณ น่าน) เจ้าราชวงศ์นครน่าน" ในขณะนั้นมีชนมายุ 70 ปี และเป็นพระโอรสในพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 63 และองค์ที่ 13 แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ และเป็นผู้ใหญ่ในวงศ์ตระกูล "ณ น่าน" และมีความดีความชอบและไม่ยุ่งยากเหมือนวงศ์ตระกูล "ณ ลำปาง" จึงเห็นสมควรให้มีการตั้งขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองนครน่านได้ ครั้นเมื่อพระยาจ่าแสนยบดีศรีบริบาล (ชิต สุนทรวร) เดินทางกลับกรุงเทพฯ และได้เสียชีวิตลงก่อนจึงไม่ได้เสนอ เรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมคณะรัฐบาล และท้ายที่สุดทางรัฐบาลของอาณาจักรสยามลงความเห็นว่าไม่ควรให้มีตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครอีกต่อไป โดยให้เหตุผลว่าในเวลานั้นไม่มีราษฎรเลื่อมใสในเจ้านายแล้ว จึงทำให้ "อำมาตย์โท เจ้าราชวงศ์ (สุทธิสาร ณ น่าน) เจ้าราชวงศ์นครน่าน" มิได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็น "เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 65" ต่อจาก เจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 64 จึงถือเป็นการสิ้นสุดระบอบการปกครองของเจ้านายแห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ในนครน่านนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ดูเพิ่ม
]หมายเหตุ
]- อาณาจักรหลักคำ (กฎหมายเมืองน่าน) ยกเลิกใช้ในปี พ.ศ. 2451
อ้างอิง
]- "ทริปภาคเหนือ แพร่ น่าน ลำปาง ตอนที่ 5". โฟโต้ออนทัวร์. 2011-07-03. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-01-12. สืบค้นเมื่อ 2020-01-14.
- กระทรวงมหาดไทย (1917), ยอดทะเบียนสำมโนครัวมณฑลต่าง ๆ ในพระราชอาณาเขตร์ พุทธศักราช 2460, กระทรวงมหาดไทย, สืบค้นเมื่อ 2024-10-25
- "เงินตราสมัยล้านนา". ธนาคารแห่งประเทศไทย. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-01-15. สืบค้นเมื่อ 2020-01-15.
- อ๋องสกุล, สรัสวดี (2003). เอียวศรีวงศ์, นิธิ (บ.ก.). พื้นเมืองเชียงแสน. กรุงเทพฯ: อมรินทร์. pp. 170, 246. ISBN 9742726612.
- อินปาต๊ะ, บริพัตร (2017). การฟื้นฟูรัฐน่านในสมัยราชวงศ์หลวงติ๋น พ.ศ. 2329-2442 (วิทยานิพนธ์). จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. pp. 27, 30, 50–56, 62, 67, 202. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-04-19. สืบค้นเมื่อ 2024-04-11.
- Harvey, Godfrey Eric (1925). History of Burma: from the Earliest Times to 10 March, 1824: The Beginning of the English Conquest. United Kingdom: Longmans, Green and Company. p. 241. สืบค้นเมื่อ 2024-04-10.
- โบราณคดีสโมสร, บ.ก. (1919), "ราชวงศปกรณ์ พงศาวดารเมืองน่าน" [Ratchawongsapakon Phongsawadan Mueang Nan], ประชุมพงษาวดาร ภาคที่ 10 [Collection of Historical Archives] (PDF), กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, สืบค้นเมื่อ 2024-05-11
- น่าน, จังหวัด (1987), ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดน่าน, น่าน: สำนักงานจังหวัดน่าน, pp. 31–51, สืบค้นเมื่อ 2024-11-30
- ทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา (1901), ดำรงราชานุภาพ, พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวง (บ.ก.), พระราชพงษาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 [Royal Chronicle of the Kingdom of Rattanakosin: First Reign] (PDF), กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ, pp. 240–242, สืบค้นเมื่อ 2024-05-11
- ขรัวทองเขียว, เนื้ออ่อน; จุฬารัตน์, จุฬิศพงศ์ (2014). "รัฐสยามกับล้านนา พ.ศ. 2417-2476" [THE SIAMESE STATE AND LANNA, 1874-1933]. วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์. 6: 75. สืบค้นเมื่อ 2024-05-12.
- สมิธ, เฮอร์เบิร์ต วาริงตัน (2019) [1898], ห้าปีในสยาม [Five Years in Siam] (PDF), vol. 1, แปลโดย กีชานนท์, เสาวลักษณ์ (2nd ed.), กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, สืบค้นเมื่อ 2024-05-11
- "จารึกทำเนียบหัวเมืองและผู้ครองเมือง ทิศเหนือ (เมืองเชียงของ เมืองโปง เมืองเงิน เมืองสราว เมืองปัว เมืองน่าน เมืองหิน เมืองงั่ว)". ฐานข้อมูลจารึกแห่งประเทศไทย. 12 March 2023. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-10-03. สืบค้นเมื่อ 2024-04-14.
- แสนสา, ภูเดช. "ประวัติศาสตร์เมืองน่าน" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2024-03-29. สืบค้นเมื่อ 2024-10-25.
- "ข่าวเจ้าประเทศราชถึงแก่พิราไลย" (PDF), ราชกิจจานุเบกษา, vol. 8, 27 September 1891, p. 240, สืบค้นเมื่อ 2024-12-01
- "เสด็จออกแขกเมืองประเทศราช" (PDF), ราชกิจจานุเบกษา, vol. 10, 4 March 1894, p. 523, สืบค้นเมื่อ 2024-12-01
- "ข่าวพิลาไลย" (PDF), ราชกิจจานุเบกษา, vol. 35, 14 April 1918, p. 72, สืบค้นเมื่อ 2024-12-01
- "การตั้งพระเจ้านครเมืองน่าน" (PDF), ราชกิจจานุเบกษา, vol. 20, 29 November 1903, p. 609, สืบค้นเมื่อ 2024-12-01
- "แจ้งความกระทรวงมหาดไทย" (PDF), ราชกิจจานุเบกษา, vol. 35, 28 April 1918, p. 223, สืบค้นเมื่อ 2024-12-01
- "พระราชทานสัญญาบัตรเจ้าผู้ครองนคร" (PDF), ราชกิจจานุเบกษา, vol. 36, 23 November 1919, p. 2414, สืบค้นเมื่อ 2024-12-01
- "ข่าวถึงพิราลัย" (PDF), ราชกิจจานุเบกษา, vol. 48, 30 August 1931, p. 1888, สืบค้นเมื่อ 2024-12-01
- หนังสือ พระราชทานเพลิงศพ เจ้าศรีพรหมา ณ น่าน /บันทึกหม่อมศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา[ระบุข้อมูลทางบรรณานุกรมไม่ครบ]
- รัฐสิ้นสภาพในประเทศไทย
- ราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์
- เจ้าผู้ครองนครน่าน
- ประวัติศาสตร์ของจังหวัดน่าน
- ประเทศราชของอาณาจักรพม่า
- ประเทศราชของอาณาจักรสยาม
วิกิพีเดีย, วิกิ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, มือถือ, โทรศัพท์, แอนดรอยด์, ไอโอเอส, แอปเปิ้ล, สมาร์ทโฟน, พีซี, เว็บ, คอมพิวเตอร์, ข้อมูลเกี่ยวกับ นครน่าน, นครน่าน คืออะไร? นครน่าน หมายความว่าอะไร?









ฝากคำตอบ
ต้องการเข้าร่วมการสนทนาหรือไม่?คุณสามารถร่วมเขียนได้!