เมืองนครพนม

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
นครพนม
พ.ศ. 2329  พ.ศ. 2443
เมืองหลวง
  • เมืองมรุกขนคร (ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง)
  • (หลัง พ.ศ. 2281–2309)
  • เมืองมรุกขนคร (ฝั่งขวาแม่น้ำโขง)
  • (พ.ศ. 2309–2329)
  • เมืองนครพนม (บ้านหนองจันทน์)
  • (พ.ศ. 2329–2340)
  • เมืองนครพนม (บ้านโพธิ์คำ)
  • (พ.ศ. 2340–2443)
การปกครอง
  ประเภทอาญาสี่
เจ้าเมือง 
 พ.ศ. 2329–2338
พระบรมราชา (พรหมา)
 พ.ศ. 2349–2370
พระบรมราชา (มัง)
 พ.ศ. 2373–2395
พระสุนทรราชวงศา
ประวัติศาสตร์ 
 ตั้งเมืองมรุกขนครที่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง
หลัง พ.ศ. 2281
 เปลี่ยนนามเมืองเป็นนครพนม
พ.ศ. 2329
 ยกเลิกตำแหน่งอาญาสี่
พ.ศ. 2443
ก่อนหน้า
ถัดไป
image เมืองศรีโคตรบูรณ์ภายใต้
อาณาจักรเวียงจันทน์
2381:
เมืองสกลนคร
image
2436:
อาณาจักรหลวงพระบาง
ภายใต้อินโดจีนของฝรั่งเศส
image
2443:
เมืองนครพนม
ภายใต้มณฑลอุดร
image

เมืองนครพนม หรือ เมืองละคอน (เวียดนาม: Lạc Hoàn,เวียดนาม: Lạc Hòn[1]) เป็นหัวเมืองฝั่งขวาแม่น้ำโขงภายใต้ปริมณฑลแห่งอำนาจของอาณาจักรรัตนโกสินทร์ และได้รับการยกฐานะเป็นประเทศราชในบางช่วงเวลา[2] ภายหลังถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลอุดรของสยาม

ประวัติศาสตร์

[]

การสร้างเมืองมรุกขนคร

[]

ดินแดนสองฝั่งแม่น้ำโขงบริเวณเมืองนครพนมเคยเป็นที่ตั้งของอาณาจักรโคตรบูร เมื่ออาณาจักรล้านช้างมีอำนาจเหนือบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง อาณาจักรโคตรบูรจึงถูกผนวกเป็นเมืองศรีโคตรบูรณ์ในฐานะเมืองลูกหลวงของอาณาจักรล้านช้าง[3] เมืองศรีโคตรบูรณ์ถูกเจ้าญวนใต้ตระกูลเหงียน [en]ปราบปรามในสงครามระหว่างปี พ.ศ. 2164–2166 ทำให้เมืองศรีโคตรบูรณ์ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเจ้าญวนใต้ตระกูลเหงียนด้วยอีกทางหนึ่ง[1] ในปี พ.ศ. 2246 อาณาจักรล้านช้างถูกแบ่งแยกเป็นอาณาจักรหลวงพระบางและอาณาจักรเวียงจันทน์โดยมีการตกลงแบ่งเขตแดนบริเวณปากน้ำเหือง[4] ทำให้เมืองศรีโคตรบูรณ์ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรเวียงจันทน์

ต่อมาบริเวณที่ตั้งเมืองที่ริมน้ำหินบูรณ์ได้ถูกน้ำเซาะตลิ่งโขงพังทลายลง พระบรมราชา (เอวก่าน) เจ้าเมืองศรีโคตรบูรณ์จึงได้ย้ายเมืองลงไปทางตอนใต้ฝั่งขวาของแม่น้ำโขงบริเวณที่เป็นดงไม้รวก ซึ่งในสมัยโบราณเชื่อว่ามีความอุดมสมบูรณ์ แล้วเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "มรุกขนคร" ซึ่งหมายถึง ดงไม้รวก[ต้องการอ้างอิง]

เมืองมรุกขนครภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรเวียงจันทน์และอาณาจักรดั่ยเหวียต

[]

ในปลายพุทธศตวรรษที่ 23 เจ้าญวนเหนือตระกูลจิ่ญ [en]ขยายอิทธิพลสู่ที่ราบสูงเชียงขวาง [en]และลุ่มน้ำโขงแทนที่เจ้าญวนใต้ตระกูลเหงียน เอกสารกวีเหิป (เวียดนาม: Tư liệu Quy Hợp) ระบุว่า เมืองมรุกขนครได้นำช้าง 2 ตัวมาถวายเป็นเครื่องราชบรรณาการที่ด่านกวีเหิปในปี พ.ศ. 2296[5][1] เมืองมรุกขนครถวายบรรณาการอีกครั้งในปี พ.ศ. 2302[5][1] และ พ.ศ. 2319[5] ทว่าอิทธิพลของเจ้าญวนใต้ตระกูลเหงียนมิได้หมดไปจากอาณาจักรเวียงจันทน์อย่างสิ้นเชิง ดั่ยนามถึกหลุก [en] (จื๋อฮ้าน: 大南寔錄) ส่วนเตี่ยนเบียน (จื๋อฮ้าน: 前編) เล่มที่ 10 ระบุว่า อาณาจักรเวียงจันทน์ได้ถวายบรรณาการต่อเจ้าญวนใต้เหงียน ฟุก ควาต [en]ในปี พ.ศ. 2304[6]

เมื่อพระบรมราชา (เอวก่าน) ถึงแก่อนิจกรรมในปี พ.ศ. 2308 ได้เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างพระนครานุรักษ์ (คำสิงห์) บุตรเขยของพระบรมราชา (เอวก่าน) ซึ่งพระไชยเชษฐาธิราชที่ 2 ทรงแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองลำดับถัดมา และท้าวกุแก้ว บุตรของพระบรมราชา (เอวก่าน) ซึ่งแยกตัวออกไปตั้งเมืองใหม่ชื่อว่า "เมืองมหาชัยกองแก้ว" พระนครานุรักษ์ (คำสิงห์) ขอให้เวียงจันทน์ส่งกองทัพมาช่วยปราบปราม แต่ปราบไม่สำเร็จ พระนครานุรักษ์ (คำสิงห์) จึงนำเครื่องราชบรรณาการไปถวายต่อเจ้าญวนใต้[note 1]ที่เมืองฟู้ซวน [en]เพื่อขอกองทัพมาช่วยเหลือ กองทัพเจ้าญวนใต้มาถึงเมืองคำเกิดในระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม[7] ท้าวกุแก้วทราบข่าวจึงเดินทางไปยังเมืองคำเกิดและแอบอ้างเป็นกรมการเมืองจากเมืองมรุกขนคร กองทัพเจ้าญวนใต้หลงเชื่อจึงร่วมกับฝ่ายเมืองมหาชัยกองแก้วตีเมืองมรุกขนครแตก พระนครานุรักษ์ (คำสิงห์) อพยพชาวเมืองมาตั้งอยู่ที่ฝั่งขวาแม่น้ำโขง

พระนครานุรักษ์ (คำสิงห์) ได้ขอความช่วยเหลือจากเวียงจันทน์อีกครั้ง กองทัพเวียงจันทน์และมรุกขนครเข้าปะทะกับกองทัพเจ้าญวนใต้ในหาดทรายแห่งหนึ่งกลางแม่น้ำโขง ฝ่ายเวียงจันทน์และมรุกขนครได้รับชัยชนะ พระยาเชียงสาแม่ทัพเวียงจันทน์ได้ทำการประนีประนอมโดยขอให้ฝ่ายพระนครานุรักษ์ (คำสิงห์) ไปตั้งเมืองใหม่ที่บ้านเวินทรายใกล้กับเมืองเวียงจันทน์ และให้ท้าวกุแก้วขึ้นเป็นพระบรมราชา (กุแก้ว) เจ้าเมืองมรุกขนครแทน แต่ให้ย้ายเมืองมาตั้งอยู่ฝั่งขวาแม่น้ำโขงในปี พ.ศ. 2309[3]

การเข้าสู่ปริมณฑลแห่งอำนาจของสยาม

[]

ในปี พ.ศ. 2321 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมีพระราชโองการให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกและเจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) นำทัพไปตีเมืองเวียงจันทน์ เพื่อตอบโต้กรณีที่เจ้าพระวอถูกสังหารโดยฝ่ายเวียงจันทน์ เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) นำกองทัพสยามขึ้นไปตามแม่น้ำโขงเพื่อตีเมืองต่างๆ ตั้งแต่จำปาศักดิ์ไปจนถึงเวียงจันทน์ ซึ่งรวมถึงเมืองมรุกขนคร[8] พงศาวดารย่อเมืองเวียงจันทน์ระบุว่า "ศักราชได้ 140 ทัดปีเส็ด (จอ) เจ้าพระวอ และเมืองลครแตก เดือน 4 ขึ้น 14 ค่ำ วันจันทร์"[9] ซึ่งตรงกับวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2322 พระบรมราชา (กุแก้ว) หลบหนีไปอยู่ที่เมืองคำเกิดและคำม่วนเป็นเวลา 5–6 เดือน ก่อนจะกลับมาที่เมืองมรุกขนครและสวามิภักดิ์ต่อสยาม[3] เมืองมรุกขนครจึงตกอยู่ภายใต้ปริมณฑลแห่งอำนาจของอาณาจักรธนบุรี สยามให้เวียงจันทน์มีอำนาจปกครองเหนือเมืองมรุกขนคร[10][11] และเมืองมรุกขนครได้ถวายดอกไม้ทองเงินในปี พ.ศ. 2323[7][note 2] ต่อมาในปี พ.ศ. 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จขึ้นครองราชย์ พระเจ้านันทเสนได้ทรงนัดแนะกับเมืองมรุกขนครและหัวเมืองต่างๆ ให้ลงไปถวายเครื่องราชบรรณาการพร้อมกัน[10][11] เมืองนครพนมจึงเข้าสู่ปริมณฑลแห่งอำนาจของอาณาจักรรัตนโกสินทร์ วันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2325 ซึ่งปรากฏในศุภอักษรของพระเจ้านันทเสนได้รับการเสนอให้เป็นวันสถาปนาเมืองนครพนม[10]

การสร้างเมืองนครพนม

[]

ปี พ.ศ. 2329 พระบรมราชา เจ้าเมืองมรุกขนครได้เห็นว่าการที่เมืองมรุกขนครตั้งอยู่ที่บ้านธาตุน้อยศรีบุญเรือง ริมห้วยบังฮวกมาเป็นเวลาถึง 20 ปีแล้วนั้น ถูกน้ำเซาะตลิ่งโขงพังและบ้านเรือนราษฎรเสียหาย จึงได้ย้ายเมืองขึ้นไปตั้งทางเหนือตามลำแม่น้ำโขงที่บ้านหนองจันทน์ ห่างจากจังหวัดนครพนมไปทางใต้ประมาณ 3 กิโลเมตร ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามเมืองเมือง จาก "เมืองมรุกขนคร" เป็น "เมืองนครพนม"[3]

ชื่อนครพนมนั้นมีข้อสันนิษฐาน 2 ประการ คือ คำว่า "นคร" อาจหมายถึง เมืองที่เคยเป็นเมืองลูกหลวงมาก่อนและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ หรืออาจเป็นการดำรงชื่อเมืองเมืองมรุกขนครไว้[12] คำว่า "พนม" อาจมาจากพระธาตุพนม ปูชนียสถานที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองมาช้านาน หรืออาจหมายถึงภูเขา เนื่องจากมีอาณาเขตกินไปถึงดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงซึ่งมีภูเขาสลับซับซ้อน[12]

ความขัดแย้งระหว่างราชวงศ์เต็ยเซินและสยาม

[]

ฝ่ายอาณาจักรดั่ยเหวียต [en]ยังคงถือว่าเมืองนครพนมเป็นรัฐบรรณาการของตน โดยมีเอกสารแจ้งให้พระบรมราชา (พรหมา) ถวายบรรณาการในปี พ.ศ. 2329[5][note 3] ในปีเดียวกัน ราชวงศ์เต็ยเซิน [en]สามารถยึดครองอาณาจักรดั่ยเหวียตทั้งหมดได้สำเร็จ หลงเหลือเพียงเหงียน ฟุก อั๊ญซึ่งลี้ภัยไปยังสยาม ในขณะที่สยามสนับสนุนเหงียน ฟุก อั๊ญในการชิงดินแดนปากแม่น้ำโขงจากราชวงศ์เต็ยเซิน พระเจ้านันทเสนแห่งเวียงจันทน์ได้ทรงเปิดแนวรบที่สองใกล้เวียดนามตอนกลาง[13] ราชวงศ์เต็ยเซินสามารถตีเมืองนครพนมแตกในปี พ.ศ. 2334 แต่พ่ายแพ้ต่อพระเจ้านันทเสนที่เมืองพวน[9]จักรพรรดิกวาง จุงทรงส่งพระราชสาส์นมายังกรุงเทพมหานครในวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2337[14] โดยระบุว่า เมืองนครพนมขึ้นแก่อาณาจักรดั่ยเหวียต พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงตอบว่า สยามไม่ห้ามปรามหากนั่นเป็นโบราณประเพณีของหัวเมืองลาว[15]

อย่างไรก็ตาม อาณาจักรเวียงจันทน์มีการติดต่อทางการทูตกับราชวงศ์เต็ยเซินด้วยเช่นกัน ซึ่งอาจเป็นเบาะแสถึงแผนการในการต่อต้านสยาม[13] ในปี พ.ศ. 2337 พระเจ้านันทเสนและพระบรมราชา (พรหมา) ได้ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันคบคิดเป็นกบฏ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดให้ลงมาแก้คดีที่กรุงเทพฯ ซึ่งพระเจ้านันทเสนและพระบรมราชา (พรหมา) แพ้คดี พระบรมราชา (พรหมา) ถูกลงอาญาเฆี่ยน 100 ทีและถูกภาคทัณฑ์ไว้ ในปี พ.ศ. 2340 ได้เกิดศึกพม่าทางเมืองเชียงใหม่ พระบรมราชา (พรหมา) ได้อาสาไปออกศึกในครั้งนี้ด้วย แต่พระบรมราชา (พรหมา) ได้บริโภคผักหวานเบื่อจนถึงแก่อนิจกรรมที่เมืองเถิน เจ้าอินทวงศ์ทรงนำพระศรีเชียงใหม่ (สุดตา) ซึ่งเป็นพี่ภรรยาของพระบรมราชา (พรหมา) ลงไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระศรีเชียงใหม่ (สุดตา) เป็นเจ้าเมืองนครพนม[3]

การแบ่งเมืองนครพนม

[]

พระบรมราชา (สุดตา) ไม่ได้เป็นเชื้อสายเจ้าเมืองนครพนม ทำให้เหล่าบุตรหลานของพระบรมราชา (พรหมา) ไม่ให้การยอมรับ[7] เหล่าบุตรหลานของพระบรมราชา (พรหมา) นำโดยท้าวกิ่งหงษา, ท้าวคำสาย และท้าวจุลณีแยกตัวออกไปตั้งมั่นที่บ้านกวนกู่กวนงั่ว บริเวณเดียวกับเมืองมหาชัยกองแก้วในอดีต พระบรมราชา (สุดตา) ขอความช่วยเหลือไปยังเวียงจันทน์และสยาม กองทัพเวียงจันทน์และสยาม รวมถึงกองทัพจากจำปาศักดิ์[7], สุวรรณภูมิ, ร้อยเอ็ด และกาฬสินธุ์มาสมทบกันที่เมืองนครพนม[3] พระยามหาอำมาตย์แม่ทัพสยามพยายามเกลี้ยกล่อมท้าวกิ่งหงษา, ท้าวคำสาย และท้าวจุลณีแต่ไม่สำเร็จ ทำให้ทัพเวียงจันทน์และสยามเข้าตีกวนกู่กวนงั่วและกวาดต้อนผู้คนกลับเมืองนครพนม และพระยามหาอำมาตย์ให้ย้ายเมืองจากบ้านหนองจันทน์มาที่บ้านโพธิ์คำ ต่อมาในปี พ.ศ. 2344 ท้าวกิ่งหงษา, ท้าวคำสาย และท้าวจุลณีรวบรวมกองทัพเข้าตีเมืองนครพนมอีกครั้ง เวียงจันทน์และจำปาศักดิ์ส่งกองทัพเข้าช่วยเหลือพระบรมราชา (สุดตา) ซึ่งจบลงที่การเจรจาโดยฝ่ายเมืองมหาชัยกองแก้วแยกตัวจากเมืองนครพนมไปขึ้นกับเวียงจันทน์[3]และดั่ยเหวียต[note 4][7] ในปี พ.ศ. 2349 เจ้าอนุวงศ์ทรงสนับสนุนราชวงศ์ (มัง) บุตรพระบรมราชา (สุดตา) เป็นเจ้าเมืองนครพนม อุปราช (ศรีวิชัย) น้องชายของพระบรมราชา (พรหมา) เกิดความขัดแย้งกับพระบรมราชา (มัง) จึงนำพาผู้คนอพยพไปยังกรุงเทพฯ ภายหลังได้รับการจัดตั้งเป็นเมืองพนัสนิคม[16]

ดั่ยนามเญิ้ตท้งจี๊ [en] (จื๋อฮ้าน: 大南一統志) เล่มที่ 5 บันทึกเหตุการณ์ว่า เดิมเอิ๊ตญาหลุง (เวียดนาม: Ất Nha Lũng) เป็นเจ้าเมือง ต่อมาเอิ๊ตทัง (เวียดนาม: Ất Thăng) บุตรชายสืบทอดตำแหน่ง เมื่อเอิ๊ตทังตาย ฟานาคี (เวียดนาม: Pha Na Khi) ผู้เป็นบุตรชายถูกงาหัตหมา (เวียดนาม: Nga Hạt Mã) ผู้เป็นบุตรเขยขับไล่ ฟานาคีเข้าสวามิภักดิ์ต่อแม่ทัพลืวเฟื๊อกเตือง (เวียดนาม: Lưu Phước Tương)[note 5] และเข้าถวายบรรณาการในปี พ.ศ. 2347 ต่อมาพระบรมราชา (เวียดนาม: Pha Bô Lam Ma La Xa) ถวายบรรณาการในปี พ.ศ. 2350 และหลังจากนั้นได้ถวายบรรณาการทุก 3 ปี[17]

ภายใต้การปกครองของสยาม

[]

พระบรมราชา (มัง) เข้าร่วมกับเจ้าอนุวงศ์ในสงครามกับสยาม และหลบหนีพร้อมเจ้าอนุวงศ์ไปยังเมืองมหาชัยกองแก้ว[3] กองทัพสยามนำโดยพระยาราชสุภาวดี (สิงห์) เข้าควบคุมเมืองนครพนม[18] ในขณะที่เมืองมหาชัยกองแก้วอยู่ภายใต้การควบคุมของอุปราชเมืองมหาชัยกองแก้วซึ่งสวามิภักดิ์ต่ออาณาจักรเวียดนาม[1] ในปี พ.ศ. 2371 เจ้าอนุวงศ์ทรงนำกำลังเข้าล้อมสังหารฝ่ายสยามในเวียงจันทน์ เป็นเหตุให้แม่ทัพสยามล้อมสังหารคณะทูตเวียดนามที่เมืองนครพนม[1][19] พระบรมราชา (มัง) ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดหลักเบียน (เวียดนาม: Lạc Biên) ปกครองฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และได้รับพระราชทานนามเจวียนเกือง (เวียดนาม: Chuyên Cương)[17][1] สยามแต่งตั้งพระสุนทรราชวงศาฯ (เจ้าฝ่ายบุต) เจ้าเมืองยโสธรให้รักษาราชการเมืองนครพนม ซึ่งแสดงถึงการไม่วางใจต่อกลุ่มผู้ปกครองเดิมของเมืองนครพนม[20] ชาวเมืองนครพนมบางส่วนถูกส่งไปยังแขวงเมืองฉะเชิงเทราและพนัสนิคม ภายหลังได้รับการจัดตั้งเป็นเมืองพนมสารคาม[16]

ในปี พ.ศ. 2376 เวียดนามให้เมืองมหาชัยกองแก้วเตรียมการนำพระบรมราชา (มัง) มาตั้งมั่นที่ท่าแขก[21] ปลายปีเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชโองการให้จัดทัพเข้าโจมตีเวียดนาม[19] กองทัพของพระมหาเทพ (ป้อม) เดินทางมายังเมืองนครพนม พระมหาเทพ (ป้อม) พบว่าไม่สามารถเดินทัพไปยังเหงะอาน [vi]ได้ จึงเปลี่ยนไปเข้าตีเมืองมหาชัยกองแก้วและกลุ่มรัฐเซบั้งเหียง และกวาดต้อนผู้คนส่งไปนครราชสีมา[19] ในปี พ.ศ. 2378 พระมหาเทพ (ป้อม) นำทัพมายังเมืองนครพนมอีกครั้งเพื่อเกลี้ยกล่อมเมืองมหาชัยกองแก้วและเมืองคำเกิด[21] พระพรหมอาสา (จุลณี) เจ้าเมืองมหาชัยกองแก้วหลบหนีสู่เขตแดนเวียดนามและถึงแก่อนิจกรรม[7] อุปราช (คำสาย) และราชวงศ์ (คำ) จึงนำชาวเมืองสวามิภักดิ์ต่อสยาม และได้ตั้งเมืองบริเวณเมืองสกลทวาปี ต่อมาได้รับการจัดตั้งเป็นเมืองสกลนครในปี พ.ศ. 2381[3] ในปีเดียวกัน พระสุนทรราชวงศาเกลี้ยกล่อมให้พระบรมราชา (มัง) กลับมาอยู่ที่เมืองนครพนมได้สำเร็จ จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองนครพนม[3] ราชสำนักเวียดนามแต่งตั้งให้เจียวบง (เวียดนาม: Chiêu Bông) และเฝี่ยส่านน (เวียดนาม: Phìa Xà Nộn) ขุนนางท้องถิ่นเป็นผู้ปกครองจังหวัดหลักเบียนแทน[17]

ในปี พ.ศ. 2384 พระมหาสงครามและเจ้าอุปราช (ติสสะ) นำทัพมาที่เมืองนครพนมเพื่อกวาดต้อนผู้คนจากกลุ่มรัฐเซบั้งเหียงเพิ่มเติม พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ตามใจสมัคร[19] นโยบายการกวาดต้อนผู้คนของสยามหลังจากการปราบปรามเจ้าอนุวงศ์ทำให้มีการจัดตั้งเมืองขึ้นภายใต้เมืองนครพนมจำนวนมาก เช่น เมืองเรณูนคร, เมืองอาทมาต, เมืองรามราช, เมืองอากาศอำนวย, เมืองท่าอุเทน และเมืองไชยบุรี[3][20] ในฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง สยามยังคงอ้างสิทธิ์เหนือเมืองมหาชัยกองแก้วและคำเกิด[22][23] และอาณาจักรดั่ยนามยังคงปกครองจังหวัดหลักเบียนจนถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 25[24]

การผนวกเข้าสู่สยาม

[]

รายพระนามและรายนามเจ้าเมือง

[]

ตารางต่อไปนี้แสดงลำดับเจ้าเมืองนครพนมตามการเผยแพร่ของจังหวัดนครพนมในปี พ.ศ. 2561[3] ข้อมูลก่อนปี พ.ศ. 2370 ยึดตามพงศาวดารเมืองนครพนม สังเขป ข้อมูลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2370 ยึดตามจดหมายเหตุจากหอสมุดแห่งชาติและหอจดหมายเหตุแห่งชาติ และราชกิจจานุเบกษา

ลำดับ ชื่อ เริ่มต้น (พ.ศ.) สิ้นสุด (พ.ศ.) หมายเหตุ
เมืองมรุกขนคร
- พระบรมราชา (เอวก่าน) หลัง 2281 2308 ขึ้นครองเมืองศรีโคตรบูรณ์ในปี พ.ศ. 2281
- พระนครานุรักษ์ (คำสิงห์) 2308 2309
- พระบรมราชา (กุแก้ว) 2309 2321
- พระบรมราชา (พรหมา) 2321 2329
เมืองนครพนม
1 พระบรมราชา (พรหมา) 2329 2340 พงศาวดารเมืองนครพนม สังเขประบุปี พ.ศ. 2337/2338 (จ.ศ. 1156) แต่สงครามพม่าตีเชียงใหม่เกิดปี พ.ศ. 2340
2 พระบรมราชา (สุดตา) 2340 2347
3 พระบรมราชา (อุ่นเมือง) 2348 2348
4 พระบรมราชา (มัง) 2349 2370
ว่างตำแหน่ง 2370–2373
5 พระสุนทรราชวงศาฯ (เจ้าฝ่ายบุต) 2373 2381 ดำรงตำแหน่งผู้รักษาราชการเมือง[21]
2381 2395
6 พระพนมนครานุรักษาธิบดี ศรีโคตรบูรณ์หลวง (จันโท) 2396 2398 ดำรงตำแหน่งว่าที่เจ้าเมือง
2398 3 พฤศจิกายน 2410
7 พระพนมนครานุรักษ์สิทธิศักดิ์เทพฤายศ ทศบุรีศรีโคตรบูรณ์หลวง (อรรคราช) 2411 20 เมษายน 2413 ดำรงตำแหน่งว่าที่เจ้าเมือง
20 เมษายน 2413[25] 31 มีนาคม 2414
8 พระพนมนครานุรักษ์สิทธิศักดิ์เทพฤายศ ทศบุรีศรีโคตรบูรณ์หลวง (เลาคำ) 2415 1 พฤศจิกายน 2423
9 พระพนมนครานุรักษ์สิทธิศักดิ์เทพฤายศ ทศบุรีศรีโคตรบูรณ์หลวง (บุญมาก) 2423 26 กันยายน 2426 ดำรงตำแหน่งว่าที่เจ้าเมือง
26 กันยายน 2426 16 มกราคม 2433
10 ว่าที่ พระยาพนมนครานุรักษ์ฯ (ทองทิพย์) 2433 5 มิถุนายน 2440 ดำรงตำแหน่งว่าที่เจ้าเมือง
11 พระยาพนมนครานุรักษ์มหาสวามิภักดิ์นคราธิบดี (ศรีวิชัย) 2441 12 มกราคม 2443 ราชกิจจานุเบกษาระบุตำแหน่งเป็นว่าที่พระยาพนมนครานุรักษ์ (ยศวิไชย)[26]
ยกเลิกตำแหน่งอาญาสี่ (2443)

การปกครอง

[]

ดูเพิ่ม

[]
  • หัวเมืองลาวอีสาน
  • มณฑลเทศาภิบาล

หมายเหตุ

[]
  1. ปี พ.ศ. 2308 เป็นรอยต่อระหว่างรัชสมัยของเหงียน ฟุก ควาต ผู้สิ้นพระชนม์ในเดือนกรกฎาคม และเหงียน ฟุก ถ่วน [en] ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าญวนใต้องค์ถัดมา
  2. พงศาวดารเมืองนครพนมไม่ได้ระบุว่าถวายต่ออาณาจักรใด
  3. ปี พ.ศ. 2329 เป็นช่วงรอยต่อระหว่างการย้ายเมืองมรุกขนครไปยังเมืองนครพนม อย่างไรก็ตาม เอกสารกวีเหิปเรียกทั้งสองเมืองด้วยชื่อเดียวกันคือเมืองละคอน
  4. ปี พ.ศ. 2344 เป็นช่วงที่เหงียน ฟุก อั๊ญกำลังพิชิตกองกำลังเต็ยเซินในตังเกี๋ย
  5. อาจเป็นบุคคลเดียวกับลืวเฟื๊อกเตือง [vi]

อ้างอิง

[]
  1. Zottoli, Brian A (2011). (PDF) (วิทยานิพนธ์). University of Michigan. pp. 225–226, 362–363, 368. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2024-03-03. สืบค้นเมื่อ 2025-02-28.
  2. นครราชสีมา, จังหวัด (1983), ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดนครราชสีมา, นครราชสีมา: สำนักงานจังหวัดนครราชสีมา, p. 65, สืบค้นเมื่อ 2024-12-01
  3. จันทรสาขา, สุรจิตต์ (1999), "นครพนม, เมือง", สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคอีสาน, กรุงเทพฯ: มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ อ้างใน นครพนม, จังหวัด (2018), (PDF), มหาสารคาม: สำนักงานจังหวัดนครพนม, pp. 9–27, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2022-08-09, สืบค้นเมื่อ 2024-12-01
  4. แสนคำ, ธีระวัฒน์ (2017). [Pak Nam Huang : The Border Leftovers Govern Distribution in Lan Xang with the Historical Development of Muang Pak Huang - Chiang Khan]. มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ปริทัศน์. 4 (2): 18–39. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2025-02-28. สืบค้นเมื่อ 2025-02-28.
  5. เมตตาริกานนท์, ดารารัตน์ (2016), "ปฏิบัติการทางชายแดนของรัฐเวียดนามในยุคสมัยจารีตช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 วิเคราะห์ผ่านเอกสารกุ่ยเหิบ", (PDF), vol. 1, ปัตตานี: ภาควิชาประวัติศาสตร์ และ แผนกวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, pp. 211–213, ISBN 978-616-271-328-6, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2025-02-25, สืบค้นเมื่อ 2025-02-28
  6. Wong, Danny Tze-Ken (2003). (PDF). The Nguyen Lords of Southern Vietnam : their foreign relations, 1558-1776 / Danny Wong Tze-Ken (วิทยานิพนธ์). University of Malaya. pp. 339–340. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2024-03-30. สืบค้นเมื่อ 2025-02-28.
  7. กรมศิลปากร (ผู้รวบรวม) (1941), "พงศาวดารเมืองนครพนม สังเขป" [Phongsawadan Mueang Nakhon Phanom Sangkhep], ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๗๐ [Collection of Historical Archives] (PDF), พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์, pp. 238–243, สืบค้นเมื่อ 2025-02-28
  8. กรมศิลปากร (ผู้รวบรวม) (1941), "ตำนานเมืองนครจำปาศักดิ์" [Tamnan Mueang Nakhon Champasak], ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๗๐ [Collection of Historical Archives] (PDF), พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์, pp. 33–34, สืบค้นเมื่อ 2024-11-10
  9. ศรีสำอาง, สุรศักดิ์ (2002), ลำดับกษัตริย์ลาว (2nd ed.), กรุงเทพฯ: สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ กรมศิลปากร, pp. 234, 245, สืบค้นเมื่อ 2025-03-22
  10. แก้วคำ, ฉลองรัตน์. "รายงานการประชุมคณะกรมการจังหวัดนครพนม ครั้งที่ ๕/๒๕๖๖ เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๖ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องประชุมพระธาตุพนม ชั้น ๕ ศาลากลางจังหวัดนครพนม (หลังใหม่)" (PDF). จังหวัดนครพนม. pp. 35–37. สืบค้นเมื่อ 2025-03-22.[ลิงก์เสีย]
  11. สำนักหอสมุดแห่งชาติ, สำเนาศุภอักษรเมืองเวียงจันมีมาว่าด้วยการเมืองเวียงจัน จ.ศ. 1144, ห.จ.ช.1/12 เลขที่ 7/ก อ้างใน เว้าพื้นประวัติศาสตร์ (19 April 2024). "รัฐประหารพระเจ้าตากสิน : กับปฏิกิริยาหัวเมืองลาวฝ่ายเวียงจันทน์". Facebook. สืบค้นเมื่อ 2025-03-22.{{cite web}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  12. นครพนม, จังหวัด (1986), ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดนครพนม, นครพนม: องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม, p. 33, สืบค้นเมื่อ 2024-12-01
  13. กรรพฤทธิ์, สุเจน (2017). [VIETNAMESE-SIAMESE RELATIONS IN THE EARLY NGUYEN DYNASTY RECORDS FROM THE LATE 18th CENTURY TO THE EARLY 19th CENTURY] (วิทยานิพนธ์). จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. pp. 93–98, 100–102. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-04-19. สืบค้นเมื่อ 2025-03-22.
  14. ทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา; ดำรงราชานุภาพ, พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวง, บ.ก. (1901), พระราชพงษาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ [Royal Chronicle of the Kingdom of Rattanakosin: First Reign] (PDF), กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ, pp. 178–180, สืบค้นเมื่อ 2025-03-22
  15. โบราณคดีสโมสร (ผู้รวบรวม) (1916), พระราชวิจารณ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วยเรื่องจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี [A Commentary of Phrabat Somdet Phra Chunlachomklao Chaoyuhua Regarding the Records of the Memory of Krommaluang Narinthewi] (PDF) (2nd ed.), พระนคร: โรงพิมพ์ไทย, pp. 397–402, สืบค้นเมื่อ 2025-03-22
  16. แซ่อึ๊ง, ปรารถนา (2013). (PDF). การตั้งถิ่นฐานและพัฒนาการของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในภาคตะวันออก : พลวัตในบริบทสังคมไทย (วิทยานิพนธ์). คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา. pp. 29–31, 45–51. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2025-04-29. สืบค้นเมื่อ 2025-04-29.
  17. Quốc sử quán triều Nguyễn (2006), Đào, Duy Anh (บ.ก.), (PDF) (ภาษาเวียดนาม), แปลโดย Phạm, Trọng Điềm, Huế: Nhà xuất bản Thuận Hóa, pp. 163–165, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2025-04-25, สืบค้นเมื่อ 2025-04-25
  18. หอสมุดแห่งชาติ (1987), จดหมายเหตุ รัชกาลที่ ๓ เล่ม ๓ (PDF), กรุงเทพฯ: สหประชาพาณิชย์, p. 135, ISBN 974-7912-02-3, สืบค้นเมื่อ 2025-04-27
  19. ทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา (1934), พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชชกาลที่ ๓ [Royal Chronicle of the Kingdom of Rattanakosin: Third Reign] (PDF), พระนคร: โรงพิมพ์ศรีหงส์, pp. 83–84, 127–128, 140–141, 232, 247–248, 276–278, สืบค้นเมื่อ 2025-04-27
  20. ชมภูนุช, ภูริภูมิ (2006). [THE DEVELOPMENT OF "MUANGS" IN THE SAKON NAKHON BASIN BETWEEN A.D.1828 AND 1893] (PDF) (วิทยานิพนธ์). มหาวิทยาลัยศิลปากร. pp. 51–67, 87–89. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2024-04-22. สืบค้นเมื่อ 2025-04-27.
  21. กรมศิลปากร (ผู้รวบรวม) (1938), "จดหมายเหตุเกี่ยวกับเขมรและญวนในรัชกาลที่ ๓ ตอนที่ ๑" [Chotmaihet Kiaokap Khamen Lae Yuan Nai Ratchakan Thi Sam Ton Thi Nueng], ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๗ [Collection of Historical Archives] (PDF), พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์, pp. 14–18, 87–88, สืบค้นเมื่อ 2025-04-30
  22. ลือขจรชัย, ฐนพงศ์ (2022). (PDF) (วิทยานิพนธ์). มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. pp. 175–176. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2024-08-01. สืบค้นเมื่อ 2025-04-30.
  23. วิภาคย์พจนกิจ, เติม (2003), (PDF) (4th ed.), กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, p. 310, ISBN 974-571-854-8, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2024-06-09, สืบค้นเมื่อ 2025-04-30
  24. Quốc sử quán triều Nguyễn; Viện sử học (2007), (PDF), ĐẠI NAM THỰC LỤC Tập Bảy (PDF) (ภาษาเวียดนาม), Hanoi: Nhà xuất bản giáo dục, p. 819, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2024-08-12, สืบค้นเมื่อ 2025-04-30
  25. กองหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร (1978), การแต่งตั้งขุนนางไทยในสมัยรัชกาลที่ ๕, กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์การศาสนา, p. 18, สืบค้นเมื่อ 2025-05-02
  26. "ข่าวตายหัวเมือง" (PDF), ราชกิจจานุเบกษา, vol. 16, 25 March 1900, p. 718, สืบค้นเมื่อ 2025-05-02

แหล่งข้อมูลอื่น

[]

วิกิพีเดีย, วิกิ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, มือถือ, โทรศัพท์, แอนดรอยด์, ไอโอเอส, แอปเปิ้ล, สมาร์ทโฟน, พีซี, เว็บ, คอมพิวเตอร์, ข้อมูลเกี่ยวกับ เมืองนครพนม, เมืองนครพนม คืออะไร? เมืองนครพนม หมายความว่าอะไร?

0 ตอบกลับ

ฝากคำตอบ

ต้องการเข้าร่วมการสนทนาหรือไม่?
คุณสามารถร่วมเขียนได้!

เขียนคำตอบ

ช่องที่จำเป็นถูกทำเครื่องหมายด้วยดาว *