เมืองนครพนม
| นครพนม | |||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| พ.ศ. 2329 – พ.ศ. 2443 | |||||||||||||
| เมืองหลวง |
| ||||||||||||
| การปกครอง | |||||||||||||
| • ประเภท | อาญาสี่ | ||||||||||||
| เจ้าเมือง | |||||||||||||
• พ.ศ. 2329–2338 | พระบรมราชา (พรหมา) | ||||||||||||
• พ.ศ. 2349–2370 | พระบรมราชา (มัง) | ||||||||||||
• พ.ศ. 2373–2395 | พระสุนทรราชวงศา | ||||||||||||
| ประวัติศาสตร์ | |||||||||||||
• ตั้งเมืองมรุกขนครที่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง | หลัง พ.ศ. 2281 | ||||||||||||
• เปลี่ยนนามเมืองเป็นนครพนม | พ.ศ. 2329 | ||||||||||||
• ยกเลิกตำแหน่งอาญาสี่ | พ.ศ. 2443 | ||||||||||||
| |||||||||||||
เมืองนครพนม หรือ เมืองละคอน (เวียดนาม: Lạc Hoàn,เวียดนาม: Lạc Hòn[1]) เป็นหัวเมืองฝั่งขวาแม่น้ำโขงภายใต้ปริมณฑลแห่งอำนาจของอาณาจักรรัตนโกสินทร์ และได้รับการยกฐานะเป็นประเทศราชในบางช่วงเวลา[2] ภายหลังถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลอุดรของสยาม
ประวัติศาสตร์
[]การสร้างเมืองมรุกขนคร
[]ดินแดนสองฝั่งแม่น้ำโขงบริเวณเมืองนครพนมเคยเป็นที่ตั้งของอาณาจักรโคตรบูร เมื่ออาณาจักรล้านช้างมีอำนาจเหนือบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง อาณาจักรโคตรบูรจึงถูกผนวกเป็นเมืองศรีโคตรบูรณ์ในฐานะเมืองลูกหลวงของอาณาจักรล้านช้าง[3] เมืองศรีโคตรบูรณ์ถูกเจ้าญวนใต้ตระกูลเหงียนปราบปรามในสงครามระหว่างปี พ.ศ. 2164–2166 ทำให้เมืองศรีโคตรบูรณ์ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเจ้าญวนใต้ตระกูลเหงียนด้วยอีกทางหนึ่ง[1] ในปี พ.ศ. 2246 อาณาจักรล้านช้างถูกแบ่งแยกเป็นอาณาจักรหลวงพระบางและอาณาจักรเวียงจันทน์โดยมีการตกลงแบ่งเขตแดนบริเวณปากน้ำเหือง[4] ทำให้เมืองศรีโคตรบูรณ์ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรเวียงจันทน์
ต่อมาบริเวณที่ตั้งเมืองที่ริมน้ำหินบูรณ์ได้ถูกน้ำเซาะตลิ่งโขงพังทลายลง พระบรมราชา (เอวก่าน) เจ้าเมืองศรีโคตรบูรณ์จึงได้ย้ายเมืองลงไปทางตอนใต้ฝั่งขวาของแม่น้ำโขงบริเวณที่เป็นดงไม้รวก ซึ่งในสมัยโบราณเชื่อว่ามีความอุดมสมบูรณ์ แล้วเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "มรุกขนคร" ซึ่งหมายถึง ดงไม้รวก[ต้องการอ้างอิง]
เมืองมรุกขนครภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรเวียงจันทน์และอาณาจักรดั่ยเหวียต
[]ในปลายพุทธศตวรรษที่ 23 เจ้าญวนเหนือตระกูลจิ่ญขยายอิทธิพลสู่ที่ราบสูงเชียงขวางและลุ่มน้ำโขงแทนที่เจ้าญวนใต้ตระกูลเหงียน เอกสารกวีเหิป (เวียดนาม: Tư liệu Quy Hợp) ระบุว่า เมืองมรุกขนครได้นำช้าง 2 ตัวมาถวายเป็นเครื่องราชบรรณาการที่ด่านกวีเหิปในปี พ.ศ. 2296[5][1] เมืองมรุกขนครถวายบรรณาการอีกครั้งในปี พ.ศ. 2302[5][1] และ พ.ศ. 2319[5] ทว่าอิทธิพลของเจ้าญวนใต้ตระกูลเหงียนมิได้หมดไปจากอาณาจักรเวียงจันทน์อย่างสิ้นเชิง ดั่ยนามถึกหลุก (จื๋อฮ้าน: 大南寔錄) ส่วนเตี่ยนเบียน (จื๋อฮ้าน: 前編) เล่มที่ 10 ระบุว่า อาณาจักรเวียงจันทน์ได้ถวายบรรณาการต่อเจ้าญวนใต้เหงียน ฟุก ควาตในปี พ.ศ. 2304[6]
เมื่อพระบรมราชา (เอวก่าน) ถึงแก่อนิจกรรมในปี พ.ศ. 2308 ได้เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างพระนครานุรักษ์ (คำสิงห์) บุตรเขยของพระบรมราชา (เอวก่าน) ซึ่งพระไชยเชษฐาธิราชที่ 2 ทรงแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองลำดับถัดมา และท้าวกุแก้ว บุตรของพระบรมราชา (เอวก่าน) ซึ่งแยกตัวออกไปตั้งเมืองใหม่ชื่อว่า "เมืองมหาชัยกองแก้ว" พระนครานุรักษ์ (คำสิงห์) ขอให้เวียงจันทน์ส่งกองทัพมาช่วยปราบปราม แต่ปราบไม่สำเร็จ พระนครานุรักษ์ (คำสิงห์) จึงนำเครื่องราชบรรณาการไปถวายต่อเจ้าญวนใต้[note 1]ที่เมืองฟู้ซวนเพื่อขอกองทัพมาช่วยเหลือ กองทัพเจ้าญวนใต้มาถึงเมืองคำเกิดในระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม[7] ท้าวกุแก้วทราบข่าวจึงเดินทางไปยังเมืองคำเกิดและแอบอ้างเป็นกรมการเมืองจากเมืองมรุกขนคร กองทัพเจ้าญวนใต้หลงเชื่อจึงร่วมกับฝ่ายเมืองมหาชัยกองแก้วตีเมืองมรุกขนครแตก พระนครานุรักษ์ (คำสิงห์) อพยพชาวเมืองมาตั้งอยู่ที่ฝั่งขวาแม่น้ำโขง
พระนครานุรักษ์ (คำสิงห์) ได้ขอความช่วยเหลือจากเวียงจันทน์อีกครั้ง กองทัพเวียงจันทน์และมรุกขนครเข้าปะทะกับกองทัพเจ้าญวนใต้ในหาดทรายแห่งหนึ่งกลางแม่น้ำโขง ฝ่ายเวียงจันทน์และมรุกขนครได้รับชัยชนะ พระยาเชียงสาแม่ทัพเวียงจันทน์ได้ทำการประนีประนอมโดยขอให้ฝ่ายพระนครานุรักษ์ (คำสิงห์) ไปตั้งเมืองใหม่ที่บ้านเวินทรายใกล้กับเมืองเวียงจันทน์ และให้ท้าวกุแก้วขึ้นเป็นพระบรมราชา (กุแก้ว) เจ้าเมืองมรุกขนครแทน แต่ให้ย้ายเมืองมาตั้งอยู่ฝั่งขวาแม่น้ำโขงในปี พ.ศ. 2309[3]
การเข้าสู่ปริมณฑลแห่งอำนาจของสยาม
[]ในปี พ.ศ. 2321 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมีพระราชโองการให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกและเจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) นำทัพไปตีเมืองเวียงจันทน์ เพื่อตอบโต้กรณีที่เจ้าพระวอถูกสังหารโดยฝ่ายเวียงจันทน์ เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) นำกองทัพสยามขึ้นไปตามแม่น้ำโขงเพื่อตีเมืองต่างๆ ตั้งแต่จำปาศักดิ์ไปจนถึงเวียงจันทน์ ซึ่งรวมถึงเมืองมรุกขนคร[8] พงศาวดารย่อเมืองเวียงจันทน์ระบุว่า "ศักราชได้ 140 ทัดปีเส็ด (จอ) เจ้าพระวอ และเมืองลครแตก เดือน 4 ขึ้น 14 ค่ำ วันจันทร์"[9] ซึ่งตรงกับวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2322 พระบรมราชา (กุแก้ว) หลบหนีไปอยู่ที่เมืองคำเกิดและคำม่วนเป็นเวลา 5–6 เดือน ก่อนจะกลับมาที่เมืองมรุกขนครและสวามิภักดิ์ต่อสยาม[3] เมืองมรุกขนครจึงตกอยู่ภายใต้ปริมณฑลแห่งอำนาจของอาณาจักรธนบุรี สยามให้เวียงจันทน์มีอำนาจปกครองเหนือเมืองมรุกขนคร[10][11] และเมืองมรุกขนครได้ถวายดอกไม้ทองเงินในปี พ.ศ. 2323[7][note 2] ต่อมาในปี พ.ศ. 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จขึ้นครองราชย์ พระเจ้านันทเสนได้ทรงนัดแนะกับเมืองมรุกขนครและหัวเมืองต่างๆ ให้ลงไปถวายเครื่องราชบรรณาการพร้อมกัน[10][11] เมืองนครพนมจึงเข้าสู่ปริมณฑลแห่งอำนาจของอาณาจักรรัตนโกสินทร์ วันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2325 ซึ่งปรากฏในศุภอักษรของพระเจ้านันทเสนได้รับการเสนอให้เป็นวันสถาปนาเมืองนครพนม[10]
การสร้างเมืองนครพนม
[]ปี พ.ศ. 2329 พระบรมราชา เจ้าเมืองมรุกขนครได้เห็นว่าการที่เมืองมรุกขนครตั้งอยู่ที่บ้านธาตุน้อยศรีบุญเรือง ริมห้วยบังฮวกมาเป็นเวลาถึง 20 ปีแล้วนั้น ถูกน้ำเซาะตลิ่งโขงพังและบ้านเรือนราษฎรเสียหาย จึงได้ย้ายเมืองขึ้นไปตั้งทางเหนือตามลำแม่น้ำโขงที่บ้านหนองจันทน์ ห่างจากจังหวัดนครพนมไปทางใต้ประมาณ 3 กิโลเมตร ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามเมืองเมือง จาก "เมืองมรุกขนคร" เป็น "เมืองนครพนม"[3]
ชื่อนครพนมนั้นมีข้อสันนิษฐาน 2 ประการ คือ คำว่า "นคร" อาจหมายถึง เมืองที่เคยเป็นเมืองลูกหลวงมาก่อนและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ หรืออาจเป็นการดำรงชื่อเมืองเมืองมรุกขนครไว้[12] คำว่า "พนม" อาจมาจากพระธาตุพนม ปูชนียสถานที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองมาช้านาน หรืออาจหมายถึงภูเขา เนื่องจากมีอาณาเขตกินไปถึงดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงซึ่งมีภูเขาสลับซับซ้อน[12]
ความขัดแย้งระหว่างราชวงศ์เต็ยเซินและสยาม
[]ฝ่ายอาณาจักรดั่ยเหวียตยังคงถือว่าเมืองนครพนมเป็นรัฐบรรณาการของตน โดยมีเอกสารแจ้งให้พระบรมราชา (พรหมา) ถวายบรรณาการในปี พ.ศ. 2329[5][note 3] ในปีเดียวกัน ราชวงศ์เต็ยเซินสามารถยึดครองอาณาจักรดั่ยเหวียตทั้งหมดได้สำเร็จ หลงเหลือเพียงเหงียน ฟุก อั๊ญซึ่งลี้ภัยไปยังสยาม ในขณะที่สยามสนับสนุนเหงียน ฟุก อั๊ญในการชิงดินแดนปากแม่น้ำโขงจากราชวงศ์เต็ยเซิน พระเจ้านันทเสนแห่งเวียงจันทน์ได้ทรงเปิดแนวรบที่สองใกล้เวียดนามตอนกลาง[13] ราชวงศ์เต็ยเซินสามารถตีเมืองนครพนมแตกในปี พ.ศ. 2334 แต่พ่ายแพ้ต่อพระเจ้านันทเสนที่เมืองพวน[9]จักรพรรดิกวาง จุงทรงส่งพระราชสาส์นมายังกรุงเทพมหานครในวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2337[14] โดยระบุว่า เมืองนครพนมขึ้นแก่อาณาจักรดั่ยเหวียต พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงตอบว่า สยามไม่ห้ามปรามหากนั่นเป็นโบราณประเพณีของหัวเมืองลาว[15]
อย่างไรก็ตาม อาณาจักรเวียงจันทน์มีการติดต่อทางการทูตกับราชวงศ์เต็ยเซินด้วยเช่นกัน ซึ่งอาจเป็นเบาะแสถึงแผนการในการต่อต้านสยาม[13] ในปี พ.ศ. 2337 พระเจ้านันทเสนและพระบรมราชา (พรหมา) ได้ถูกกล่าวหาว่าร่วมกันคบคิดเป็นกบฏ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดให้ลงมาแก้คดีที่กรุงเทพฯ ซึ่งพระเจ้านันทเสนและพระบรมราชา (พรหมา) แพ้คดี พระบรมราชา (พรหมา) ถูกลงอาญาเฆี่ยน 100 ทีและถูกภาคทัณฑ์ไว้ ในปี พ.ศ. 2340 ได้เกิดศึกพม่าทางเมืองเชียงใหม่ พระบรมราชา (พรหมา) ได้อาสาไปออกศึกในครั้งนี้ด้วย แต่พระบรมราชา (พรหมา) ได้บริโภคผักหวานเบื่อจนถึงแก่อนิจกรรมที่เมืองเถิน เจ้าอินทวงศ์ทรงนำพระศรีเชียงใหม่ (สุดตา) ซึ่งเป็นพี่ภรรยาของพระบรมราชา (พรหมา) ลงไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระศรีเชียงใหม่ (สุดตา) เป็นเจ้าเมืองนครพนม[3]
การแบ่งเมืองนครพนม
[]พระบรมราชา (สุดตา) ไม่ได้เป็นเชื้อสายเจ้าเมืองนครพนม ทำให้เหล่าบุตรหลานของพระบรมราชา (พรหมา) ไม่ให้การยอมรับ[7] เหล่าบุตรหลานของพระบรมราชา (พรหมา) นำโดยท้าวกิ่งหงษา, ท้าวคำสาย และท้าวจุลณีแยกตัวออกไปตั้งมั่นที่บ้านกวนกู่กวนงั่ว บริเวณเดียวกับเมืองมหาชัยกองแก้วในอดีต พระบรมราชา (สุดตา) ขอความช่วยเหลือไปยังเวียงจันทน์และสยาม กองทัพเวียงจันทน์และสยาม รวมถึงกองทัพจากจำปาศักดิ์[7], สุวรรณภูมิ, ร้อยเอ็ด และกาฬสินธุ์มาสมทบกันที่เมืองนครพนม[3] พระยามหาอำมาตย์แม่ทัพสยามพยายามเกลี้ยกล่อมท้าวกิ่งหงษา, ท้าวคำสาย และท้าวจุลณีแต่ไม่สำเร็จ ทำให้ทัพเวียงจันทน์และสยามเข้าตีกวนกู่กวนงั่วและกวาดต้อนผู้คนกลับเมืองนครพนม และพระยามหาอำมาตย์ให้ย้ายเมืองจากบ้านหนองจันทน์มาที่บ้านโพธิ์คำ ต่อมาในปี พ.ศ. 2344 ท้าวกิ่งหงษา, ท้าวคำสาย และท้าวจุลณีรวบรวมกองทัพเข้าตีเมืองนครพนมอีกครั้ง เวียงจันทน์และจำปาศักดิ์ส่งกองทัพเข้าช่วยเหลือพระบรมราชา (สุดตา) ซึ่งจบลงที่การเจรจาโดยฝ่ายเมืองมหาชัยกองแก้วแยกตัวจากเมืองนครพนมไปขึ้นกับเวียงจันทน์[3]และดั่ยเหวียต[note 4][7] ในปี พ.ศ. 2349 เจ้าอนุวงศ์ทรงสนับสนุนราชวงศ์ (มัง) บุตรพระบรมราชา (สุดตา) เป็นเจ้าเมืองนครพนม อุปราช (ศรีวิชัย) น้องชายของพระบรมราชา (พรหมา) เกิดความขัดแย้งกับพระบรมราชา (มัง) จึงนำพาผู้คนอพยพไปยังกรุงเทพฯ ภายหลังได้รับการจัดตั้งเป็นเมืองพนัสนิคม[16]
ดั่ยนามเญิ้ตท้งจี๊ (จื๋อฮ้าน: 大南一統志) เล่มที่ 5 บันทึกเหตุการณ์ว่า เดิมเอิ๊ตญาหลุง (เวียดนาม: Ất Nha Lũng) เป็นเจ้าเมือง ต่อมาเอิ๊ตทัง (เวียดนาม: Ất Thăng) บุตรชายสืบทอดตำแหน่ง เมื่อเอิ๊ตทังตาย ฟานาคี (เวียดนาม: Pha Na Khi) ผู้เป็นบุตรชายถูกงาหัตหมา (เวียดนาม: Nga Hạt Mã) ผู้เป็นบุตรเขยขับไล่ ฟานาคีเข้าสวามิภักดิ์ต่อแม่ทัพลืวเฟื๊อกเตือง (เวียดนาม: Lưu Phước Tương)[note 5] และเข้าถวายบรรณาการในปี พ.ศ. 2347 ต่อมาพระบรมราชา (เวียดนาม: Pha Bô Lam Ma La Xa) ถวายบรรณาการในปี พ.ศ. 2350 และหลังจากนั้นได้ถวายบรรณาการทุก 3 ปี[17]
ภายใต้การปกครองของสยาม
[]พระบรมราชา (มัง) เข้าร่วมกับเจ้าอนุวงศ์ในสงครามกับสยาม และหลบหนีพร้อมเจ้าอนุวงศ์ไปยังเมืองมหาชัยกองแก้ว[3] กองทัพสยามนำโดยพระยาราชสุภาวดี (สิงห์) เข้าควบคุมเมืองนครพนม[18] ในขณะที่เมืองมหาชัยกองแก้วอยู่ภายใต้การควบคุมของอุปราชเมืองมหาชัยกองแก้วซึ่งสวามิภักดิ์ต่ออาณาจักรเวียดนาม[1] ในปี พ.ศ. 2371 เจ้าอนุวงศ์ทรงนำกำลังเข้าล้อมสังหารฝ่ายสยามในเวียงจันทน์ เป็นเหตุให้แม่ทัพสยามล้อมสังหารคณะทูตเวียดนามที่เมืองนครพนม[1][19] พระบรมราชา (มัง) ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดหลักเบียน (เวียดนาม: Lạc Biên) ปกครองฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และได้รับพระราชทานนามเจวียนเกือง (เวียดนาม: Chuyên Cương)[17][1] สยามแต่งตั้งพระสุนทรราชวงศาฯ (เจ้าฝ่ายบุต) เจ้าเมืองยโสธรให้รักษาราชการเมืองนครพนม ซึ่งแสดงถึงการไม่วางใจต่อกลุ่มผู้ปกครองเดิมของเมืองนครพนม[20] ชาวเมืองนครพนมบางส่วนถูกส่งไปยังแขวงเมืองฉะเชิงเทราและพนัสนิคม ภายหลังได้รับการจัดตั้งเป็นเมืองพนมสารคาม[16]
ในปี พ.ศ. 2376 เวียดนามให้เมืองมหาชัยกองแก้วเตรียมการนำพระบรมราชา (มัง) มาตั้งมั่นที่ท่าแขก[21] ปลายปีเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชโองการให้จัดทัพเข้าโจมตีเวียดนาม[19] กองทัพของพระมหาเทพ (ป้อม) เดินทางมายังเมืองนครพนม พระมหาเทพ (ป้อม) พบว่าไม่สามารถเดินทัพไปยังเหงะอานได้ จึงเปลี่ยนไปเข้าตีเมืองมหาชัยกองแก้วและกลุ่มรัฐเซบั้งเหียง และกวาดต้อนผู้คนส่งไปนครราชสีมา[19] ในปี พ.ศ. 2378 พระมหาเทพ (ป้อม) นำทัพมายังเมืองนครพนมอีกครั้งเพื่อเกลี้ยกล่อมเมืองมหาชัยกองแก้วและเมืองคำเกิด[21] พระพรหมอาสา (จุลณี) เจ้าเมืองมหาชัยกองแก้วหลบหนีสู่เขตแดนเวียดนามและถึงแก่อนิจกรรม[7] อุปราช (คำสาย) และราชวงศ์ (คำ) จึงนำชาวเมืองสวามิภักดิ์ต่อสยาม และได้ตั้งเมืองบริเวณเมืองสกลทวาปี ต่อมาได้รับการจัดตั้งเป็นเมืองสกลนครในปี พ.ศ. 2381[3] ในปีเดียวกัน พระสุนทรราชวงศาเกลี้ยกล่อมให้พระบรมราชา (มัง) กลับมาอยู่ที่เมืองนครพนมได้สำเร็จ จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองนครพนม[3] ราชสำนักเวียดนามแต่งตั้งให้เจียวบง (เวียดนาม: Chiêu Bông) และเฝี่ยส่านน (เวียดนาม: Phìa Xà Nộn) ขุนนางท้องถิ่นเป็นผู้ปกครองจังหวัดหลักเบียนแทน[17]
ในปี พ.ศ. 2384 พระมหาสงครามและเจ้าอุปราช (ติสสะ) นำทัพมาที่เมืองนครพนมเพื่อกวาดต้อนผู้คนจากกลุ่มรัฐเซบั้งเหียงเพิ่มเติม พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ตามใจสมัคร[19] นโยบายการกวาดต้อนผู้คนของสยามหลังจากการปราบปรามเจ้าอนุวงศ์ทำให้มีการจัดตั้งเมืองขึ้นภายใต้เมืองนครพนมจำนวนมาก เช่น เมืองเรณูนคร, เมืองอาทมาต, เมืองรามราช, เมืองอากาศอำนวย, เมืองท่าอุเทน และเมืองไชยบุรี[3][20] ในฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง สยามยังคงอ้างสิทธิ์เหนือเมืองมหาชัยกองแก้วและคำเกิด[22][23] และอาณาจักรดั่ยนามยังคงปกครองจังหวัดหลักเบียนจนถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 25[24]
การผนวกเข้าสู่สยาม
[]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ (พฤษภาคม 2025) |
รายพระนามและรายนามเจ้าเมือง
[]ตารางต่อไปนี้แสดงลำดับเจ้าเมืองนครพนมตามการเผยแพร่ของจังหวัดนครพนมในปี พ.ศ. 2561[3] ข้อมูลก่อนปี พ.ศ. 2370 ยึดตามพงศาวดารเมืองนครพนม สังเขป ข้อมูลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2370 ยึดตามจดหมายเหตุจากหอสมุดแห่งชาติและหอจดหมายเหตุแห่งชาติ และราชกิจจานุเบกษา
| ลำดับ | ชื่อ | เริ่มต้น (พ.ศ.) | สิ้นสุด (พ.ศ.) | หมายเหตุ |
|---|---|---|---|---|
| เมืองมรุกขนคร | ||||
| - | พระบรมราชา (เอวก่าน) | หลัง 2281 | 2308 | ขึ้นครองเมืองศรีโคตรบูรณ์ในปี พ.ศ. 2281 |
| - | พระนครานุรักษ์ (คำสิงห์) | 2308 | 2309 | |
| - | พระบรมราชา (กุแก้ว) | 2309 | 2321 | |
| - | พระบรมราชา (พรหมา) | 2321 | 2329 | |
| เมืองนครพนม | ||||
| 1 | พระบรมราชา (พรหมา) | 2329 | 2340 | พงศาวดารเมืองนครพนม สังเขประบุปี พ.ศ. 2337/2338 (จ.ศ. 1156) แต่สงครามพม่าตีเชียงใหม่เกิดปี พ.ศ. 2340 |
| 2 | พระบรมราชา (สุดตา) | 2340 | 2347 | |
| 3 | พระบรมราชา (อุ่นเมือง) | 2348 | 2348 | |
| 4 | พระบรมราชา (มัง) | 2349 | 2370 | |
| ว่างตำแหน่ง 2370–2373 | ||||
| 5 | พระสุนทรราชวงศาฯ (เจ้าฝ่ายบุต) | 2373 | 2381 | ดำรงตำแหน่งผู้รักษาราชการเมือง[21] |
| 2381 | 2395 | |||
| 6 | พระพนมนครานุรักษาธิบดี ศรีโคตรบูรณ์หลวง (จันโท) | 2396 | 2398 | ดำรงตำแหน่งว่าที่เจ้าเมือง |
| 2398 | 3 พฤศจิกายน 2410 | |||
| 7 | พระพนมนครานุรักษ์สิทธิศักดิ์เทพฤายศ ทศบุรีศรีโคตรบูรณ์หลวง (อรรคราช) | 2411 | 20 เมษายน 2413 | ดำรงตำแหน่งว่าที่เจ้าเมือง |
| 20 เมษายน 2413[25] | 31 มีนาคม 2414 | |||
| 8 | พระพนมนครานุรักษ์สิทธิศักดิ์เทพฤายศ ทศบุรีศรีโคตรบูรณ์หลวง (เลาคำ) | 2415 | 1 พฤศจิกายน 2423 | |
| 9 | พระพนมนครานุรักษ์สิทธิศักดิ์เทพฤายศ ทศบุรีศรีโคตรบูรณ์หลวง (บุญมาก) | 2423 | 26 กันยายน 2426 | ดำรงตำแหน่งว่าที่เจ้าเมือง |
| 26 กันยายน 2426 | 16 มกราคม 2433 | |||
| 10 | ว่าที่ พระยาพนมนครานุรักษ์ฯ (ทองทิพย์) | 2433 | 5 มิถุนายน 2440 | ดำรงตำแหน่งว่าที่เจ้าเมือง |
| 11 | พระยาพนมนครานุรักษ์มหาสวามิภักดิ์นคราธิบดี (ศรีวิชัย) | 2441 | 12 มกราคม 2443 | ราชกิจจานุเบกษาระบุตำแหน่งเป็นว่าที่พระยาพนมนครานุรักษ์ (ยศวิไชย)[26] |
| ยกเลิกตำแหน่งอาญาสี่ (2443) | ||||
การปกครอง
[]ดูเพิ่ม
[]- หัวเมืองลาวอีสาน
- มณฑลเทศาภิบาล
หมายเหตุ
[]- ปี พ.ศ. 2308 เป็นรอยต่อระหว่างรัชสมัยของเหงียน ฟุก ควาต ผู้สิ้นพระชนม์ในเดือนกรกฎาคม และเหงียน ฟุก ถ่วน ผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าญวนใต้องค์ถัดมา
- พงศาวดารเมืองนครพนมไม่ได้ระบุว่าถวายต่ออาณาจักรใด
- ปี พ.ศ. 2329 เป็นช่วงรอยต่อระหว่างการย้ายเมืองมรุกขนครไปยังเมืองนครพนม อย่างไรก็ตาม เอกสารกวีเหิปเรียกทั้งสองเมืองด้วยชื่อเดียวกันคือเมืองละคอน
- ปี พ.ศ. 2344 เป็นช่วงที่เหงียน ฟุก อั๊ญกำลังพิชิตกองกำลังเต็ยเซินในตังเกี๋ย
- อาจเป็นบุคคลเดียวกับลืวเฟื๊อกเตือง
อ้างอิง
[]- Zottoli, Brian A (2011). (PDF) (วิทยานิพนธ์). University of Michigan. pp. 225–226, 362–363, 368. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2024-03-03. สืบค้นเมื่อ 2025-02-28.
- นครราชสีมา, จังหวัด (1983), ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดนครราชสีมา, นครราชสีมา: สำนักงานจังหวัดนครราชสีมา, p. 65, สืบค้นเมื่อ 2024-12-01
- จันทรสาขา, สุรจิตต์ (1999), "นครพนม, เมือง", สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคอีสาน, กรุงเทพฯ: มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ อ้างใน นครพนม, จังหวัด (2018), (PDF), มหาสารคาม: สำนักงานจังหวัดนครพนม, pp. 9–27, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2022-08-09, สืบค้นเมื่อ 2024-12-01
- แสนคำ, ธีระวัฒน์ (2017). [Pak Nam Huang : The Border Leftovers Govern Distribution in Lan Xang with the Historical Development of Muang Pak Huang - Chiang Khan]. มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ปริทัศน์. 4 (2): 18–39. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2025-02-28. สืบค้นเมื่อ 2025-02-28.
- เมตตาริกานนท์, ดารารัตน์ (2016), "ปฏิบัติการทางชายแดนของรัฐเวียดนามในยุคสมัยจารีตช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 วิเคราะห์ผ่านเอกสารกุ่ยเหิบ", (PDF), vol. 1, ปัตตานี: ภาควิชาประวัติศาสตร์ และ แผนกวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, pp. 211–213, ISBN 978-616-271-328-6, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2025-02-25, สืบค้นเมื่อ 2025-02-28
- Wong, Danny Tze-Ken (2003). (PDF). The Nguyen Lords of Southern Vietnam : their foreign relations, 1558-1776 / Danny Wong Tze-Ken (วิทยานิพนธ์). University of Malaya. pp. 339–340. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2024-03-30. สืบค้นเมื่อ 2025-02-28.
- กรมศิลปากร (ผู้รวบรวม) (1941), "พงศาวดารเมืองนครพนม สังเขป" [Phongsawadan Mueang Nakhon Phanom Sangkhep], ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๗๐ [Collection of Historical Archives] (PDF), พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์, pp. 238–243, สืบค้นเมื่อ 2025-02-28
- กรมศิลปากร (ผู้รวบรวม) (1941), "ตำนานเมืองนครจำปาศักดิ์" [Tamnan Mueang Nakhon Champasak], ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๗๐ [Collection of Historical Archives] (PDF), พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์, pp. 33–34, สืบค้นเมื่อ 2024-11-10
- ศรีสำอาง, สุรศักดิ์ (2002), ลำดับกษัตริย์ลาว (2nd ed.), กรุงเทพฯ: สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ กรมศิลปากร, pp. 234, 245, สืบค้นเมื่อ 2025-03-22
- แก้วคำ, ฉลองรัตน์. "รายงานการประชุมคณะกรมการจังหวัดนครพนม ครั้งที่ ๕/๒๕๖๖ เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๖ เวลา ๐๙.๓๐ น. ณ ห้องประชุมพระธาตุพนม ชั้น ๕ ศาลากลางจังหวัดนครพนม (หลังใหม่)" (PDF). จังหวัดนครพนม. pp. 35–37. สืบค้นเมื่อ 2025-03-22.[ลิงก์เสีย]
- สำนักหอสมุดแห่งชาติ, สำเนาศุภอักษรเมืองเวียงจันมีมาว่าด้วยการเมืองเวียงจัน จ.ศ. 1144, ห.จ.ช.1/12 เลขที่ 7/ก อ้างใน เว้าพื้นประวัติศาสตร์ (19 April 2024). "รัฐประหารพระเจ้าตากสิน : กับปฏิกิริยาหัวเมืองลาวฝ่ายเวียงจันทน์". Facebook. สืบค้นเมื่อ 2025-03-22.
{{cite web}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - นครพนม, จังหวัด (1986), ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดนครพนม, นครพนม: องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม, p. 33, สืบค้นเมื่อ 2024-12-01
- กรรพฤทธิ์, สุเจน (2017). [VIETNAMESE-SIAMESE RELATIONS IN THE EARLY NGUYEN DYNASTY RECORDS FROM THE LATE 18th CENTURY TO THE EARLY 19th CENTURY] (วิทยานิพนธ์). จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. pp. 93–98, 100–102. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-04-19. สืบค้นเมื่อ 2025-03-22.
- ทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา; ดำรงราชานุภาพ, พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวง, บ.ก. (1901), พระราชพงษาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ [Royal Chronicle of the Kingdom of Rattanakosin: First Reign] (PDF), กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ, pp. 178–180, สืบค้นเมื่อ 2025-03-22
- โบราณคดีสโมสร (ผู้รวบรวม) (1916), พระราชวิจารณ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วยเรื่องจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี [A Commentary of Phrabat Somdet Phra Chunlachomklao Chaoyuhua Regarding the Records of the Memory of Krommaluang Narinthewi] (PDF) (2nd ed.), พระนคร: โรงพิมพ์ไทย, pp. 397–402, สืบค้นเมื่อ 2025-03-22
- แซ่อึ๊ง, ปรารถนา (2013). (PDF). การตั้งถิ่นฐานและพัฒนาการของกลุ่มชาติพันธุ์ลาวในภาคตะวันออก : พลวัตในบริบทสังคมไทย (วิทยานิพนธ์). คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา. pp. 29–31, 45–51. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2025-04-29. สืบค้นเมื่อ 2025-04-29.
- Quốc sử quán triều Nguyễn (2006), Đào, Duy Anh (บ.ก.), (PDF) (ภาษาเวียดนาม), แปลโดย Phạm, Trọng Điềm, Huế: Nhà xuất bản Thuận Hóa, pp. 163–165, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2025-04-25, สืบค้นเมื่อ 2025-04-25
- หอสมุดแห่งชาติ (1987), จดหมายเหตุ รัชกาลที่ ๓ เล่ม ๓ (PDF), กรุงเทพฯ: สหประชาพาณิชย์, p. 135, ISBN 974-7912-02-3, สืบค้นเมื่อ 2025-04-27
- ทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา (1934), พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชชกาลที่ ๓ [Royal Chronicle of the Kingdom of Rattanakosin: Third Reign] (PDF), พระนคร: โรงพิมพ์ศรีหงส์, pp. 83–84, 127–128, 140–141, 232, 247–248, 276–278, สืบค้นเมื่อ 2025-04-27
- ชมภูนุช, ภูริภูมิ (2006). [THE DEVELOPMENT OF "MUANGS" IN THE SAKON NAKHON BASIN BETWEEN A.D.1828 AND 1893] (PDF) (วิทยานิพนธ์). มหาวิทยาลัยศิลปากร. pp. 51–67, 87–89. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2024-04-22. สืบค้นเมื่อ 2025-04-27.
- กรมศิลปากร (ผู้รวบรวม) (1938), "จดหมายเหตุเกี่ยวกับเขมรและญวนในรัชกาลที่ ๓ ตอนที่ ๑" [Chotmaihet Kiaokap Khamen Lae Yuan Nai Ratchakan Thi Sam Ton Thi Nueng], ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๗ [Collection of Historical Archives] (PDF), พระนคร: โรงพิมพ์พระจันทร์, pp. 14–18, 87–88, สืบค้นเมื่อ 2025-04-30
- ลือขจรชัย, ฐนพงศ์ (2022). (PDF) (วิทยานิพนธ์). มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. pp. 175–176. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2024-08-01. สืบค้นเมื่อ 2025-04-30.
- วิภาคย์พจนกิจ, เติม (2003), (PDF) (4th ed.), กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, p. 310, ISBN 974-571-854-8, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2024-06-09, สืบค้นเมื่อ 2025-04-30
- Quốc sử quán triều Nguyễn; Viện sử học (2007), (PDF), ĐẠI NAM THỰC LỤC Tập Bảy (PDF) (ภาษาเวียดนาม), Hanoi: Nhà xuất bản giáo dục, p. 819, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2024-08-12, สืบค้นเมื่อ 2025-04-30
- กองหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร (1978), การแต่งตั้งขุนนางไทยในสมัยรัชกาลที่ ๕, กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์การศาสนา, p. 18, สืบค้นเมื่อ 2025-05-02
- "ข่าวตายหัวเมือง" (PDF), ราชกิจจานุเบกษา, vol. 16, 25 March 1900, p. 718, สืบค้นเมื่อ 2025-05-02
แหล่งข้อมูลอื่น
[]- บทความที่เนื้อหาบางส่วนรอเพิ่มเติมตั้งแต่พฤษภาคม 2025
- ประวัติศาสตร์ของเมืองในประเทศไทย
- ประวัติศาสตร์ของจังหวัดนครพนม
- รัฐสิ้นสภาพในประเทศไทย
วิกิพีเดีย, วิกิ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, มือถือ, โทรศัพท์, แอนดรอยด์, ไอโอเอส, แอปเปิ้ล, สมาร์ทโฟน, พีซี, เว็บ, คอมพิวเตอร์, ข้อมูลเกี่ยวกับ เมืองนครพนม, เมืองนครพนม คืออะไร? เมืองนครพนม หมายความว่าอะไร?


ฝากคำตอบ
ต้องการเข้าร่วมการสนทนาหรือไม่?คุณสามารถร่วมเขียนได้!