อานามสยามยุทธ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อานามสยามยุทธ
ส่วนหนึ่งของ ประวัติศาสตร์เอเชีย
image
แผนที่ดินแดนอาณาจักรรัตนโกสินทร์ (สยาม) กับจักรวรรดิญวน (ราชวงศ์เหงียน):
  •   สยาม (ไทย)
  •   ญวน (เวียดนาม)
วันที่พ.ศ. 2374–2377, พ.ศ. 2384–2388
สถานที่
กัมพูชา, เวียดนามตอนใต้
ผล เจรจาสงบศึก
ดินแดน
เปลี่ยนแปลง
กัมพูชาตกเป็นประเทศราชร่วมของสยามและเวียดนาม
คู่สงคราม
image อาณาจักรรัตนโกสินทร์ (สยาม)
image อาณาจักรกัมพูชา
image ราชวงศ์เหงียน
image อาณาจักรกัมพูชา
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ
image พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
image เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)
image เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค)
image
image นักองค์อิ่ม
image นักองค์ด้วง
imageจักรพรรดิมิญ หมั่ง
imageจักรพรรดิเถี่ยว จิ
image "องเตียนกุน" เจือง มิญ สาง (Trương Minh Giảng)
image เหงียน จี เฟือง (Nguyễn Tri Phương)
image สมเด็จพระอุไทยราชา (นักองค์จัน)
image นักองค์อิ่ม (เปลี่ยนฝ่าย)

อานัมสยามยุทธ หรือ อานามสยามยุทธ (เวียดนาม: Chiến tranh Việt–Xiêm) เป็นความขัดแย้งทางทหารระหว่างอาณาจักรไดนาม ซึ่งปกครองโดยจักรพรรดิเถี่ยว จิ กับอาณาจักรสยามภายใต้การปกครองของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว การแข่งขันระหว่างสยามและเวียดนามในการควบคุมดินแดนกัมพูชาในลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่างทวีความรุนแรงขึ้นหลังจากที่สยามพยายามพิชิตกัมพูชาในช่วงสงครามสยาม–เวียดนามครั้งก่อน จักรพรรดิมิญ หมั่ง สถาปนาพระองค์เม็ญ พระราชธิดาในสมเด็จพระอุไทยราชาธิราชรามาธิบดีขึ้นปกครองกัมพูชาในฐานะราชินีหุ่นเชิดในปี พ.ศ. 2377 และประกาศอำนาจสูงสุดเหนือกัมพูชาโดยลดระดับลงมาเป็นจังหวัดที่ 32 ของเวียดนาม[1] ในปี พ.ศ. 2384 สยามฉวยโอกาสแห่งความไม่พอใจเข้าช่วยเหลือเขมรที่ต่อต้านญวน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวส่งกองทัพไปช่วยสถาปนาสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดีเป็นกษัตริย์กัมพูชา ภายหลังการทำสงครามพร่ากำลังเป็นเวลา 4 ปี ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะสงบศึกและให้กัมพูชาอยู่ภายใต้การปกครองร่วมกัน[2][3][4][5]

สาเหตุ

[]

ในช่วงยุคต้นรัตนโกสินทร์ทั้งสยามในพระราชวงศ์จักรีและเวียดนามราชวงศ์เหงียนต่างเรืองอำนาจขึ้นเป็นมหาอำนาจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาณาจักรต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ระหว่างสยามและเวียดนามเป็น "อาณาจักรกันชน" ระหว่างสองมหาอำนาจอาณาจักรกันชนเหล่านั้นประกอบด้วยอาณาจักรเขมรอุดงและอาณาจักรลาวล้านช้าง ทั้งสยามและเวียดนามต่างแผ่ขยายอำนาจเข้าสู่อาณาจักรกันชนเหล่านั้นนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างสองอำนาจ

ความขัดแย้งภายในอาณาจักรกัมพูชา

[]

ความขัดแย้งภายในอาณาจักรกัมพูชาซึ่งแต่ละฝ่ายแสวงหาการสนับสนุนจากภายนอก สยามฝ่ายหนึ่งและญวนฝ่ายหนึ่ง นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างสยามและญวนซึ่งเริ่มมีขึ้นตั้งแต่ปลายสมัยอยุธยาในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงยกทัพไปยึดเมืองบันทายมาศในพ.ศ. 2314 และยกทัพไปยังเมืองอุดงตั้งนักองค์นน (អង្គនន់) ขึ้นเป็นสมเด็จพระรามราชาธิราชแห่งกัมพูชาครองกัมพูชา แต่พระรามราชาฯถูกเจ้าฟ้าทะละหะ (มู) ซึ่งสนับสนุนฝ่ายญวนปลงพระชนม์ในพ.ศ. 2322 เจ้าฟ้าทะละหะ (มู) ยกนักองเอง (អង្គអេង) ซึ่งเป็นพระราชวงศ์เขมรฝ่ายสนับสนุนญวนขึ้นเป็นสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีศรีสุริโยพรรณโดยมีเจ้าฟ้าทะละหะกุมอำนาจ ในพ.ศ. 2326 "องเชียงสือ"จักรพรรดิซา ล็องเจ้าตระกูลเหงียนของญวนเสียเมืองไซ่ง่อนให้แก่ราชวงศ์เต็ยเซินหลบหนีมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารฯที่กรุงเทพมหานครในรัชกาลที่ 1 เมื่อเจ้าญวนตระกูลเหงียนสิ้นไปเจ้าฟ้าทะละหะถูกสังหารและออกญายมราช (แบน) ขุนนางกัมพูชาซึ่งฝักใฝ่สยามจึงยึดอำนาจ แต่พระยายมราชพ่ายแพ้แก่ศัตรูจึงนำสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีศรีสุริโยพรรณกษัตริย์กัมพูชาลี้ภัยเข้ามาที่กรุงเทพมหานคร นักองค์เองมีโอรสได้แก่นักองค์จันทร์ (អង្គច័ន្ទ) นักองค์สงวน (អង្គស្ងួន) สมเด็จพระศรีไชยเชฐ (นักองค์อิ่ม) (អង្គអិម) และสมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี(អង្គដួង) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดฯให้สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ยกทัพเรือไปกอบกู้บ้านเมืองให้แก่องเชียงสือแต่พ่ายแพ้ให้แก่ฝ่ายราชวงศ์เต็ยเซินในการรบที่สักเกิ่ม-สว่ายมุ๊ต (Battle of Rạch Gầm-Xoài Mút)

image
"องต๋ากุน"เลวันเสวียต (Lê Văn Duyệt) ผู้สำเร็จราชการในเวียดนามใต้

องเชียงสือเดินทางไปกอบกู้บ้านเมืองจากราชวงศ์เต็ยเซินจนสามารถตั้งตัวขึ้นเป็นพระจักรพรรดิยาล็องก่อตั้งราชวงศ์เหงียนได้ในพ.ศ. 2344 หลังจากที่กัมพูชาว่างเว้นกษัตริย์มาระยะหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯจึงทรงอภิเษกนักองค์จันทร์โอรสองค์โตของนักองค์เองขึ้นเป็นพระอุไทยราชาธิราชครองกัมพูชาในพ.ศ. 2349 พระอุไทยราชานักองค์จันทร์ให้การสนับสนุนแก่ญวนราชวงศ์เหงียน เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯสวรรคตในพ.ศ. 2352 พระอุไทยราชาฯไม่มาเข้าร่วมพระราชพิธีที่กรุงเทพฯแจ้งว่าประชวรและทรงส่งนักองค์สงวนและนักองค์อิ่มพระอนุชาทั้งสองมาที่กรุงเทพฯแทน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงทรงแต่งตั้งให้นักองค์สงวนเป็นพระมหาอุปโยราชและนักองค์อิ่มเป็นพระมหาอุปราช และทรงมีท้องตราถึงพระอุไทยราชาให้เกณฑ์ทัพกัมพูชามาไว้ที่กรุงเทพฯ พระอุไทยราชานักองค์จันทร์ไม่เกณฑ์ไพร่พลมาที่กรุงเทพฯตามท้องตรานั้น ขุนนางเขมรบางส่วนซึ่งสนับสนุนฝ่ายสยามก่อการกบฏขึ้น พระอุไทยราชาทรงประหารชีวิตขุนนางเหล่านั้นและหันไปขอความช่วยเหลือจาก"องต๋ากุน"(Ông Tả Quân, 翁左軍)หรือ เลวันเสวียต (Lê Văn Duyệt, 黎文悅) ผู้สำเร็จราชการในเวียดนามใต้ ในพ.ศ. 2355 พระมหาอุปโยราชนักองค์สงวนก่อการกบฏขึ้น นำไปสู่ความขัดแย้งในกัมพูชา พ.ศ. 2354 เจ้าพระยายมราช (น้อย) ยกทัพสยามเข้าไปที่เมืองอุดงเพื่อไกล่เกลี่ย แต่พระอุไทยราชานักองค์จันทร์เมื่อเห็นว่าทัพสยามยกเข้ามาจึงพาพระราชวงศ์หลบหนีไปอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของเลวันเสวียตที่เมืองไซ่ง่อน พระมหาอุปราชนักองค์อิ่มและนักองค์ด้วงหลบหนีมาเข้ากับฝ่ายสยาม เจ้าพระยายมราช (น้อย) นำตัวนักองค์สงวน นักองค์อิ่ม และนักองค์ด้วงมาที่กรุงเทพฯ พระเจ้ายาล็องมีพระราชสาส์นขอพระบรมราชานุญาติให้พระอุไทยราชากลับมาครองกัมพูชาดังเดิม รวมทั้งขอเมืองบันทายมาศไปไว้ในเขตแดนของเวียดนามด้วย เมื่อพระอุไทยราชานักองค์จันทร์กลับมาครองกัมพูชาแล้วกัมพูชาจึงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของราชวงศ์เหงียน นักองค์จันทร์ย้ายราชธานีจากเมืองอุดงไปยังเมืองพนมเปญซึ่งญวนได้สร้างเมืองขึ้นให้ใหม่ นักองค์สงวนถึงแก่พิราลัยที่กรุงเทพฯเมื่อปีพ.ศ. 2359 เหลือนักองค์อิ่ม และนักองค์ด้วง เป็นเจ้าชายเขมรซึ่งประทับอยู่ที่กรุงเทพฯ

ในพ.ศ. 2362 องต๋ากุนเลวันเสวียตเกณฑ์ชาวเวียดนามและกัมพูชาเข้าขุดคลองหวิญเต๊ (Vĩnh Tế, 永濟) ซึ่งเชื่อมระหว่างเมืองโจดกหรือเจิวด๊ก (Châu Đốc, 朱篤 จังหวัดอานซาง) กับเมืองบันทายมาศ เป็นคลองขนาดใหญ่และเป็นช่องทางให้ทัพเรือญวนสามารถนำทัพเรือออกสู่อ่าวไทยได้ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงมีพระราชโองการให้พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์เป็นแม่กองสร้างป้อมเมืองสมุทรปราการขึ้นเพื่อสำหรับป้องกันข้าศึกทางทะเล

สงครามเจ้าอนุวงศ์

[]

เวียดนามพยายามที่จะแผ่ขยายอำนาจมาที่อาณาจักรล้านช้างผ่านทางจังหวัดเหงะอานและเมืองพวนอาณาจักรเชียงขวางมาแต่สมัยก่อนหน้า ในสมัยรัตนโกสินทร์อาณาจักรล้านช้างทั้งสามได้แก่หลวงพระบาง เวียงจันทน์ และจำปาศักดิ์ต่างเป็นเมืองขึ้นประเทศราชของสยาม โดยมีอาณาจักรเชียงขวางเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรเวียงจันทน์อีกทอดหนึ่ง เมื่อเจ้าน้อยเมืองพวนเกิดความขัดแย้งกับเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์จึงหันไปพึ่งพระพระเจ้ามิญหมั่งแห่งเวียดนามราชวงศ์เหงียน ในพ.ศ. 2371 กบฏเจ้าอนุวงศ์ เมื่อเจ้าอนุวงศ์หลบหนีไปยังจังหวัดเหงะอานของเวียดนามพระเจ้ามิญหมั่งทรงให้การช่วยเหลือและจัดแต่งทูตญวนนำเจ้าอนุวงศ์มาเจรจาที่เมืองเวียงจันทน์ "อนุทำความผิดหนีไปหาญวน ญวนเหมือนมารดา กรุงเทพมหานครเหมือนบิดา บิดาโกรธบุตรแล้ว มารดาต้องพามาขอโทษ"[6] แต่เจ้าอนุวงศ์กลับเข้าลอบโจมตีฝ่ายสยามแบบไม่ทันตั้งตัวทำให้ฝ่ายสยามเข้าใจว่าฝ่ายญวนแต่งทูตเข้ามาเป็นกลอุบายลวง เมื่อเจ้าอนุวงศ์พ่ายแพ้อีกครั้ง พระเจ้าเวียดนามมิญหมั่งจึงทรงส่งทูตมาอีกแต่เจ้าพระยาราชสุภาวดี (สิงห์) ไม่ไว้วางใจฝ่ายเวียดนามจึงออกอุบายสังหารหมู่คณะทูตเวียดนามในงานเลี้ยง[6] เมื่อเจ้าอนุวงศ์หลบหนีไปยังอาณาจักรเชียงขวาง เจ้าน้อยเมืองพวนชี้เบาะแสให้แก่ทัพสยามจนสามารถจับตัวเจ้าอนุวงศ์ได้

พระเจ้าเวียดนามมิญหมั่งพิโรธเจ้าน้อยซึ่งเป็นเหตุให้เจ้าอนุวงศ์ถูกจับตัวได้จึงเรียกเจ้าน้อยเมืองพวนไปเข้าเฝ้าที่เมืองเว้ เจ้าน้อยขัดขืนพระเจ้ามิญหมั่ง พระเจ้ามิญหมั่งจึงส่งตะกวังกึ (Tạ Quang Cự, 謝光巨) ยกทัพเข้ายึดเมืองพวนจับกุมเจ้าน้อยนำไปสำเร็จโทษประหารชีวิตที่เมืองเว้ เวียดนามจึงเข้าปกครองอาณาจักรเชียงขวางโดยตรงกลายเป็นมณฑลเจิ๊นนิญ (Trấn Ninh, 鎮寧) รวมทั้งเข้าปกครองหัวเมืองลาวต่างๆในแขวงคำม่วนในปัจจุบันและกลุ่มเมืองหัวพันห้าทั้งหก พระเจ้ามิญหมั่งทรงแต่งตั้ง ตะกวังกึ ให้เป็นผู้ว่าฯจังหวัดเหงะอานและจังหวัดห่าติ๋ญ ซึ่งอยู่ติดพรมแดนระหว่างเมืองเว้และลาว

สงคราม พ.ศ. 2376

[]

กบฏของเลวันโคยและนงวันเวิน

[]

"องต๋ากุน"เลวันเสวียตเป็นผู้สำเร็จราชการในเวียดนามภาคใต้และแผ่ขยายอำนาจไปถึงกัมพูชา เปรียบเสมือนเป็นหอกข้างแคร่ เป็นขุนนางเสนาบดีที่ทรงอำนาจมาจากรัชกาลก่อนและพระเจ้าเวียดนามมิญหมั่งทรงมีนโยบายรวมอำนาจสู่ศูนย์กลาง เมื่อเลวันเสวียตเสียชีวิตในพ.ศ. 2375 พระเจ้ามิญหมั่งทรงใช้โอกาสนี้ยกเลิกตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ และส่งขุนนางของพระองค์เองเข้าปกครองเวียดนามใต้ ได้แก่ เหงียน วัน เกว๊ (Nguyễn Văn Quế) เป็นเจ้าเมืองไซ่ง่อน และ บัค ซวน เหงวียน (Bạch Xuân Nguyên) เป็นผู้ช่วย บัคซวนเหงวียนถวายรายงานต่อพระเจ้ามิญหมั่งว่า เลวันเสวียตผู้ล่วงลับไปแล้ว ได้ซ่องสุมกำลังพลและอาวุธเตรียมก่อการกบฏ พระเจ้ามิญหมั่งจึงลงพระอาญาแก่เลวันเสวียต ถึงแม้ว่าจะล่วงลับไปแล้ว แต่ไม่อาจรอดพ้นพระอาญาพระเจ้าเวียดนาม พระเจ้ามิญหมั่งให้ขุดเอาศพของเลวันเสวียตขึ้นมาโบยตี รวมทั้งประหารชีวิตและจำคุกขุนนางฝ่ายของเลวันเสวียตในเวียดนามใต้จำนวนมาก

ในช่วงกลางปีพ.ศ. 2376 มีชาวเวียดนามในจังหวัดเหงะอาน เป็นกบฏต่อพระเจ้ามิญหมั่ง หมายจะยกให้เลซวีเลือง (Lê Duy Lương)[7] ซึ่งเป็นเชื้อสายราชวงศ์เล ขึ้นต่อต้านพระเจ้ามิญหมั่ง ในเวลาเดียวกันนั้น "องภอเบโคย" หรือเลวันโคย (Lê Văn Khôi, 黎文𠐤) บุตรบุญธรรมของเลวันเสวียต เมื่อเห็นว่าเกิดกบฏขึ้นที่เหงะอาน จึงก่อการกบฏขึ้นบ้างในพ.ศ. 2376 ยึดเมืองไซ่ง่อนเป็นฐานที่มั่น เลวันโคยนำกำลังเข้าสังหารเหงียนวันเกว๊เจ้าเมืองไซ่ง่อน และสังหารบัคซวนเหงวียน นำไปสู่กบฎของเลวันโคย ซึ่งมีชาวเวียดนามใต้เข้าร่วมจำนวนมากโดยเฉพาะชาวคริสเตียน เลวันโคยหมายจะยกเอาโอรสของเจ้าชายเหงียน ฟุก กั๋ญ ซึ่งเป็นคริสเตียน ให้ขึ้นเป็นพระเจ้าเวียดนามแทน

image
โฌแซ็ฟ มาร์ช็อง (Joseph Marchand) บาทหลวงชาวฝรั่งเศส ผู้ถูกกล่าวหาว่า เชื้อเชิญให้สยามเข้ารุกรานเวียดนามภาคใต้ ถูกประหารชีวิตด้วยการแล่เป็นหมื่นชิ้น ในพ.ศ. 2378 เป็นมรณะสักขี

กบฎของเลวันโคยลุกลามอย่างรวดเร็ว เนื่องจากชาวเวียดนามใต้ ซึ่งส่วนใหญ่มีความนิยมในตัวเลวันเสวียต ได้เข้าร่วมกับกบฎจำนวนมาก เมื่อยึดเมืองไซ่ง่อนได้แล้ว เลวันโคยส่งทัพเข้ายึดเมืองด่งนาย เมืองสมิถ่อ เมืองล่องโห้ เมืองโจดก เมืองห่าเตียน ยึดเมืองสำคัญในเวียดนามภาคใต้ได้ทั้งหมด ในขณะนั้น เล ได่ เกือง (Lê Đại Cương, 黎大綱) ดำรงตำแหน่งเป็นจงตกผู้ว่าฯจังหวัดอันซางและห่าเตียน เป็นเจ้าเมืองโจดกอยู่ รวมทั้งดำรงตำแหน่งเป็นเบาฮอ (Bảo hộ) หรือผู้สำเร็จราชการของเวียดนามในกัมพูชาด้วย[8] เลได่เกืองเจ้าเมืองโจดกนำทัพเข้าปราบกบฏเลวันโคยแต่พ่ายแพ้และจำต้องหลบหนีมายังกัมพูชา

เมื่อเกิดกบฏเลวันโคยขึ้นที่ไซ่ง่อนในเวียดนามภาคใต้นั้น นงวันเวิน (Nông Văn Vân) เป็นชนชาติไต และเป็นพี่ชายของภรรยาของเลวันโคย[7] ได้ก่อกบฏขึ้นที่จังหวัดกาวบั่งในเวียดนามภาคเหนือ ทำให้ในปีพ.ศ. 2376 นั้น พระเจ้าเวียดนามมิญหมั่งต้องเผชิญกับกบฏถึงสามแห่ง ได้แก่ กบฏของเลซวีเลืองที่เหงะอาน กบฏของเลวันโคยที่ไซ่ง่อน และกบฏของนงวันเวินที่กาวบั่ง

พระเจ้ามิญหมั่งจึงทรงแต่งตั้งให้แม่ทัพชุดใหม่ นำโดย ต๊ง เฟื้อก เลือง (Tống Phước Lương, 宋福樑) เป็น"องเตียนกุน"แม่ทัพใหญ่ ยกทัพจากเมืองเว้ลงมาปราบกบฎเลวันโคย พร้อมทั้งแม่ทัพอีกจำนวนหนึ่งรวมทั้งเหงียน ซวน (Nguyễn Xuân, 阮春) และ เจือง มิญ สาง (Trương Minh Giảng, 張明講) ในช่วงกลางปีพ.ศ. 2376 ทัพใหม่ฝ่ายเมืองเว้นำโดยต๊งเฟื้อกเลือง สามารถยึดเมืองโจดก เมืองห่าเตียน เมืองล่องโห้ และเมืองสมิถ่อ คืนมาจากฝ่ายกบฎได้สำเร็จ ฝ่ายกบฎเลวันโคยถอยเข้าตั้งมั่นอยู่แต่ในเมืองไซ่ง่อนเท่านั้น เลวันโคยพยายามที่จะส่งตัวแทนมาขอความช่วยเหลือจากสยามแต่ถูกฝ่ายเหงียนจับกุมได้ก่อน[9]

ฝ่ายกรุงเทพสืบข่าวจากพ่อค้าจีนได้ทราบว่าเมืองญวนเวียดนามเกิดกบฏทั้งเหนือและใต้[10]พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวฯทรงเห็นเป็นโอกาสที่จะได้ลดอำนาจของญวนซึ่งคอยให้การสนับสนุนแก่กบฏที่ต่อต้านสยามหลายครั้ง "ครั้งองค์จันทร์เขมรเป็นกบฏหนีไป ญวนก็รับไว้ อนุเป็นกบฏหนีไป ญวนก็รับไว้ แล้วกลับแต่งขุนนางพาอนุมาตั้งบ้านตั้งเมืองอย่างเก่า ทำเหมือนเมืองเขมรเหมือนกัน มีแต่คิดเกียจกันเขตต์แดนฝ่ายไทย ข่มขี่ยกตัวขึ้นเป็นดึกวองเด่"[6] ฝ่ายญวนเวียดนามต้องพะว้าพะวงกับการปราบกบฏ การไปตียึดครองกัมพูชาและหัวเมืองลาวคืนกลับมาควรจะทำได้โดยสะดวก "บัดนี้การได้ท่วงที จะไปตีคืนเอาบ้านเมืองครอบครัวของเรามา เห็นได้โดยง่ายไม่สู้ลำบากหนักแรง"[10]

การเตรียมการของสยาม

[]

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชโองการให้จัดทัพเข้าตีเมืองเวียดนามดังนี้;

  • เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) พร้อมทั้งนักองค์อิ่ม นักองค์ด้วง ยกทัพทางบกจำนวน 40,000 ไปเมืองไซ่ง่อน
  • เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) ที่สมุหกลาโหม ยกทัพเรือจำนวน 10,000 นายไปทางทะเลเพื่อโจมตีเมืองเปียมบันทายมาศหรือห่าเตียน
  • พระมหาเทพ (ป้อม) และพระราชวรินทร์ (ขำ) ยกทัพไปทางลาวภาคกลางเพื่อโจมตีเวียดนามภาคกลางทางเมืองล่าน้ำหรือจังหวัดเหงะอานซึ่งอยู่ติดกับลาว
  • เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ (สมบุญ) เกณฑ์ทัพจากหัวเมืองเหนือ พิชัย สวรรคโลก พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย และแพร่ ให้ได้ 4,000 คน ยกทัพไปเมืองหลวงพระบาง เพื่อรวมกับทัพลาวเข้าโจมตีเมืองหัวพันห้าทั้งหกซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของเวียดนาม

ทัพของเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) และทัพของพระมหาเทพ (ป้อม) พระราชวรินทร์ (ขำ) ทั้งสามทัพยกออกจากกรุงเทพฯพร้อมกันในวันเสาร์ขึ้น 12 ค่ำ เดือนอ้ายปี พ.ศ. 2376 (23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2376)

สยามเข้าโจมตีกัมพูชา

[]
image
แผนที่ภูมิภาคอินโดจีนการขยายอำนาจระหว่างสยามและเวียดนาม
image
กัมพูชาสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น: กัมพูชามีเมืองเอกห้าเมืองได้แก่ โพธิสัตว์ กำปงสวาย ตรัง (เชิงกรรชุม) บาพนม และตะโบงคมุม

ทัพของเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) จำนวน 40,000 คน ยกไปทางเมืองพระตะบอง นำนักองค์อิ่ม และนักองค์ด้วง มาอยู๋ในกองทัพด้วย ฝ่ายกัมพูชา สมเด็จพระอุไทยราชานักองค์จันทร์กษัตริย์กัมพูชาประทับอยู่ที่พนมเปญ ทรงให้พระยาจักรี (หลง) เกณฑ์ทัพมาต่อสู้กับฝ่ายไทย แต่พระยาจักรีหลง ประสบปัญหาสามารถเกณฑ์กำลังพลกัมพูชาได้เพียง 300 คน[11] เท่านั้น ไม่สามารถสู้รบกับทัพฝ่ายไทยที่มาจำนวนหลายหมื่นคนได้ ทัพของเจ้าพระยาบดินทรเดชา จำนวน 5,000 คน สู้รบกับทัพฝ่ายกัมพูชาของพระยาจักรี (หลง) ที่เมืองกำปงจาม นำไปสู่การรบที่กำปงฉนัง ฝ่ายกัมพูชาและพระยาจักรีหลง พ่ายแพ้แตกพ่าย พระยาจักรี (หลง) หลบหนีไปที่เมืองบาพนม[11] ทัพฝ่ายไทยของเจ้าพระยาบดินทรเดชาสามารถเดินทัพผ่านกัมพูชาได้โดยสะดวก พบกับการต่อต้านเพียงเล็กน้อย

ฝ่ายสมเด็จพระอุไทยราชานักองค์จันกษัตริย์กัมพูชา เมื่อทราบว่าทัพของพระยาจักรี (หลง) พ่ายแพ้แตกพ่าย จึงตัดสินพระทัยนำเชื้อพระวงศ์และขุนนางเสด็จหลบหนีเมื่อวันแรมหกค่ำ เดือนยี่ (31 ธันวาคม) ตั้งพระทัยจะเสด็จไปยังเมืองไซ่ง่อนดังเช่นเมื่อพ.ศ. 2355 เมื่อประมาณยี่สิบปี่ก่อนหน้านี้ ที่นักองค์จันทร์ได้เคยเสด็จหนีจากทัพสยามไปเมืองไซ่ง่อน แต่ในขณะนั้นเมืองไซ่ง่อนกำลังเกิดเหตุการณ์กบฎเลวันโคย นักองค์จันทร์ไม่สามารถลี้ภัยที่เมืองไซ่ง่อนได้ นักองค์จันจึงประทับอยู่ที่เมืองล็องโห่ (Long Hồ) ในเวียดนามภาคใต้

สยามโจมตีบันทายมาศและโจดก

[]

ทัพเรือของเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) เดินทางถึงเมืองบันทายมาศ ฝ่ายญวนไม่ได้เตรียมการรับศึกเจ้าพระยาพระคลังจึงสามารถยึดเมืองบันทายมาศได้อย่างรวดเร็วแล้วจึงล่องทัพเรือไปตามคลองหวิญเต๊เข้ายึดเมืองโจดกริมแม่น้ำป่าสัก ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครองของจังหวัดอานซางได้สำเร็จ

ฝ่ายเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เมื่อมาถึงเมืองพนมเปญแล้ว ให้นักองค์อิ่มนักองค์ด้วงและพระยาอภัยภูเบศร (เชด) รักษาการอยู่ที่เมืองพนมเปญ ในขณะที่เจ้าพระยาบดินทรเดชาเดินทัพต่อไป แต่เดิมเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯวางแผนเดินทัพบกไปทางตะวันออกผ่านเขตเมืองบาพนมตัดตรงเข้าสู่เมืองไซ่ง่อน แต่ทราบข่าวว่าเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) มาตั้งอยู่ที่เมืองโจดกแล้ว จึงยกทัพมาสมทบกับทัพของเจ้าพระยาพระคลังที่เมืองโจดก[6] การเดินทัพเรือจากเมืองโจดกไปยังเมืองไซ่ง่อนต้องข้ามจากแม่น้ำบาสักไปยังแม่น้ำโขงเพื่อลดระยะทาง แต่คลองโดยส่วนใหญ่ที่เชื่อมระหว่างแม่น้ำบาสักและแม่น้ำโขงเป็นคลองขนาดเล็กทัพเรือไม่สามารถผ่านได้ มีเพียงคลองหวั่มนาว (Vàm Nao) เท่านั้นซึ่งเป็นคลองขนาดใหญ่ทัพเรือสามารถผ่านได้ คลองหวั่มนาวเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญซึ่งทัพเรือญวนสามารถสกัดทัพเรือสยามในตำแหน่งนี้ได้ ดังเช่นที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งกรมหลวงเทพหริรักษ์ทรงยกทัพเรือมาในพ.ศ. 2327 เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เปลี่ยนแผนใหม่โดยให้ทัพบกโดยส่วนใหญ่ลงเรือที่ได้มาจากกัมพูชาไปร่วมกับทัพเรือของเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) ล่องไปตามแม่น้ำบาสักแทนที่จะยกไปทางตะวันออกไปทางบาพนมตามแผนเดิม

เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯให้พระยาราชนิกูล (เสือ) และพระยานครราชสีมา (ทองอิน) นำทัพบกส่วนหนึ่งจำนวน 7,000 ยกไปทางบาพนมตามแผนเดิมไปยังเมืองไซ่ง่อน[6]

ฝ่ายเวียดนามนั้นกำลังอยู่ในเหตุการณ์การปราบกบฎของเลวันโคยที่ไซ่ง่อน "องจัญเบีย"เลได่เกือง (Lê Đại Cương) ข้าหลวงญวนประจำกัมพูชา กราบทูลพระเจ้ามิญหมั่งว่าทัพสยามได้เข้ารุกรานกัมพูชา ขอพระราชทานทัพญวนมาสกัดกั้นทัพสยาม ฝ่ายเวียดนามจึงจำต้องแบ่งกองกำลังส่วนหนึ่งมาต้านทัพสยาม พระเจ้ามิญหมั่งจึงมีพระราชโองการให้เลได่เกือง เหงียนซวน (Nguyễn Xuân) และ เจืองมิญสาง (Trương Minh Giảng) ยกทัพฝ่ายเวียดนามเข้าไปในกัมพูชาเพื่อต้านทัพสยาม พระราชทานเรือยุทธและดินประสิวให้แก่จังหวัดต่างๆในเวียดนามภายใต้เพื่อเตรียมการสู้รบกับฝ่ายสยามได้แก่ จังหวัดอานซาง จังหวัดห่าเตียน จังหวัดหวิญล็อง และจังหวัดดิ่ญเตื่อง

ยุทธนาวีที่คลองหวั่มนาว

[]
image
แผนที่คลองหวั่มนาว (Vàm Nao) และคลององเจือง (Ông Chướng)

ในเดือนมกราคมพ.ศ. 2377 ทัพเรือสยามซึ่งนำโดยเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) และเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) ยกออกจากเมืองโจดกลงใต้ไปตามแม่น้ำบาสัก โดยให้เจ้าพระยาพลเทพ (ฉิม) นำทัพเรือส่วนหนึ่งล่วงหน้าไปก่อน ทัพเรือสยามพบกับทัพบกญวนเมื่อเดือนสาม ที่ปากทางเข้าคลองหวั่มนาวจากแม่น้ำบาสักทางทิศใต้ (ฝ่ายญวนเรียกคลองหวั่มนาวว่า คลองถ่วนกั๋ง Thuận Cảng) เมื่อวันขึ้น 12 ค่ำ เดือนสาม (21 มกราคม พศ. 2377)[6] นำไปสู่ยุทธนาวีที่คลองหวั่มนาว ทัพเรือญวนนำโดย"องทำตาย"เหงียนซวน และ"องจันเบีย"เลได่เกือง ทัพสยามเข้าโจมตียิงปืนใส่ทัพบกญวน เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯให้ทัพบกสยามขึ้นบกโจมตีทัพญวน ทำให้ทัพญวนต้องล่าถอยไปยังปากคลองหวั่งนาวฝั่งเหนือทางออกแม่น้ำโขง เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯให้กองกำลังส่วนหนึ่งนำโดยพระยาณรงค์ฤทธิโกษา และพระยาวิเศษสงคราม ไปป้องกันคลององเจือง (Ông Chướng) ไว้เพื่อไม่ให้ทัพเรือญวนอ้อมวนมาตีด้านหลังดังที่เกิดขึ้นเมื่อกรมหลวงเทพหริรักษ์ทรงยกทัพมา และเพื่อไปเกลี้ยงกล่อมชาวญวนเข้ารีตหรือชาวเวียดนามที่นับถือคริสต์ให้มาเข้ากับฝ่ายสยาม[6]

ในระหว่างการรบที่คลองหวั่มนาว มีนายกองจำนวนหนึ่งหลบหนีไปแอบอยู่ท้ายเรือรบเนื่องจากกลัวศัตรู ซึ่งหนึ่งในนี้มีเชื้อสายของเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯอยู่ด้วย เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) มีคำสั่งให้นำตัวนายกองเหล่านั้นมาตัดศีรษะประหารชีวิต

หลังจากที่ฝ่ายญวนล่าถอยไปตั้งที่ฝั่งทางออกแม่น้ำโขงแล้ว เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯจึงวางแผนโจมตีค่ายญวนทั้งทางบกและทางน้ำ อีกห้าวันต่อมาในวันพุธแรม 5 ค่ำเดือนสาม (29 มกราคม พ.ศ. 2377)[6] เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯยกทัพพร้อมเจ้าพระยาพระคลังฯยกทัพเรือเข้าโจมตีค่ายญวนที่ปากคลองหวั่มนาวฝั่งเหนือ เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) ให้พระยาอภัยโนฤทธิ์ (บุนนาค) นำกองเรือเป็นทัพหน้าเข้าโจมตีฝ่ายญวน แต่กองเรือที่ตามหลังพระยาอภัยโนฤทธิ์เกิดความเกรงกลัวศัตรูไม่ยอมถอนสมอขึ้น[6]เพื่อแล่นเรือไปสู้กับญวน พระยาอภัยโนฤทธิ์เห็นว่าไม่มีกองเรือตามมาจึงถอยกลับ แม้ว่าเจ้าพระยาพระคลังจะลงเรือป่าวประกาศให้ทัพเรือถอนสมอขึ้นไปรบ แต่แม่ทัพนายกองเรือทั้งหลายอาทิเช่นเจ้าพระยาพลเทพ พระยาราชวังสัน พระยาเพชรบุรี ฯลฯ กลับไม่ยอมถอนสมอเรือ ฝ่ายเวียดนามเมื่อเห็นว่าทัพเรือสยามไม่เข้ามาสู้จึงถ่ายโอนกำลังให้ทัพบกไปสู้กับเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯ ประกอบกับที่ทัพเสริมของญวนนำโดย "องเตียนกุน"ต๊งเฟื้อกเลือง (Tống Phước Lương) ซึ่งเป็นแม่ทัพปราบกบฎเลวันโคย มาถึงในเวลานี้พอดี ทำให้ทัพสยามของเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯเหลือเกินกำลังสู้รบจำต้องล่าถอย เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯเห็นว่านายกองฝ่ายสยามมีความขลาดต้องนำตัวไปประหารชีวิต เจ้าพระยาพระคลังฯแย้งว่าแม่ทัพนายกองเหล่านี้ล้วนแต่เป็นขุนนางผู้ใหญ่พระยาพานทอง[6]ประหารไม่ได้ หลังจากการสู้รบสองวัน ในวันแรม 7 ค่ำ เดือนสาม (31 มกราคม พ.ศ. 2377)[6] เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯจึงถอยทัพสยามกลับไปที่เมืองโจดก โดยให้ทัพบกค่อยๆลงเรือเล็กกลับไปเมืองโจดกโดยมีทัพเรือคอยหนุนป้องกัน

สยามล่าถอยจากเวียดนามและกัมพูชา

[]

ทัพสยามล่าถอยไปตั้งมั่นที่เมืองโจดก โดยเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) ลำเลียงทัพเรือกลับไปยังเมืองบันทายมาศ ฝ่ายญวนยกทัพเรือตามแม่น้ำบาสักมาโจมตีเมืองโจดก วันแรม 10 ค่ำ เดือนสาม (3 กุมภาพันธ์)[6] เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯให้ยิงปืนใส่ทัพญวนที่ขึ้นบกมาทำให้ทหารญวนล้มตายที่ริมตลิ่งจำนวนมากและทัพเรือญวนถอยกลับไป ฝ่ายเจ้าพระยาพระคลังซึ่งนำทัพเรือล่องผ่านคลองหวิญเต๊กลับบันทายมาศ ปรากฏว่าคลองหวิญเต๊ในเวลานั้นน้ำน้อยตื้นเขินทำให้ทัพเรือไปต่อไม่ได้ เจ้าพระยาพระคลังฯจึงให้ยกเรือขึ้นบกแล้วใช้ช้างลากไปยังเมืองกำปอต ปรากฏว่าชาวกัมพูชาในกองช้างนั้นลุกฮือขึนสังหารกองช้างฝ่ายไทยสิ้นและนำช้างไปหมด[6] หลังจากที่เจ้าพระยาพระคลังละทัพเรือไปอยู่ที่บันทายมาศแล้วในวันแรมสิบสามค่ำ (6 กุมภาพันธ์) ทัพเรือญวนมาโจมตีเมืองโจดกอีกครั้งแม้เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯจะต้านทานญวนได้แต่ก็เห็นว่าไม่อาจรักษาเมืองโจดกได้ จึงถอนทัพสยามออกจากเมืองโจดกไปยังเมืองเมืองเชิงกรรชุมในกัมพูชา และเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) กวาดต้อนชาวเมืองบันทายมาศ เมืองกำปอด และเมืองกำปงโสม รวมทั้งชาวญวนเข้ารีต ถอยออกจากเมืองบันทายมาศไปตั้งที่จันทบุรี

หลังจากความพ่ายแพ้ของทัพฝ่ายสยามแล้ว บรรดาขุนนางราษฎรชาวกัมพูชาจึงลุกฮือรวมตัวกันเป็นกองกำลังเพื่อขับไล่ทัพสยามออกจากกัมพูชา[11] ทัพของเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯถูกชาวกัมพูชาเข้าโจมตีแบบกองโจร เจ้าพระยาบดินทรเดชาอยู่ที่เมืองเชิงกรรชุม หรือเมืองตรัง (Treang) พระยาพิษณุโลกเจ้าเมืองเชิงกรรชุม กวาดต้อนชาวกัมพูชาเมืองเชิงกรรชุม จำนวน 2,069 คน[6]กลับตามเจ้าพระยาบดินทรเดชาไปที่เมืองพนมเปญ

ที่เมืองพนมเปญ เมื่อเห็นว่าชาวกัมพูชาลุกฮือขึ้นต่อต้านสยาม เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯจึงให้นักองค์อิ่ม นักองค์ด้วง และเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (เชด) ทำลายกำแพงเมืองพนมเปญแล้วกวาดต้อนชาวเมืองพนมเปญกลับไปเมืองโพธิสัตว์ ชาวเมืองพนมเปญลุกฮือขึ้นต่อต้าน เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) มาพบกับนักองค์อิ่ม นักองค์ด้วง และเจ้าพระยาอภัยภูเบศรที่เมืองโพธิสัตว์ในวันขึ้นแปดค่ำเดือนสี่ (15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2377) แล้วทั้งหมดจึงล่าถอยไปอยู่ที่เมืองพระตะบอง ฝ่ายแม่ทัพญวนเจืองมิญสางและเหงียนซวนเมื่อเห็นว่าฝ่ายสยามล่าถอยกลับไปแล้ว จึงนำกำลังเข้ายึดเมืองโจดกและห่าเตียน

การรุกไล่ของเวียดนาม และการลุกฮือของกัมพูชา

[]

ฝ่ายกัมพูชาพระยาจักรี (หลง) ซึ่งได้แตกพ่ายหนีไปบาพนมนั้น ได้พบกับพระยายมราช (โห้) เกณฑ์กำลังชาวเขมรในเขตเมืองบาพนมและเมืองทโบงขมุม ได้ 1,000 คน ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านสโมงในเขตเมืองไพรแวง[11] ฝ่ายทัพของพระยาราชนิกูล (เสือ) และพระยานครราชสีมา (ทองอิน) ซึ่งยกทัพบกไปทางตะวันออกข้ามแม่น้ำโขงไปผ่านเขตบาพนมใกล้จะถึงเมืองไซ่ง่อนนั้น ถูกกองกำลังของกัมพูชาของพระยาจักรี (หลง) และพระยายมราช (โห้) เข้าซุ่มโจมตี[11]ที่ตำบลบ้านสโมง (Smaong) เขตไพรแวง ในการรบที่สโมง หลังจากนั้นพระยาราชนิกูลและพระยานครราชสีมาจึงทราบว่าทัพฝ่ายสยามได้ล่าถอยไปแล้ว จึงเดินทัพกลับมาที่แม่น้ำโขงพบว่าเรือข้ามแม่น้ำสูญหายไปหมด พระยาพิชัยสงคราม (เพชร) จึงต่อแพเป็นสะพานขึ้นข้ามแม่น้ำโขงทำให้ทัพของพระยาราชนิกูลและพระยานครราชสีมาสามารถข้ามแม่น้ำโขงกลับมาได้

ฝ่ายญวนเวียดนาม แม่ทัพญวน"องจัญเบีย"เลได่เกือง รวมทั้งเหงียนซวนและเจืองมิญสาง ติดตามกองทัพไทยที่กำลังถอยหนี โดยที่เหงียนซวนยกติดตามไปทางทะเลธมหรือทางแม่น้ำโขง ในขณะที่องจัญเบียยกติดตามไปทางทะเลสาบเขมร[11] ฝ่ายพระยานครสวรรค์แม่ทัพสยามมีความขัดแย้ง[6]กับพระยาราชนิกูลและพระยานครราชสีมาจึงไม่ยอมข้ามสะพานแพ ยกทัพ 1,000 คนขึ้นไปทางเหนือเลียบแม่น้ำโขงแต่ถูกกองกำลังกัมพูชาและญวนสังหารสิ้น ทัพของพระยาราชนิกูลและพระยานครราชสีมาข้ามแม่น้ำโขงมาแล้วเจอกองกำลังของกัมพูชาและเวียดนามแต่สามารถเอาชนะได้และมาตั้งที่เมืองกำพงสวาย พระยาจักรี (หลง) และพระยายมราช (โห้) แม่ทัพกัมพูชาทั้งสองยกติดตามทัพสยามมาถึงกำพงสวาย เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯจึงให้พระยาราชนิกูลและพระยานครราชสีมากวาดต้อนชาวเมืองกำพงสวายและเมืองสะโทง กลับไปไว้ที่เมืองนครราชสีมา เมืองสุรินทร์ และเมืองสังขะ[6]

หลังจากที่ทัพสยามล่าถอยไปจนหมดแล้ว พระเจ้ามิญหมั่งจึงมีพระราชโองการให้"องจัญเบีย"เลได่เกือง ข้าหลวงญวนประจำกัมพูชา นำพระอุไทยราชานักองค์จันทร์กลับขึ้นมาครองกัมพูชาที่เมืองพนมเปญบันทายแก้วอีกครั้งดังเดิม ในเดือนห้า พ.ศ. 2377 พระอุไทยราชานักองค์จันทร์ประทับอยู่ที่โพธิ์พระบาท ในเวลานั้นเจ้าฟ้าทะละหะ (สวด) ล้มป่วยถึงแก่กรรม พระอุไทยราชาทรงปูนบำเหน็จขุนนางกัมพูชาที่มีความชอบได้แก่ พระยาจักรี (หลง) ให้เป็นเจ้าฟ้าทะละหะ และพระยายมราช (โห้) ให้เป็นที่สมเด็จเจ้าพระยา[11]

สงครามเมืองพวน

[]

ทัพสยามที่ยกทัพไปทางเมืองลาวฝ่ายเหนือนั้น พระมหาเทพ (ป้อม) ตั้งทัพที่นครพนม พระราชวรินทร์ (ขำ) ตั้งมั่นที่หนองคาย และเจ้าพระยาธรรมธิกรณ์ (สมบุญ) ไปถึงเมืองหลวงพระบางเมื่อแรม 9 ค่ำ เดือนสาม (2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2377)[6]

  • ในเดือนสามปีพ.ศ. 2377 (มกราคม พ.ศ. 2377) พระมหาเทพยกทัพจากเมืองนครพนมเข้าตีเมืองมหาชัย (Mahaxay) เมืองพอง (Muang Pong) เมืองพลาน (Muang Phalan) และเมืองชุมพร (Champhone) ซึ่งเป็นหัวเมืองลาวที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของเวียดนาม กวาดต้อนชาวลาวส่งไปถึงเมืองนครราชสีมา
  • ฝ่ายเมืองพวนอาณาจักรเชียงขวาง หลังจากที่เจ้าน้อยเมืองพวนถูกประหารชีวิตในพ.ศ. 2372 เวียดนามเข้าปกครองอาณาจักรเชียงขวางโดยตรงกลายเป็นแคว้นเจิ๊นนิญ เมื่อทัพสยามเข้ารุกรานอาณาจักรเชียงขวางพระเจ้ามิญหมั่งจึงทรงแต่งตั้งเจ้าสานอดีตขุนนางเมืองพวนมาครองเมืองพวนเชียงขวางเพื่อตั้งรับศึกกับสยาม พระราชวรินทร์และพระปทุมเทวาภิบาล (บุญมา) เจ้าเมืองหนองคายส่งสาส์นไปเกลี้ยกล่อมเจ้าสานเมืองพวนให้เข้ามาสวามิภักดิ์ฝ่ายสยาม เจ้าสานเมืองพวนจึงแปรพักตร์มาเข้ากับฝ่ายสยามและส่งพันแสงมารับพระราชวรินทร์ที่ท่าข้ามช้างและนำทางให้ทัพของพระราชวรินทร์เข้าเมืองพวนในวันแรมหกค่ำเดือนสี่ (กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2377) นำไปสู่การรบที่เมืองพวน พระราชวรินทร์โจมตีสังหารทหารฝ่ายเวียดนามห้าร้อยคนหมดสิ้น
  • เจ้าพระยาธรรมธิกรณ์ (สมบุญ) ได้ทัพหัวเมืองเหนือพิชัย สวรรคโลก พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย และเมืองแพร่ เข้ามาสมทบ และได้ทัพลาวหลวงพระบางมาสมบทอีก 2,000 คน[6] เจ้าพระยาธรรมธิกรณ์และเจ้ามันธาตุราชเจ้าเมืองหลวงพระบางยังไม่ทราบว่าเมืองพวนได้แปรพักตร์มาเข้ากับฝ่ายสยามแล้ว จึงส่งทัพหัวเมืองเหนือและลาวไปจากหลวงพระบางนำโดยพระยาสวรรคโลกและเจ้าอุปฮาด (เจ้าสุกเสริม) ไปโจมตีเมืองพวนในวันแรม 3 ค่ำ เดือนสี่ (25 กุมภาพันธ์) พระยาสวรรคโลกส่งสาส์นผ่านพระยาเมืองแผนขุนนางลาวเกลี้ยกล่อมให้เมืองพวกแปรพักตร์ เจ้าสานเมืองพวนจึงส่งเจ้าอุปราชเมืองพวนและเจ้าเมืองสุยมาพบกับพระยาสวรรคโลกร้องขอให้พระยาสวรรคโลกนำทัพเข้าตีทัพญวนที่เมืองสุย (Muang Soui) นำไปสู่การรบที่เมืองสุย พระยาสวรรคโลกส่งพระยาพิชัยนำทัพ 500 นายไปสังหารทหารญวนสองร้อยคนที่เมืองสุยจนสิ้นแล้ว พระยาสวรรคโลกจึงเข้ายึดเมืองสุย และได้ทราบข่าวว่าพระราชวรินทร์ได้เข้ายึดเมืองพวนไว้แล้ว พระยาสวรรคโลกจึงส่งเจ้าอุปราชเมืองพวนให้แก่พระเจ้ายาธรรมาฯที่หลวงพระบาง เจ้าพระยาธรรมาฯส่งตัวเจ้าอุปราชเมืองพวนมายังกรุงเทพฯ เจ้าพระยาธรรมธิกรณ์ส่งทัพลาวเมืองหลวงพระบางไปตีเมืองหัวพันห้าทั้งหก ชาวไทดำไทแดงหัวพันทั้งห้าหกเมื่อทราบว่าทัพสยามยกมาจึงพากับหลบหนีเข้าป่า เจ้าพระยาธรรมาฯจึงให้เพี้ยอรรคฮาดขุนนางลาวไปเจรจาเกลี้ยกล่อมให้ชาวไทดำไทแดงทั้งหลายของเมืองหัวพันฯเข้าสวามิภักดิ์ต่อสยาม บรรดาเจ้าเมืองหัวพันฯสัญญาว่าจะเข้ามาอยู่ในอำนาจของสยามเพี้ยอรรคฮาตจึงยกทัพกลับ ในขณะนั้นเจ้าพระยาธรรมธิกรณ์เฝ้ารอเจ้าเมืองหัวพันฯทั้งหลายมาสวามิภักดิ์ก็ไม่มา จนเจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ล้มป่วยต้องกลับเข้ากรุงเทพฯ

ช่วงระหว่างสงคราม พ.ศ. 2378 - 2383

[]

เวียดนามผนวกกัมพูชา

[]

หลังจากที่เอาชนะสามารถต้านทานการรุกรานของสยามได้สำเร็จ ฝ่ายเวียดนามราชวงศ์เหงียนจึงเข้ายึดครองกัมพูชา พระเจ้ามิญหมั่งปูนบำเหน็จให้แม่ทัพผู้มีความดีความชอบ โดยเลื่อน เหงียนซวน ขึ้นเป็นต๋าเตื๊องกวน และแต่งตั้งเจือง มิญ สาง เป็นผู้ว่าจังหวันอานซางและห่าเตียน เป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับกัมพูชา กลางปีพ.ศ. 2377 เจืองมิญสางทำฎีกาถวายพระเจ้ามิญหมั่ง ขอให้เวียดนามยึดผนวกเอากัมพูชาเข้าไปปกครองโดยตรง เพื่อสร้างเสถียรภาพและยุติความวุ่นวายในอนาคต ต่อมาไม่นานสมเด็จพระอุไทยราชานักองค์จันทร์กษัตริย์กัมพูชาประชวรถึงแก่พิราลัยเมื่อขึ้นแปดค่ำเดือนยี่[11] (6 มกราคม พ.ศ. 2378) นักองค์จันทร์ไม่มีพระโอรสมีแต่พระธิดาสี่องค์ได้แก่;

  • นักองค์แบน ประสูติแต่นักนางเทพ ซึ่งเป็นธิดาของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน)
  • นักองค์มี ประสูติแต่นักนางกระจับ
  • นักองค์เภา ประสูติแต่นักนางยศ
  • นักองค์สงวน ประสูติแต่นักนางแป้น (ซึ่งเป็นน้องของนักนางกระจับ)

ส่วนนักองค์อิ่มและนักองค์ด้วงเจ้าชายกัมพูชาทั้งสองพระองค์นั้น อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของสยามที่เมืองพระตะบอง อำนาจในกัมพูชาจึงตกอยู่ที่เสนาบดีได้แก่เจ้าฟ้าทะละหะ (หลง) สมเด็จเจ้าพระยา (โห้) และพระยาจักรี (แก้ว) พระเจ้ามิญหมั่งทรงเห็นเป็นโอกาสที่จะผนวกกัมพูชาตามคำแนะนำของเจืองมิญสาง จึงมีพระราชโองการให้ผนวกเอากัมพูชาเข้ามาปกครองโดยตรง เป็นมณฑลเจิ๊นเตย (Trấn Tây Thành, 鎮西城) และพระเจ้ามิญหมั่งยังแต่งตั้งให้นักองค์มี เป็นเกวิ่นจั๊ว (Quận chúa, 郡主) แห่งกัมพูชา เป็นกษัตรีแห่งกัมพูชา และเจ้าหญิงกัมพูชาอีกสามองค์ให้ดำรงตำแหน่งเป็นเหวิยนเกวิน (Huyện quân, 縣君) พระเจ้ามิญหมั่งทรงข้ามนักองค์แบน ซึ่งเป็นพระธิดาองค์โตสุด ไปแต่งตั้งให้นักองค์มี พระธิดาองค์รองให้เป็นกษัตรีกัมพูชาแทน เนื่องจากพระเจ้ามิญหมั่งทรงเห็นว่านักองค์แบนมีสายสัมพันธ์กับสยาม

image
กัมพูชาภายใต้การปกครองของเวียดนามในมณฑลเจิ๊นเตย พ.ศ. 2378 ถึง พ.ศ. 2384 มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองเจิ๊นเตยหรือพนมเปญ

พระเจ้ามิญหมั่งทรงแบ่งกัมพูชาออกเป็น 33 จังหวัด ทรงแต่งตั้งเจืองมิญสางให้เป็น เจิ๊นเตยเตื๊องเกวิน (Trấn Tây tướng quân, 鎭西將軍) หรือผู้บัญชาการทหารแห่งเจิ๊นเต็ยเป็นที่มาของชื่อ "องเตียนกุน" (Ông Tương Quân, 翁將軍 พงศาวดารกัมพูชาเรียกว่า "องเลิ้งกุน") และตั้งให้เล ได่ เกือง (Lê Đại Cương) เป็นทามต๊านได่เทิ่น (Tham tán đại thần) หรือที่ปรึกษาขององเตียนกุนเป็นปลัดผู้ช่วย เมืองพนมเปญซึ่งญวนเรียกว่าเมืองเจิ๊นเตย เป็นศูนย์กลางการปกครองของเวียดนามในกัมพูชา พระเจ้ามิญหมั่งและเจืองมิญสางมีนโยบายกลืนชาติกัมพูชาให้ชาวกัมพูชาเข้าสู่วัฒนธรรมขงจื๊อและแต่งกายแบบญวน เจืองมิญสางให้มีการฝึกทหารกัมพูชาและเวียดนามในเมืองพนมเปญเพื่อเตรียมรับมือทัพสยาม

เมื่อเวียดนามสามารถขับไล่ทัพสยามและสถาปนาการปกครองในกัมพูชาได้แล้ว จึงสามารถหันกลับไปปราบกบฎเลวันโคยได้อย่างเต็มที่ เลวันโคยผู้นำกบฎล้มป่วยสิ้นชีวิตที่เมืองไซ่ง่อน บุตรชายของเลวันโคยอายุเพียงแปดขวบชื่อว่าเล วัน กู่ (Lê Văn Cù) จำต้องขึ้นเป็นผู้นำกบฎต่อมา ทำให้ขบวนการกบฎของเลวันโคยเสื่อมถอยกำลังลง ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2378 เหงียนซวน นำทัพเข้าโจมตียึดเมืองไซ่ง่อนจากกบฎได้สำเร็จ ฝ่ายเหงียนได้ขุดศพของเลวันโคยขึ้นมา ตัดร่างแบ่งออกเป็นหกส่วนส่งกระจายออกไปยังหกแคว้น นำชิ้นส่วนทิ้งลงส้วมสุขาและป้อนให้สุนัขกิน ครอบครัวของเลวันโคยรวมทั้งผู้สมรู้ร่วมคิดการกบฎต่างถูกจับกุมไปไต่สวนที่เมืองเว้และประหารชีวิตตัดศีรษะเสียบประจาน รวมทั้งโฌแซ็ฟ มาร์ช็อง (Joseph Marchand) บาทหลวงชาวฝรั่งเศส เหงียนซวน แม่ทัพใหญ่ของเวียดนาม ผู้ปราบกบฎเลวันโคยและต่อสู้กับทัพสยาม ได้ล้มป่วยถึงแก่กรรมเมื่อปลายปีพ.ศ. 2378 ทำให้เหลือเจืองมิญสาง (Trương Minh Giảng) เป็นแม่ทัพผู้มีความดีความชอบ

หัวพันห้าทั้งหก

[]

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯโปรดฯให้เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ (สมบุญ) กลับไปจัดการเรื่องเมืองพวนและเมืองหัวพันห้าทั้งหกอีกครั้ง เมื่อฝ่ายสยามเข้าครองเมืองพวนอาณาจักรเชียงขวางแล้ว เห็นว่าอาณาจักรเชียงขวางเป็นเมืองห่างไกลป้องกันยาก หากเวียดนามเข้าโจมตีอีกครั้งจะไม่สามารถป้องกันได้และจะยึดเชียงขวางเป็นเส้นทางเสบียง เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์จึงให้ปลัดเมืองพิษณุโลกและยกกระบัตรเมืองสุโขทัยกวาดต้อนเจ้าสานเมืองพวน ชาวเมืองพวน ชาวไทพวนจากเมืองพวนทั้งหมดสิ้นมาไว้ที่เมืองน่าน แพร่ ศรีสัชนาลัย พิชัย พิจิตร พิษณุโลก และเพชรบูรณ์[12] ทำให้อาณาจักรเชียงขวางกลายเป็นเมืองรกร้างปราศจากผู้คน เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ให้เพี้ยอรรคฮาตไปเกลี้ยกล่อมชาวไทดำไทแดงอีกครั้ง นำตัวแทนจากเมืองเหียม เมืองหัวเมือง เมืองซวน และเมืองซำเหนือ มาพบกับเจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ที่หลวงพระบาง บรรดาหัวเมืองของเมืองหัวพันฯจึงยินยอมเข้ามาอยู่ภายใต้อำนาจของสยาม โดยขึ้นกับอาณาจักรหลวงพระบาง ฝ่ายเวียดนามพระเจ้ามิญหมั่งเมื่อเห็นว่าสยามกวาดต้อนชาวไทพวนเชียงขวางไปจนหมดสิ้น บ้านเมืองว่างเปล่า จึงแต่งตั้งเจ้าโปซึ่งเป็นบุตรชาวของเจ้าน้อยมาครองเมืองพวน รวบรวมชาวไทพวนที่ยังคงหลงเหลืออยู่ตั้งเป็นบ้านเมืองขึ้นใหม่

การเตรียมการของสยาม

[]
image
การลำเลียงกองทัพเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิง สิงหเสนี) เมื่อ พ.ศ. 2380[13]

หลังจากที่ทัพของเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) ถอยมาอยู่ที่เมืองพระตะบองแล้วนั้น เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (เชด) ถึงแก่อสัญกรรม พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯจึงมีพระราชโองการให้ตั้งนักองค์อิ่มขึ้นปกครองเมืองพระตะบองแทนที่เจ้าพระยาอภัยภูเบศร และให้นักองค์ด้วงเป็นเจ้าเมืองมงคลบุรี เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯจึงเดินทางกลับกรุงเทพฯในเดือนหก

หลังจากสงครามฝ่ายสยามมีการเตรียมการรับมือศึกเวียดนามที่อาจจะยกมารุกเป็นการตอบแทน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯทรงให้มีการเตรียมการรับมือข้าศีกเวียดนามดังนี้;[6]

  • ให้เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) นำกำลังชาวจีนต่อเรือป้อมแบบญวนขึ้นแปดสิบลำ
  • ให้จมื่นไวยวรนาถ (ช่วง บุนนาค) ต่อเรือกำปั่นขึ้นสองลำ
  • ให้เจ้าพระยาพระคลังไปรื้อกำแพงเมืองจันทบุรีลงแล้วสร้างป้อมปราการขึ้นใหม่คือป้อมเนินวง ให้บุตรชายของพระยาพระคลังคือ จมื่นไวยวรนารถ (ช่วง) ต่อเรือแกล้วกลางสมุทรและระบิลบัวแก้วที่จันทบุรี และจมื่นราชามาตย์ (ขำ) สร้างป้อมสองแห่งได้แก่ ป้อมภัยพินาศ และป้อมพิฆาตปัจจามิตร
  • ให้กรมหลวงรักษ์รณเรศทรงสร้างป้อมเมืองฉะเชิงเทรา
  • ให้กรมหมื่นเดชาดิศร กรมหมื่นเสพสุนทร และกรมหมื่นณรงค์หริรักษ์ เป็นแม่กองทำกำแพงเชิงเทินเมืองสมุทรปราการ และสร้างป้อมคงกระพัน (ตำบลปากคลองปลากด อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรสงคราม)
  • ให้พระยาราชสุภาวดี (โต) ไปประจำที่เมืองกบินทรบุรีและปราจีนบุรี เพื่อตั้งกองลำเลียงเสบียงไปเมืองพระตะบอง ต่อมาให้พระยาราชสุภาวดีบูรณะกำแพงเมืองเสียมราฐ
  • เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2380 ให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา พระมหาเทพ (ป้อม) และพระพิเรนทรเทพ (ขำ) เดิมคือพระราชวรินทร์ เดินทางไปสำรวจกำลังพลจัดทำบัญชีหัวเมืองเขมรป่าดงและภาคอีสานเพื่อเตรียมกำลังสำหรับสงคราม ได้กำลังไพร่พลทั้งสิ้น 80,000 คน
  • ให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯบูรณะปรับปรุงสร้างกำแพงเมืองพระตะบองขึ้นใหม่

องค์อิ่มแปรพักตร์และกัมพูชากบฏต่อเวียดนาม

[]

ฝ่ายญวนองเตียนกุนให้สมเด็จเจ้าพระยา (โห้) ไปตั้งกำลังอยู่ที่เมืองกำปงสวาย ฝ่ายสยามจึงมีพระราชโองการให้พระยาราชนิกูล (เสือ) นำกำลัง 1,000 คน ไปตั้งที่เมืองอุบลและจำปาศักดิ์ ทำป้อมค่ายหอรบที่เมืองทั้งสอง องเตียนกุนให้ฝึกทหารที่เมืองพนมเปญ

เมื่อกัมพูชาอยู่ภายใต้การปกครองของเวียดนามโดยมีเจ้าสตรีเป็นหุ่นเชิด นักองค์อิ่มจึงมีความคิดที่จะแปรพักตร์ไปเข้ากับฝ่ายญวนเพื่อให้ญวนตั้งขึ้นครองกัมพูชา "องเตียนกุน"เจืองมิญสางมีหนังสือลับมาถึงนักองค์อิ่มเกลี้ยกล่อมให้นักองค์อิ่มแปรพักตร์ นักองค์อิ่มจึงหาความเท็จใส่ร้ายนักองค์ด้วง[11] มีหนังสือเข้ามาที่กรุงเทพฯในเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2380 แจ้งว่านักองค์ด้วงซ่อมสุมผู้คน เป็นเหตุให้พระยาปลัดเมืองพระตะบอง (รศ) จับคุมตัวนักองค์ด้วงส่งมายังกรุงเทพฯ ทรงให้จองจำนักองค์ด้วงไว้ที่ทิมดาบ ต่อมาพระยาศรีสหเทพ (เพ็ง ศรีเพ็ญ) กราบทูลขอพระราชทานปล่อยตัวนักองค์ด้วง ไปอยู่ที่บ้านของพระยาศรีสหเทพ[6]

วันแรมสามค่ำ เดือนอ้าย ปีพ.ศ. 2381[6] (27 ธันวาคม) นักองค์อิ่มแปรพักตร์ไปเข้ากับฝ่ายเวียดนามยึดอำนาจในเมืองพระตะบองจับตัวพระยาปลัดเมืองพระตะบอง (รศ) รวมทั้งกรมการข้าราชการฝ่ายสยามและกวาดต้อนชาวเมืองพระตะบองเดินทางไปยังเมืองพนมเปญเพื่อสวามิภักดิ์ต่อเจืองมิญสาง รวมทั้งได้นำตัวนักนางรศ (มารดาของนักองค์อิ่มและนักองค์ด้วง) รวมทั้งธิดาสามองค์ของนักองค์ด้วง ไปเข้ากับฝ่ายเวียดนามด้วย เจืองมิญสางให้ประหารชีวิตกรมการผู้น้อยฝ่ายสยามที่เมืองพนมเปญ แล้วจับกุมนักองค์อิ่มและพระยาปลัดเมืองฯ (รศ) ส่งไปที่เมืองเว้ พระยาปลัด (รศ) ถูกประหารชีวิตที่เมืองเว้ เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯทราบข่าวการแปรพักตร์ของนักองคือิ่ม เมื่อเดือนมกราคมพ.ศ. 2382 จึงรีบเดินทางไปยังเมืองพระตะบองและเกณฑ์กำลังจากเขมรป่าดงเข้ามารักษาเมืองพระตะบอง

ในพ.ศ. 2383 พระเจ้ามิญหมั่งมีนโยบายลดอำนาจขุนนางกัมพูชาและเข้าควบคุมกัมพูชาอย่างเบ็ดเสร็จมากขึ้น เจืองมิญสางให้เจ้าฟ้าทะละหะ (หลง) และสมเด็จเจ้าพระยา (โห้) เสนาบดีกัมพูชา เดินทางไปเข้าเฝ้าพระเจ้ามิญหมั่งที่เมืองเว้ ซึ่งพระเจ้ามิญหมั่งได้ให้การต้อนรับเสนาบดีกัมพูชาเป็นอย่างดี แต่ทว่าต่อมาพระเจ้ามิญมั่งให้จับกุมเจ้าฟ้าทะละหะ (หลง) และสมเด็จเจ้าพระยา (โห้) ในข้อหาทำงานไม่เป็นราชการ แล้วเนรเทศเจ้าฟ้าทะละหะ (หลง) และสมเด็จเจ้าพระยา (โห้) จากเมืองเว้ ไปอยู่ที่เมืองฮานอยและบั๊กนิญในเวียดนามภาคเหนือตามลำดับ ในกลางปีพ.ศ. 2383 พระเจ้ามิญหมั่งให้ลดตำแหน่งของนักองค์มี จาก"กษัตรีแห่งกัมพูชา"ลดลงเหลือเป็น"เจ้าหญิงแห่งหมีเลิม" (Mỹ Lâm quận chúa)[14] รวมทั้งลดยศของนักองค์แบน นักองค์เภา และนักองค์สงวนด้วย อันเป็นขั้นตอนในการผนวกกัมพูชารวมเข้ากับเวียดนาม พระเจ้ามิญหมั่งแต่งตั้งให้เลวันดึ๊ก (Lê Văn Đức, 黎文德) มาเป็นเคิมซายได่เถิ่น (Khâm sai đại thần,[8] 欽差大臣) เป็นข้าหลวงเวียดนามคนใหม่ในกัมพูชา องเตียนกุนเจืองมิญสาง และองคำสายเลวันดึ๊ก ร่วมกันปฏิรูปการปกครองในกัมพูชา ให้ฝ่ายเวียดนามเข้ามาควบคุมกัมพูชามากขึ้น

ในเดือนเก้า (สิงหาคม) พ.ศ. 2383 องเตียนกุนเจืองมิญสางค้นพบว่า นักองค์แบนเจ้าหญิงกัมพูชา ที่มีมารดาคือนักนางเทพ เป็นบุตรของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์นั้น นักองค์แบนได้ลอบติดต่อกับนักนางเทพ และลุงคือพระองค์แก้ว (มา) ที่เมืองพระตะบอง เพื่อที่นักองค์แบนจะได้หลบหนีออกจากเมืองเจิ๊นเตยพนมเปญ ไปเข้ากับฝ่ายไทยที่เมืองพระตะบอง เจืองมิญสางจึงมีคำสั่งให้ลงโทษเจ้าหญิงกัมพูชาทั้งสี่องค์ โดยที่ให้จับกุมตัวนักองค์แบน และให้นำตัวนักองค์มี นักองค์เภา นักองค์สงวน พร้อมทั้งพระขรรค์ราชย์กัมพูชา ลงไปประทับอยู่ที่เมืองไซ่ง่อน[15] การสอบสวนนักองค์แบนเป็นไปอย่างเป็นความลับ จนกระทั่งนักองค์แบนถูกนำตัวลงไปสำเร็จโทษประหารชีวิตด้วยการถ่วงน้ำที่เมืองล่องโห้ การที่ฝ่ายเวียดนามได้ลงโทษต่อเจ้านายสตรีกัมพูชาเช่นนี้ ทำให้บรรดาขุนนางพระยาเขมรเจ้าเมืองต่างๆ มีความตกใจกลัว มีความเดือดร้อนและมีความเจ็บแค้นอย่างมาก

เดือนสิบ (กันยายน) พ.ศ. 2383 ขุนนางพระยาเขมรเจ้าเมืองตามภูมิภาคต่างๆของกัมพูชา จึงลุกฮือขึ้นปลุกระดมให้ชาวกัมพูชาเข่นฆ่าชาวเวียดนามในพื้นที่ของตน เพื่อต่อต้านและล้มล้างอำนาจการปกครองของเวียดนามมณฑลเจิ๊นเตยในกัมพูชา ประกอบด้วย;[16]

  • พระยาอุไทยธิราช (หิง) เจ้าเมืองสำโรงทอง ลุกฮือขึ้นที่เมืองสำโรงทอง ตั้งชุมนุมอยู่ที่ทางตะวันตกของเมืองพนมเปญ
  • พระยาวงษานุชิต (มี) เจ้าเมืองบาที ลุกฮือขึ้นที่เมืองบาที ตั้งชุมนุมอยู่ทางใต้ของเมืองพนมเปญ
  • พระยาราชเดช (นวง) ตั้งตนขึ้นเป็นพระยาจักรี (นวง) ตั้งชุมนุมอยู่ที่เมืองบาพนม ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกัมพูชา มีอำนาจในภูมิภาคฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขง เมืองบาพนม เมืองลำดวน เมืองสวายพาบ
  • พระยาเชษฐมนตรี (บา) ลุกฮือขึ้นที่เมืองบาราย (โคกแสะ) สังหารชาวเวียดนาม และเจ้าเมืองกัมพูชาที่ภักดีต่อเวียดนาม ที่เมืองเชิงไพร เมืองกำปงเสียม
  • พระยาเสนานุชิต (เม้า) เจ้าเมืองกำปอด ส่งทัพกัมพูชาเข้าโจมตีเมืองห่าเตียนของเวียดนาม
  • พระยานเรนทรเสนา (แทน) และพระยาวรชุน (คง) เจ้าเมืองตโบงคมุม ตั้งชุมนุมอยู่ที่เมืองโฉลง เข้าโจมตีค่ายเวียดนามที่เมืองสมบุกทางฝั่งแม่น้ำโขง

ฝ่ายขุนนางข้าราชการเวียดนามและชาวเวียดนามในกัมพูชา ถูกฝ่ายกัมพูชาเข้าโจมตีสังหารด้วยความโกรธแค้น จึงจำต้องล่าถอยเข้าสู่ป้อมค่ายตามหัวเมืองสำคัญ ได้แก่ เมืองพนมเปญ เมืองโพธิสัตว์ เมืองกำปงธม และเมืองสมบุก องเตียนกุนเจืองมิญส่งส่งทัพเวียดนามและทัพกัมพูชาที่ยังภักดีต่อเวียดนาม ออกต่อสู้กับกบฏชุมนุมต่างๆแต่ไม่เป็นผล เดือนสิบ (กันยายน) พระยาสังขโลก (หมก) เจ้าเมืองโพธิสัตว์ เดินทางเข้ามาสวามิภักดิ์ต่อเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯที่เมืองพระตะบอง แจ้งว่าฝ่ายเวียดนามได้ทำการปกครองกดขี่ข่มเหงกัมพูชาจนได้รับความเดือดร้อนโดยทั่วไป พระยาสังขโลก (หมก) ร้องขอให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯยกทัพเข้าช่วยเหลือขุนนางกัมพูชาในการต่อสู้ขับไล่ชาวเวียดนามไปให้พ้นจากกัมพูชา ฝ่ายเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯยังรอคอยดูท่าทีของขุนนางกัมพูชาว่า หากฝ่ายไทยยกทัพเข้าสู่กัมพูชาแล้ว ขุนนางกัมพูชาจะเข้ากับฝ่ายไทยหรือไม่ จนกระทั่งเดือนสิบสอง (พฤศจิกายน) พ.ศ. 2383 บรรดาพระยาเขมรหัวหน้าชุมนุมต่างๆเขียนหนังสือถึงเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯ ขอให้ฝ่ายไทยปล่อยตัวนักองค์ด้วง ซึ่งอาศัยอยู่กับพระยาศรีสหเทพที่กรุงเทพนั้น ออกมาเป็นเจ้ากัมพูชา และเป็นผู้นำในการต่อสู้กับเวียดนาม[16]

สงครามในปีพ.ศ. 2383 - 2388

[]

สยามโจมตีกัมพูชา พ.ศ. 2383

[]
สยามโจมตีกัมพูชา พ.ศ. 2383
image
แผนที่ยุทธศาสตร์อินโดจีน
วันที่วันขึ้นสิบสามค่ำเดือนสิบสอง (3 พฤศจิกายน) พ.ศ. 2383[6] - วันแรมเจ็ดค่ำเดือนยี่ (14 มกราคม พ.ศ. 2384)
สถานที่
กัมพูชา: กำปงธม และโพธิสัตว์
คู่สงคราม
image อาณาจักรรัตนโกสินทร์ (สยาม) image ราชวงศ์เหงียน (เวียดนาม)
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ
image พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
image เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)
image เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอินทร์ ณ ราชสีมา)
image พระยาราชนิกูล (เสือ สนธิรัตน์)
image พระพิเรนทรเทพ (ขำ ณ ราชสีมา)
image พระพรหมบริรักษ์ (แก้ว สิงหเสนี)
image จักรพรรดิมิญ หมั่ง
image เจือง มิญ สาง
(Trương Minh Giảng)
image เล วัน ดึ๊ก
(Lê Văn Đức)
image หวอ ดึ๊ก จุง
(Võ Đức Trung)
image ดว่าน วัน ซ๊าค
(Đoàn Văn Sách)
image เหงียน กง ญั่น
(Nguyễn Công Nhàn)
กำลัง
กองทัพไทยลาวเขมรป่าดง 21,753 คน[6] กองกำลังเมืองเจิ๊นเตย 20,000 คน[6]
กองอาสาเมืองไซ่ง่อน
1,300 คน
กองอาสาจังหวัดบิ่ญดิ่ญ
3,100 คน

เมื่อเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) ได้ทราบว่ากัมพูชาลุกฮือขึ้นเป็นกบฏต่อเวียดนามทุกหัวเมือง จึงจัดทัพในการเข้ารุกกัมพูชาในปีพ.ศ. 2383 ดังนี้;[6]

  • เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯ ยกทัพจากเมืองพระตะบองเข้าตีเมืองโพธิสัตว์ ประกอบไปด้วย;
    • พระพิเรนทรเทพ (ขำ) นำทัพชาวกรุงเทพฯ 178 คน ชาวลาวอีสาน 2,612 คน รวม 2,788 คน
    • พระพรหมบริรักษ์ (แก้ว) บุตรชายของเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯ นำทัพชาวกรุงเทพฯ 205 คน และเจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) นำทัพชาวลาวอีสาน 2,445 คน รวม 2,650 คน
  • พระยาราชนิกูล (เสือ) และพระยาอภัยสงคราม นำทัพชาวลาว 2,000 คน ชาวเขมรป่าดง 11,000 คน รวม 13,000 คน ยกทัพจากเสียมราฐไปช่วยพระยาเดโช (รศ) ขุนนางกัมพูชาเจ้าเมืองกำปงสวาย

ทัพของพระยาราชนิกูล (เสือ) เดินทางออกจากเมืองพระตะบองในเดือนสิบสอง (พฤศจิกายน พ.ศ. 2383) ร่วมกับทัพกัมพูชาของพระยาเดโช (รศ) เข้าโจมตีเมืองยกทัพเข้าโจมตีเมืองกำปงธม ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครองของเวียดนามในเขตเมืองกำปงสวาย แต่ก่อนที่จะถึงเมืองกำปงธมนั้น ทัพฝ่ายไทยต้องผ่านเมืองชีแครงและเมืองสะโทงเสียก่อน ซึ่งทางเมืองสะโทงและชีแครงนั้น มีนายกองญวนชื่อว่าดว่านวันซ๊าค (Đoàn Văn Sách,[8] 段文策) และเหงียนกงญั่น (Nguyễn Công Nhàn,[8] 阮公閒) ป้องกันอยู่ พระยาราชนิกูล (เสือ) ยกทัพเข้าโจมตีเมืองชีแครง ทำไปสู่การรบที่ชีแครง ดว่านวันซ๊าคยกทัพญวนเมืองสะโตงมาช่วยเหงียนกงญั่นที่เมืองชีแครง ฝ่ายเวียดนามมีกำลังน้อยกว่าทำให้ดว่านวันซ๊าคและเหงียนกงญั่นจำต้องล่าถอยจากเมืองชีแครงไปเมืองสะโตง ฝ่ายไทยพระยาราชนิกูลจึงสามารถยึดเมืองชีแครงไว้ได้ จากนั้นพระยาราชนิกูลจึงยกทัพเข้าโจมตีเมืองสะโตง ดว่านวันซ๊าคแม่ทัพญวนต่อสู้กับฝ่ายไทยอย่างหนักจนได้รับบาดเจ็บ

ในเดือนสิบสอง (พฤศจิกายน พ.ศ. 2383) เช่นกัน ทัพใหญ่ของเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) และเจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) รวมทั้งสิ้น 8,753 คน ยกเข้าโจมตีเมืองโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นการปกครองของเวียดนามในกัมพูชาอีกแห่งหนึ่ง แม่ทัพเวียดนามที่รักษาเมืองโพธิสัตว์อยู่นั้นเป็น"องเดดก" ชื่อว่า หวอดึ๊กจุง (Võ Đức Trung,[8] 武德忠) เนื่องจากฝ่ายเวียดนามมีกำลังน้อยกว่า หวอดึ๊กจุงจึงใช้ยุทธวิธีปิดประตูเมืองตั้งรับภายในเมืองโพธิสัตว์ ในเดือนอ้าย (ธันวาคม) เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) และเจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) ให้ทัพไทยลาวยกเข้าตั้งค่ายล้อมเมืองโพธิสัตว์ทั้งสี่ด้าน นำไปสู่การล้อมเมืองโพธิสัตว์ เจ้าพระยาบดินทรเดชายื่นข้อเสนอให้หวอดึ๊กจุงยอมจำนนเจรจาสงบศึกให้ฝ่ายญวนเวียดนามถอยออกไปจากกัมพูชาทั้งหมด หวอดึ๊กจุงตอบว่าตนนั้นไม่มีอำนาจในการเจรจาสงบศึก ต้องถวายรายงานพระเจ้ามิญหมั่งเสียก่อน เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯจึงให้พูนดินขึ้นยิงปืนใหญ่เข้าใส่เมืองโพธิสัตว์ โจมตีอย่างหนักมากขึ้น เพื่อกดดันให้ฝ่ายเวียดนามเมืองโพธิสัตว์ยอมจำนนแต่โดยดี[6]

ฝ่ายองเตียนกุนเจืองมิญสาง ข้าหลวงใหญ่ของเวียดนามในกัมพูชา พร้อมทั้งเลวันดึ๊กปลัดผู้ช่วย ยกทัพเวียดนามจากเมืองเจิ๊นเตยพนมเปญจำนวน 3,100 คน ยกขึ้นมาช่วยดว่านวันซ๊าคและเหงียนกงญั่นที่เมืองสะโทง ทัพของเจืองมิญสางสามารถตีทัพไทยของพระยาราชนิกูล (เสือ) ให้แตกพ่ายไปจากเมืองสะโทงได้อย่างรวดเร็ว ฝ่ายไทยพระยาราชนิกูลถอยมาอยู่ที่เมืองชีแครง องเตียนกุน (เจืองมิญสาง) และเหงียนกงญั่น ยกทัพเวียดนามเข้าโจมตีเมืองชีแครงที่ฝ่ายไทยยึดไว้ ฝ่ายไทยไพร่พลลาวเขมรป่าดงแตกทัพหลบหนีเข้าป่าโดยที่ไม่สู้รบ "ไพร่พลในกองทัพเป็นแต่ลาวเขมรป่าดงทั้งนั้น ไทยน้อยตัว พอได้ยินเสียงกลองรบญวนสนั่นใกล้กระชั้นเข้ามา มันก็ทิ้งค่ายเสีย พากันหนีเข้าป่าไปเหมือนไก่เถื่อน นายทัพนายกองจะกดไว้ก็ไม่อยู่"[6] เป็นเหตุให้ทัพฝ่ายไทยของพระยาราชนิกูล (เสือ) ที่ทางเมืองสะโทงชีแครงนั้น ต้องปราชัยให้แก่ฝ่ายเวียดนาม พระยาราชนิกูล (เสือ) ล่าถอยกลับมาที่เมืองพนมศก ใกล้กับเมืองเสียมราฐ ในขณะที่พระยาเดโช (รศ) เจ้าเมืองกำปงสวาย หลบหนีมาอยู่ที่เมืองพระตะบอง

เมื่อสามารถขับไล่ทัพฝ่ายไทยออกไปให้พ้นจากทางเมืองกำปงธม เมืองสะโทงและชีแครงได้แล้ว องเตียนกุนเจืองมิญสาง และปลัดเลวันดึ๊ก จึงยกทัพเวียดนามข้ามทะเลสาบเขมรมาช่วยหวอดึ๊กจุงที่เมืองโพธิสัตว์ ฝ่ายเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) ได้ทราบจากเชลยชาวเวียดนามว่า องเตียนกุนตีทัพไทยแตกไปจากเมืองชีแครงแล้วและกำลังยกทัพมาช่วยทางเมืองโพธิสัตว์ เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯคาดการณ์ว่าหากองเตียนกุนยกทัพใหญ่มาช่วยทางเมืองโพธิสัตว์ ฝ่ายไทยจะสามารถเข้ายึดเมืองโพธิสัตว์ได้ยากลำบากกว่าเดิม ควรที่จะต้องบีบบังคับให้ฝ่ายเวียดนามเมืองโพธิสัตว์ยอมจำนนให้ได้ก่อนที่ทัพองเตียนกุนจะมาถึง ในวันขึ้นเจ็ดค่ำ[6] (30 ธันวาคม) เดือนยี่ พ.ศ. 2383 เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯสามารถบรรลุข้อตกลงเจรจาสงบศึกกับหวอดึ๊กจุงแม่ทัพญวนเมืองโพธิสัตว์ได้สำเร็จ ใจความว่าฝ่ายเวียดนามยินยอมถอนกำลังออกจากกัมพูชา ถึงแม้ว่าหวอดึ๊กจุงจะเป็นเพียงแม่ทัพระดับกลางไม่มีอำนาจในการทำสนธิสัญญาในระดับอาณาจักร แต่เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯได้บังคับให้แม่ทัพญวนทำสัญญา เพื่อถ่วงเวลาป้องกันไม่ให้ทัพขององเตียนกุนเข้ามาสู้รบกับฝ่ายไทยที่เมืองโพธิสัตว์ ทัพขององเตียนกุนและเลวันดึ๊กมาถึงเมืองโพธิสัตว์ในวันเดียวกันนั้นเอง แต่ทว่าองเตียนกุนพบว่าแม่ทัพญวนหวอดึ๊กจุงได้ทำสัญญาสงบศึกกับฝ่ายไทยเสียแล้ว

เมื่อทำสัญญาสงบศึกที่เมืองโพธิสัตว์แล้ว เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) จึงให้นำหวอดึ๊กจุง รวมทั้งขุนนางเวียดนาม และชาวเวียดนามเมืองโพธิสัตว์ จำนวนทั้งสิ้น 1,500 คน[6] ไปส่งทีเมืองกำปงฉนังอย่างปลอดภัย รวมทั้งเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯยังเขียนหนังสือถึง"เสนาบดีเมืองเว้"ยื่นข้อเสนอให้ฝ่ายเวียดนามถอนกำลังออกจากกัมพูชา และให้สยามและเวียดนามเป็นไมตรีต่อกันดังเดิม องเตียนกุนเจืองมิญสางมีความโกรธเคืองต่อองเดดกหวอดึ๊กจุง ว่าหวอดึ๊กจุงนั้นทรยศต่อชาติบ้านเมืองเวียดนาม ไปเจรจากับข้าศึกศัตรูโดยพลการ แต่องเตียนกุนไก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ จึงถวายรายงานพระเจ้ามิญหมั่ง พระเจ้ามิญหมั่งมีความพิโรธต่อหวอดึ๊กจุงและเจืองมิญสาง ว่าเสียรู้เสียทีแก่ฝ่ายไทย องเตียนกุนเจืองมิญสางทูลเสนอพระเจ้ามิญหมั่งว่า สมควรดูท่าทีของฝ่ายไทยเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯว่ามีความต้องการที่จะเป็นไมตรีกับเวียดนามจริงหรือไม่ ฝ่ายไทยเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) และเจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) ตั้งทัพอยู่ที่เมืองโพธิสัตว์จนหมดสิ้นเสบียงในเดือนยี่[17] (มกราคม) พ.ศ. 2384 จึงถอยทัพกลับเมืองพระตะบอง

เวียดนามถอนทัพ สยามสถาปนาอำนาจเหนือกัมพูชา

[]

พระเจ้าเวียดนามมิญหมั่งทรงแต่งตั้งให้ฝั่มวันเดี๋ยน (Phạm Văn Điển 範文典) เรียกว่า "องตาเตียนกุน" ในพงศาวดารไทย จากเมืองเว้ลงมาเป็นกิญเหลือกได่เถิ่น (Kinh lược đại thần,[8] 經略大臣) มาเป็นผู้บัญชาการทหารและมาเป็นข้าหลวงคนใหม่ที่กัมพูชา และแต่งตั้งให้เหงียนกงจื๊อ (Nguyễn Công Trứ,[8] 阮公著) มาเป็นปลัดผู้ช่วย ฝั่มวันเดี๋ยนเข้ามาควบคุมดูแลกิจการในกัมพูชาแทนที่เจืองมิญสาง ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างองเจียนกุนเจืองมิญสาง และองตาเตียนกุนฝั่มวันเดี๋ยน หนังสือถึง"เสนาบดีเมืองเว้"ของเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯนั้น มาตกอยู่กับองตาเตียนกุนฝั่มวันเดี๋ยน เนื้อความของหนังสือนั้นคือ ฝ่ายไทยจำต้องยกทัพเข้ามาช่วยเหลือกัมพูชา เนื่องจากฝ่ายเวียดนามนั้นได้กดขี่ข่มเหงกัมพูชาอย่างหนัก และเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯยังเสนอว่า ในสมัยก่อนสยามและเวียดนามเคยมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่กลับเป็นศัตรูกันนับตั้งแต่สงครามเจ้าอนุวงศ์เป็นต้นมา[6] ขอให้ราชสำนักเมืองเว้ให้พระเจ้าเวียดนามส่งทูตและราชสาส์นเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีที่กรุงเทพฯ ฝ่ายเวียดนามถือว่าการลุกฮือของกัมพูชาขึ้นเป็นกบฏนั้น เป็นกิจการภายในของเวียดนาม ซึ่งฝ่ายสยามไม่ควรเข้ามาข้องเกี่ยว องตาเตียนกุนฝั่มวันเดี๋ยนจึงเขียนหนังสือตอบเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯว่า ฝ่ายไทยเข้ารุกรานเขตแดนเวียดนามและกัมพูชาหลายครั้ง ทั้งที่ฝ่ายเวียดนามไม่เคยรุกล้ำเขตแดนของสยาม หากฝ่ายไทยต้องการเป็นไมตรีกับเวียดนาม เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯต้องถอยทัพกลับเมืองพระตะบอง และไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการในกัมพูชาอีก หนังสือขององตาเตียนกุนมาถึงเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯที่เมืองพระตะบอง ในเดือนสาม[6] (กุมภาพันธ์) พ.ศ. 2384

พระเจ้าเวียดนามมิญหมั่งสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2384 พระโอรสองค์โตของพระเจ้ามิญหมั่ง คือ เจ้าชายเหงียนฟุกเมียนตง (Nguyễn Phúc Miên Tông, 阮福綿宗) ได้ขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระเจ้าเวียดนามองค์ต่อมา พระนามว่าพระจักรพรรดิเถี่ยวจิ (Thiệu Trị, 紹治) พระเจ้าเถียวจิพระเจ้าเวียดนามพระองค์ใหม่ ทรงมีนโยบายที่แข็งกร้าวต่อกัมพูชาน้อยกว่าพระบิดาคือพระเจ้ามิญหมั่ง และมีนโยบายที่ผ่อนปรนประนีประนอมต่อกัมพูชามากกว่า

ถึงปีพ.ศ. 2384 นั้น เจ้านายกัมพูชาแล้วแต่ถูกจองจำอยู่ทั้งสิ้น นักองค์อิ่มถูกจองจำอยู่ที่เมืองเว้ นักองค์ด้วงอาศัยอยู่ที่บ้านของพระยาศรีสหเทพ (เพ็ง) ที่กรุงเทพ ส่วนเจ้านายสตรีกัมพูชาได้แก่นักองค์มี นักองค์เภา และนักองค์สงวนนั้น ถูกกักบริเวณอยู่ที่เมืองไซ่ง่อนในเวียดนามภาคใต้ เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) ได้ส่งขุนนางกัมพูชาเข้ามาถวายหนังสือจดหมายของบรรดาพระยาเขมรให้แด่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทอดพระเนตร ใจความว่าขอให้โปรดฯพระราชทานปล่อยตัวนักพระองค์ด้วงออกไปเป็นเจ้ากัมพูชาเป็นผู้นำให้แก่ขุนนางกัมพูชาในการต่อสู้ขับไล่เวียดนามให้ไปพ้นจากกัมพูชา ในเดือนสาม (กุมภาพันธ์) พ.ศ. 2384 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯจึงมีพระราชโองการให้ส่งออกนักองค์ด้วงออกไปเป็นเจ้ากัมพูชา เพื่อรักษาพุทธศาสนาและอัตลักษณ์ของชาติเขมรไม่ให้ฝ่ายเวียดนามทำลายลง "ให้พระยาเขมรมีความรักใคร่เสียดายพระพุทธศาสนา รักษาชาติสัมมาทิฐิ อย่าให้อ้ายญวนมิจฉาทิฐิครอบงำบ้านเมืองล้างพระพุทธศาสนาเสีย ให้พร้อมมูลกันทำราชการต้านทานสู้รบญวนให้แข็งแรง"[18] และให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯสถาปนานักองค์ด้วงขึ้นเป็นเจ้ากัมพูชา นักองค์ด้วงออกจากกรุงเทพถึงเมืองพระตะบองในเดือนสาม (กุมภาพันธ์) เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) จึงมีใบบอกเข้ามากราบทูลฯว่า จะทำราชการให้เมืองกัมพูชามาขึ้นแก่ไทยให้จงได้ หากไม่ได้ก็จะไม่ยอมให้กัมพูชาไปขึ้นแก่เวียดนามอีก[17]

ในต้นปีพ.ศ. 2384 องเตียนกุนเจืองมิญสางให้ถอนกองกำลังเวียดนามออกจากเมืองกำปงธมและส่วนอื่นๆของกัมพูชามารวมกันอยู่ที่เมืองเจิ๊นเตยพนมเปญ ทำให้ฝ่ายเวียดนามสูญเสียการควบคุมกัมพูชาโดยส่วนใหญ่ โดยยังมีอำนาจอยู่เฉพาะบริเวณเมืองพนมเปญเท่านั้น ฝ่ายไทยเจ้าพระยาบดินทรเดชาและนักองค์ด้วงจึงเข้าควบคุมได้กัมพูชาโดยส่วนใหญ่ เจ้าพระยาบดินทเดชาฯนำนักองค์ด้วงไปตั้งอยู่ที่เมืองโพธิสัตว์เพื่อเกลี้ยกล่อมให้ราษฎรชาวกัมพูชาเข้ามาสวามิภักดิ์ต่อนักองค์ด้วง[6]และต่อฝ่ายไทย เหงียนกงจื๊อปลัดผู้ช่วยมณฑลเจิ๊นเตยคนใหม่ (แทนที่เลวันดึ๊ก) มีความเห็นว่า หากฝ่ายเวียดนามใช้วิธีการสู้รบเพื่อปราบปรามกัมพูชาให้มาอยู่ในอำนาจดังเดิมนั้นกระทำได้ยาก เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาตั้งสู้รบเป็นกองโจรอยู่ทุกหนแห่งฝ่ายเวียดนามตั้งรับด้วยความลำบาก และยังมีฝ่ายไทยคอยให้การสนับสนุน ฝ่ายเวียดนามควรที่จะใช้วิธีให้เจ้ากัมพูชาที่อยู่ข้างฝ่ายเวียดนามให้ออกมาเกลี้ยกล่อมให้ชาวกัมพูชากลับเข้ามาสวามิภักดิ์ต่อเวียดนาม องเตียนกุนเจืองมิญสางทำฎีกาทูลถวายพระเจ้าเถี่ยวจิขอพระราชทานให้ปล่อยตัวเจ้านายสตรีกัมพูชาจากไซ่ง่อนกลับมาที่กัมพูชา พระเจ้าเถี่ยวจิจึงอนุญาตให้พระราชวงศ์กัมพูชาประกอบด้วยเจ้าหญิงนักองค์มี นักองค์เภา นักองค์สงวน ซึ่งถูกเนรเทศไปอยู่ที่เมืองไซ่ง่อนตั้งแต่พ.ศ. 2383 รวมทั้งนักนางรศมารดาขององค์อิ่มและองค์ด้วง ให้กลับมาที่กัมพูชา

คณะเจ้านายสตรีกัมพูชา นักองค์มี นักองค์เภา นักองค์สงวน นักนางรศ เสด็จจากไซ่ง่อนมาถึงเมืองเจิ๊นเตยพนมเปญ ในเดือนหก[6] (เมษายน) พ.ศ. 2384 องเตียนกุนตั้งเจ้านายกัมพูชาที่พนมเปญเกลี้ยกล่อมชาวกัมพูชาให้กลับเข้ามาสวามิภักดิ์ต่อเวียดนามแต่ไม่เป็นผล ราษฎรและขุนนางกัมพูชามีความเบื่อหน่ายต่อการปกครองของเวียดนามและเห็นว่านักองค์ด้วงคือผู้มาโปรดให้รอดพ้นจากการปกครองของเวียดนาม ฝ่ายเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) เห็นว่าฝ่ายเวียดนามเปลี่ยนนโยบาย นำเจ้ากัมพูชากลับมาเกลี้ยกล่อม จึงเกรงว่าราษฎรกัมพูชาจะไปเข้ากับนักองค์มี เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯจึงให้บุตรชายคือพระพรหมบริรักษ์ (แก้ว) ยกทัพนำนักพระองค์ด้วงไปตั้งอยู่ที่เมืองอุดง ในเดือนหก[6] (พฤษภาคม พ.ศ. 2384) อดีตราชธานีของกัมพูชาที่ถูกฝ่ายไทยเผาทำลายลงไปเมื่อพ.ศ. 2356 (ในสมัยรัชกาลที่ 2) กัมพูชาจึงแบ่งออกเป็นสองฝ่าย มีราชสำนักเจ้ากัมพูชาอยู่สองแห่ง ได้แก่ นักองค์ด้วงตั้งอยู่ที่เมืองอุดงมีฝ่ายไทยให้การสนับสนุน และนักองค์มีตั้งอยู่ที่เมืองพนมเปญมีฝ่ายเวียดนามให้การสนับสนุน ต่างฝ่ายต่างแข่งขันกันเกลี้ยกล่อมให้ราษฎรกัมพูชาเข้ามาสวามิภักดิ์

ฝ่ายเวียดนามถึงแม้ว่าจะปล่อยตัวเจ้านายสตรีกัมพูชากลับมาที่เมืองพนมเปญแล้ว แต่ชาวกัมพูชายังคงเป็นปฏิปักษ์ต่อเวียดนาม เหงียนกงจื๊อจึงทำฏีกาถวายพระเจ้าเถี่ยวจิ ขอพระราชทานให้ปล่อยตัวนักองค์อิ่มจากเมืองเว้ลงมา พระเจ้าเถี่ยวจิจึงอนุญาตให้ปล่อยตัวนักองค์อิ่ม รวมทั้งโอรสของนักองค์อิ่มคือนักองค์ภิม (นักองค์พิมพ์) ซึ่งถูกเนรเทศไปอยู่ที่จังหวัดคั้ญฮหว่าในเวียดนามภาคกลาง ให้กลับลงมาที่กัมพูชาด้วยกันเพื่อเกลี้ยกล่อมชาวกัมพูชาให้สวามิภักดิ์ต่อเวียดนาม นักองค์อิ่มและโอรสคือนักองค์ภิมเสด็จลงมาถึงกัมพูชาในเดือนสิบเอ็ด[6] (ตุลาคม พ.ศ. 2384) แต่ทว่าถึงแม้ว่านักองค์อิ่มจะกลับลงมาที่พนมเปญแล้ว แต่ราษฎรกัมพูชายังคงไม่กลับเข้าสวามิภักดิ์ต่อเวียดนาม จนสุดท้ายเมืองฝ่ายเวียดนามหมดสิ้นหนทาง บรรดาข้าหลวงเวียดนามมณฑลเจิ๊นเตย ได้แก่ องเตียนกุนเจืองมิญสาง องตาเตียนกุนฝั่มวันเดี๋ยน องตาโดเหงียนกงจื๊อ จึงทำฎีกาถวายพระเจ้าเวียดนามเถี่ยวจิ ขอพระราชทานอนุญาตให้ถอนกำลังเวียดนามและข้าราชการขุนนางเวียดนามออกมาจากกัมพูชาทั้งหมด เมื่อพระเจ้าเถี่ยวจิทรงอนุญาตแล้ว องเตียนกุนเจืองมิญสางจึงถอนกำลังเวียดนามทั้งหมดออกจากเมืองเจิ๊นเตยพนมเปญ รวมทั้งเจ้านายสตรีกัมพูชา นักองค์มี นักองค์เภา นักองค์สงวน รวมทั้งนักองค์อิ่ม นักองค์ภิมโอรสองค์อิ่ม นักนางรศมารดาองค์อิ่ม(และองค์ด้วง) ลงไปอยู่ที่เมืองโจดกในเวียดนามภาคใต้ ในเดือนสิบสอง[6] (พฤศจิกายน พ.ศ. 2384) เป็นการสิ้นสุดการปกครองของเวียดนามมณฑลเจิ๊นเตยเหนือกัมพูชา ที่ดำเนินมาเป็นเวลาหกปีนับตั้งแต่พ.ศ. 2378 ได่นามถึกหลุกกล่าวว่าเจืองมิญสางเสียชีวิตอย่างกระทันกันที่เมืองโจดก ในขณะที่พงศาวดารไทยและเขมรกล่าวว่าองเตียนกุนเจืองมิญสางมีความเสียใจที่สูญเสียกัมพูชาจึงกินยาพิษฆ่าตัวตายที่เมืองโจดกนั้นเอง

ในเดือนอ้าย[6] (ธันวาคม) พ.ศ. 2384 เมื่อฝ่ายเวียดนามได้ถอยทัพออกไปจากกัมพูชาแล้ว ฝ่ายไทยจึงสามารถเข้ามาสถาปนาอำนาจอิทธิพลเหนือกัมพูชาได้ เป็นครั้งแรกในรอบสามสิบปี นั้บตั้งแต่เมื่อสมเด็จพระอุไทยราชาฯนักองค์จันกษัตริย์กัมพูชาที่ฝักใฝ่ญวน ได้เอาใจออกจากห่างไทย ไปสวามิภักดิ์กับเวียดนามในเหตุการณ์ความขัดแย้งในกัมพูชา พ.ศ. 2354 ในสมัยรัชกาลที่ 2 เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) ซึ่งบัญชาการอยู่ที่เมืองโพธิสัตว์ และได้ส่งนักองค์ด้วงออกไปอยู่ที่เมืองอุดงนั้น ได้ยกทัพจากเมืองโพธิสัตว์นำนักองค์ด้วงจากเมืองอุดงลงไปตั้งอยู่ที่เมืองพนมเปญ เมื่อฝ่ายไทยสามารถเข้าควบคุมกัมพูชาได้แล้ว พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงมีพระโองการให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) ยกทัพไปถมทำลายคลองหวิญเต๊ (Vĩnh Tế) พงศาวดารไทยเรียกว่าคลองขุด คลองหวิญเต๊เป็นคลองที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองโจดกและเมืองห่าเตียน ฝ่ายไทยราชสำนักกรุงเทพฯไม่ไว้วางใจคลองหวิญเต๊ เนื่องจากคลองหวิญเต๊ทำให้เวียดนามสามารถลำเลียงกองกำลังทางเรือจากเวียดนามภาคใต้เข้าสู่อ่าวไทยได้สะดวกรวดเร็วมากขึ้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯจึงมีพระราโชบายให้แต่งทัพเข้าโจมตีเมืองโจดกและฮาเตียนพร้อมกัน[6] เพื่อที่เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯจะได้ทำการถมทำลายคลองหวิญเต๊นี้ ซึ่งก่อนหน้านี้เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯและนักองค์ด้วงได้ส่งกองกำลังกัมพูชานำโดยพระยาสังคโลก (เกาะ) ยกลงไปโจมตีถมทำลายคลองหวิญเต๊แต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากนายกองเวียดนามคือเหงียนวันเจือง (Nguyễn Văn Chương 阮文章 ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น เหงียนจิเฟือง Nguyễn Trí Phương) ได้ตีทัพของพระยาสังคโลก (เกาะ) แตกพ่ายมา และเหงียนวันเจืองยังสร้างป้อมปราการตลอดแนวคลองหวิญเต๊เพื่อป้องกัน เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯกราบทูลฯว่าฝ่ายเวียดนามนั้นมีป้อมค่ายอยู่ตลอดแนวคลองหวิญเต๊ จึงขอพระราชทานแม่ทัพนายกองที่มีความสามารถมาช่วยเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯคิดอ่านราชการ[6] แทนที่เจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) ที่ได้ล้มป่วยและเดินทางกลับนครราชสีมาไปแล้ว

สยามโจมตีเมืองห่าเตียนและคลองหวิญเต๊

[]
สยามโจมตีห่าเตียนและคลองหวิญเต๊ พ.ศ. 2385
image
แผนที่แถบบันทายมาศ
วันที่วันขึ้นสิบสามค่ำเดือนสาม (24 มกราคม) พ.ศ. 2385[6] - วันแรมสิบสามค่ำ เดือนห้า (8 เมษายน พ.ศ. 2385)[6]
สถานที่
กัมพูชา และ เวียดนามภาคใต้: ห่าเตียน เขาเชิงกรรชุม คลองหวิญเต๊
ผล เวียดนามได้รับชัยชนะ
คู่สงคราม
image อาณาจักรรัตนโกสินทร์ (สยาม)
image กัมพูชาฝักใฝ่สยาม
image ราชวงศ์เหงียน (เวียดนาม)
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ
image พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
image สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์
image เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)
image เจ้าพระยายมราช (บุนนาค ยมนาค)
image จมื่นไวยวรนารถ (ช่วง บุนนาค)
image พระยาราชวังสัน (นก)
image พระยาอภัยพิพิธ (กระต่าย)
image พระยาพิไชยรณฤทธิ์
image พระยาอภัยสงคราม 
image พระพรหมบริรักษ์ (แก้ว สิงหเสนี)
image พระองค์แก้ว (มา) 
image นักองค์ด้วง
image พระยาเสนาอันชิต (กน)
image พระยามหาเสนา (ต๊อน) 
image จักรพรรดิเถี่ยว จิ
image เล วัน ดึ๊ก
(Lê Văn Đức)
image ฝั่ม วัน เดี๋ยน
(Phạm Văn Điển)
image เหงียน กง จื๊อ
(Nguyễn Công Trứ)
image ดว่าน วัน ซ๊าค
(Đoàn Văn Sách)
image เลือง วัน เหลียว
(Lương Văn Liễu)
image เหงียน กง ญั่น
(Nguyễn Công Nhàn)
image เหงียน เลือง ญั่น
(Nguyễn Lương Nhàn)
image เจิ่น วัน ทง
(Trần Văn Thông)
หน่วยที่เกี่ยวข้อง
แนวรบทางทะเลเมืองห่าเตียน:
ทัพเกณฑ์จากสยาม หัวเมืองภาคตะวันออก
เขมรเกณฑ์จากเมืองกำปอด
แนวรบคลองหวิญเต๊:
ทัพเกณฑ์ไทยลาวเขมร
กองกำลังเวียดนามภาคใต้
กำลัง
ทัพเรือไทยโจมตีเมืองห่าเตียน
7,000 คน[6]
เขมรเกณฑ์เมืองกำปอด
2,000 คน[6]
ทัพไทยลาวเขมรโจมตีคลองหวิญเต๊
11,900 คน
รวม 20,900 คน
กองกำลังเมืองโจดก
5,000 คน
กองกำลังเมืองห่าเตียน
4,600 คน
รวม 9,600 คน
ความสูญเสีย
ไพร่ไทย 1,200 คน
ไพร่เขมร 2,000 คน
รวม 3,200 คน[19] สิ้นชีวิตในการรบที่คลองหวิญเต๊
ไม่ทราบ

เมื่อฝ่ายไทยสามารถมีอำนาจเข้าควบคุมกัมพูชาได้สำเร็จแล้วนั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชดำริในการให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) ยกทัพเข้าโจมตีทางเมืองโจดกทางหนึ่ง และทัพเรือสยามเข้าโจมตีทางเมืองห่าเตียนอีกทางหนึ่ง เพื่อสร้างโอกาสให้ฝ่ายไทยสามารถถมทำลายคลองหวิญเต๊ของเวียดนามได้ ในเดือนยี่ (มกราคม) พ.ศ. 2385 เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) ล้มป่วย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าฯจึงมีพระราชโองการให้เจ้าพระยายมราช (บุนนาค ยมนาค) ออกไปเป็นแม่ทัพไทยในกัมพูชาแทนที่เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) แล้วพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าฯจึงมีพระราชโองการให้ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เสด็จเป็นองค์จอมทัพเรือ ประทับเรือพุทธอำนาจ และจมื่นไวยวรนารถ (ช่วง บุนนาค) เป็นทัพหน้าลงเรือเทพโกสินทร์ นายกองอื่นๆลงเรือราชฤทธิวิทยาคม เรืออุดมเดช และเรือปักหลั่นมัจฉานุ นำกำลัง 2,000 คนไปรวมกับกำลังจากหัวเมืองตะวันออกได้แก่ระยอง จันทบุรี ตราด อีก 3,000 คน รวมเป็น 5,000 คน[6] นำโดยพระยาอภัยพิพิธ (กระต่าย บุตรของเจ้าพระยามหาเสนาบุญมา) นำเสบียงไปส่งให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯที่เมืองกำปอตและเข้าตีเมืองห่าเตียน สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เสด็จยกทัพเรือออกจากพระนคร เมื่อวันขึ้นสิบสามค่ำเดือนสาม (24 มกราคม) พ.ศ. 2385

สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ (ได่นามถึกหลุกออกพระนามว่า โอเถียตเวือง Ô Thiệt Vương)[8] เสด็จยกทัพเรือไทยถึงเกาะฟูโกว๊ก ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2385 มีพระบัญชาให้พระยาราชวังสัน (นก) และพระยาพิไชยรณฤทธิ์ ยกกองเรือเข้าโจมตีเกาะฟูโกว๊ก ฝ่ายญวนมีกำลังน้อยจึงถอยหนีออกไปก่อน ทัพเรือฝ่ายไทยจึงสามารถเข้ายึดครองเกาะฟูโกว๊กได้ ฝ่ายญวนเมืองห่าเตียนในขณะนั้น มีกำลังประมาณ 5,000 คน มีเจ้าเมืองเป็นองตุมภูชื่อว่า เลืองวันเหลียว (Lương Văn Liễu, 梁文柳) ฝ่ายเมืองโจดกส่งดว่านวันซ๊าค (Đoàn Văn Sách) แม่ทัพเวียดนามที่เคยสู้รบกับไทยที่สะโทงและชีแครง มาช่วยเมืองห่าเตียนสู้รบกับฝ่ายไทย เมืองห่าเตียนมีป้อมค่ายป้องกันเมืองอยู่สองแห่ง ได้แก่ ป้อมจูญัม (Chu Nham) พงศาวดารไทยเรียกว่า เขาโกนธม บนเขาทางทิศเหนือของเมืองห่าเตียน และป้อมกิมสือ (Kim Dữ) พงศาวดารไทยเรียกว่า หอลำผี อยู่ที่เขาทางทิศตะวันตกของเมืองห่าเตียน ในวันแรมสิบสี่ค่ำ เดือนสี่[6] (10 มีนาคม) พ.ศ. 2385 เจ้าฟ้าฯกรมขุนอิศเรศรังสรรค์ มีพระบัญชาให้จมื่นไวยวรนารถ (ช่วง บุนนาค ด่ายนามถึกหลุกเรียกว่า กาลาฮาม Ca La Hâm[8] มาจากคำว่า กลาโหม) ยกทัพเรือไทยเข้าโจมตีเมืองฮาเตียนทางทะเล นำไปสู่การรบที่เมืองห่าเตียน จมื่นไวยวรนารถ (ช่วง) ให้พระยาราชวังสัน (นก) ยกกองเรือป้อมอย่างญวน เข้าโจมตีเมืองห่าเตียนทางหน้าเมือง และให้พระยาพิไชยรณฤทธิ์ เข้าโจมตีทางป้อมกิมสือหรือหอลำผี เลืองวันเหลียวเจ้าเมืองห่าเตียนสู้รบกับพระยาราชวังสันที่หน้าเมือง ส่วนดว่านวันซ๊าคยกกองกำลังออกมาป้องกันค่ายหอลำผี ต่อสู้กับพระยาพิไชยรณฤทธิ์ รวมทั้งพระยาอภัยพิพิธ (กระต่าย) ให้พระยาโสรัชชะ และพระยาเสนาอันชิตเจ้าเมืองกำปอด เกณฑ์ชา่วกัมพูชาเมืองกำปอด 2,000 คน[6] เข้ากับทัพไทยหัวเมืองภาคตะวันออก ยกเข้าโจมตีค่ายจูญัมหรือเขาโกนธมเหนือเมืองห่าเตียน

ในขณะที่ทัพเรือไทยเข้าโจมตีเมืองห่าเตียนอยู่นั้น เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) ที่เมืองพนมเปญ มีคำสั่งให้เจ้าพระยายมราช (บุนนาค) พร้อมทั้งพระพรหมบริรักษ์ (แก้ว) และนักองค์ด้วง ยกทัพผสมไทยลาวกัมพูชา จำนวน 11,900 คน จากเมืองพนมเปญ ไปที่เขาเชิงกรรชุม ยกเข้าประชิตคลองหวิญเต๊ ในวันขึ้นหกค่ำเดือนห้า[6] (17 มีนาคม) พ.ศ. 2385 นำไปสู่การรบที่คลองหวิญเต๊ ฝ่ายไทยตั้งค่ายประชิดคลองหวิญเต๊เป็นแนวยาวประมาณ 2.4 กิโลเมตรตลอดแนวคลองหวิญเต๊ด้านฝั่งเหนือ ฝ่ายไทยยกกำลัง 3,000 คน เข้าโจมตีป้อมค่ายหน้าเมืองโจดกสามค่าย ได้แก้ ค่ายเมืองเตินเจิว (Tân Châu) ทางตะวันออกของเมืองโจดก ป้อมค่ายดาเฟื้อก (Đa Phước) ทางหน้าเมืองโจดกทางทิศเหนือ และป้อมค่ายกำปงกระสัง (Kampong Krasang) ทางตะวันตกของเมืองโจดก ฝั่มวันเดี๋ยน (Phạm Văn Điển อดีตคือ"องตาเตียนกุน") เป็นต๋งด๊กอานห่า (Tổng đốc An Hà) หรือเจ้าเมืองโจดก ส่งกองกำลังเวียดนามเมืองโจดก 1,000 คน ออกมาป้องกันเมืองโจดก

ในการรบที่เมืองห่าเตียน ดว่านวันซ๊าคแม่ทัพเวียดนามสามารถป้องกันและต้านทานการโจมตีจากฝ่ายไทยได้ ฝ่ายเข้าโจมตีเมืองห่าเตียนเป็นเวลาสิบเอ็ดวัน ยังไม่สามารถเข้าพิชิตเมืองห่าเตียนได้ จมื่นไวยวรนารถ (ช่วง) ได้ทราบว่า ฝ่ายเวียดนามเมืองไซ่ง่อน เลวันดึ๊ก (Lê Văn Đức) เจ้าเมืองไซ่ง่อนกำลังยกทัพเรือมาเสริมช่วยเมืองห่าเตียน จมื่นไวยวรนารถ (ช่วง) จึงเดินทางจากแนวรบเมืองห่าเตียน มาทูลข้อราชการแด่กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ฯที่เกาะฟูโกว๊ก ในวันขึ้นสิบเอ็ดค่ำเดือนห้า (22 มีนาคม พ.ศ. 2385) เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ฯ มีพระวินิจฉัยว่า ลมมรสุมตะวันตกกำลังทวีกำลังขึ้น หากฝ่ายไทยไม่สามารถเข้ายึดเมืองห่าเตียนได้ ควรถอยออกไปอยู่ที่เมืองกำปงโสมเสียก่อน "การซึ่งจะทำเมืองบันทายมาศ อ้ายญวนก็เพิ่มเติมมารักษาบ้านเมืองมั่นคง การเป็นปลายมรสุมสิ้นที่อยู่แล้ว เดี๋ยวนี้ลมตะวันตกก็พัดกล้าขึ้น จะรั้งรออยู่ช้านักเรือรบเรือไล่ของหลวงก็ออกมามาก จะยับเยินเสียด้วยคลื่นลม"[6] วันต่อมา วันขึ้นสิบสองค่ำ (23 มีนาคม) มีลมพายุใหญ่พัดจากทางทิศตะวันตก ทำให้ฝ่ายไทย พระยาราชวังสันและพระยาพิไชยรณฤทธิ์ จำต้องถอยทัพออกจากเมืองห่าเตียน ฝ่ายเวียดนามเมืองห่าเตียน จึงมีชัยชนะสามารถป้องกันรักษาเมืองห่าเตียนจากการโจมตีของสยามไว้ได้

สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ พร้อมทั้งจมื่นไวยวรนารถ (ช่วง) เสด็จยกทัพเรือออกจากเกาะฟูโกว๊ก ในวันแรมสิบสองค่ำ เดือนห้า (7 เมษายน พ.ศ. 2385) และในคืนวันนั้นเอง ฝั่มวันเดี๋ยน (พงศาวดารไทยเรียกว่า "องเตียนเลือก" มาจากคำว่า กิญเหลือก เป็นชื่อตำแหน่งเดิมของฝั่มวันเดี๋ยน เมื่อครั้งรับราชการอยู่มณฑลเจิ๊นเตย) เจ้าเมืองโจดก ได้ส่งกองกำลังฝ่ายเวียดนาม ให้เข้าโจมตีแนวค่ายของฝ่ายไทย-กัมพูชา ตามแนวคลองหวิญเต๊ด้านฝั่งเหนือ ทั้งสามด้านพร้อมกัน ทั้งทางด้านซ้าย ด้านขวา และบริเวณตรงกลาง เข้าโจมตีในเวลากลางคืน ของวันแรมสิบสองค่ำ (7 เมษายน) จนถึงวันรุ่งขึ้น แรมสิบสามค่ำ (8 เมษายน) ฝ่ายไทย-กัมพูชา ไม่ทันได้ตั้งตัว ถูกฝ่ายเวียดนามโจมตีแตกพ่าย ฝ่ายไทยและกัมพูชาสูญเสียกำลังไพร่พลและแม่ทัพนายกองจำนวนมาก ไพร่ไทยสิ้นชีวิต 1,200 คน ไพร่เขมรสิ้นชีวิต 2,000 คน รวมทั้งสิ้น 3,200 คน[19] แม่ทัพฝ่ายไทย พระยาอภัยสงคราม นายกองมอญรามัญสี่คน ขุนนางหัวเมืองนครนายก ปราจีนบุรี นครสวรรค์ อ่างทอง กรุงเก่า[19] ล้วนแต่สิ้นชีวิตในที่รบ ส่วนฝ่ายกัมพูชานั้น พระองค์แก้ว (มา) พระยามหาเสนา (ต๊อน)[11] สิ้นชีวิต กระสุนปืนเวียดนามยิงใส่เจ้าพระยายมราช (บุนนาค) และบุตรชายชื่อนายแสง ซึ่งยืนเคียงข้างกันอยู่ กระสุนปืนถูกนายแสงเสียชีวิต กระสุนปืนถูกเข้าที่กระดุมหน้าอกของเจ้าพระยายมราช (บุนนาค) ทำให้รอดชีวิต

จมื่นไวยวรนารถ (ช่วง) นำเรือกำปั่นส่งข้าวสารให้แก่เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯ (สิงห์) ที่เมืองพนมเปญ โดยส่งขึ้นที่เมืองท่ากำปอด แต่ทว่าข้าวที่ฝ่ายไทยขนมาทั้งมีจำนวนมาก แต่เรือเล็กที่ใช้ในการขนส่งข้าวจากกำปอดไปที่เมืองพนมเปญมีไม่เพียงพอ ทำให้ส่งข้าวสารได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง จมื่นไวยวรนารถ (ช่วง) จึงจำต้องยุติการส่งข้าวสาร และเดินทางตามเสด็จสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เสด็จนิวัติกลับคืนสู่พระนครฯ เมื่อฝ่ายไทยปราชัยแตกพ่ายมาจากทางคลองหวิญเต๊ เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) ซึ่งอยู่รักษาคุ้มครองนักองค์ด้วงอยู่ที่พนมเปญ คาดการณ์ว่าฝ่ายเวียดนามจะยกทัพขึ้นมาโจมตีตอบโต้ถึงเมืองพนมเปญ เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯเห็นว่าเมืองพนมเปญมีชัยภูมิอยู่ที่ราบลุ่มต่ำติดแม่น้ำมีความเสี่ยงที่ทัพเรือเวียดนามจะยกขึ้นมาโจมตีได้ง่าย จึงพานักองค์ด้วงถอยกลับออกมาอยู่ที่เมืองอุดง ในเดือนเจ็ด (พฤษภาคม พ.ศ. 2385) โดยที่เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯให้รื้อถอนค่ายญวนเมืองเจิ๊นเตยพนมเปญ ที่ญวนได้สร้างขึ้นในพ.ศ. 2378 เมื่อครั้งแรกตั้งมณฑลเจิ๊นเตย และให้ชาวลาว 5,000 คน และชาวกัมพูชา 3,000 อยู่รักษาเมืองพนมเปญ[6] และเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯ ยังให้เจ้าพระยายมราช (บุนนาค) คุมไพร่ 3,000 คน สร้างป้อมปราการให้แก่นักองค์ด้วง ที่บริเวณคลองพระยาลือ (Ponhea Lueu) ทางทิศใต้ของเมืองอุดง

ช่วงระหว่างสงครามพ.ศ. 2385 - 2388

[]

การโจมตีเมืองห่าเตียนและคลองหวิญเต๊ในช่วงเดือนห้าถึงเดือนหก (มีนาคม ถึง เมษายน) พ.ศ. 2385 เป็นการยกทัพเข้าโจมตีเวียดนามภาคใต้ของฝ่ายไทย[15] ครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์ หลังจากที่ฝ่ายเวียดนามสามารถต้านทานการโจมตีจากสยาม ทั้งทางบกที่เมืองโจดกคลองหวิญเต๊ และทางเรือเมืองห่าเตียน ฝั่มวันเดี๋ยนจึงร่วมมือกับเหงียนวันเจือง (Nguyễn Văn Chương ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น เหงียนจิเฟือง Nguyễn Trí Phương) เป็นเจ้าเมืองล่องโห้ และนักองค์อิ่ม (นักองค์อิ่มเป็นเจ้านายกัมพูชาที่เคยฝักใฝ่อยู่กับไทยแต่แปรพักตร์ไปเข้ากับเวียดนามในพ.ศ. 2382) เข้าปราบปรามกบฏเขมรกรอมในเวียดนามภาคใต้ บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง โดยที่นักองค์อิ่มสามารถเกลี้ยกล่อมชาวเขมรกรอมให้เข้าสวามิภักดิ์ต่อเวียดนามได้ แต่ทว่าได้เกิดโรคระบาดไข้ป่วงขึ้นที่เวียดนามภาคใต้ ทำให้แม่ทัพเวียดนามหลายคน ได้แก่ ดว่านวันซ๊าค แม่ทัพที่สู้รบกับไทยที่สะโทงชีแครงและล่าสุดที่ห่าเตียน และฝั่มวันเดี๋ยน อดีตองตาเตียนกุนที่ลงไปเป็นเจ้าเมืองโจดกและสู้รบกับไทยที่คลองหวิญเต๊ ล้วนแต่ล้มป่วยเสียชีวิตทั้งสิ้น อีกทั้งฝ่ายเวียดนามโดยเฉพาะเวียดนามภาคใต้ยังบอบช้ำจากการต่อสู้ในกัมพูชาเป็นเวลาสองปี นับตั้งแต่ที่ชาวกัมพูชาลุกฮือขึ้นต่อต้านการปกครองของเวียดนามในพ.ศ. 2383 ทำให้ฝ่ายเวียดนามไม่มีกำลังที่จะสามารถยกทัพขึ้นมาโจมตีฝ่ายไทยในกัมพูชา อย่างที่เจ้าพระยาบดินทรเดขาฯคาดการณ์ไว้ได้ ทำให้เกิดสภาวะคุมเชิงและการสงบศึกขึ้นระหว่างไทยและเวียดนามเป็นเวลาสามปี นับตั้งแต่ช่วงกลางปี พ.ศ. 2385 ถึงกลางปีพ.ศ. 2388 ถึงแม้ว่าฝ่ายไทยจะสามารถเข้าควบคุมกัมพูชาได้ แต่ยังต้องคอยระมัดระวังป้องกันการโจมตีจากเวียดนาม ฝ่ายเวียดนามพระเจ้าเถี่ยวจิยังมีดำริที่จะส่งทัพเข้ายึดกัมพูชากลับไปขึ้นแก่เวียดนามอีกครั้ง

ฝ่ายไทยเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) ในกัมพูชาประสบปัญหาขาดแคลนข้าวและเสบียงอาหารอย่างรุนแรง เนื่องจากกัมพูชาตกอยู่ในภาวะจลาจลและสงครามนับตั้งแต่พ.ศ. 2383 ทำให้ไม่สามารถเพาะปลูกได้ อีกทั้งจมื่นไวยวรนารถ (ช่วง) ยังไม่สามารถขนถ่ายข้าวที่นำไปจากกรุงเทพฯให้แก่เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯได้ ทำให้ไพร่พลทหารไทยชาวและเขมรอดอาหารสิ้นชีวิตในกัมพูชาเป็นจำนวนพันกว่าคน[6] ราษฎรกัมพูชาจำต้องเข้าป่าขุดหาเผือกมันกินประทังชีวิต พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าฯทรงพระพิโรธแม่ทัพนายกองที่ทำราชการถมทำลายคลองหวิญเต๊และส่งเสบียงให้แก่เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯไม่สำเร็จ "กองทัพเรือส่งข้าวเกลือเข้าไปที่เมืองกำปอดก็หาได้ครึ่งหนึ่งไม่ พาเอาข้าวเกลือกลับคืนเข้าไปกรุงเทพมหานคร แล้วแก้ตัวว่าไม่มีเรือเล็กจะลำเลียงเข้าไปในปากน้ำเมืองกำปอด การที่ยกลงไปก็ไม่ได้นัดหมายให้พร้อมกันไปทำก็ไม่เป็นราชการได้ ตื่นข่าวคราวเลิกถอนเสียก่อน กองทัพบกยังเข้าประชิดติดพันอยู่ ฝ่ายทัพบกไพร่พลก็มีมาก จะคิดอ่านรีบรัดกระทำกับญวนประการใดก็ไม่ทำ ตั้งเก้อๆ อยู่ไม่เป็นการ เหมือนจะคอยแตกคอยวิ่งเล่นสนุก ไม่ระวังรักษาตัวหมิ่นประมาทต่อราชการศึกสงคราม เจ้าพระยายมราชเป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ทั้งอายุก็มากแล้ว เขาก็ว่าตระกูลสุริยวงศ์ (ตระกูลบุนนาค) เป็นข้าหลวงเดิม ไม่รู้เท่าทันกับอุบายความคิดญวน จนกองทัพญวนยกมาไม่รู้ตัวจึ่งเสียทีกับญวนจนยับเยิน"[6]

พระเจ้าเวียดนามเถี่ยวจิมีราชโองการให้นักองค์อิ่มมาตั้งอยู่ที่เมืองโจดก คอยเกลี้ยกล่อมยุยงให้ขุนนางและราษฎรกัมพูชาแตกหักออกจากฝ่ายไทยและไปเข้ากับฝ่ายเวียดนาม นักองค์อิ่มมีจดหมายมาถึงขุนนางพระยาเขมรในเดือนในเดือนแปด (มิถุนายน) และในปลายปีพ.ศ. 2385 พระเจ้าเถี่ยวจิได้ปล่อยตัวขุนนางเสนาบดีกัมพูชา ได้แก่ เจ้าฟ้าทะละหะ (หลง) และสมเด็จเจ้าพระยา (โห้) ซึ่งถูกพระเจ้ามิญหมั่งเนรเทศไปอยู่ที่เวียดนามภาคเหนือตั้งแต่พ.ศ. 2383 ให้กลับลงมาที่เมืองโจดกเพื่อช่วยเหลือนักองค์อิ่มในการเกลี้ยกล่อมชาวกัมพูชา และพระเจ้าเถี่ยวจิยังแต่งตั้งให้เลวันดึ๊ก อดีตปลัดมณฑลเจิ๊นเตยที่ลงไปเป็นเจ้าเมืองไซ่ง่อน ให้เป็นนามกี่กิญเหลือกได่เถิ่น (Nam Kỳ Kinh lược đại thần,[8] 南圻經略大臣) เป็นแม่ทัพใหญ่ในเวียดนามภาคใต้เพื่อปราบสยามและกัมพูชา แต่ทว่าเลวันดึ๊กได้ล้มป่วยเสียชีวิตกระทันหันเสียก่อน และนักองค์อิ่มยังล้มป่วยถึงแก่พิราลัยที่เมืองโจดกในเดือนสี่ (มีนาคม) พ.ศ. 2386 ทำให้ฝ่ายเวียดนามจำต้องหันกลับไปสนับสนุนเจ้าหญิงนักองค์มีอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม นักองค์อิ่มยังมีโอรสอยู่องค์หนึ่ง คือ นักองค์ภิม หรือนักองค์พิมพ์

ฝ่ายเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) และนักองค์ด้วง ที่เมืองอุดง เมื่อฝ่ายเวียดนามยังไม่ยกทัพขึ้นมาโจมตี จึงอาศัยโอกาสนี้ลงไปอยู่ที่เมืองพนมเปญ ในพ.ศ. 2385 คุมการสร้างป้อมปราการต่างตามแนวแม่น้ำโขงไปทางเมืองโจดกเพื่อเตรียมป้องกันการโจมตีจากเวียดนาม สร้างป้อมค่ายต่างๆขึ้นได้แก่;[11]

  • ป้อมบันทายแดก (Banteay Daek) อยู่ริมฝั่งขวา (ตะวันตก) ของแม่น้ำโขง อยู่ในเขตเกียนสวาย จังหวัดกันดาลในปัจจุบัน
  • ป้อมเปียมมีชัย (Peam Meanchey) อยู่ใต้ลงไปจากค่ายบันทายแดก ประมาณยี่สิบกิโลเมตร ปัจจุบันอยู่ที่เขตเมืองเปียมรอ (Peam Ro) จังหวัดไพรแวง
  • ป้อมแพรกโตจ (Preaek Touch) อยู่ใต้ลงไปจากค่ายเปียมมีชัย ประมาณยี่สิบกิโลเมตร อยู่ในเขตเมืองเลิกแดก (Leuk Daek) จังหวัดกันดาลในปัจจุบัน

ในพ.ศ. 2386 นักองค์ด้วงส่งให้พระยาวัง (หิง) และพระยาสังขโลก (หมก) เจ้าเมืองโพธิสัตว์ คุมเครื่องราชบรรณาการเข้าไปถวายฯพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวที่กรุงเทพ อย่างเจ้าประเทศราช ฝ่ายไทยเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) และนักองค์ด้วง เกณฑ์ราษฎรชาวกัมพูชาเข้าสร้างป้อมปราการต่างๆและเข้าประจำการ เพื่อป้องกันการโจมตีของเวียดนาม ทำให้ชาวกัมพูชาและพระยาเขมรบางส่วนเริ่มมีความไม่พอใจว่าถูกใช้แรงงาน เป็นสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับเมื่อครั้งที่เวียดนามปกครองกัมพูชา ซึ่งเวียดนามเกณฑ์แรงงานไพร่พลกัมพูชาเพื่อป้องกันการรุกรานของไทย ในครั้งนี้ฝ่ายไทยก็ได้เกณฑ์ไพร่พลกัมพูชาเพื่อป้องกันการรุกรานของเวียดนาม ทั้งสยามและเวียดนามไม่สามารถเกณฑ์ขุนนางหรือราษฎรกัมพูชามาทำงานให้เกิดประโยชน์แต่ประการใดได้[20] อีกทั้งฝ่ายไทยยังมีนโยบายห้ามไม่ให้สินค้าของป่าจากลาวใต้ทางเมืองเชียงแตงลงมาค้าขายที่เมืองพนมเปญ เนื่องจากพ่อค้าเวียดนามจะได้ประโยชน์ โดยที่เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯนั้นให้สินค้าจากลาวใต้ผันไปทางเมืองพระตะบองเข้าสู่กรุงเทพฯแทน[21] ทำให้ขุนนางและราษฎรกัมพูชาที่เคยได้ประโยชน์จากเส้นทางการค้านี้ต้องเสียประโยชน์ และราชสำนักเวียดนามพระเจ้าเถี่ยวจิยังห้ามมิให้ชาวกัมพูชาเข้ามาค้าขายที่เมืองใดๆในเวียดนามภาคใต้ เนื่องจากเป็นอริศัตรูกันอยู่ จนกระทั่งเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2387 พระเจ้าเถี่ยวจิอนุญาตให้เปิดการค้าขายกับกัมพูชาที่เมืองโจดกและจังหวัดเต็ยนิญได้ สร้างความปลื้มปิติแก่ชาวกัมพูชาอย่างมาก

กล่าวถึงเหงียนกงญั่น (Nguyễn Công Nhàn) แม่ทัพเวียดนามที่ได้สู้รบกับไทยที่สะโทงชีแครงและคลองหวิญเต๊ และได้ขึ้นเป็นต๋งด๊กอานห่าหรือเจ้าเมืองโจดกต่อจากฝั่มวันเดี๋ยน และเหงียนกงจื๊อ (Nguyễn Công Trứ) อดีตปลัดมณฑลเจิ๊นเตย ซึ่งเป็นผู้ต้นคิดให้นำนักองค์มีและนักองค์อิ่มมาเกลี้ยกล่อมชาวกัมพูชา และได้มาเป็นรองเจ้าเมืองโจดก ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2387 พระเจ้าเถี่ยวจิให้ปลดทั้งเหงียนกงญั่นและเหงียนกงจื๊อ ออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองและรองเจ้าเมืองโจดก ตามลำดับ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับคดีรับสินบน เหงียนกงจื๊อถูกเนรเทศไปชายแดนลาวจังหวัดกว๋างหงาย ส่วนเหงียนกงญั่นพระเจ้าเถี่ยวจิดำริว่าเคยมีความชอบจึงแต่งตั้งให้เป็นองลัญบิญหรือนายกองจังหวัดเต็ยนิญ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ต่ำกว่าเดิมมาก แล้วพระเจ้าเถี่ยวจิจึงแต่งตั้งเหงียนวันเจือง (Nguyễn Văn Chương) เจ้าเมืองล่องโห้ ให้เป็นต๋งด๊กอานห่าหรือเจ้าเมืองโจดกคนต่อมา และให้ยว๋านอ๋วน (Doãn Uẩn)[8] มาเป็นองตนผู้รองเจ้าเมืองโจดก เหงียนวันเจืองเจ้าเมืองโจดกคนใหม่ ไม่เคยรับราชการในมณฑลเจิ๊นเตยมาก่อน และมีนโยบายที่แข็งกร้าวต่อสยามและกัมพูชา

ถึงกลางปีพ.ศ. 2387 เริ่มมีขุนนางพระยาเขมรฝ่ายนักองค์ด้วงแปรพักตร์ลักลอบติดต่อกับเวียดนาม ได้แก่ พระยาจักรี (มี) พระยากลาโหม (หมก) และพระยาบวรราช (รศ) โดยรับอาสาต่อเหงียนวันเจืองเจ้าเมืองโจดก ว่าจะปลุกระดมราษฎรเขมรให้ลุกฮือขึ้นเป็นกบฏต่อต้านนักองค์ด้วงและต่อต้านสยาม ฝ่ายไทยเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) ซึ่งได้ยกทัพจากกรุงเทพฯมาประจำการและบัญชาการอยู่ที่กัมพูชาเป็นเวลาทั้งสิ้นสี่ปีกว่าเกือบห้าปี (นับตั้งแต่เมื่อพ.ศ. 2382 ครั้งที่นักองค์อิ่มแปรพักตร์) ถึงปีพ.ศ. 2387 ทัพฝ่ายไทยประสบปัญหาขาดแคลนเสบียง แต่ยังไม่สามารถถอนทัพกลับได้เนื่องจากเวียดนามอาจยกทัพขึ้นมาโจมตีกัมพูชาได้ทุกเมื่อ เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯจึงเห็นว่า ควรเจรจาสงบศึกกับเวียดนาม เจ้าพระยาบดินทรเดชาจึงให้พระยาณรงค์วิไชยเป็นผู้แทนฝ่ายไทยลงไปเจรจากับเหงียนวันเจืองเจ้าเมืองโจดก ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2387 แต่ไม่ประสบผล เนื่องจากทั้งฝ่ายสยามและฝ่ายเวียดนามต่างเรียกร้องให้อีกฝ่ายเป็นผู้ริเริ่มส่งทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีก่อน สุดท้ายเมื่อประจำอยู่ที่กัมพูชาเป็นเวลาห้าปีแล้ว เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) จึงตัดสินใจยกทัพไทยถอนกลับออกจากกัมพูชา ในเดือนสาม[6] (กุมภาพันธ์) พ.ศ. 2388 โดยมอบหมายให้พระยาณรงค์วิไชย และพระพรหมบริรักษ์ (แก้ว) อยู่รักษาการในกัมพูชาและอยู่คุ้มครองนักองค์ด้วง

เวียดนามโจมตีกัมพูชา พ.ศ. 2388

[]

ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2388 พระยาลือจักรี (ปาง) ขุนนางกัมพูชาเจ้าเมืองลำดวน ต้องการให้ไทยและเวียดนามสงบศึกกัน เพื่อจะได้สามารถค้าขายได้โดยสะดวก จึงลักพาตัวเหงียนบ๊าฮิ่ว (Nguyễn Bá Hựu, 阮伯佑) ขุนนางเวียดนามที่เป็นล่าม มาจากจังหวัดเต็ยนิญ โดยพระยาลือจักรี (ปาง) แสร้งบอกแก่เหงียนบ๊าฮิ่วว่า จะมาติดต่อขอกำลังจากเวียดนามมารบกับฝ่ายไทย เมื่อเหงียนบ๊าฮิ่วออกมาพบ พระยาลือจักรีจึงเข้าจับตัวเหงียนบ๊าฮิ่วแล้วส่งไปที่พนมเปญ พระยาลือจักรีแจ้งแก่ฝ่ายเวียดนามว่า หากต้องการตัวเหงียนบ๊าฮิ่วคืน ให้เวียดนามส่งสาสน์มาเป็นไมตรีกับพระยาณรงค์วิไชยที่พนมเปญ ซึ่งเหงียนวันเจืองเจ้าเมืองโจดกไม่ยอมทำตาม พระยาณรงค์วิไชยจึงส่งตัวเหงียนบ๊าฮิ่วเข้ามาที่กรุงเทพฯ

ต่อมาในเดือนหก (พฤษภาคม) พ.ศ. 2388 นักองค์ด้วงและพระยาณรงค์วิไชยจับได้จดหมายของพระยาเขมรลักลอบติดต่อกับเวียดนาม ของพระยาจักรี (มี) พระยาบวรราช (รศ) และขุนนางกัมพูชาอื่นๆ รวมทั้งสิ้น 12 คน[11] ว่าขุนนางกัมพูชาเหล่านี้จะปลุกระดมให้ราษฎรกัมพูชาเป็นกบฏขึ้นแล้วจะให้ฝ่ายเวียดนามยกทัพขึ้นมากำจัดนักองค์ด้วงเสียแล้วขับไล่ฝ่ายไทยออกไปจากกัมพูชา ส่วนพระยากลาโหม (หมก) นั้นรอดตัวไม่ถูกซัดทอด นักองค์ด้วงจับกุมได้พระยาจักรี (มี) ส่วนพระยาพระคลัง (ศุข) หลบหนีไปเมืองโจดกเข้ากับเวียดนาม และพระยาบวรราช (รศ) หลบหนีไปเมืองศรีสุนทร ปลุกระดมราษฎรแขวงเมืองศรีสุนทรเมืองตะโบงคมุมให้ลุกฮือขึ้นกบฏต่อนักองค์ด้วง[11] นักองค์ด้วงส่งกองกำลังไปปราบกบฏที่เมืองศรีสุนทร สามารถจับกุมขุนนางกบฏได้สี่คน แต่พระยาบวรราช (รศ) หลบหนีไปเข้ากับเวียดนามที่จังหวัดเต็ยนิญ นักองค์ด้วงจึงขอพระราชทานพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ลงพระราชอาญาขุนนางกัมพูชาที่เป็นกบฏให้ถึงแก่ชีวิต พระยาจักรี (มี) และขุนนางกบฏอีกสี่คน จึงถูกประหารชีวิต แต่ขุนนางกบฏคนอื่นๆสามารถหลบหนีได้โดยส่วนใหญ่

เหงียนวันเจืองเจ้าเมืองโจดก เมื่อเห็นว่าฝ่ายไทยและนักองค์ด้วงรู้ตัวแล้วว่ามีขุนนางกัมพูชาวางแผนกบฏมาเข้ากับเวียดนาม จึงทำฎีกาทูลพระเจ้าเวียดนามเถี่ยวจิว่า ฝ่ายเวียดนามสมควรยกทัพเข้าโจมตีกัมพูชาในทันที เนื่องจากทางฝ่ายนักองค์ด้วงกำลังระส่ำระสาย หากปล่อยทิ้งให้นักองค์ด้วงปราบกบฏลงได้หมดฝ่ายเวียดนามจะเสียโอกาส พระเจ้าเถี่ยวจิเห็นชอบด้วยจึงมีราชโองการให้ตั้งหวอวันสาย (Võ Văn Giải, 武文解) จากเมืองเว้ลงมาเป็นเจ้าเมืองไซ่ง่อนและเป็นแม่ทัพใหญ่ในการเข้าโจมตีกัมพูชา ฝ่ายเหงียนวันเจืองเจ้าเมืองโจดกจัดทัพเข้าโจมตีกัมพูชาสามทัพดังนี้;

  • เหงียนวันฮว่าง (Nguyễn Văn Hoàng, 阮文黃) เป็น"องเดดก"หรือผู้บัญชาการทหารเมืองโจดก นำทัพเรือ ประกอบด้วยเรือแง่โอแง่ทราย 170 ลำ 6,000 คน[6] จากเมืองเตินเจิว (Tân Châu, 新洲) ซึ่งอยู่ติดกับเมืองโจดกขึ้นไปตามแม่น้ำโขงเข้าตีเมืองบาพนม (อำเภอบาภน็อม จังหวัดไพรแวง) ก่อนเข้าโจมตีเมืองพนมเปญ
  • ยว๋านอ๋วน (Doãn Uẩn, 尹蘊) เป็น"องตนผู้"รองเจ้าเมืองโจดก นำทัพเรือ 120 ลำ 3,000 คน[6] จากเมืองโทงบิ่ญ (Thông Bình, 通平 จังหวัดด่งท้าปติดกับกัมพูชา) ขึ้นไปตามแม่น้ำพระตระแบกมาตีเมืองกำพงตระแบก (อำเภอก็อมพงตระแบก, កំពង់ត្របែក จังหวัดไพรแวง) แล้วไปสมทบกับทัพของเหงียนวันฮว่างที่เมืองบาพนมก่อนเข้าตีเมืองพนมเปญ
  • เหงียนกงญั่น (Nguyễn Công Nhàn) อดีตเจ้าเมืองโจดก ที่ย้ายไปเป็นองลัญบิญหรือนายกองจังหวัดเต็ยนิญ ให้ยกทัพเต็ญนิญเข้ามาสมทบ
เวียดนามโจมตีกัมพูชา พ.ศ. 2388
image
แผนที่แสดงการเคลื่อนทัพของเวียดนาม (ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงธันวาคม พ.ศ. 2388) ในช่วงสงครามเวียดนามโจมตีกัมพูชา พ.ศ. 2388
วันที่วันขึ้นหนึ่งค่ำเดือนแปด (4 กรกฎาคม) พ.ศ. 2388[6] - วันขึ้นห้าค่ำเดือนอ้าย (3 ธันวาคม) พ.ศ. 2388[6]
สถานที่
กัมพูชา: เมืองอุดง กำปงหลวง พระยาลือ เมืองพนมเปญ เมืองบาพนม กำปงตระแบก ค่ายบันทายแดก ค่ายเปียมมีชัย
ผล ฝ่ายไทยและเวียดนามเจรจาสงบศึก
คู่สงคราม
image อาณาจักรรัตนโกสินทร์ (สยาม)
image กัมพูชา
image ราชวงศ์เหงียน (เวียดนาม)
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ
image พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
image เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)
image พระยาไชยวิชิตสิทธิสาตรา (ขำ ณ ราชสีมา)
image พระยาณรงค์วิไชย
image พระพรหมบริรักษ์ (แก้ว สิงหเสนี)
image พระนรินทรโยธา (นอง)
image นักองค์ด้วง
image พระยากลาโหม (หมก)
image พระยาธรรมเดโช (มาศ)
image พระยาลือจักรี (ปาง)
image จักรพรรดิเถี่ยว จิ
image หวอ วัน สาย
(Võ Văn Giải)
image เล วัน ฟู้
(Lê Văn Phú)
image เหงียน วัน เจือง
(Nguyễn Văn Chương)
image ยว๋าน อ๋วน
(Doãn Uẩn)
image เหงียน วัน ฮว่าง
(Nguyễn Văn Hoàng)
image เหงียน กง ญั่น
(Nguyễn Công Nhàn)
image โห่ ดึ๊ก ตู๊
(Hồ Đức Tú)
หน่วยที่เกี่ยวข้อง
กองทัพเกณฑ์หัวเมือง
จากกรุงเทพ นครราชสีมา เขมรป่าดง
กองกำลังเวียดนามภาคใต้
กำลัง
กองทัพเกณฑ์หัวเมือง
40,000 คน[6]
กองกำลังเวียดนามภาคใต้
20,000 คน เรือแง่โอแง่ทราย 1,000 ลำ

เมื่อวันขึ้นหนึ่งค่ำเดือนแปด[6] (4 กรกฎาคม) พ.ศ. 2388 เหงียนวันฮว่างยกทัพเรือจากเมืองเตินเจิว และยว๋านอ๋วนยกทัพเรือจากเมืองทงบิ่ญ เข้าโจมตีกัมพูชาพร้อมกัน เหงียนวันฮว่างยกทัพเรือมาตามแม่น้ำโขง เข้าโจมตีป้อมค่ายแพรกโตจของฝ่ายกัมพูชาที่จะโรยตำบอง[11] ฝ่ายกัมพูชาแตกพ่ายถอยมา ส่วนยว๋านอ๋วนยึดได้เมืองกำปงตระแบกทางใกล้กับเมืองบาพนม และในที่สุดทั้งเหงียนวันฮว่างและยว๋านอ๋วนยกทัพเข้าโจมตีค่ายของพระยาลือจักรี (ปาง) ที่กำปงขสัจสา (ខ្សាច់ស) แตกพ่าย ฝ่ายเวียดนามจึงสามารถยึดเมืองบาพนมและภูมิภาคเขตทางตะวันออกเฉียงใต้ของกัมพูชาได้สำเร็จอย่างรวดเร็ว ฝ่ายนักองค์ด้วงและพระยาณรงค์วิไชย เมื่อทราบว่าฝ่ายเวียดนามยกทัพเรือขึ้นมาโจมตี;[11]

  • นักองค์ด้วง และพระพรหมบริรักษ์ (แก้ว) อยู่ประจำการที่ป้อมบันทายแดก เพื่อคอยรับการโจมตีจากเวียดนาม
  • พระนรินทรโยธา (นอง) รักษาการตำแหน่งผู้สำเร็จราชการเจ้าเมืองพระตะบอง และพระยากลาโหม (หมก) อยู่ประจำการที่ป้อมเปียมมีชัยเป็นด่านหน้า

ฝ่ายเวียดนามจึงตั้งทัพประชิดค่ายเปียมมีชัยของฝ่ายไทยไว้อยู่ ฝ่ายทางกรุงเทพฯเมื่อทราบข่าวว่าเวียดนามได้ยกทัพขึ้นมาโจมตีกัมพูชาแล้วนั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชโองการให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) ยกทัพหัวเมืองไทยลาวออก จำนวน 40,000 คน[11] ไปต่อสู้กับเวียดนามอีกครั้งหนึ่ง และโปรดฯให้พระยาราชสุภาวดี (โต กัลยาณมิตร) ออกไปตั้งอยู่ที่กบินทร์บุรี คอยลำเลียงส่งเสบียงอาวุธกระสุนดินดำให้แก่เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯ เมื่อเดินทางถึงอรัญประเทศ ปืนคาบศิลาที่ใส่ไว้ในแอบสานข้างลำตัวของเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯเกิดระเบิดขึ้น ทำให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯได้รับบาดเจ็บเป็นแผลลวกตั้งแต่ไหลถึงศอก ต้องรักษาตัวไปตลอดจนถึงเมืองอุดง[6]

ในฤดูน้ำหลากปีพ.ศ. 2388 นั้น ระดับน้ำในกัมพูชาขึ้นสูงมากกว่าปกติเข้าท่วมเมืองอุดง หวอวันสายเจ้าเมืองไซ่ง่อนแม่ทัพใหญ่ และเหงียนวันเจืองเจ้าเมืองโจดก เดินทางมาบัญชาการอยู่ที่เมืองบาพนม หวอวันสายนำตัวเจ้าชายกัมพูชานักองค์พิมพ์ (โอรสของนักองค์อิ่ม) ขึ้นมาด้วย เพื่อเตรียมยกนักองค์พิมพ์ให้เป็นเจ้ากัมพูชา ฝ่ายเวียดนามอยู่สะสมกำลังในเขตเมืองบาพนมอยู่เป็นเวลาสองเดือน จนกระทั่งถึงช่วงต้นเดือนสิบ (กันยายน) พ.ศ. 2388 เหงียนวันเจืองจึงยกทัพเรือเข้าโจมตีค่ายเปียมมีชัย ฝ่ายไทย-กัมพูชา พระนรินทรโยธา (นอง) และพระยากลาโหม (หมก) ไม่สามารถต้านทานการโจมตีของทัพเรือเวียดนามได้ จึงแตกพ่ายไป โดยที่ไม่ได้แจ้งข่าวให้แก่นักองค์ด้วงที่บันทานแดกได้ทราบ[11]ว่า ค่ายเปียมมีชัยได้เสียให้แก่เวียดนามแล้ว เหงียนวันเจืองนำทัพเรือเวียดนาม 3,000 คน ยว๋านอ๋วน นำทัพ 2,000 คน เข้าโจมตีป้อมบันทายแดก ฝ่ายนักองค์ด้วงและพระพรหมบริรักษ์ (แก้ว) ไม่ทันได้ตั้งตัว สู้รบอยู่สามวัน[11] นักองค์ด้วงและพระพรหมบริรักษ์ (แก้ว) จึงแตกพ่ายเสียค่ายบันทายแดกให้แก่เวียดนามในที่สุด ถอยกลับมาที่พนมเปญ ป้อมค่ายที่เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯให้สร้างขึ้นตามรายทางแม่น้ำโขงไว้ก่อนหน้านี้เสียให้แก่เวียดนามทั้งหมด เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯที่เมืองอุดง เห็นว่าเมืองพนมเปญน้ำท่วมสูงชัยภูมิอันตราย จึงให้นักองค์ด้วงอยู่ที่เมืองอุดง แล้วส่งพระยาไชยวิชิตสิทธิสาตรา (ขำ ณ ราชสีมา) พระยาณรงค์วิไชย และพระพรหมบริรักษ์ (แก้ว) ออกไปรักษาเมืองพนมเปญอยู่ มีกำลัง 5,000 คน

เมื่อฝ่ายเวียดนามพิชิตได้ทั้งค่ายเปียมมีชัยและบันทายแดกแล้ว ในวันขึ้นสิบเอ็ดค่ำเดือนสิบ[6] (11 กันยายน) พ.ศ. 2388 เหงียนวันเจืองและยว๋านอ๋วน ยกทัพเรือเวียดนาม 5,000 คน จากบันทายแดก เข้าโจมตีเมืองพนมเปญ นำไปสู่การรบที่พนมเปญ ในขณะนั้นน้ำท่วมสูงที่เมืองพนมเปญ เหงียนวันเจืองยกทัพเรือมาด้วยความเงียบฝ่ายไทยไม่รู้ตัวเข้าล้อมเมืองพนมเปญไว้ทุกด้านและระดมยิงปืนใหญ่น้อยใส่ฝ่ายไทยที่พนมเปญ น้ำท่วมสูงทำให้เรือเวียดนามสามารถแล่นไปได้ทุกที่ในพนมเปญ ในขณะที่ฝ่ายไทยไม่มีที่ตั้งทัพและไม่มีที่ตั้งปืนใหญ่ ผลสุดท้ายฝ่ายไทยพระยาไชยวิชิตฯ (ขำ) และพระพรหมบริรักษ์ (แก้ว) จึงปราชัยแตกพ่ายมาจากเมืองพนมเปญมาหาเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯที่เมืองอุดง ฝ่ายเวียดนามเข้าสังหารทหารไทยและกัมพูชาจำนวนมาก ไพร่ไทยสิ้นชีวิตในที่รบ 600 คน ไพร่เขมรสิ้นชีวิต 1,200 คน[19] ที่เหลือรอดต่างว่ายน้ำลอยคอมาทางเมืองอุดง

ฝ่ายเวียดนามจึงสามารถยึดครองเมืองพนมเปญได้อีกครั้ง หลังจากที่ต้องล่าถอยออกจากเมืองพนมเปญในเดือนสิบสอง (พฤศจิกายน) พ.ศ. 2384 เมื่อสี่ปีก่อนหน้า ได่นามถึกหลุกระบุว่า ราษฎรกัมพูชาเมืองพนมเปญ 23,000 คน เข้าสวามิภักดิ์ต่อเวียดนาม ร้องเรียนว่าถูกฝ่ายสยามกดขี่ต่างๆนานา เมื่อพิชิตได้เมืองพนมเปญแล้ว เหงียนวันเจืองและยว๋านอ๋วนจึงยกทัพเรือติดตามฝ่ายไทยขึ้นมาโจมตีเมืองอุดงอย่างรวดเร็ว โดยที่หวอสันสายแม่ทัพใหญ่อยู่รักษาการที่พนมเปญ

  • เหงียนวันเจือง พงศาวดารไทยเรียกว่า จงตกเจ้าเมืองโจฎก มีกำลัง 2,000 คน จอดทัพเรือเทียบท่าอยู่ที่ที่กำปงหลวง (កំពង់លួង) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองอุดง
  • ยว๋านอ๋วน มีกำลัง 2,000 คน ตั้งทัพเรืออยู่ที่พระยาลือ (ពញ្ញាឮ) อยู่ริมแม่น้ำทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองอุดง

ทัพเรือเวียดนามออกจากพนมเปญ เมื่อวันแรมสิบเอ็ดค่ำ เดือนสิบ (26 กันยายน) พ.ศ. 2388 มาตั้งอยู่ที่กำปงหลวงและพระยาลือ ทางด้านตะวันออกของเมืองอุดงริมแม่น้ำทะเลสาบเขมร ฝ่ายเวียดนามวางกำลังขึ้นไปทางต้นน้ำไปจนถึงกำปงฉนัง เพื่อปิดทางไม่ให้ฝ่ายไทยสามารถถอยทัพกลับไปทางเมืองพระตะบองได้ เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯได้มอบหมายให้จมื่นสรรเพชรภักดี (ปาน สุรคุปต์) นำช้าง 300 เชือก[19] ออกไปซุ่มอยู่ในป่าเตรียมคอยรับทัพเวียดนาม ในการรบที่อุดง เหงียนวันเจืองและยว๋านอ๋วนยกทัพเรือเวียดนามแจวเข้ามาตามคลอง จากกำปงหลวงเข้ามาทางคลองเปียมชำนึก จากพระยาลือเข้ามาทางคลองพระยาลือ เข้ามาสู่เมืองอุดง ฝ่ายไทย-กัมพูชายิงปืนโหมกระหน่ำใส่ทัพเรือเวียดนาม จนเหงียนวันเจืองต้องให้ทัพเวียดนามลงเรือมาเดินทางบก จมื่นสรรเพชรภักดี (ปาน) ปล่อยช้าง 300 เชือก ออกตะลุมบอนเหยียบย่ำทัพเวียดนามจนแตกพ่ายถอยกลับไป ฝ่ายเวียดนามยิงปืนขู่ไล่ช้างได้บ้าง ประกอบกับที่องต๋าเตียนกุน[19] (หวอวันสาย) ล้มป่วย ทำให้ฝ่ายเวียดนามต้องล่าถอยกลับไปตั้งอยู่ที่กำปงหลวงและพระยาลือดังเดิม ไพร่ญวนสิ้นชีวิตประมาณ 1,000 คน[19]ได่นามถึกหลุกระบุว่า การรบในครั้งนี้ฝ่ายเวียดนามได้รับชัยชนะส่วนฝ่ายไทยถอยกลับเข้าเมืองอุดง

ในขณะเดียวกันนั้นเอง พระเจ้าเวียดนามเถี่ยวจิดำริว่าฝ่ายเวียดนามกำลังประสบความสำเร็จในการโจมตีกัมพูชา จึงแต่งตั้งแม่ทัพเวียดนามให้ดำรงตำแหน่งต่างๆดังนี้;

  • หวอวันสายเจ้าเมืองไซ่ง่อนแม่ทัพใหญ่ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นฝูเบียนเตื๊องเกวินเตี๊ยตเจ๊เจิ๊นเตย (Phủ biên tướng quân tiết chế Trấn Tây, 撫邊將軍節制鎮西) หรือ"องต๋าเตียนกุน" เป็นแม่ทัพใหญ่ปราบกัมพูชา
  • เหงียนวันเจืองเจ้าเมืองโจดก ได้รับการแต่งตั้งเป็นเคิมซายได่เถิ่น (Khâm sai đại thần, 欽差大臣, พงศาวดารกัมพูชาเรียกว่า องคำสาย)[11]
  • ยว๋านอ๋วนรองเจ้าเมืองโจดก ได้เป็นทามต๊านได่เถิ่น (Tham tán Đại thần, 參贊大臣) เป็นปลัดผู้ช่วยของเหงียนวันเจือง

ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2388 เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) ให้องโดยอิน[11] นายกองเวียดนามที่จับกุมตัวมาได้ นำสาสน์จากเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯไปมอบให้แก่องคำสายดายถัญ (เหงียนวันเจือง) แม่ทัพเวียดนามที่กำปงหลวง เสนอขอเจรจาสงบศึก องคำสายดายถัญหรือเหงียนวันเจืองปฏิเสธไม่รับไมตรีและส่งตัวองโดยอินกลับมาที่เมืองอุดง เมื่อฝ่ายเวียดนามยังไม่ยินยอมสงบศึก เจ้าพระยาบดินทรเดชาจึงวางกำลังไว้ตามแม่น้ำเพื่อป้องกันการโจมตีของเวียดนามจากทางเมืองพนมเปญและเมืองบาพนมจากทางตะวันออก;[6]

  • พระยารัตนวิเศษ (จิตร) รักษาอยู่ปากคลองเมืองอุดงมีชัยค่ายหนึ่ง พระสำแดงฤทธิรงค์ พระณรงค์ฤทธิเดช พระพิมาย คุมทัพเมืองนครราชสีมา และหลวงอินทรคชลักษณ์คุมทัพเมืองเสียมราฐ รักษาค่ายที่กำพงหลวงค่ายหนึ่งและที่คลองพระยาลืออีกค่ายหนึ่ง เป็นสามค่ายชักปีกกาถึงกัน
  • พระพลเมืองพระตะบอง (มา) คุมทัพเมืองพระตะบอง ตั้งทัพอยู่ที่แขวงเมืองบาทีทางทิศใต้ ริมแม่น้ำบาสัก
  • พระยาจตุรงค์นรินทรวิชัย คุมทัพเมืองขุขันธ์และเมืองลาดปะเอีย ตั้งทัพอยู่ที่แขวงเมืองไพรกะบาททางทิศใต้ ริมแม่น้ำบาสัก
  • พระยากลาโหม (มก) แม่ทัพกัมพูชา ตั้งทัพที่เกาะแตง คอยตัดเส้นทางลำเลียงของฝ่ายเวียดนาม

ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2388 เหงียนวันเจืองและยว๋านอ๋วนยกทัพเรือเวียดนามเข้ามาตั้งค่ายทางทิศตะวันออกของเมืองอุดง เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯจึงให้สร้างกำแพงและป้อมค่ายรายทางตั้งแต่วัดวิหารสำณร (วัดตะกั่ว) ไปจนถึงเขาพระราชทรัพย์[11] เป็นระยะทางประมาณสามกิโลเมตร แล้วจึงนำปืนใหญ่ขึ้นป้อม ระดมยิงถล่มใส่ฝ่ายเวียดนาม ทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายเวียดนามตอบโต้ยิงปืนสู้รบกัน คุมเชิงอยู่ที่ทางตะวันออกของเมืองอุดง ไม่สามารถเอาชนะกันได้ สุดท้ายเหงียนวันเจืองจึงเสนอขอเจรจาเป็นไมตรี เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯและนักองค์ด้วงเห็นว่าเป็นอุบายของฝ่ายญวนจึงปฏิเสธไม่รับไมตรี[6] เหงียนวันเจืองจึงรบเร้าขอสงบศึกกับนักองค์ด้วง เสนอว่าจะปล่อยพระราชวงศ์กัมพูชาคืนให้แก่นักองค์ด้วง สุดท้ายเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์) จึงยินยอมทำการเจรจาสงบศึกตามคำขอของเหงียนวันเจือง ในวันขึ้นห้าค่ำเดือนอ้าย[11] (3 ธันวาคม) พ.ศ. 2388

การเจรจา

[]

ฝ่ายญวนต้องการให้นักองค์ด้วงส่งสาส์นไปสวามิภักดิ์ต่อพระจักรพรรดิเถี่ยวจิ แต่นักองค์ด้วงและเจ้าพระยาบดินทรเดชาฯยังคงไม่ตอบ ในเดือนตุลาคมพ.ศ. 2389 ฝ่ายญวนส่งนักนางรศให้แก่นักองค์ด้วงและเร่งให้นักองค์ด้วงส่งสาส์นและส่งชาวญวนซึ่งฝ่ายสยามได้กวาดต้องไปกลับคืนให้แก่ญวน นักองค์ด้วงตอบว่าขอเวลาสามเดือน หลังจากผ่านไปสามเดือนฝ่ายญวนเข้ามาทวงสัญญา เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯจึงนำความขึ้นกราบทูลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ จึงมีพระบรมราชานุญาตให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯกระทำการเจรจากับฝ่ายญวนตามสมควร เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯจึงให้นักองค์ด้วงแต่งคณะทูตนำโดยพระยาราชเดชะ (นอง)[11] ไปเข้าเฝ้าพระจักรพรรดิเถี่ยวจิที่เมืองเว้ในเดือนมกราคมพ.ศ. 2390 ในเดือนพฤษภาคมพระจักรพรรดิเถี่ยวจิทรงให้คณะทูตญวนนำตราตั้งและเครื่องยศแบบญวนมาแต่งตั้งนักองค์ด้วงขึ้นเป็น "กาวเมียนโกว๊กเวือง" (Cao Miên Quốc vương , 高棉國王) หรือ "กษัตริย์แห่งเขมร" ในฐานะเจ้าประเทศราชขึ้นแก่เวียดนาม รวมทั้งส่งเชื้อพระวงศ์ที่เหลือทั้งหมดให้แก่นักองค์ด้วงและฝ่ายญวนก็ถอนกำลังทหารทั้งหมดออกจากพนมเปญไป ในเดือนมกราคม​พ.ศ. 2391 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯโปรดฯให้พระยาเพชรพิชัย[11] (เสือ สนธิรัตน์) นำเครื่องอิสสริยยศและสุพรรณบัฏไปยังเมืองอุดงและให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯเป็นผู้แทนพระองค์ราชาภิเษกนักองค์ด้วงขึ้นเป็น "พระหริรักษ์รามาธิบดีศรีสุริโยพันธุ์ธรรมิกวโรดม..." หรือ "องค์พระหริรักษ์เจ้ากัมพูชา" ในฐานะเจ้าประเทศราชของสยาม อาณาจักรกัมพูชาจึงเป็นเมืองขึ้นของทั้งสยามและเวียดนามนับแต่นั้นมา

เมื่อกิจการในกัมพูชาเรียบร้อยแล้ว เจ้าพระยาบดินทรเดชาฯจึงเดินทางกลับกรุงเทพฯในเมษายนพ.ศ. 2391 ต่อมาพระพรหมบริรักษ์ (แก้ว) จึงนำโอรสของนักองค์ด้วงคือ นักองค์ราชาวดี และโอรสของนักองค์อิ่มคือนักองค์พิมพ์ เดินทางมาเข้าเฝ้าถวายตัวทำราชการที่กรุงเทพฯ พร้อมทั้งขุนนางกัมพูชาคือพระยาสวรรคโลก (เกาะ) และพระพลเมืองพระตะบอง (มา) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯโปรดฯพระราชทานแต่งตั้งให้พระพลเมืองพระตะบอง (มา) เป็นเจ้าฟ้าทะละหะ และพระยาสวรรคโลก (เกาะ) เป็นสมเด็จเจ้าพระยา[11] ซึ่งต่อมานักองค์พิมพ์โอรสขององค์อิ่มประชวรสิ้นพระชนม์ที่กรุงเทพในพ.ศ. 2398[11]

ผลสรุป

[]

ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถรบชนะอีกฝ่ายได้เด็ดขาด ทำให้ต้องทำสนธิสัญญาสงบศึกกัน โดยไทยยังคงไว้ซึ่งสิทธิในการสถาปนากษัตริย์เขมร ระเบียบปฏิบัติในราชสำนักเขมร และประชาชนทั่วไปรวมถึงพุทธศาสนากลับมาเป็นแบบเขมรดังเดิม ข้าราชการญวนในเขมรถอนตัวออกหมด แต่เขมรยังคงต้องส่งเครื่องบรรณาการแก่ญวนทุก ๆ 3 ปี ถือเป็นข้อตกลงที่น่าพอใจทั้ง 2 ฝ่าย สงครามจึงยุติลง

ต่อมาหลังจากสงครามอานัมสยามยุทธสิบปี ในปีพ.ศ. 2401 รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และรัชกาลพระจักรพรรดิตือดึ๊ก พ่อค้าชาวญวนกลุ่มหนึ่งจำนวนยี่สิบเอ็ดคนถูกคลื่นลมซัดเข้ามาในอ่าวไทย[22] ฝ่ายไทยจึงฝากชาวญวนเหล่านั้นกลับไปกับพ่อค้าจีนส่งกลับไปยังเมืองไซ่ง่อน เหงียนวันเจือง ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นเหงียนจิเฟืองและดำรงตำแหน่งเป็นข้าหลวงผู้สำเร็จราชการเวียดนามภาคใต้หกเมืองประจำที่เมืองไซ่ง่อน[22] เมื่อทราบว่าฝ่ายไทยส่งชาวญวนกลับมาจึงส่งสาสน์ถึงเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ที่สมุหกลาโหมว่า เมื่อครั้งที่เจรจากับเจ้าพระยาบดินทรเดชาที่เมืองอุดงมีชัยฝ่ายไทยสัญญาว่าจะจัดส่งเชลยชาวญวนกลับคืนให้แก่เวียดนาม ขอให้ฝ่ายไทยคืนเชลยชาวญวนให้แก่เวียดนาม โดยเหงียนจิเฟืองได้จัดส่งอาวุธที่เคยยึดไปจากฝ่ายไทยเมื่อสิบปีก่อนคืนให้แก่กรุงเทพฯ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) จึงตอบว่า เชลยชาวญวนเหล่านั้นฝ่ายไทยได้เลี้ยงดูช่วยเหลือเป็นอย่างดี[22] ไทยและเวียดนามต่างมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และส่งอาวุธเหล่านั้นคืนให้แก่เหงียนจิเฟือง

เมื่อสมเด็จพระหริรักษ์รามาธิบดี (นักองค์ด้วง) กษัตริย์กัมพูชาสวรรคตในพ.ศ. 2403 เกิดความขัดแย้งระหว่างพระโอรสสององค์ของสมเด็จพระหริรักษ์รามาธิบดีคือนักองค์ราชาวดี และนักองค์ศรีสวัสดิ์ จนนำไปสู่สงครามกลางเมืองและฝ่ายสยามต้องเข้าไกล่เกลี่ย ในขณะที่ฝ่ายเวียดนามซึ่งติดพันกับสงครามกับฝรั่งเศสไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด

อ้างอิง

[]
  1. Kiernan, Ben (17 February 2017). Viet Nam: A History from Earliest Times to the Present. Oxford University Press. pp. 283–. ISBN 978-0-19-062729-4.
  2. Schliesinger, Joachim (2017). The Chong People: A Pearic-Speaking Group of Southeastern Thailand and Their Kin in the Region. Booksmango. pp. 106–. ISBN 978-1-63323-988-3.
  3. Childs Kohn, George (2013). "Siamese-Vietnamese War of 1841–45". Dictionary of Wars. Taylor & Francis. pp. 646–. ISBN 978-1-135-95501-4.
  4. Hirakawa, Sachiko (2004). "Siamese-Vietnamese Wars". ใน Bradford, James C. (บ.ก.). International Encyclopedia of Military History. Routledge. pp. 1235–. ISBN 978-1-135-95034-7.
  5. Vũ Đức Liêm. (PDF). Hanoi National University of Education. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-11-24. สืบค้นเมื่อ July 2, 2020.
  6. เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค). พระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชชกาลที่ ๓.
  7. K. W. Taylor. A History of the Vietnamese. Cambridge University Press, พ.ศ. ๒๕๕๖.
  8. Quốc Triều Chánh Biên Toát Yếu 國朝正編撮要. Quốc Sử Quán Triều Nguyễn, พ.ศ. ๒๔๕๑.
  9. Ramsay, Jacob (2008). Mandarins and Martyrs: The Church and the Nguyen Dynasty in Early Nineteenth-Century Vietnam. Stanford University Press.
  10. ประชุมพงศาวดาร เล่มที่ ๔๒: จดหมายเหตุเกี่ยวกับเขมรและญวนในรัชกาลที่ ๓.
  11. ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณแปลใหม่. จางวางตรี พระยาไกรเพ็ชรรัตนสงคราม สมุหเทศาภิบาลมณฑลนครสวรรค์ พิมพ์แจก ในงานศพ พระตำรวจตรี พระยากำแหงรณฤทธิ์ จางวางพระตำรวจ ผู้บิด พ.ศ. ๒๔๖๐.
  12. e-shann.com/9042/ชุมชนลาวในภาคกลางของส-11/
  13. ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จ ฯ กรมพระยา. (2512). "ฉบับที่ ๒ บัญชีกองทัพเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิง สิงหเสนี) เมื่อยกไปเมืองพระตะบอง," ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๔๒ (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๗ (ต่อ) ๖๘) จดหมายเหตุเกี่ยวกับเขมรและญวนในรัชกาลที่ ๓ ตอนที่ ๑ (ต่อ) และตอนที่ ๒. กรุงเทพฯ: องค์การค้าของคุรุสภา. หน้า 182.
  14. Quốc Triều Chánh Biên Toát Yếu 國朝正編撮要. Quốc Sử Quán Triều Nguyễn, พ.ศ. ๒๔๕๑.
  15. Bun Srun Theam. "CAMBODIA IN THE MID-NINETEENTH CENTURY:A QUEST FOR SURVIVAL, 1840-1863" (PDF). Open Research. สืบค้นเมื่อ July 2, 2020.
  16. จดหมายเหตุเรื่องทัพญวน ครั้งรัชชกาลที่ ๓ จดหมายและใบบอกในปีชวดโทศกจุลศักราช ๑๒๐๒ (พ.ศ. ๒๓๘๓) พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายพลตรี พระยาสิงหเสนี (สอาด สิงหเสนี) ณเมรุวัดเทพศิรินทราวาส ปีระกา พ.ศ. ๒๔๗๖ โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร
  17. ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๘ จดหมายเหตุเกี่ยวกับเขมรและญวนในรัชกาลที่ ๓ ตอนที่ ๒ ที่ระลึกในงานประชุมเพลิงศพ สมบุญ สิงหเสนี ที่วัดจักรวรรดิราชาวาส วันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๑ พิมพ์ที่โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ
  18. ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๘ จดหมายเหตุเกี่ยวกับเขมรและญวนในรัชกาลที่ ๓ ตอนที่ ๒ ที่ระลึกในงานประชุมเพลิงศพ สมบุญ สิงหเสนี ที่วัดจักรวรรดิราชาวาส วันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๑ พิมพ์ที่โรงพิมพ์บำรุงนุกูลกิจ
  19. ก.ศ.ร. กุหลาบ. อานามสยามยุทธ. พิมพ์ครั้งที่ ๕. นนทบุรี; ศรีปัญญา, พ.ศ. ๒๕๖๔.
  20. David Chandler. A History of Cambodia. Taylor & Francis, พ.ศ. ๒๕๖๑.
  21. พวงทอง รุ่งสวัสดิทรัพย์. War and trade: Siamese interventions in Cambodia, 1767-1851. University of Wollongong Thesis Collection, มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๘.

วิกิพีเดีย, วิกิ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, มือถือ, โทรศัพท์, แอนดรอยด์, ไอโอเอส, แอปเปิ้ล, สมาร์ทโฟน, พีซี, เว็บ, คอมพิวเตอร์, ข้อมูลเกี่ยวกับ อานามสยามยุทธ, อานามสยามยุทธ คืออะไร? อานามสยามยุทธ หมายความว่าอะไร?

0 ตอบกลับ

ฝากคำตอบ

ต้องการเข้าร่วมการสนทนาหรือไม่?
คุณสามารถร่วมเขียนได้!

เขียนคำตอบ

ช่องที่จำเป็นถูกทำเครื่องหมายด้วยดาว *