เติ้ง เสี่ยวผิง

เติ้ง เสี่ยวผิง (จีน: 邓小平; พินอิน: Dèng Xiǎopíng; 22 สิงหาคม ค.ศ. 1904 – 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997) เป็นนักปฏิวัติและรัฐบุรุษชาวจีน เขาดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดของสาธารณรัฐประชาชนจีนตั้งแต่ ค.ศ. 1978 ถึง 1989 ภายหลังอสัญกรรมของเหมา เจ๋อตงใน ค.ศ. 1976 เติ้งได้ก้าวขึ้นสู่อำนาจและนำพาประเทศจีนผ่านสมัยของการปฏิรูปและเปิดประเทศ ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจของจีนให้เป็นเศรษฐกิจตลาดแบบสังคมนิยม เขาได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็น “สถาปนิกแห่งจีนสมัยใหม่” จากการพัฒนาสังคมนิยมอัตลักษณ์จีน และริเริ่มทฤษฎีของเติ้ง เสี่ยวผิง

เติ้ง เสี่ยวผิง
邓小平
image
เติ้งระหว่างการเยือนสหรัฐอเมริกาใน ค.ศ. 1979
ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาส่วนกลาง
ดำรงตำแหน่ง
13 กันยายน ค.ศ. 1982 – 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1987
(5 ปี 1 เดือน 20 วัน)
ประธานาธิบดีหลี่ เซียนเนี่ยน
หัวหน้ารัฐบาลจ้าว จื่อหยาง
รอง
  • ปั๋ว อีปัว
  • สฺวี่ ชื่อโหย่ว
  • ถาน เจิ้นหลิน
  • หลี่ เหวย์ฮั่น
  • หวัง เจิ้น
  • ซ่ง เริ่นฉฺยง
เลขาธิการ
ก่อนหน้าสถาปนาตำแหน่ง
ถัดไปเฉิน ยฺหวิน
ประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง
ดำรงตำแหน่ง
คณะกรรมการพรรค: 28 มิถุนายน ค.ศ. 19819 กันยายน ค.ศ. 1989
(8 ปี 2 เดือน 12 วัน)
รอง
  • เย่ เจี้ยนอิง
  • จ้าว จื่อหยาง
  • หยาง ช่างคุน
  • หลิว ปั๋วเฉิง
  • เนี่ย หรงเจิน
  • สวี เซี่ยงเฉียน
เลขาธิการ
  • หู เย่าปัง
  • จ้าว จื่อหยาง
  • เจียง เจ๋อหมิน
ก่อนหน้าฮฺว่า กั๋วเฟิง
ถัดไปเจียง เจ๋อหมิน
ดำรงตำแหน่ง
คณะกรรมการรัฐ:
6 มิถุนายน ค.ศ. 1983 – 19 มีนาคม ค.ศ. 1990
(6 ปี 9 เดือน 13 วัน)
ก่อนหน้าสถาปนาตำแหน่ง
ถัดไปเจียง เจ๋อหมิน
ประธานสภาที่ปรึกษาทางการเมืองประชาชนจีน คนที่ 3
ดำรงตำแหน่ง
8 มีนาคม ค.ศ. 1978 – 17 มิถุนายน ค.ศ. 1983
(5 ปี 3 เดือน 9 วัน)
ก่อนหน้าโจว เอินไหล (ถึง ค.ศ. 1976)
ถัดไปเติ้ง อิ่งเชา
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด
เติ้ง เซียนเชิ่ง

22 สิงหาคม ค.ศ. 1904(1904-08-22)
กว่างอาน, มณฑลเสฉวน, จักรวรรดิชิง
เสียชีวิต19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997(1997-02-19) (92 ปี)
ปักกิ่ง, ประเทศจีน
พรรคการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน (ตั้งแต่ ค.ศ. 1924)
คู่สมรส
  • จาง ซี-ยฺเวี่ยน (张锡瑗) (สมรส 1928; เสียชีวิต 1929)
  • จิน เหวย์อิ้ง [zh] (金维映) (สมรส 1931–1939)
  • จัว หลิน (สมรส 1939)
บุตร6, รวมถึง:
  • เติ้ง ผูฟาง
  • เติ้ง หนาน
  • เติ้ง หรง
ความสัมพันธ์เติ้ง จั๋วตี้ (หลานชาย)
ลายมือชื่อimage
เว็บไซต์cpc.people.com.cn
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง
สังกัด
  • กองทัพแดงจีน
  • กองทัพลู่ที่แปด
  • กองทัพปลดปล่อยประชาชน
ประจำการ1929–1952, 1975–1980
ยศ
  • ผู้ตรวจการการเมือง (1929–1952)
  • ประธานคณะเสนาธิการ (1975–1976, 1977–1980)
  • ประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางแห่งรัฐ
หน่วย
  • กองทัพแดงจีน
  • กองทัพลู่ที่แปด
  • กองทัพภาคสนามที่ 2
  • กรมเสนาธิการ กองทัพปลดปล่อยประชาชน
ผ่านศึก
  • สงครามกลางเมืองจีน
  • สงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง
ชื่อภาษาจีน
อักษรจีนตัวย่อ邓小平
อักษรจีนตัวเต็ม鄧小平
ผู้นำสูงสุดของจีน

เติ้งเกิดในมณฑลเสฉวนในช่วงปลายราชวงศ์ชิง และเริ่มสนใจลัทธิมากซ์–เลนินในช่วงทศวรรษ 1920 ขณะศึกษาอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ใน ค.ศ. 1924 เขาเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนและเดินทางไปมอสโกเพื่อศึกษาต่อ ก่อนจะเดินทางกลับมายังประเทศจีน และดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการการเมืองในกองทัพแดง เติ้งมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้นำคนสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์จีนระหว่างสงครามกลางเมืองจีน โดยเฉพาะในการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการรักษาความอยู่รอดของพรรคระหว่างการเดินทัพทางไกล ต่อมาเขาช่วยนำกองทัพปลดปล่อยประชาชนสู่ชัยชนะในสงครามกลางเมือง รวมถึงการมีส่วนร่วมร่วมในการยึดหนานจิงของกองทัพปลดปล่อยประชาชน

ภายหลังการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1949 เติ้งดำรงตำแหน่งสำคัญระดับภูมิภาคหลายตำแหน่งและในที่สุดก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญในคณะมนตรีรัฐกิจในช่วงทศวรรษ 1950 ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ภายใต้การนำของเขา เติ้งเป็นประธานการดำเนินงานฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ มีบทบาทสำคัญในการรณรงค์ต่อต้านฝ่ายขวา ซึ่งเป็นการกวาดล้างกลุ่มปัญญาชนและผู้วิจารณ์พรรคคอมมิวนิสต์จีน การรณรงค์ดังกล่าวส่งผลให้มีการกดขี่ข่มเหงประชาชนประมาณ 550,000 คน รวมถึงนักเขียนและนักกิจกรรมทางการเมือง และถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในการเสริมสร้างการสนับสนุนนโยบายหัวรุนแรงของเหมาในขณะนั้น เขาหลุดจากอำนาจในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม เนื่องจากมีความเห็นชอบต่อนโยบายเน้นปฏิบัติและการตลาด เขาถูกเหมากำจัดสองครั้ง แต่หลังอสัญกรรมของเหมา เติ้งก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำสูงสุดด้วยความสามารถในการเอาชนะคู่แข่งทางการเมือง

เมื่อขึ้นสู่อำนาจ เติ้งดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานและระบบการเมืองของประเทศจีนอย่างครอบคลุม ด้วยความระส่ำระสายของสถาบันและความปั่นป่วนทางการเมืองจากสมัยเหมา เขาและพันธมิตรจึงริเริ่มโครงการ "ปัวล่วนฝ่านเจิ้ง" เพื่อฟื้นความสงบเรียบร้อยโดยการคืนความยุติธรรมให้แก่ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนรุ่นเก่า ตลอดจนประชาชนหลายล้านคนที่ถูกข่มเหงในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เขายังริเริ่มโครงการปฏิรูปและเปิดประเทศ ซึ่งนำเอาองค์ประกอบของระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเข้ามาสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศจีนโดยการกำหนดเขตเศรษฐกิจพิเศษทั่วประเทศ ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1980 เติ้งริเริ่มการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่โดยกำหนดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของเจ้าหน้าที่รัฐไว้ในรัฐธรรมนูญ และมีการปรับปรุงแก้ไขระบบต่าง ๆ ซึ่งรวมอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับที่สี่ของประเทศ ต่อมาเติ้งให้การสนับสนุนนโยบายลูกคนเดียวเพื่อแก้ไขปัญหาประชากรล้นเมืองที่ประเทศจีนเผชิญอยู่ ทั้งยังมีส่วนสำคัญในการจัดตั้งระบบการศึกษาภาคบังคับ 9 ปีและเป็นผู้ดูแลการเริ่มโครงการ 863 เพื่อส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การปฏิรูปที่ดำเนินโดยเติ้งและพันธมิตรของเขานำพาประเทศจีนให้ค่อย ๆ เปลี่ยนจากระบบเศรษฐกิจแบบบังคับและลัทธิเหมา เป็นการเปิดรับการลงทุนและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และนำแรงงานจำนวนมหาศาลของประเทศเข้าสู่ตลาดโลก ส่งผลให้จีนกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก

ระหว่างการดำรงตำแหน่งผู้นำ เติ้งได้รับยกย่องให้เป็นบุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์ถึงสองครั้งใน ค.ศ. 1978 และ 1985 แม้เติ้งจะมีส่วนสำคัญในการนำพาประเทศจีนให้ทันสมัย แต่ผลงานของเขาก็ยังคงเป็นที่ถกเถียง เขาสั่งให้กองทัพเข้าปราบปรามการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989 ซึ่งเป็นเหตุให้การปฏิรูปทางการเมืองสิ้นสุดลง และยังคงเป็นประเด็นที่ถูกวิจารณ์ไปทั่วโลกนโยบายลูกคนเดียวซึ่งริเริ่มขึ้นในยุคของเติ้งนั้นก็ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์เช่นกัน อย่างไรก็ตาม นโยบายของเขาก่อให้เกิดรากฐานที่มั่นคงสำหรับการก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจระดับโลกของจีน

ชีวิตช่วงต้น

image
เติ้งในวัย 16 ปีขณะศึกษาอยู่ที่ฝรั่งเศส (ค.ศ 1921)

บรรพบุรุษของเติ้งสามารถสืบย้อนไปถึงอำเภอเจียอิง (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นเหมย์เซี่ยน) มณฑลกวางตุ้ง ซึ่งเป็นถิ่นฐานดั้งเดิมที่สำคัญของชาวฮากกา และได้อพยพมาตั้งรกรากอยู่ในมณฑลเสฉวนต่อเนื่องกันมาหลายชั่วอายุคนเติ้ง หรง บุตรีของเติ้งกล่าวไว้ในหนังสือ พ่อของฉัน เติ้ง เสี่ยวผิง (我的父亲邓小平) ว่าบรรพบุรุษของเขาอาจมีเชื้อสายฮากกา แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้แน่ชัด สกุลเติ้งมีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ในมณฑลเสฉวน แต่ในช่วงราชวงศ์หมิง มีบุคคลสกุลเติ้งคนหนึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งราชการในมณฑลกวางตุ้ง อย่างไรก็ตาม เมื่อราชวงศ์ชิงมีนโยบายส่งเสริมการเพิ่มจำนวนประชากรใน ค.ศ. 1671 ตระกูลเติ้งจึงอพยพกลับมามณฑลเสฉวน เติ้ง เสี่ยวผิงเกิดเมื่อ 22 สิงหาคม ค.ศ. 1904 ในเขตกว่างอัน เมืองกว่างอัน มณฑลเสฉวน

บิดาของเติ้งคือเติ้ง เหวินหมิง เจ้าของที่ดินขนาดกลางที่เคยศึกษาที่มหาวิทยาลัยกฎหมายและรัฐศาสตร์ เมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน เขามีชื่อเสียงในระดับท้องถิ่น มารดาของเติ้งมีสกุลต้าน ถึงแก่กรรมตั้งแต่เติ้งยังเยาว์วัย ทำให้เติ้งและพี่น้องร่วมสายเลือดอีกสามคนและน้องสาวอีกสามคนต้องเผชิญการสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่ออายุได้ 5 ปี เติ้งได้ถูกส่งไปศึกษที่โรงเรียนประถมศึกษาเอกชนแบบจีนดั้งเดิม จากนั้นเมื่ออายุได้ 7 ปีได้ย้ายไปศึกษาต่อที่โรงเรียนประถมศึกษาที่ทันสมัยขึ้น

ภรรยาคนแรกของเติ้งเป็นเพื่อนร่วมชั้นจากมอสโก เสียชีวิตด้วยวัย 24 ปี เพียงไม่กี่วันหลังคลอดบุตรีคนแรกซึ่งก็เสียชีวิตลงด้วยเช่นกัน ภรรยาคนที่สองคือจิน เหวย์อิ้ง แยกทางกับเติ้งหลังจากเขาถูกโจมตีทางการเมืองใน ค.ศ. 1933 ภรรยาคนที่สามของเขาคือจัว หลิน บุตรีของนักอุตสาหกรรมในมณฑลยูนนาน เธอเข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ใน ค.ศ. 1938 และแต่งงานกับเติ้งในปีต่อมา ณ หน้าถ้ำที่พำนักของเหมาในเหยียนอาน ทั้งสองมีบุตรด้วยกัน 5 คน ได้แก่ บุตรี 3 คนคือ เติ้ง หลิน เติ้ง หนาน และเติ้ง หรง และบุตรชาย 2 คนคือ เติ้ง ผู่ฟาง และเติ้ง จื่อฟาง เติ้งเลิกสูบบุหรี่เมื่ออายุ 86 ปี

การศึกษาและอาชีพช่วงต้น

image
บัตรประจำตัวพนักงานของโรงงานผลิตรองเท้าฮัตชินสัน ในชาเล็ต-ซูร์-ล็วง ประเทศฝรั่งเศสระบุชื่อของเติ้งว่า "เติ้ง ซีเซี่ยน" ซึ่งเป็นชื่อที่เขาทำงานด้วยในระหว่างที่ทำงาน ณ โรงงานแห่งนี้เป็นเวลา 8 เดือนใน ค.ศ. 1922 และอีกครั้งหนึ่งใน ค.ศ. 1923 แต่ถูกเลิกจ้างหลังทำงานได้เพียงหนึ่งเดือน โดยมีข้อความระบุเหตุผลการเลิกจ้างไว้ว่า "ปฏิเสธที่จะทำงาน ห้ามรับกลับเข้าทำงาน"

เมื่อเติ้งเข้าศึกษาเป็นครั้งแรก ครูผู้สอนคัดค้านชื่อที่ได้รับมาแต่เดิมคือ "เซียนเชิ่ง" (先圣) และเรียกเขาว่า "ซีเซี่ยน" (希贤) ที่ประกอบด้วยอักษรจีนที่มีความหมายถึง "ความปรารถนา" และ "ความดี" แฝงไว้ด้วยความหมายสื่อถึงความฉลาด

ในฤดูร้อน ค.ศ 1919 เติ้งสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนฉงชิ่ง เขาและเพื่อนร่วมชั้นอีก 80 คนได้เดินทางโดยเรือชั้นสามไปยังประเทศฝรั่งเศสเพื่อเข้าร่วมโครงการ "ขยันทำงาน อดออมศึกษา" (Diligent Work-Frugal Study Movement) โครงการการศึกษาควบคู่กับการทำงาน: 37  โดยมีชาวจีนจำนวน 4,001 คนเข้าร่วมโครงการนี้ภายใน ค.ศ. 1927 เติ้งเป็นสมาชิกอายุน้อยที่สุดในกลุ่มนักเรียนชาวจีน เพิ่งมีอายุครบ 15 ปี อู๋ ยฺวี่จาง ผู้นำท้องถิ่นของโครงการในฉงชิ่ง ได้รับสมัครเติ้งและเติ้ง เช่าเชิ่ง ลุงฝ่ายบิดาของเติ้งเข้าร่วมโครงการ บิดาของเติ้งให้การสนับสนุนการเข้าร่วมโครงการศึกษาและทำงานในต่างประเทศของบุตรชายอย่างเต็มที่ ในคืนก่อนวันเดินทางไปฝรั่งเศส บิดาของเติ้งเรียกบุตรชายมาพูดคุยเป็นการส่วนตัว และสอบถามถึงความคาดหวังที่บุตรชายมีต่อการศึกษาในประเทศฝรั่งเศส เขากล่าวคำที่ได้เรียนรู้มาจากครูของเขาว่า "ศึกษาหาความรู้และสัจธรรมจากตะวันตกเพื่อนำมาใช้ในการกอบกู้ประเทศจีน" เติ้งตระหนักดีว่าประเทศจีนกำลังประสบความทุกข์ยากอย่างมาก และประชาชนชาวจีนจำเป็นต้องได้รับการศึกษาสมัยใหม่จึงจะสามารถช่วยเหลือประเทศของตนได้

วันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 1920 เรือโดยสารฝรั่งเศสชื่ออังเดร เลอบง (André Lebon) แล่นเข้าสู่ท่าเรือมาร์เซย์พร้อมนักศึกษาชาวจีน 210 คนบนเรือรวมทั้งเติ้งด้วย เติ้งในวัย 16 ปีเข้าศึกษาที่โรงเรียนมัธยมศึกษาในบาเยอและชาตีญงเป็นเวลาสั้น ๆ แต่เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในฝรั่งเศสเพื่อทำงาน รวมถึงที่โรงงานรถยนต์เรอโน และเป็นช่างประกอบที่โรงงานเหล็กและเหล็กกล้าเลอครูโซต์ ในลาแกเรน-โคลอมบ์ ย่านชานเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของปารีส ที่ซึ่งเขาย้ายไปอาศัยอยู่ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1921 บังเอิญว่าเมื่อสถานการณ์ทางการเมืองของเติ้งย่ำแย่ลงในช่วงหลัง และถูกส่งไปทำงานในโรงงานผลิตรถแทรกเตอร์ใน ค.ศ. 1969 ระหว่างการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เขาก็ได้กลับมาทำงานในฐานะช่างประกอบอีกครั้งและแสดงให้เห็นว่าเขายังคงเชี่ยวชาญในทักษะดังกล่าว

ที่ลาแกเรน-โกลอมบ์ เติ้งพบกับผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนในอนาคต ได้แก่ โจว เอินไหล, เฉิน อี้, เนี่ย หรงเจิน, หลี่ ฟู่ชุน, หลี่ ลี่ซาน และหลี่ เหวย์ฮั่น ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1923 เขาเข้าร่วมสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์จีนในยุโรป ในช่วงครึ่งหลังของ ค.ศ. 1924 เขาเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนและดำรงตำแหน่งหนึ่งในสมาชิกชั้นนำของสาขาใหญ่ของสันนิบาตเยาวชนในยุโรป ใน ค.ศ. 1924 เติ้งเดินทางไปสหภาพโซเวียตและศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยซุน ยัตเซ็นแห่งมอสโก ที่ซึ่งมีเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งคือเจี่ยง จิงกั๋ว บุตรชายของเจียง ไคเชก

กลับประเทศจีน

ปลาย ค.ศ. 1927 เติ้งเดินทางกลับจากมอสโกมายังประเทศจีนและเข้าร่วมกองทัพของเฝิง ยฺวี่เสียง ผู้นำทหารในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ผู้ซึ่งขอความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียตในการต่อสู้กับผู้นำท้องถิ่นคนอื่น ๆ ในภูมิภาค ในช่วงเวลานั้น สหภาพโซเวียตสนับสนุนการเป็นพันธมิตรระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์กับก๊กมินตั๋ง พรรคชาตินิยมที่ก่อตั้งโดยซุน ยัตเซนผ่านองค์การคอมมิวนิสต์สากล องค์การระหว่างประเทศที่ให้การสนับสนุนขบวนการคอมมิวนิสต์ทั่วโลก

เขาเดินทางมาถึงซีอาน ฐานที่มั่นของเฝิงในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1927 เขาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเฟิ่งเทียนที่พยายามยับยั้งการแตกแยกพันธมิตรระหว่างก๊กมินตั๋งและคอมมิวนิสต์ การแตกแยกครั้งนี้เกิดขึ้นส่วนหนึ่งจากการที่เจียง ไคเชกบังคับให้พวกเขาอพยพออกจากพื้นที่ที่ก๊กมินตั๋งควบคุม ภายหลังการแตกแยกของพันธมิตรระหว่างคอมมิวนิสต์และชาตินิยม เฝิงก็เข้าร่วมกับเจียง ไคเชก ทำให้คอมมิวนิสต์ที่เข้าร่วมกองทัพขอเฝิงรวมถึงเติ้งถูกบังคับให้หลบหนี[ต้องการอ้างอิง]

การเติบโตทางการเมือง

แม้เติ้งจะเข้าร่วมขบวนการปฏิวัติมาร์กซิสต์ในจีน แต่เกา มั่วปัว นักประวัติศาสตร์ได้โต้แย้งว่า "เติ้ง เสี่ยวผิง และคนอื่น ๆ ที่มีความเห็นคล้ายกันในพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้นไม่ได้เป็นมาร์กซิสต์อย่างแท้จริง แต่เป็นนักชาตินิยมปฏิวัติที่ต้องการเห็นจีนยืนหยัดอย่างทัดเทียมกับมหาอำนาจโลก พวกเขาเป็นนักชาตินิยมเป็นหลัก และเข้าร่วมการปฏิวัติคอมมิวนิสต์เพราะเห็นว่าเป็นหนทางเดียวที่เป็นไปได้ในการบรรลุอุดมการณ์ชาตินิยมจีน"

การเคลื่อนไหวในเซี่ยงไฮ้และอู่ฮั่น

ภายหลังการออกจากกองทัพของเฝิง ยฺวี่เสียงในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ เติ้งเดินทางมายังอู่ฮั่น ซึ่งในขณะนั้นเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์ ในช่วงเวลานั้นเขาเริ่มใช้ชื่อเล่นว่า "เสี่ยวผิง" และดำรงตำแหน่งสำคัญในพรรค เขาเข้าร่วมการประชุมฉุกเฉินครั้งประวัติศาสตร์ในวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 1927 ซึ่งตามคำสั่งของโซเวียต พรรคได้ปลดเฉิน ตู๋ซิ่ว ผู้ก่อตั้งพรรคออก และฉิว ชฺวีไป๋ ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ ที่อู่ฮั่น เติ้งพบปะและสร้างความสัมพันธ์กับเหมา เจ๋อตงเป็นครั้งแรก ผู้ซึ่งในตอนนั้นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์สายแข็งที่สนับสนุนโซเวียตยังไม่เห็นค่าของเขามากนัก

ระหว่าง ค.ศ. 1927 ถึง 1929 เติ้งอยู่ในเซี่ยงไฮ้และมีส่วนร่วมในการจัดการประท้วง ซึ่งต่อมาได้เผชิญกับการปราบปรามอย่างรุนแรงจากรัฐบาลก๊กมินตั๋ง การเสียชีวิตของนักปฏิวัติคอมมิวนิสต์จำนวนมากในช่วงปีเหล่านั้นส่งผลให้จำนวนสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ลดลง เปิดโอกาสให้เติ้งสามารถเลื่อนตำแหน่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ในช่วงนี้ที่เซี่ยงไฮ้ เติ้งแต่งงานกับจาง ซี-ยฺเวี่ยน หญิงที่ได้พบกันในมอสโก

การทัพในกว่างซี

ตั้งแต่ ค.ศ. 1929 ถึง 1931 เติ้งดำรงตำแหน่งผู้แทนสูงสุดของคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำมณฑลกว่างซี โดยมีบทบาทสำคัญในการช่วยนำการก่อการกำเริบไป่เซ่อและหลงโจว ทั้งในช่วงเหตุการณ์และภายหลัง การนำของเติ้งในช่วงการก่อกำเริบได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เขาเดินตาม "แนวทางหลี่ ลี่ซาน" ที่เรียกร้องให้มีการโจมตีเมืองอย่างรุนแรง ในทางปฏิบัติ นั่นหมายความว่าโซเวียตชนบทในกว่างซีถูกทอดทิ้ง และกองทัพแดงที่เจ็ดภายใต้การนำทางการเมืองของเติ้งได้ต่อสู้และพ่ายแพ้ในสงครามนองเลือดหลายครั้ง ในที่สุด เติ้งและผู้นำคอมมิวนิสต์คนอื่น ๆ ในมณฑลกว่างซีก็ตัดสินใจถอยทัพไปมณฑลเจียงซีเพื่อรวมกำลังกับเหมา อย่างไรก็ดี หลังการเดินทัพอันแสนยาวนานผ่านภูมิประเทศที่ขรุขระ เติ้งได้ปล่อยให้กองทัพให้อยู่ในภาวะไร้ผู้นำโดยพลการ ในการประชุมวิเคราะห์ภายหลังเหตุการณ์ของคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนใน ค.ศ. 1934 มีการระบุพฤติกรรมของเติ้งว่าเป็นตัวอย่างของ "โอกาสนิยมขวาและแนวทางของชาวนาผู้มั่งคั่ง" ใน ค.ศ. 1945 อดีตผู้บัญชาการหลายนายของกองทัพแดงที่เจ็ดออกมาพูดต่อต้านการกระทำของเติ้งในช่วงการก่อกำเริบ แม้เหมาจะให้การปกป้องเติ้งจากผลกระทบร้ายแรงใด ๆ ก็ตาม ในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม ยุวชนแดงได้รับทราบเกี่ยวกับเหตุการณ์การก่อกำเริบไป่เซ่อและกล่าวหาเติ้งว่าหนีทัพ เติ้งยอมรับว่าการหนีทัพเป็นหนึ่งใน "ความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของตน" และ "แม้ว่าพรรคจะอนุญาตให้กระทำเช่นนี้ แต่ก็ถือเป็นสิ่งที่ผิดทางการเมืองอย่างร้ายแรง นักประวัติศาสตร์และนักเขียนชีวประวัติสมัยใหม่ต่างเห็นพ้องกัน อูลี ฟรานซ์ เรียกการหนีจากกองทัพว่าเป็น "ความผิดพลาดร้ายแรง" เบนจามิน หยาง กล่าวว่าช่วงเวลานั้นเป็น "ความล้มเหลวอันน่าเศร้าและช่วงเวลาอันมืดมนในชีวิตการเมืองของเติ้ง" อีกด้านหนึ่ง ไดอานา แลรี มองว่าความล้มเหลวในการรับมือภัยพิบัติครั้งนี้เกิดจาก "ความไร้ประสิทธิภาพ" ของทั้งผู้นำท้องถิ่นและคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน

โซเวียตเจียงซี

การปราบปรามคอมมิวนิสต์ในเมืองต่าง ๆ นับเป็นอุปสรรคสำคัญของพรรค และเป็นการสกัดกั้นความหวังของที่ปรึกษาของโซเวียตแห่งองค์การคอมมิวนิสต์สากล ที่เห็นว่าการระดมกำลังชนกรรมมาชีพในเมืองคือพลังขับเคลื่อนสำคัญในการเผยแผ่ลัทธิคอมมิวนิสต์ ตรงข้ามกับวิสัยทัศน์การปฏิวัติที่มุ่งเน้นในเมืองซึ่งได้รับอิทธิพลจากประสบการณ์ของสหภาพโซเวียต เหมา เจ๋อตง ผู้นำคอมมิวนิสต์จีน เห็นว่าชาวนาในชนบทเป็นกำลังสำคัญในการปฏิวัติของจีน ในพื้นที่ภูเขาของมณฑลเจียงซี ที่ซึ่งเหมาเดินทางไปเพื่อสถาปนาระบอบคอมมิวนิสต์นั้น มีการพัฒนารากฐานของรัฐคอมมิวนิสต์ในอนาคตของจีนขึ้นมา ซึ่งใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่าสาธารณรัฐโซเวียตจีน แต่เป็นที่รู้จักในชื่อ "โซเวียตเจียงซี"

ในช่วงฤดูร้อน ค.ศ. 1931 เติ้งเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำเมืองรุ่ยจิน เมืองสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในเขตโซเวียต ในช่วงฤดูหนาว ค.ศ. 1932 เติ้งดำรงตำแหน่งเดิมต่อไปในอำเภอฮุ่ยชางซึ่งอยู่ใกล้เคียง ใน ค.ศ. 1933 เขาได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อของคณะกรรมาธิการพรรคประจำมณฑลเจียงซี ตอนนั้นเองเขาแต่งงานกับจิน เหวย์อิ้ง หญิงที่เขาพบในเซี่ยงไฮ้

ความสำเร็จของโซเวียตในมณฑลเจียงซีทำให้ผู้นำพรรคตัดสินใจย้ายที่มั่นจากเซี่ยงไฮ้ไปยังมณฑลเจียงซี ความขัดแย้งระหว่างเหมา ผู้นำพรรค กับที่ปรึกษาของโซเวียตทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการชิงอำนาจระหว่างทั้งสองกลุ่มส่งผลให้เติ้ง ผู้สนับสนุนความคิดของเหมาถูกปลดจากตำแหน่งในฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อ แม้จะเผชิญกับความขัดแย้งภายในพรรค แต่โซเวียตเจียงซีก็ประสบความสำเร็จในการเป็นรัฐบาลคอมมิวนิสต์แห่งแรกในชนบทของจีน รัฐบาลดำเนินการออกแสตมป์และธนบัตรโดยใช้หัวกระดาษของ "สาธารณรัฐโซเวียตจีน" ซึ่งเป็นการประกาศอำนาจอธิปไตยอย่างเป็นทางการ และในที่สุด กองทัพของเจียง ไคเชกก็ตัดสินใจเข้าโจมตีพื้นที่ที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ครอบครอง

เดินทัพทางไกล

image
เติ้ง เสี่ยวผิงในเครื่องแบบกองทัพปฏิวัติแห่งชาติ, ค.ศ. 1937

เมื่อถูกกองทัพชาตินิยมที่มีกำลังเหนือกว่าปิดล้อม พรรคคอมมิวนิสต์จึงหลบหนีออกจากมณฑลเจียงซีในเดือนตุลาคม ค.ศ 1934 นับแต่นั้นเป็นต้นมาจึงเริ่มต้นขบวนการอันยิ่งใหญ่ที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการพัฒนาของลัทธิคอมมิวนิสต์จีน การอพยพเป็นไปอย่างยากลำบากเนื่องจากกองทัพชาตินิยมเข้ายึดครองพื้นที่ที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์เคยครอบครองอยู่ทั้งหมด ด้วยการเคลื่อนทัพผ่านภูมิประเทศห่างไกลและภูเขาสูงชัน กองทัพจำนวนราว 100,000 นายสามารถหนีออกจากมณฑลเจียงซีได้สำเร็จ ก่อให้เกิดการล่าถอยทางยุทธศาสตร์ที่ยาวนานผ่านภายในประเทศจีน ซึ่งสิ้นสุดลงในหนึ่งปีต่อมาเมื่อทหารที่รอดชีวิตราว 8,000 ถึง 9,000 นายเดินทางมาถึงมณฑลฉ่านซีทางตอนเหนือ

ระหว่างการประชุมจุนอี้ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของการเดินทัพทางไกล กลุ่มที่เรียกว่า "28 บอลเชวิค" นำโดยปั๋ว กู่ และหวัง หมิง ถูกปลดจากอำนาจ และเหมาได้ขึ้นเป็นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนคนใหม่ สร้างความไม่พอใจแก่สหภาพโซเวียต พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่สนับสนุนโซเวียตได้สิ้นสุดลง และมีการก่อตั้งพรรคใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากชนบทขึ้นมาภายใต้การนำของเหมา เติ้งได้กลับมาเป็นแกนนำสำคัญของพรรคอีกครั้งหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้าระหว่างทั้งสองพรรคถูกยุติลงชั่วคราวจากการรุกรานของญี่ปุ่น ซึ่งบีบบังคับให้ก๊กมินตั๋งต้องร่วมมือเป็นพันธมิตรกับพรรคคอมมิวนิสต์เป็นครั้งที่สองเพื่อปกป้องประเทศจากการรุกรานจากภายนอก

การรุกรานของญี่ปุ่น

การรุกรานของกองทัพญี่ปุ่นใน ค.ศ. 1937 นับเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง ระหว่างการรุกราน เติ้งยังคงอยู่ในพื้นที่ที่คอมมิวนิสต์ควบคุมในภาคเหนือ และดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่ายการเมืองของกองทัพคอมมิวนิสต์ที่ปรับโครงสร้างใหม่ทั้งสามกองพล ตั้งแต่เดือนกันยายน ค.ศ. 1937 จนถึงเดือนมกราคม ค.ศ. 1938 เขาพำนักอยู่ในวัดและอารามพุทธศาสนาบนเขาอู่ไถ ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1938 เขาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการการเมืองประจำกองพลที่ 129 กองทัพลู่ที่แปด ซึ่งมีนายพลหลิว ปั๋วเฉิงเป็นผู้บัญชาการ ทำให้เกิดความร่วมมืออันยาวนานระหว่างเขากับหลิว

เติ้งประจำอยู่ในแนวรบติดต่อกับมณฑลฉ่านซี เหอหนาน และเหอเป่ย์ตลอดระยะเวลาที่เกิดความขัดแย้งกับญี่ปุ่น จากนั้นเดินทางไปเหยียนอานหลายครั้ง ที่ซึ่งเป็นที่ที่เหมาวางรากฐานสำหรับการนำพรรคคอมมิวนิสต์ไว้ ระหว่างอยู่ในเหอหนาน เขากล่าวสุนทรพจน์อันโด่งดังเรื่อง "สถานการณ์ชัยชนะในการก้าวเข้าสู่ภาคกลาง และนโยบายกลยุทธ์ในอนาคต" ณ โบสถ์แห่งหนึ่งที่เขาเคยพำนักอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่ง ในการเดินทางไปเหยียนอานครั้งหนึ่งใน ค.ศ. 1939 เขาแต่งงานครั้งที่สามและครั้งสุดท้ายในชีวิตกับจัว หลิน ชาวเมืองคุนหมิง ผู้ซึ่งเดินทางไปยังเหยียนอานเพื่อเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์เช่นเดียวกับเยาวชนผู้มีอุดมการณ์คนอื่น ๆ ในตอนนั้น

เติ้งได้รับยกย่องว่าเป็น "ทหารผ่านศึกปฏิวัติ" จากการมีเข้าร่วมการเดินทัพทางไกล เขาเป็นผู้นำในการรุกร้อยกรม ซึ่งช่วยยกสถานะของเขาในหมู่สหายร่วมอุดมการณ์

กลับมาทำสงครามกับชาตินิยม

image
เติ้งและนายพลหลิว ปั๋วเฉิง (ขวา)

หลังญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง เติ้งเดินทางไปฉงชิ่ง สถานที่ที่เจียง ไคเชกตั้งรัฐบาลของตนในช่วงที่ญี่ปุ่นรุกราน เพื่อเข้าร่วมการเจรจาสันติภาพระหว่างก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์ ผลการเจรจาในครั้งนั้นเป็นไปในทางลบ และความขัดแย้งทางทหารระหว่างทั้งสองฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์กันก็ปะทุขึ้นอีกครั้งในเวลาอันสั้นหลังการประชุมที่ฉงชิ่ง

ขณะที่เจียง ไคเชกสถาปนารัฐบาลใหม่ในหนานจิง เมืองหลวงของสาธารณรัฐจีน ฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็ทำการต่อสู้เพื่อชิงอำนาจในพื้นที่ ด้วยการดำเนินยุทธวิธีแบบกองโจรจากที่มั่นในชนบทโจมตีเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลเจียง ไคเชกและเส้นทางส่งเสบียง ฝ่ายคอมมิวนิสต์สามารถขยายพื้นที่ครอบครองได้มากขึ้นเรื่อย ๆ และดึงดูดทหารจำนวนมากที่หนีออกจากกองทัพชาตินิยมเข้ามาร่วมฝ่ายตน

เติ้งมีส่วนร่วมอย่างมากในการทัพหวยไห่เพื่อโค่นล้มรัฐบาลชาตินิยม

ในช่วงสุดท้ายของสงคราม เติ้งกลับมามีบทบาทสำคัญในฐานะผู้นำการเมืองและผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อ ในฐานะผู้ตรวจการการเมืองประจำกองทัพภาคสนามที่ 2 ซึ่งมีนายพลหลิว ปั๋วเฉิงเป็นผู้บัญชาการ โดยเติ้งมีส่วนสำคัญในการนำกองทัพปลดปล่อยประชาชนเข้าสู่ทิเบต นอกจากนี้เขายังมีส่วนร่วมในการเผยแพร่ความคิดของเหมา เจ๋อตง ซึ่งกลายมาเป็นรากฐานอุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์ ผลงานทางการเมืองและอุดมการณ์อันโดดเด่น รวมถึงสถานะของเขาในฐานะทหารผ่านศึกการเดินทัพทางไกล ทำให้เขาได้รับตำแหน่งที่มีอำนาจภายในพรรคหลังพรรคคอมมิวนิสต์สามารถเอาชนะเจียง ไคเชกและตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นมาได้

image
เติ้ง เสี่ยวผิง, เฮ่อ หลง (กลาง) และจู เต๋อ (ขวา) (ค.ศ. 1949)

ยุคเหมา

ผู้นำท้องถิ่น

วันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 เติ้งเข้าร่วมพิธีประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในปักกิ่ง ในช่วงเวลาดังกล่าว พรรคคอมมิวนิสต์ควบคุมพื้นที่ภาคเหนือทั้งหมด แต่ยังคงมีบางส่วนของภาคใต้ที่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของก๊กมินตั๋ง เขาได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำการปราบปรามและสร้างความสงบเรียบร้อยในภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ในฐานะเลขาธิการคนแรกของกรมตะวันตกเฉียงใต้ หน่วยงานนี้มีภารกิจควบคุมการยึดพื้นที่ส่วนสุดท้ายของประเทศที่ยังคงอยู่ภายใต้ก๊กมินตั๋ง ทิเบตยังคงเป็นอิสระต่อไปอีกหนึ่งปี

รัฐบาลก๊กมินตั๋งถูกบีบให้ย้ายออกจากกว่างโจวและสถาปนาฉงชิ่งขึ้นเป็นเมืองหลวงชั่วคราวแห่งใหม่ ที่นั้น เจียง ไคเชก และเจี่ยง จิงกั๋ว บุตรชายผู้เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับเติ้งในมอสโก ต่างปรารถนาจะหยุดยั้งการก้าวหน้าของกำลังคอมมิวนิสต์

ภายใต้การควบคุมทางการเมืองของเติ้ง กองทัพคอมมิวนิสต์เข้ายึดฉงชิ่งในปลายเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1949 และเคลื่อนทัพเข้าสู่เฉิงตู ที่มั่นสุดท้ายของเจียง ไคเชกในอีกไม่กี่วันต่อมา ในช่วงเวลานั้น เติ้งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีฉงชิ่ง พร้อมกันนั้นยังเป็นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ กองทัพคอมมิวนิสต์ที่ขณะนี้ประกาศตนเป็นกองทัพปลดปล่อยประชาชน ได้ปราบปรามการต่อต้านจากกลุ่มผู้ภักดีต่อระบอบก๊กมินตั๋งเก่า ใน ค.ศ. 1950 รัฐที่ปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ได้เข้ายึดครองทิเบต

ในคำกล่าวสุนทรพจน์ ค.ศ. 1951 แก่แกนนำที่เตรียมการดูแลการรณรงค์ในขบวนการปฏิรูปที่ดิน เติ้งกำชับว่าขณะที่แกนนำควรช่วยเหลือชาวนาในการดำเนินการ "การต่อสู้ด้วยเหตุผล" ที่ปราศจากความรุนแรง พวกเขายังต้องตระหนักอยู่เสมอว่าในฐานะขบวนการประชาชน การปฏิรูปที่ดินไม่ใช่เวลาที่จะต้อง "นุ่มนวลละมุนละม่อม" และแสดงความเห็นในลักษณะคำถามเชิงวาทศิลป์ว่า แม้ในอุดมคติแล้วจะไม่มีเจ้าของที่ดินคนใดต้องตายในกระบวนการนี้ "หากเจ้าของที่ดินใจแคบบางคนฆ่าตัวตาย นั่นหมายความว่านโยบายของเรามีปัญหาหรือไม่? เราต้องรับผิดชอบหรือ?"

เติ้งใช้เวลาสามปีในฉงชิ่ง ที่ซึ่งเป็นเมืองที่เขาเคยศึกษาเล่าเรียนในช่วงวัยรุ่นก่อนจะเดินทางไปศึกษาต่อที่ฝรั่งเศส ใน ค.ศ. 1951 เขาย้ายไปปักกิ่งและดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ในรัฐบาลกลาง

การขึ้นสู่อำนาจทางการเมืองในปักกิ่ง

image
เติ้ง เสี่ยวผิง (ซ้าย) พบกับองค์ทะไลลามะที่ 14 (ขวา) ใน ค.ศ. 1954

ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1952 เติ้งเดินทางมายังปักกิ่งเพื่อรับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรองประธานคณะกรรมการการเงิน หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้อำนวยการสำนักสื่อสาร ใน ค.ศ. 1954 เขาถูกปลดจากตำแหน่งดังกล่าวทั้งหมด เหลือเพียงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ใน ค.ศ. 1956 เขาได้รับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายองค์การของพรรคคอมมิวนิสต์และสมาชิกคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง

หลังให้การสนับสนุนเหมาอย่างเป็นทางการในการขบวนต่อต้านฝ่ายขวาใน ค.ศ. 1957 เติ้งก็ได้รับตำแหน่งเลขาธิการของสำนักเลขาธิการและรับผิดชอบการบริหารกิจการประจำวันของประเทศร่วมกับประธานาธิบดีหลิว เช่าฉีและนายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล นโยบายของเติ้งและหลิวมุ่งเน้นไปที่เศรษฐกิจมากกว่าอุดมการณ์ เป็นการเบี่ยงเบนจากความกระตือรือร้นอันมหาศาลของการก้าวกระโดดไกลไปโดยปริยาย ทั้งหลิวและเติ้งต่างให้การสนับสนุนเหมาในการรณรงค์ครั้งใหญ่ในทศวรรษ 1950 ซึ่งทั้งสองร่วมกันโจมตีชนชั้นกลางและทุนนิยม และส่งเสริมอุดมการณ์ของเหมา อย่างไรก็ตาม ความล้มเหลวของการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้าได้ถูกมองว่าเป็นการตำหนิความสามารถในการบริหารเศรษฐกิจของเหมา เผิง เต๋อหวยเริ่มวิจารณ์เหมาอย่างเปิดเผย ขณะที่หลิวและเติ้งยังคงสงวนท่าทีระมัดระวังมากขึ้น และในที่สุดก็เข้ามารับผิดชอบนโยบายเศรษฐกิจเมื่อเหมาเลิกยุ่งกิจการประจำวันของพรรคและประเทศ เหมาตกลงสละตำแหน่งประธานาธิบดี (ตำแหน่งประมุขแห่งรัฐโดยนิตินัย) ให้แก่หลิว ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำพรรคและกองทัพไว้

ใน ค.ศ. 1955 เติ้งได้รับการพิจารณาให้เป็นผู้มีสิทธิ์รับยศจอมพลแห่งกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้รับยศดังกล่าว

ในการประชุมสภาแห่งชาติพรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 8 ใน ค.ศ. 1956 เติ้งสนับสนุนให้มีการลบข้อความที่อ้างถึง "ความคิดของเหมา เจ๋อตง" ออกจากข้อบังคับของพรรคทั้งหมด

ใน ค.ศ. 1963 เติ้งเดินทางไปมอสโกเพื่อเป็นประธานการประชุมคณะผู้แทนจากจีนกับนีกีตา ครุชชอฟ ผู้สืบทอดอำนาจของสตาลิน ความสัมพันธ์ระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับสหภาพโซเวียตนั้นเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่อสัญกรรมของสตาลิน ภายหลังการประชุมครั้งนี้ ผลการเจรจาไม่เป็นผลสำเร็จ และความแตกแยกระหว่างจีนกับโซเวียตก็ทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจคอมมิวนิสต์ทั้งสองในตอนนั้นหยุดชะงักลงเกือบทั้งหมด

ภายหลังการประชุมเจ็ดพันแกนนำใน ค.ศ. 1962 การปฏิรูปเศรษฐกิจของหลิวและเติ้งในช่วงต้นทศวรรษ 1960 ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และได้ฟื้นฟูสถาบันเศรษฐกิจหลายแห่งที่ถูกยกเลิกไปก่อนหน้านี้ในช่วงการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้า เหมาเริ่มรู้สึกว่าตนเองจะเสียอำนาจ จึงดำเนินการเพื่อยึดอำนาจปกครองประเทศกลับคืนมา เหมาอ้างถึงจิตวิญญาณแห่งการปฏิวัติของตนและริเริ่มการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ซึ่งส่งเสริมให้ประชาชนทั่วไปร่วมกันขจัดทุนนิยมขวาจัดที่ "แทรกซึมเข้าสู่พรรค" เติ้งถูกเย้ยหยันว่าเป็น "ผู้สนับสนุนทุนนิยมเบอร์สอง"

เติ้งเป็นหนึ่งในผู้ร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจ (แผนห้าปี) ฉบับที่สาม: 29  ในร่างฉบับดังกล่าวเน้นย้ำถึงการมุ่งเน้นผู้บริโภคและการพัฒนาเมืองชายฝั่งที่มีอุตสาหกรรมของจีนอย่างต่อเนื่อง: 7  เมื่อเหมาเสนอแนวคิดการรณรงค์ครั้งใหญ่เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมพื้นฐานและความมั่นคงของชาติภายในประเทศจีนในฐานะแนวรบที่สามเพื่อเตรียมรับมือการรุกรานที่อาจเกิดขึ้นจากสหรัฐหรือสหภาพโซเวียต เติ้งก็เป็นหนึ่งในผู้นำคนสำคัญที่คัดค้านแนวคิดดังกล่าว: 7  ภายหลังอุบัติการณ์อ่าวตังเกี๋ยซึ่งก่อความวิตกกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการถูกสหรัฐโจมตี เติ้งและผู้นำระดับสูงคนอื่น ๆ จึงให้การสนับสนุนการสร้างแนวรบที่สามอย่างเต็มที่ และมีการปรับเปลี่ยนจุดเน้นของแผนห้าปีมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศ: 7 

เป้าหมายของการกวาดล้าง

การปฏิวัติวัฒนธรรม

image
เติ้ง เสี่ยวผิง (ซ้าย) กับหลี่ เซียนเนี่ยน (กลาง) และนายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล ใน ค.ศ. 1963

เหมามีความกังวลว่านโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจของเติ้งและหลิวอาจนำไปสู่การฟื้นระบบทุนนิยมและเป็นอันสิ้นสุดการปฏิวัติจีน ด้วยเหตุผลข้างต้นและเหตุผลอื่น ๆ เหมาจึงริเริ่มการปฏิวัติวัฒนธรรมใน ค.ศ. 1976 ส่งผลให้เติ้งไม่ได้รับความไว้วางใจและถูกบีบให้ลาออกจากตำแหน่งทั้งหมด

ในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม เขาและครอบครัวตกเป็นเป้าโจมตีของยุวชนแดง ซึ่งได้จับกุมเติ้ง ผู่ฟาง บุตรชายคนโตของเติ้งไว้ เติ้ง ผู่ฟางถูกทรมานและถูกโยนออกจากหน้าต่างอาคารสูงสี่ชั้นใน ค.ศ. 1968 ทำให้เขาเป็นอัมพาตครึ่งล่าง ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1969 เติ้ง เสี่ยวผิงถูกส่งไปใช้แรงงานที่โรงงานรถแทรกเตอร์อำเภอซินเจียน ในเขตชนบทของมณฑลเจียงซี: 466  ในช่วงสี่ปีที่นั่น เติ้งใช้เวลาว่างไปกับการเขียนหนังสือ เขาถูกกวาดล้างในระดับประเทศ แต่ในระดับน้อยกว่าประธานาธิบดีหลิว เช่าฉี

ใน ค.ศ. 1971 หลิน เปียว ผู้สืบทอดตำแหน่งอย่างเป็นทางการคนที่สองของเหมาและรองประธานพรรคเพียงคนเดียวได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก ตามรายงานอย่างเป็นทางการ หลินพยายามหนีออกนอกประเทศจีนหลังการก่อรัฐประหารโค่นล้มเหมาล้มเหลว เหมาสั่งกวาดล้างพันธมิตรของหลิน ซึ่งดำรงตำแหน่งระดับสูงเกือบทั้งหมดในกองทัพปลดปล่อยประชาชน ทำให้เติ้ง (ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการการเมืองของกองทัพภาคสนามที่ 2 ในช่วงสงครามกลางเมือง) กลายเป็นผู้นำกองทัพที่มีอิทธิพลมากที่สุด ในเวลาต่อมา เติ้งเขียนจดหมายถึงเหมาถึงสองครั้งเพื่อแสดงความสำนึกผิดจากอุบัติการณ์หลิน เปียว ยอมรับว่าตนเองมี "แนวโน้มทุนนิยม" และไม่ได้ "ยึดมั่นในความคิดของเหมา เจ๋อตง" อย่างแน่วแน่ พร้อมทั้งแสดงเจตจำนงกลับเข้ามารับใช้พรรคเพื่อชดเชยความผิดพลาดที่ได้กระทำไป: 454  นายกรัฐมนตรีโจว เอินไหลเคยเป็นผู้สืบทอดอำนาจคนที่สามของเหมา แต่ต่อมามีปัญหาสุขภาพด้วยโรคมะเร็ง จึงเลือกเติ้งเป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1976 เติ้งเดินทางกลับมาปักกิ่งหลังโจวเชิญตัวกลับจากการถูกเนรเทศเพื่อให้กลับมามีบทบาทในการฟื้นฟูเศรษฐกิจจีน: 455  โจวสามารถโน้มน้าวเหมาให้นำเติ้งกลับเข้ามามีบทบาททางการเมืองอีกครั้งในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่งในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1974 ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วจะผู้ดูแลกิจการประจำวัน อย่างไรก็ตาม เขายังคงระมัดระวังเพื่อเลี่ยงการขัดแย้งกับอุดมการณ์ลัทธิเหมาบนเอกสาร ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1975 คณะกรรมาธิการกลางพรรคชุดที่ 10 มีมติเลือกเติ้งให้ดำรงตำแหน่งรองประธานพรรคเป็นครั้งแรกในชีวิตการเมือง ทำให้หลี่ เต๋อเชิงจำต้องลาออกจากตำแหน่งเพื่อเปิดทางให้ เติ้งเป็นหนึ่งในรองประธานทั้งห้าคน โดยมีโจวเป็นรองประธานคนแรก

image
เติ้ง เสี่ยวผิง (กลาง) กับเจอรัลด์ ฟอร์ด ประธานาธิบดีสหรัฐ (ซ้าย) ค.ศ. 1975

ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งสูงสุดในระยะเวลาอันสั้นใน ค.ศ. 1973 เติ้งจัดตั้งสำนักวิจัยการเมืองขึ้น โดยมีปัญญาชน อาทิ หู เฉียวมู่ ยฺหวี กวาง-ยฺเหวี่ยน และหู เฉิง เป็นหัวหน้า มีหน้าที่ศึกษาค้นคว้าแนวทางปฏิรูปการเมืองและเศรษฐกิจ เขาเป็นผู้นำกลุ่มด้วยตนเองและบริหารโครงการภายในคณะมนตรีรัฐกิจเพื่อป้องกันไม่ให้แก๊งสี่คนเกิดความสงสัย

ใน ค.ศ. 1975 เติ้งมุ่งมั่นปรับเปลี่ยนทิศทางการดำเนินงานของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีนให้หันมาให้ความสำคัญกับการวิจัยเชิงทฤษฎีมากขึ้น ซึ่งเป็นด้านที่ถูกละเลยไปในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม: 74  เติ้งกล่าวว่าการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในจีนนั้นล้าหลังเมื่อเทียบกับความต้องการสร้างสังคมนิยมและสถานะของประเทศที่พัฒนาแล้ว และกล่าวเพิ่มเติมว่าเพื่อให้ทันต่อความต้องการ จีนควรให้ความสำคัญกับวิทยาศาตร์ขั้นพื้นฐานเพื่อสร้างรากฐานทางทฤษฎีที่มั่นคง: 74  แม้แนวทางนี้จะขาดความนิยมทางการเมืองในช่วงที่เติ้งถูกกวาดล้าง แต่แนวทางของเติ้งในการสร้างสมดุลระหว่างการวิจัยประยุกต์และการวิจัยพื้นฐานก็ได้รับการยอมรับให้เป็นนโยบายอย่างเป็นทางการของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีน (CAS) ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1977: 75 

การปฏิวัติวัฒนธรรมยังคงดำเนินอยู่ และฝ่ายการเมืองฝ่ายซ้ายหัวรุนแรงที่รู้จักในนาม "แก๊งสี่คน" นำโดยเจียง ชิง ภริยาของเหมา ก็เข้ามามีส่วนร่วมในการชิงอำนาจภายในพรรค ฝ่ายดังกล่าวมองว่าเติ้งเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดในการชิงอำนาจขิงพวกเขา เหมาเองก็สงสัยว่าเติ้งจะทำลายภาพลักษณ์เชิงบวกของการปฏิวัติวัฒนธรรม ซึ่งเหมามองว่าเป็นหนึ่งในนโยบายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตน ตั้งแต่ปลาย ค.ศ. 1975 เป็นต้นมา เติ้งได้รับคำสั่งให้เขียนคำวิจารณ์ตนเองหลายฉบับ แม้เขาจะยอมรับว่ายึดมั่นใน "แนวคิดอุดมการณ์ที่ไม่เหมาะสม" ในการทำงานด้านกิจการของประเทศและพรรค แต่ก็ยังลังเลจะยอมรับว่านโยบายของตนนั้นผิดพลาดในสาระสำคัญ ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างเขากับแก๊งสี่คนนั้นชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ และเหมาก็ดูเหมือนจะเข้าข้างฝ่ายนั้น เหมาไม่ยอมรับคำวิจารณ์ตนเองของเติ้งและขอให้คณะกรรมาธิการกลางพรรคดำเนินการ "พิจารณาข้อผิดพลาดของเติ้งอย่างละเอียด"

การรณรงค์ “วิจารณ์เติ้ง”

โจว เอินไหลถึงแก่อสัญกรรมในเดือนมกราคม ค.ศ. 1976 ท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจของประชาชนทั่วประเทศ โจวเป็นบุคคลสำคัญยิ่งในชีวิตการเมืองของเติ้ง และอสัญกรรมของเขาทำให้การสนับสนุนที่เหลืออยู่ในคณะกรรมาธิการกลางพรรคน้อยลง หลังเติ้งแถลงการณ์สรรเสริญอย่างเป็นทางการให้แก่โจวในรัฐพิธีศพ แก๊งสี่คนโดยได้รับอนุญาตจากเหมาก็เริ่มต้นการรณรงค์ "การโต้กลับแนวโน้มกลับคำตัดสินของพวกเอียงขวา" ฮฺว่า กั๋วเฟิง ไม่ใช่เติ้ง ได้รับเลือกเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากโจวในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1976

วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1976 คณะกรรมาธิการกลางออกคำสั่งสำคัญระดับสูง โดยมีสาระสำคัญในการย้ายเติ้งไปทำงานด้าน "กิจการภายนอก"อย่างเป็นทางการ เท่ากับเป็นการถอดเติ้งจากกลไกอำนาจของพรรค เติ้งอยู่บ้านเป็นเวลาหลายเดือนขณะรอคอยชะตากรรม สำนักวิจัยทางการเมืองถูกยุบเลิกในทันที และที่ปรึกษาของเติ้ง เช่น ยฺหวี กวาง-ยฺเหวี่ยน ถูกพักงาน ด้วยเหตุนี้ ความปั่นป่วนทางการเมืองจึงเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจที่เติ้งทุ่มเทแรงกายแรงใจในการสร้างตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา วันที่ 3 มีนาคม เหมาออกคำสั่งยืนยันความชอบธรรมของการปฏิวัติวัฒนธรรมและระบุโดยเฉพาะว่าเติ้งเป็นปัญหาภายในมากกว่าภายนอก ต่อมาคณะกรรมาธิการกลางสั่งการไปยังหน่วยงานพรรคระดับท้องถิ่นทุกแห่งให้ศึกษาคำสั่งของเหมาและวิจารณ์เติ้ง

ชื่อเสียงของเติ้งในฐานะนักปฏิรูปได้รับความเสียหายอย่างหนักหลังจากอุบัติการณ์เทียนอันเหมินในวันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 1976 ซึ่งเกิดขึ้นหลังประชาชนจำนวนมากมาร่วมไว้อาลัยโจวในเทศกาลเช็งเม้ง แก๊งสี่คนตีตราเหตุการณ์นี้ว่าต่อต้านการปฏิวัติและเป็นภัยต่ออำนาจของพวกตน ยิ่งไปกว่านั้น แก๊งได้ตีความว่าเติ้งเป็นผู้บงการเหตุการณ์ดังกล่าว และเหมาได้เขียนไว้ว่า "ธรรมชาติของสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว" เหตุการณ์นี้กระตุ้นให้เหมาปลดเติ้งออกจากตำแหน่งผู้นำทั้งหมด แม้เขาจะยังคงเป็นสมาชิกพรรคต่อไป ด้วยเหตุนี้ วันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1976 นายกรัฐมนตรีฮฺว่า กั๋วเฟิงจึงได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีแทนเติ้ง และในขณะเดียวกันก็ได้รับตำแหน่งรองประธานพรรคคนที่หนึ่ง ตำแหน่งว่างลงหลังโจวดำรงตำแหน่ง ทำให้ฮฺว่ากลายเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งอย่างเป็นทางการคนที่สี่ของเหมา

ผู้นำประเทศ

ผู้นำสูงสุด

image
เติ้ง เสี่ยวผิงและประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ในพิธีต้อนรับการมาเยือนสหรัฐของเติ้ง (ค.ศ. 1979)

ภายหลังอสัญกรรมของเหมาในวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1976 และการกวาดล้างแก๊งสี่คนในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน นายกรัฐมนตรีฮฺว่า กั๋วเฟิงได้เข้าดำรงตำแหน่งประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน และค่อย ๆ ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำโดยพฤตินัยของจีน ก่อนอสัญกรรมของเหมา ตำแหน่งในรัฐบาลเพียงตำแหน่งเดียวเดียวที่เติ้งดำรงอยู่คือรองนายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่ง อย่างไรก็ดี ฮฺว่า กั๋วเฟิงต้องการขจัดกลุ่มหัวรุนแรงออกจากพรรคและขับไล่แก๊งสี่คนออกไปได้สำเร็จ วันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 1977 เติ้งได้รับแต่งตั้งกลับคืนสู่ตำแหน่งรองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน รองประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง และประธานคณะเสนาธิการกองทัพปลดปล่อยประชาชน

ด้วยการระดมกำลังสนับสนุนจากพรรคอย่างรอบคอบ เติ้งจึงสามารถเอาชนะฮฺว่า ผู้ซึ่งเคยอภัยโทษให้แก่ตน และได้ขับไล่ฮฺว่าออกจากตำแหน่งผู้นำสูงสุดภายใน ค.ศ. 1980 ต่างจากการเปลี่ยนผู้นำในครั้งก่อน เติ้งอนุญาตให้ฮฺว่าคงสถานะเป็นสมาชิกคณะกรรมธิการกลางและเกษียณอย่างเงียบ ๆ ถือเป็นการวางบรรทัดฐานใหม่ที่แสดงให้เห็นว่าการพ่ายแพ้ในการต่อสู้เพื่ออำนาจในระดับสูงจะไม่นำมาซึ่งอันตรายทางกาย

ในช่วงที่เติ้งเป็นผู้นำสูงสุด เขาดำรงตำแหน่งประธานสภาที่ปรึกษาทางการเมืองประชาชนจีนตั้งแต่ ค.ศ. 1978 ถึง 1983 และประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง (หน่วยงานเฉพาะกิจที่ประกอบด้วยสมาชิกระดับสูงสุดของพรรค) ของสาธารณรัฐประชาชนจีนตั้งแต่ ค.ศ. 1983 ถึง 1990 ขณะที่ตำแหน่งอย่างเป็นทางการในพรรคของเขาคือรองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งแต่ ค.ศ. 1977 ถึง 1982 ประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งแต่ ค.ศ. 1981 ถึง 1989 และประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาส่วนกลางตั้งแต่ ค.ศ. 1982 ถึง 1987 ใน ค.ศ. 1988 เมื่อกองทัพปลดปล่อยประชาชนฟื้นฟูระบบยศทหารขึ้นมาใหม่ เขาได้รับการเสนอยศเป็นพลเอก แต่ก็ปฏิเสธข้อเสนอนั้นไปเช่นเดียวกับเมื่อ ค.ศ. 1955 แม้จะเกษียณจากตำแหน่งคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีนใน ค.ศ. 1987 และคณะกรรมการทหารส่วนกลางใน ค.ศ. 1989 แต่เติ้งก็ยังคงมีอิทธิพลต่อนโยบายของประเทศจีนอย่างต่อเนื่องกระทั่งถึงแก่อสัญกรรมใน ค.ศ. 1997

การตัดสินใจสำคัญมักกระทำขึ้น ณ บ้านเลขที่ 11 ซอยหมี่เหลียงกู่ ของเติ้ง โดยมีสมาชิกอาวุโสระดับสูงในพรรคจำนวน 8 คนที่เรียกกันว่า "ผู้เฒ่าทั้งแปด" รวมถึง เฉิน ยฺหวิน และหลี่ เซียนเนี่ยน ร่วมประชุมปรึกษาหารือ แม้เติ้งจะได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำสูงสุด แต่ในทางปฏิบัติ กลุ่มผู้เฒ่าเหล่านี้จะร่วมกันบริหารประเทศจีนในลักษณะคณะกรรมการขนาดเล็ก: 78  เติ้งครองอำนาจในฐานะ "ผู้นำสูงสุด" แม้จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งสูงสุดของพรรคก็ตาม และสามารถปลดผู้นำพรรคได้สามคนติดต่อกัน รวมถึงหู เย่าปัง เติ้งลาออกจากตำแหน่งกรรมาธิการกลางพรรค และคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองของพรรค ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางของรัฐและพรรค และยังคงเป็นผู้นำสูงสุดจีนมากกว่าจะเป็นเลขาธิการจ้าว จื่อหยาง ประธานาธิบดีหลี่ เซียนเนี่ยน และประธานาธิบดีหยาง ช่างคุน

ปัวล่วนฝ่านเจิ้ง

เติ้งปฏิเสธการปฏิวัติทางวัฒนธรรม และใน ค.ศ. 1977 ก็ริเริ่ม "ฤดูใบไม้ผลิแห่งปักกิ่ง" ซึ่งเปิดโอกาสให้มีการวิพากษ์วิจารณ์การกระทำอย่างเกินขอบเขตและความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวอย่างเปิดเผย นอกจากนี้ยังฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยระดับชาติ (เกาเข่า) ซึ่งถูกยกเลิกไปนับสิบปีในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม ขณะเดียวกัน เขายังเป็นผู้ผลักดันให้มีการยกเลิกระบบชนชั้น ภายใต้ระบบนี้ พรรคคอมมิวนิสต์จีนลบอุปสรรคการจ้างงานสำหรับชาวจีนที่ถูกระบุว่ามีความข้องเกี่ยวกับชนชั้นเจ้าของที่ดินในอดีต การลบอุปสรรคดังกล่าวเปิดโอกาสให้กลุ่มที่สนับสนุนการฟื้นฟูตลาดเอกชนสามารถเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้

เติ้งค่อย ๆ เอาชนะคู่แข่งทางการเมืองของตนอย่างชาญฉลาด ด้วยการส่งเสริมให้ประชาชนวิพากษ์วิจารณ์การปฏิวัติวัฒนธรรมอย่างเปิดเผย เขาลดอำนาจของกลุ่มที่ได้รับตำแหน่งทางการเมืองจากเหตุการณ์ดังกล่าว ขณะเดียวกันก็เสริมสร้างฐานะให้แก่ผู้ที่เคยถูกขับออกจากอำนาจในช่วงเวลานั้นเช่นเดียวกับตนเอง เติ้งยังได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเป็นจำนวนมาก ขณะที่เติ้งกำลังค่อย ๆ สร้างความมั่นคงในการควบคุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้น ฮฺว่าถูกแทนที่ด้วยจ้าว จื่อหยางในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใน ค.ศ. 1980 และโดยหู เย่าปังในตำแหน่งประธานพรรคใน ค.ศ. 1981 แม้ว่าฮฺว่าจะเป็นผู้ที่เหมาไว้วางใจให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำสูงสุดของพรรคและประเทศก็ตาม ในช่วงการขจัดความวุ่นวายและกลับคืนสู่ภาวะปกติ (ปัวล่วนฝ่านเจิ้ง) การปฏิวัติวัฒนธรรมถูกประกาศว่าเป็นโมฆะและผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของคดีความที่ไม่เป็นธรรมจำนวนกว่าสามล้านราย ณ ค.ศ. 1976 ได้รับการกู้ฐานะอย่างเป็นทางการ

การที่เติ้งก้าวขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดของจีนนั้นหมายความว่าประเด็นทางประวัติศาสตร์และอุดมการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเหมาจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสม เนื่องจากเติ้งปรารถนาจะดำเนินการปฏิรูปครั้งใหญ่ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสืบทอดนโยบาย "การต่อสู้ระหว่างชนชั้น" ที่แข็งกร้าวและการรณรงค์มวลชนของเหมา ใน ค.ศ. 1982 คณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนเผยแพร่เอกสาร "มติว่าด้วยบางประเด็นในประวัติศาสตร์พรรคเรานับตั้งแต่การก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน" เหมายังคงรักษาสถานะของตนในฐานะ "มาร์กซิสต์ผู้ยิ่งใหญ่ นักปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพ นักการทหาร และนายพลผู้ยิ่งใหญ่" รวมทั้งเป็นผู้ก่อตั้งและผู้บุกเบิกของประเทศและกองทัพปลดปล่อยประชาชนที่ไม่มีข้อกังขา เอกสารดังกล่าวระบุว่า "ควรพิจารณาความสำเร็จของเขาก่อนจะพิจารณาความผิดพลาด" เติ้งให้ความเห็นส่วนตัวว่าเหมาเป็นคน "ดีเจ็ดส่วน ชั่วสามส่วน" เอกสารดังกล่าวยังเบี่ยงความรับผิดชอบหลักในการปฏิวัติวัฒนธรรมออกจากเหมา (แม้จะระบุไว้ว่า "เหมาริเริ่มการปฏิวัติวัฒนธรรมโดยผิดพลาด") ไปยัง "กลุ่มต่อต้านการปฏิวัติ" อย่างแก๊งสี่คนและหลิน เปียว

ความพันธ์ระหว่างประเทศ

image
เติ้ง เสี่ยวผิง (ซ้าย) พร้อมจัว หลิน ภริยา (ขวา) กำลังฟังการบรรยายจากคริสโตเฟอร์ ซี. คราฟต์ ผู้อำนวยการศูนย์อวกาศจอห์นสัน (ขวาสุด)

เติ้งให้ความสำคัญสูงสุดต่อการทำให้ประเทศจีนทันสมัยและเปิดรับความสัมพันธ์กับต่างประเทศ โดยประกาศว่า "ยุทธศาสตร์การต่างประเทศของจีนคือการแสวงหาสภาพแวดล้อมสงบสุข" เพื่อสนับสนุนนโยบายการปฏิรูปทั้งสี่ด้าน ภายใต้การนำของเติ้ง จีนเปิดประเทศสู่ภายนอกเพื่อเรียนรู้จากประเทศที่พัฒนาแล้ว เติ้งพัฒนาหลักการที่ว่าในกิจการต่างประเทศ จีนควรซ่อนศักยภาพและคอยโอกาสเหมาะสม เขายังคงมุ่งมั่นจะรักษาสถานะเป็นกลางระหว่างสหรัฐกับสหภาพโซเวียต แม้เติ้งจะยังคงรักษาอำนาจตัดสินใจเรื่องความมั่นคงแห่งชาติที่สำคัญ แต่เขาก็มอบอำนาจให้แก่ข้าราชการในเรื่องทั่วไป เช่น การให้สัตยาบันต่อการตัดสินใจโดยฉันทามติ และจะเข้ามาแทรกแซงในกรณีไม่สามารถบรรลุฉันทามติได้ เมื่อเทียบกับสมัยเหมา เติ้งให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของหน่วยงานต่าง ๆ ในการตัดสินใจด้านนโยบายต่างประเทศมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการกระจายอำนาจในการบริหารงานด้านนโยบายต่างประเทศ แนวทางการกระจายอำนาจดังกล่าวส่งผลให้เกิดการพิจารณาผลประโยชน์และมุมมองที่หลากหลาย แต่ในขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดการแตกแยกของสถาบันกำหนดนโยบาย และการเจรจาต่อรองที่ซับซ้อนระหว่างหน่วยงานราชการต่าง ๆ ในกระบวนการกำหนดนโยบาย

ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1978 หลังสถานการณ์การเมืองของประเทศเข้าสู่ภาวะปกติ เติ้งเดินทางเยือนกรุงเทพ กัวลาลัมเปอร์ และสิงคโปร์ และพบปะกับนายกรัฐมนตรีลี กวนยูแห่งสิงคโปร์ เติ้งรู้สึกประทับใจเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ความเขียวขจี และที่อยู่อาศัยของประเทศสิงคโปร์ และต่อมาได้ส่งชาวจีนหลายหมื่นคนไปศึกษาและดูงานที่สิงคโปร์และประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเพื่อนำความรู้และประสบการณ์กลับมาพัฒนาประเทศ ในทางกลับกัน ลี กวนยูให้คำแนะนำแก่เติ้งว่าควรหยุดการเผยแพร่อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งคำแนะนำที่ลีบอกเติ้งก็ได้ปฏิบัติตามในภายหลัง ในปลาย ค.ศ. 1978 โบอิง ผู้ผลิตอากาศยานได้ประกาศการขายเครื่องบินโบอิง 747 ให้แก่สายการบินต่าง ๆ ในจีน และโคคา-โคล่า ผู้ผลิตเครื่องดื่มได้ประกาศเจตนารมณ์ในการเปิดโรงงานผลิตในเซี่ยงไฮ้[ต้องการอ้างอิง]

ในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1979 สหรัฐยอมรับสาธารณรัฐประชาชนจีน ทำให้รัฐบาลชาตินิยม (ไต้หวัน) อยู่ในสถานะไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ และการติดต่อทางธุรกิจระหว่างจีนกับตะวันตกก็เริ่มเติบโตมากขึ้น ในช่วงต้น ค.ศ. 1979 เติ้งเดินทางเยือนสหรัฐอย่างเป็นทางการ โดยเข้าพบประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ ในวอชิงตัน รวมถึงสมาชิกสภาคองเกรสหลายคน ฝ่ายจีนยืนกรานจะเชิญอดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันเข้าร่วมงานเลี้ยงรับรองอย่างเป็นทางการที่ทำเนียบขาว นับเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นจะแสดงบทบาทอันเข้มแข็งในด้านหนึ่ง และในอีกด้านหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาที่จะสานต่อโครงการต่าง ๆ ที่นิกสันริเริ่มไว้ ในการหารือกับประธานาธิบดีคาร์เตอร์ เติ้งพยายามขอความเห็นชอบจากสหรัฐสำหรับการวางแผนรุกรานเวียดนามของจีนในสงครามจีน–เวียดนาม ตามคำกล่าวของซบิกนิว เบรซซินสกี ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ ประธานาธิบดีคาร์เตอร์สงวนท่าที ซึ่งเป็นการกระทำที่นักการทูตจีนตีความว่าเป็นการอนุมัติโดยปริยาย และจีนได้เปิดฉากรุกรานหลังการกลับประเทศของเติ้งไม่นาน

ในระหว่างการเยือนครั้งนั้น เติ้งเดินทางไปเยี่ยมชมศูนย์อวกาศจอห์นสันในฮิวสตัน ตลอดจนสำนักงานใหญ่ของบริษัทโคคา-โคล่าในแอตแลนตา และบริษัทโบอิงในซีแอตเทิล ด้วยความสำคัญของการเยี่ยมชมเหล่านี้ เติ้งเน้นย้ำอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลจีนชุดใหม่ให้ความสำคัญสูงสุดต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยี[ต้องการอ้างอิง]

เติ้งรับหน้าที่รับผิดชอบการเจรจาขั้นสุดท้ายกับสหรัฐ เรื่องการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างระหว่างทั้งสองประเทศด้วยตนเอง เมื่อเผชิญกับเสียงวิจารณ์ภายในพรรคเกี่ยวกับนโยบายต่อสหรัฐ เติ้งได้กล่าวไว้ว่า "ฉันเป็นประธานดำเนินงานเรื่องสหรัฐ ถ้ามีปัญหา ฉันจะรับผิดชอบทั้งหมด"

ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่นมีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เติ้งยกญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างของประเทศที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และเป็นแบบอย่างที่ดีในด้านเศรษฐกิจให้แก่ประเทศจีน

ในระยะแรก เติ้งยังคงยึดมั่นในแนวทางลัทธิเหมาในสมัยที่จีนแตกแยกกับโซเวียต ซึ่งมองว่าสหภาพโซเวียตเป็นมหาอำนาจที่มีลักษณะ "ครอบงำ" เช่นเดียวกับสหรัฐ แต่เป็นภัยต่อจีนมากกว่าเนื่องจากตั้งอยู่ใกล้ ความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียตเป็นไปในทางที่ดีขึ้นภายหลังจากที่มีฮาอิล กอร์บาชอฟขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำใน ค.ศ. 1985 และในที่สุดความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่างทั้งสองประเทศก็ได้รับการฟื้นฟูอย่างเป็นทางการในการประชุมสุดยอดจีน–โซเวียต ค.ศ. 1989

เติ้งตอบโต้การคว่ำบาตรของชาติตะวันตกหลังการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมินโดยการนำ "หลักการยี่สิบสี่อักษร" มาใช้ในการดำเนินกิจการระหว่างประเทศของจีน ซึ่งมีใจความสำคัญคือดูสถานการณ์อย่างรอบคอบ (冷静观察), รักษาจุดยืนของชาติ (稳住阵脚), รับมือความท้าทายอย่างเยือกเย็น (沉着应付), ซ่อนศักยภาพของประเทศและคอยโอกาสเหมาะสม (韬光养晦), ทำตัวให้ต่ำต้อย (善于守拙) และเลี่ยงบทบาทผู้นำ (绝不当头)

การสิ้นสุดของสงครามเย็นและการล่มสลายของสหภาพโซเวียตทำลายแรงจูงใจดั้งเดิมที่เป็นพื้นฐานของการปรองดองระหว่างจีนกับสหรัฐ เติ้งมีความกังวลว่าสหรัฐอาจลดการสนับสนุนการปฏิรูปประเทศจีนให้ทันสมัย จึงดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ไม่เปิดเผยตัวเพื่อยอมรับสถานะผู้นำของสหรัฐ และมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาภายในประเทศเป็นหลัก ในช่วงเวลานี้ของนโยบายต่างประเทศ จีนให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้านและการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในสถาบันพหุภาคี ดังที่ศาสตราจารย์จ้าว ซุ่ยเชิง ประเมินมรดกทางนโยบายต่างประเทศของเติ้งไว้ว่า "การทูตเพื่อการพัฒนาของเติ้งช่วยสร้างสภาพแวดล้อมภายนอกที่เอื้ออำนวยต่อการผงาดขึ้นของจีนในศตวรรษที่ 21 ผู้สืบทอดที่เขาเลือกเองกับมืออย่างเจียง เจ๋อหมินและหู จิ่นเทาต่างก็ดำเนินรอยตามแนวทางของเขาอย่างไม่แตกแถว "

ใน ค.ศ. 1990 ระหว่างการพบปะกับนายกรัฐมนตรีพีเอร์ ทรูโดแห่งแคนาดา เติ้งกล่าวว่า "หลักการสำคัญที่ควบคุมระเบียบโลกใหม่ควรเป็นการไม่แทรกแซงกิจการภายในและระบบสังคมของประเทศอื่น การบังคับให้ทุกประเทศในโลกทำตามแบบแผนที่สหรัฐ อังกฤษ และฝรั่งเศสวางไว้นั้นจะไม่เป็นผล" เติ้งสนับสนุนห้าหลักการแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยระบุว่าหลักการเหล่านี้ควรนำมาใช้เป็น "บรรทัดฐานชี้นำในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ"

การปฏิรูปและเปิดประเทศ

ณ จุดเริ่มต้นของการปฏิรูปและเปิดประเทศของจีน เติ้งได้กำหนดสี่หลักการสำคัญที่ต้องยึดถือไว้ตลอดกระบวนการ ได้แก่ (1) การนำของพรรคคอมมิวนิสต์ (2) เส้นทางสังคมนิยม (3) ลัทธิมากซ์ และ (4) ระบอบเผด็จการของชนกรรมาชีพ โดยรวมแล้ว การปฏิรูปดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเติ้งมอบหมายปัญหาเฉพาะต่าง ๆ ให้แก่บุคคลที่ตนอุปถัมภ์ เช่น หู เย่าปัง หรือจ้าว จื่อหยาง ซึ่งต่อมาทั้งสองก็แก้ไขปัญหาเหล่านั้นภายใต้หลักการ "แสวงหาความจริงจากข้อเท็จจริง" หมายความว่าความถูกต้องของแนวทางใด ๆ จะต้องวัดด้วยผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ เติ้งอธิบายถึงการปฏิรูปและเปิดประเทศว่าเป็น "การทดลองในระดับใหญ่" ซึ่งต้องอาศัย "การทดลองทางปฏิบัติ" อย่างละเอียดรอบคอบ แทนที่จะอาศัยเพียงความรู้จากตำรา: 65 

สี่ทันสมัย

เติ้งกล่าวถึงสุภาษิตโบราณที่ว่า "ไม่สำคัญว่าแมวจะสีดำหรือขาว ตราบใดที่มันจับหนูได้ มันก็เป็นแมวที่ดี" ประเด็นที่ต้องการจะสื่อคือวิธีการแบบทุนนิยมนั้นได้ผล เติ้งร่วมงานกับคณะทำงานของตน โดยเฉพาะกับจ้าว จื่อหยาง ซึ่งเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใน ค.ศ. 1980 แทนฮฺว่า กั๋วเฟิง และหู เย่าปัง ซึ่งเข้ารับตำแหน่งประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนใน ค.ศ. 1981 เติ้งจึงกุมบังเหียนและเริ่มเน้นย้ำเป้าหมายการ "พัฒนาประเทศให้ทันสมัยสี่ด้าน" ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ การเกษตร วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการป้องกันประเทศ เขาประกาศแผนการที่ทะเยอทะยานในการเปิดประเทศและเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ

ตำแหน่งอำนาจสุดท้ายที่เหลืออยู่ของฮฺว่า กั๋วเฟิงคือ ประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง ถูกเติ้งยึดไปใน ค.ศ. 1981 อย่างไรก็ดี ความคืบหน้าในการปรับปรุงกองทัพกลับดำเนินไปอย่างเชื่องช้า สงครามชายแดนกับเวียดนามใน ค.ศ. 1977–1979 ทำให้การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เป็นสิ่งไม่เหมาะสม สงครามครั้งนี้สร้างความงุนงงแก่ผู้สังเกตการณ์ภายนอก จาง เสี่ยวหมิงให้เหตุผลว่าเติ้งมีเป้าหมายหลายประการ ได้แก่ การยับยั้งการขยายอิทธิพลของโซเวียตในภูมิภาค การขอรับการสนับสนุนจากสหรัฐเพื่อดำเนินนโยบายสี่ทันสมัย และการกระตุ้นให้ประเทศจีนเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปและบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก เติ้งยังพยายามเสริมสร้างอำนาจควบคุมกองทัพปลดปล่อยประชาชนของตนและแสดงให้โลกเห็นว่าประเทศจีนมีความสามารถในการทำสงครามที่แท้จริง จางเห็นว่าการลงโทษเวียดนามเนื่องจากการรุกรานกัมพูชาเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญน้อย ในเหตุการณ์ดังกล่าว กองกำลังของจีนประสบความล้มเหลวอย่างมากทั้งในด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ กลยุทธ์ การนำทัพ และประสิทธิภาพการรบ ต่อมาเติ้งใช้ผลงานที่ย่ำแย่ของกองทัพปลดปล่อยประชาชนเป็นเครื่องมือในการเอาชนะการต่อต้านการปฏิรูปกองทัพของผู้นำทหาร: 230 

ภัยคุกคามทางทหารหลักของจีนมาจากสหภาพโซเวียต ซึ่งแม้จะมีกำลังพลน้อยกว่าแต่กลับมีความแข็งแกร่งเหนือกว่าอย่างมาก ด้วยมีเทคโนโลยีอาวุธที่ก้าวหน้ากว่า ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1981 เติ้งเห็นว่าการซ้อมรบเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับกองทัพปลดปล่อยประชาชน และในเดือนกันยายนปีเดียวกันก็มีการจัดการซ้อมรบภาคเหนือขึ้น นับเป็นการซ้อมรบครั้งใหญ่ที่สุดของกองทัพปลดปล่อยประชาชนนับตั้งแต่การก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ยิ่งไปกว่านั้น เติ้งริเริ่มการปรับปรุงของกองทัพปลดปล่อยประชาชนให้ทันสมัย และตัดสินใจว่าจีนต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์พลเรือนขั้นสูงเสียก่อนจึงจะหวังสร้างอาวุธสมัยใหม่ได้ ด้วยเหตุนี่เขาจึงมุ่งเน้นไปที่การลดขนาดกองทัพโดยการปลดทหารหนึ่งล้านนายใน ค.ศ. 1985 (百万大裁军; ไป่ว่านต้าไฉ่-จฺวิน) รวมถึงการปลดเหล่านายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่มีอายุมากและทุจริตฉ้อฉล ตลอดจนพวกพ้องของพวกเขาเหล่านั้น เขาเน้นย้ำถึงการสรรหาชายหนุ่มที่มีการศึกษาดี ซึ่งจะสามารถควบคุมเทคโนโลยีขั้นสูงได้เมื่อเทคโนโลยีนั้นพร้อมใช้ แทนที่จะละเลยให้มีการอุปถัมภ์และการทุจริตในหมู่นายทหาร เขากลับบังคับใช้ระบบวินัยที่เข้มงวดในทุกระดับชั้น ใน ค.ศ. 1982 เขาจัดตั้งคณะกรรมการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมเพื่อการป้องกันประเทศขึ้นใหม่ เพื่อวางแผนการนำเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นในภาคพลเรือนมาประยุกต์ใช้

สามขั้นตอนสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ

ใน ค.ศ. 1986 เติ้งให้สัมภาษณ์กับไมก์ วอลเลซในรายการ 60 Minutes โดยอธิบายว่าการที่ประชาชนบางกลุ่มและบางภูมิภาคจะเจริญก่อนนั้นจะเป็นการเร่งให้เกิดความเจริญร่วมกันได้เร็วขึ้น ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1987 ในการประชุมเต็มสภาของสภาประชาชนแห่งชาติ เติ้งได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางอีกวาระหนึ่ง แต่ลาออกจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาส่วนกลาง และเฉิน ยฺหวินก็ได้เข้ารับตำแหน่งแทน เติ้งยังคงทำหน้าที่เป็นประธานและพัฒนาการปฏิรูปและเปิดประเทศเป็นนโยบายหลัก และเสนอสามขั้นตอนที่เหมาะสมสำหรับยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจของจีนภายใน 70 ปี ขั้นตอนแรกคือการเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ให้เป็นสองเท่าของ ค.ศ. 1980 และทำให้ประชาชนมีอาหารและเสื้อผ้าเพียงพอ ซึ่งบรรลุเป้าหมายภายในสิ้นทศวรรษ 1980 ขั้นตอนที่สองคือการเพิ่ม GDP เป็นสี่เท่าของ ค.ศ. 1980 ภายในสิ้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งบรรลุเป้าหมายใน ค.ศ. 1995 ขั้นตอนที่สามคือการเพิ่ม GDP ต่อหัวให้เท่ากับระดับประเทศที่มีการพัฒนาปานกลางภายใน ค.ศ. 2050 เมื่อถึงจุดนั้น ประชาชนจีนจะค่อนข้างมีความเป็นอยู่ที่ดี และการพัฒนาให้ทันสมัยจะบรรลุเป้าหมายอย่างแท้จริง

การปฏิรูปอื่น ๆ

การปรับปรุงความสัมพันธ์กับต่างประเทศเป็นหนึ่งในสองปรัชญาสำคัญที่ระบุไว้ในโครงการปฏิรูปของเติ้งซึ่งเรียกว่า "ไก่เก๋อไคฟ่าง" (แปลตรงตัว การปฏิรูปและเปิดออก) ภายใต้การนำของเติ้ง ระบบภายในประเทศของจีนไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม การเมือง และโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ล้วนประสบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เป้าหมายของการปฏิรูปของเติ้งสามารถสรุปได้ด้วยนโยบาย "สี่ทันสมัย" อันได้แก่ ด้านการเกษตร อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการทหาร

กลยุทธ์การบรรลุเป้าหมายในการเป็นประเทศอุตสาหกรรมสมัยใหม่คือ เศรษฐกิจตลาดแบบสังคมนิยม เติ้งให้เหตุผลว่าจีนอยู่ในขั้นต้นของสังคมนิยม และหน้าที่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนคือการพัฒนา "สังคมนิยมอัตลักษณ์จีน" ให้สมบูรณ์แบบ และ "แสวงหาความจริงจากข้อเท็จจริง" (สิ่งนี้คล้ายคลึงกับหลักการทางทฤษฎีของเลนินที่ใช้สนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจใหม่ (NEP) ในช่วงทศวรรษ 1920 ซึ่งให้เหตุผลว่าสหภาพโซเวียตยังไม่ได้เข้าสู่ทุนนิยมอย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการนำทุนนิยมมาใช้ในวงจำกัดเพื่อพัฒนากระบวนการผลิตให้สมบูรณ์ขึ้น) "สังคมนิยมอัตลักษณ์จีน" วางรากฐานที่มั่นคงสำหรับการดำเนินนโยบายชาติพันธุ์อย่างไม่เป็นพิษภัยและสร้างวิธีการทางทฤษฎีเกี่ยวกับชาติพันธุ์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ

นโยบายเศรษฐกิจของเติ้งให้ความสำคัญในการพัฒนากำลังการผลิตของจีน ตามมุมมองของเติ้ง การพัฒนานี้ "เป็นการปฏิวัติที่สำคัญที่สุดเมื่อพิจารณาจากมุมมองของการพัฒนาทางประวัติศาสตร์" และ "สังคมนิยมที่ยากจน" นั้นไม่ใช่สังคมนิยม เหตุผลทางทฤษฎีของเขาในการยอมให้กลไกตลาดเกิดขึ้นก็คือ:

สัดส่วนระหว่างการวางแผนและกลไกตลาดไม่ใช่ปัจจัยแตกต่างที่สำคัญระหว่างระบอบสังคมนิยมและทุนนิยม ระบบเศรษฐกิจแบบวางแผนไม่เทียบเท่ากับสังคมนิยม เพราะภายใต้ระบบทุนนิยมก็มีการวางแผนเช่นกัน ระบบเศรษฐกิจตลาดก็ไม่ได้เทียบเท่ากับทุนนิยม เพราะภายใต้สังคมนิยมก็มีตลาดเช่นกัน การวางแผนและกลไกตลาดล้วนเป็นเครื่องมือในการควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งสิ้น แก่นแท้ของสังคมนิยมคือการปลดปล่อยและพัฒนาขุมกำลังการผลิต การขจัดการเอารัดเอาเปรียบและความเหลื่อมล้ำ และการบรรลุความมั่งคั่งให้แก่ประชาชนทุกคนในที่สุด แนวคิดนี้จะต้องถูกอธิบายให้ประชาชนเข้าใจอย่างชัดเจน

ต่างจากฮฺว่า กั๋วเฟิง เติ้งเชื่อมั่นว่าไม่ควรปฏิเสธนโยบายใด ๆ เพียงเพราะนโยบายนั้นไม่ได้มาจากเหมา และต่างจากผู้นำสายอนุรักษนิยมอย่างเช่นเฉิน ยฺหวิน เติ้งไม่ได้คัดค้านนโยบายใด ๆ ด้วยเหตุผลที่ว่านโยบายเหล่านั้นมีความคล้ายกับนโยบายที่พบในประเทศทุนนิยม

ความยืดหยุ่นทางการเมืองที่มีต่อรากฐานของสังคมนิยมได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากคำกล่าวเช่น:

เราไม่ควรกลัวที่จะนำวิธีบริหารจัดการที่ก้าวหน้าที่ใช้ในประเทศทุนนิยมมาปรับใช้ ... แก่นแท้ของสังคมนิยมคือการปลดปล่อยและพัฒนาขีดความสามารถในการผลิต ... สังคมนิยมและเศรษฐกิจตลาดนั้นไม่ขัดแย้งกัน ... เราควรคำนึงถึงความเอนเอียงของฝ่ายขวา แต่เหนือสิ่งอื่นใด เราต้องคำนึงถึงความเอนเอียงของฝ่ายซ้ายด้วย[ต้องการเลขหน้า]

แม้เติ้งจะเป็นผู้วางรากฐานทางทฤษฎีและให้การสนับสนุนทางการเมืองเพื่อให้การปฏิรูปเศรษฐกิจเกิดขึ้นได้ แต่ความเห็นทั่วไปของนักประวัติศาสตร์คือการปฏิรูปเศรษฐกิจหลายอย่างที่เติ้งนำเสนอนั้นไม่ได้เป็นต้นคิดโดยเติ้งเอง ตัวอย่างเช่น นายกรัฐมนตรีโจว เอินไหลริเริ่มสี่ทันสมัยก่อนเติ้งหลายปี นอกจากนี้ ผู้นำท้องถิ่นหลายคนได้นำเสนอการปฏิรูปหลายอย่าง ซึ่งมักไม่ได้รับอนุมัติจากรัฐบาลกลาง หากการปฏิรูปเหล่านั้นประสบความสำเร็จและมีความน่าสนใจ ก็จะถูกนำไปใช้ในพื้นที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดก็ถูกนำมาใช้ทั่วประเทศ ตัวอย่างที่มักถูกอ้างถึงคือระบบรับผิดชอบครัวเรือน ซึ่งครั้งแรกถูกนำมาใช้อย่างลับ ๆ โดยหมู่บ้านชนบทยากจน โดยมีความเสี่ยงจะถูกตัดสินว่าเป็นการ "ต่อต้านการปฏิวัติ" การทดลองนี้พิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เติ้งให้การสนับสนุนอย่างเปิดเผยและต่อมาก็นำมาใช้ทั่วประเทศ การปฏิรูปอื่น ๆ อีกหลายอย่างยังได้รับอิทธิพลจากประสบการณ์ของเสือแห่งเอเชียตะวันออก

สิ่งนี้ต่างอย่างสิ้นเชิงจากรูปแบบการปฏิรูป (เปเรสตรอยคา) ที่มีฮาอิล กอร์บาชอฟดำเนินการ ซึ่งการปฏิรูปที่สำคัญส่วนใหญ่มีต้นกำเนิดมาจากกอร์บาชอฟเอง ในทางตรงกันข้าม แนวทางปฏิรูป "จากล่างขึ้นบน" ของเติ้ง เมื่อเปรียบเทียบกับแนวทาง "จากบนลงล่าง" ของเปเรสตรอยคา น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การปฏิรูปของเติ้งประสบความสำเร็จมากกว่า[ต้องการเลขหน้า]

การปฏิรูปของเติ้งนำระบบการวางแผนและบริหารจัดการเศรษฐกิจมหภาคแบบวางแผนและรวมศูนย์โดยข้าราชการที่มีความเชี่ยวชาญทางเทคนิคมาใช้ แทนที่แนวทางการสร้างเศรษฐกิจแบบรณรงค์มวลชนของเหมา อย่างไรก็ตาม การบริหารนั้นเป็นไปโดยอ้อมผ่านกลไกตลาด ซึ่งต่างจากแบบของโซเวียต เติ้งสืบทอดมรดกของเหมาโดยการให้ความสำคัญต่อผลผลิตทางการเกษตรและส่งเสริมการกระจายอำนาจตัดสินใจไปยังกลุ่มเศรษฐกิจในชนบทและครัวเรือนเกษตรกรรายย่อยอย่างมีนัยสำคัญ ในระดับท้องถิ่นมีการใช้แรงจูงใจทางวัตถุแทนการปลุกระดมทางการเมืองเพื่อกระตุ้นแรงงาน รวมถึงการอนุญาตให้ชาวนามีรายได้เพิ่มเติมจากการจำหน่ายผลผลิตจากที่ดินส่วนตัวในราคาตลาดเสรี

เน้นการส่งออก

ในการปรับเปลี่ยนไปสู่ระบบการจัดสรรทรัพยากรโดยตลาด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและมณฑลได้รับอนุญาตให้ลงทุนในอุตสาหกรรมที่เห็นว่าให้ผลกำไรสูงสุด ซึ่งส่งเสริมการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมเบา ด้วยเหตุนี้การปฏิรูปของเติ้งจึงได้เปลี่ยนกลยุทธ์การพัฒนาของจีนให้เน้นไปที่อุตสาหกรรมเบาและการส่งออกเป็นหลัก ผลผลิตอุตสาหกรรมเบาเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งสำหรับประเทศกำลังพัฒนาที่มีฐานทุนต่ำ ด้วยระยะเวลาการลงทุนที่สั้น จำนวนเงินลงทุนเริ่มต้นที่ต่ำ และรายได้จากการส่งออกที่สูงในสกุลเงินต่างประเทศ รายได้ที่เกิดจากอุตสาหกรรมการผลิตเบาจึงสามารถนำกลับมาลงทุนซ้ำในกระบวนการผลิตที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากขึ้น รวมไปถึงการลงทุนในทรัพย์สินถาวรและการลงทุนอื่น ๆ[ต้องการอ้างอิง]

ทว่าการลงทุนเหล่านี้ไม่ได้เป็นการบังคับโดยรัฐบาล ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการปฏิรูปในทำนองเดียวกันแต่ประสบความสำเร็จน้อยกว่าอย่างมากในสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย และสาธารณรัฐประชาชนฮังการี ทุนที่ลงทุนในอุตสาหกรรมหนักส่วนใหญ่มาจากระบบธนาคาร และทุนส่วนใหญ่ดังกล่าวนั้นมาจากเงินฝากของผู้บริโภค หนึ่งในมาตรการปฏิรูปเบื้องต้นของเติ้งคือ การป้องกันการโอนย้ายผลกำไร ยกเว้นผ่านระบบภาษีอากรหรือระบบธนาคาร ดังนั้นการโอนย้ายผลกำไรในรัฐวิสาหกิจจึงเป็นไปโดยอ้อม ทำให้รัฐวิสาหกิจเหล่านี้มีความเป็นอิสระจากการแทรกแซงของรัฐบาลในระดับหนึ่ง โดยสรุป การปฏิรูปของเติ้งได้จุดชนวนให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศจีน

การปฏิรูปเหล่านี้ถือเป็นการพลิกนโยบายพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจของลัทธิเหมา ประเทศจีนตัดสินใจเร่งกระบวนการปฏิรูปประเทศให้ทันสมัยโดยเพิ่มปริมาณการค้าต่างประเทศอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการนำเข้าเครื่องจักรจากประเทศญี่ปุ่นและประเทศตะวันตก ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1978 เติ้งเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกเพื่อแลกเปลี่ยนหนังสือรับรองการลงนาม "สนธิสัญญาสันติภาพและมิตรภาพระหว่างประเทศญี่ปุ่นและสาธารณรัฐประชาชนจีน" และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากนายกรัฐมนตรีทาเกโอะ ฟูกูดะ และบุคคลสำคัญอื่น ๆ เติ้งเป็นเพียงรองนายกรัฐมนตรีในช่วงเวลาที่เขาพบปะกับเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่น แต่รัฐบาลญี่ปุ่นยอมรับเขาในฐานะผู้นำสูงสุดที่มีอำนาจอย่างแท้จริงของจีน ด้วยประวัติอันยาวนานในการเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนของเขา เติ้งถือเป็นผู้นำจีนคนแรกที่ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะแห่งญี่ปุ่น ข่าวจากสถานีโทรทัศน์ NHK ของญี่ปุ่นใน ค.ศ. 1978 รายงานว่าเติ้งกล่าวด้วยถ้อยคำอันสุภาพว่า "เราได้พูดคุยกันถึงอดีตที่ผ่านมา แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าประทับใจเป็นอย่างยิ่งคือ พระราชประสงค์ของพระองค์ในการสร้างอนาคตที่ดีกว่า" คำกล่าวของเติ้งชี้ให้เห็นถึงสมัยใหม่แห่งการปฏิรูปการเมืองของจีนผ่านทางการทูตเศรษฐกิจระหว่างประเทศ

สนธิสัญญาสันติภาพและมิตรภาพระหว่างญี่ปุ่นและสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นพันธสัญญาที่ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ระหว่างทั้งสองประเทศมาจนถึงปัจจุบัน มาตรา 1 ของสนธิสัญญากำหนดหลักการแห่งการเคารพซึ่งกันและกันในอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน การไม่รุกรานซึ่งกันและกัน และการไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน มาตรา 2 กำหนดหลักการต่อต้านการครอบงำ (หรืออาจใช้ว่า "ต่อต้านการผูกขาดอำนาจ") มาตรา 3 กล่าวถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างทั้งสองประเทศให้ดียิ่งขึ้น และมาตรา 4 อธิบายถึงความสัมพันธ์ของสนธิสัญญานี้กับประเทศที่สาม แม้การเจรจาสันติภาพนี้จะใช้เวลานานถึง 6 ปีนับตั้งแต่การฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูต เนื่องจากประเด็นข้อความ "ต่อต้านการครอบงำ" และ "ประเทศที่สาม" ถือเป็นประเด็นที่ขัดแย้งกันมากที่สุด แต่ข้อตกลงดังกล่าวยังคงมีอิทธิพลอย่างมากต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนและญี่ปุ่นในปัจจุบัน ด้วยการเข้าร่วมในกระบวนการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออก ทำให้จีนสามารถเร่งรัดการปฏิรูปสี่ทันสมัยได้สำเร็จ โดยได้รับเม็ดเงินทุนจากต่างประเทศ ตลาดต่างประเทศ เทคโนโลยีขั้นสูง และประสบการณ์การบริหารจัดการที่ทันสมัย ซึ่งส่งผลให้การพัฒนาเศรษฐกิจของจีนมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่ ค.ศ. 1980 เป็นต้นมา เติ้งดึงดูดบริษัทต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษหลายแห่ง ซึ่งส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศและการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ

การปฏิรูปดังกล่าวมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของแรงงาน โดยได้มีการนำมาตรการจูงใจด้านวัตถุและระบบโบนัสรูปแบบใหม่มาใช้ ตลาดในชนบทที่จำหน่ายผลผลิตจากไร่นาของเกษตรกรและสินค้าส่วนเกินจากชุมชนก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง ตลาดในชนบทไม่เพียงแต่ส่งเสริมให้ผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมอีกด้วย เมื่อเกษตรกรสามารถจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรส่วนเกินในตลาดเสรีได้ การบริโภคภายในประเทศจึงกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรม และยังก่อให้เกิดการสนับสนุนทางการเมืองต่อการปฏิรูปเศรษฐกิจที่ซับซ้อนขึ้น[ต้องการอ้างอิง]

มีข้อคล้ายคลึงบางประการระหว่างนโยบายสังคมนิยมตลาดของเติ้งโดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้น กับนโยบายเศรษฐกิจใหม่ (NEP) ของวลาดิมีร์ เลนิน ตลอดจนนโยบายเศรษฐกิจของนีโคไล บุลกานิน ตรงที่ทั้งสองต่างมองเห็นบทบาทของผู้ประกอบการเอกชนและกลไกตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยการค้าและกลไกราคามากกว่าการวางแผนจากส่วนกลาง ดังที่นักวิชาการ คริสโตเฟอร์ มาร์ควิส และเฉียว คุน-ยฺเหวีวน ได้สังเกตไว้ว่าเติ้งเคยอยู่ในสหภาพโซเวียตในช่วงที่เลนินนำนโยบายเศรษฐกิจใหม่มาใช้ จึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่จะอนุมานได้ว่านโยบายนั้นอาจมีอิทธิพลต่อมุมมองของเติ้งเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะมีกลไกตลาดอยู่ภายในระบบสังคมนิยม: 254  ในการพบปะครั้งแรกระหว่างเติ้งกับอาร์มานด์ แฮมเมอร์ เติ้งได้กดดันให้นักอุตสาหกรรมและนักลงทุนรายเก่าในสหภาพโซเวียตของเลนินให้ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจใหม่โดยละเอียดที่สุดเท่าที่จะเป็นได้

การส่งมอบฮ่องกงและมาเก๊า

image
แบบจำลองการพบปะระหว่างเติ้ง เสี่ยวผิงกับมาร์กาเรต แทตเชอร์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรที่เชินเจิ้น ใน ค.ศ. 1984

ตั้งแต่ ค.ศ. 1980 เป็นต้นมา เติ้งเป็นผู้นำการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และในแง่การเมือง เขารับหน้าที่เจรจาต่อรองกับสหราชอาณาจักรเพื่อขอคืนฮ่องกง โดยการพบปะหารือกับมาร์กาเรต แทตเชอร์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรในขณะนั้น แทตเชอร์เข้าร่วมการประชุมโดยหวังจะรักษาอำนาจปกครองของอังกฤษเหนือเกาะฮ่องกงและเกาลูน 2 ใน 3 ของเขตปกครองของอาณานิคมแห่งนี้ แต่เติ้งปฏิเสธข้อเสนอนี้อย่างเด็ดขาด ผลจากการเจรจาเหล่าดังกล่าวคือปฏิญญาร่วมระหว่างจีนกับอังกฤษ ลงนามในวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 1984 ปฏิญญาดังกล่าวระบุอย่างเป็นทางการว่าสหราชอาณาจักรจะต้องคืนอาณานิคมฮ่องกงทั้งหมดให้แก่จีนภายใน ค.ศ. 1997 รัฐบาลจีนให้สัญญาว่าจะเคารพรักษาระบบเศรษฐกิจและเสรีภาพส่วนบุคคลของเขตปกครองพิเศษซึ่งเดิมเป็นอาณานิคมของอังกฤษเป็นระยะเวลา 50 ปีนับจากการส่งมอบอำนาจปกครอง

ทฤษฎีหนึ่งประเทศ สองระบบของเติ้งถูกนำไปประยุกต์ใช้กับฮ่องกงและมาเก๊า และเติ้งยังมีความประสงค์ที่จะนำเสนอแนวคิดนี้ต่อประชาชนชาวไต้หวัน เพื่อเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการผนวกดินแดนไต้หวันเข้ากับประเทศจีนในอนาคต ซึ่งปัจจุบันยังคงมีข้อพิพาทเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือดินแดนดังกล่าว ใน ค.ศ. 1982 เติ้งได้อธิบายถึงแนวคิด "หนึ่งประเทศ สองระบบ" เป็นครั้งแรก โดยมีไต้หวันเป็นตัวอย่างหลักในการนำเสนอแนวคิดนี้: 231 

คำกล่าวของเติ้งในระหว่างการร่างกฎหมายมูลฐานแห่งฮ่องกง ค.ศ. 1987 สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของเขาที่มีต่อหลักการดังกล่าวในบริบทของฮ่องกง: 176  ในขณะนั้น เติ้งประกาศว่ารัฐบาลกลางจะไม่แทรกแซงกิจการประจำวันของฮ่องกง แต่คาดการณ์ว่าบางครั้งฮ่องกงอาจเผชิญกับปัญหาบางประการที่กระทบต่อผลประโยชน์ของชาติ ซึ่งจำเป็นต้องให้รัฐบาลกลางเข้ามาเกี่ยวข้อง: 178–179  เติ้งกล่าวว่า "หลังจากปี 1997 เราจะยังคงอนุญาตให้ประชาชนในฮ่องกงวิจารณ์พรรคคอมมิวนิสต์จีนและประเทศจีนได้ในทางวาจา แต่ถ้าคำพูดเหล่านั้นถูกนำไปปฏิบัติ โดยพยายามเปลี่ยนฮ่องกงให้กลายเป็นฐานการต่อต้านจีนแผ่นดินใหญ่โดยอ้างถึง "ประชาธิปไตย" แล้ว กรณีเช่นนั้นก็ย่อมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการแทรกแซง" ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1988 เติ้งกล่าวว่า "ระบบการเมืองของฮ่องกงในปัจจุบันไม่ได้เป็นแบบอังกฤษหรือแบบอเมริกัน และในอนาคตก็ไม่ควรนำระบบแบบตะวันตกมาใช้": 179 

การควบคุมประชากรและอาชญากรรม

การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของจีนนำมาซึ่งปัญหาหลายประการ สำมะโน ค.ศ. 1982 เปิดเผยถึงการเติบโตของประชากรอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีจำนวนเกินกว่าหนึ่งพันล้านคนแล้ว เติ้งได้ดำเนินนโยบายจำกัดการมีบุตรซึ่งเป็นนโยบายที่ฮฺว่า กั๋วเฟิงริเริ่มขึ้น โดยกำหนดให้สตรีมีบุตรได้เพียงคนเดียว หากฝ่าฝืนจะต้องได้รับโทษทางปกครอง นโยบายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ในเขตเมือง และรวมถึงการบังคับให้ทำแท้ง

ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1983 เติ้งได้ประกาศเริ่ม "การรณรงค์ปราบปรามอาชญากรรมอย่างเด็ดขาด" เพื่อแก้ไขปัญหาความปลอดภัยของประชาชนที่ย่ำแย่ลงภายหลังการปฏิวัติวัฒนธรรม มีรายงานว่ารัฐบาลกำหนดเป้าหมายการประหารชีวิตไว้ที่ 5,000 รายภายในกลางเดือนพฤศจิกายน และแหล่งข่าวจากไต้หวันอ้างว่ามีผู้ถูกประหารชีวิตสูงถึง 60,000 รายในช่วงเวลาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ประมาณการล่าสุดระบุว่ามีผู้ถูกตัดสินประหารชีวิต 24,000 ราย (ส่วนใหญ่ในช่วง "การปราบปราม" ครั้งแรกของการรณรงค์) บุคคลจำนวนหนึ่งที่ถูกจับกุม (บางรายได้รับโทษประหารชีวิต) เป็นบุตรหรือญาติของเจ้าหน้าที่รัฐในระดับต่าง ๆ รวมถึงหลานชายของจู เต๋อ แสดงให้เห็นถึงหลักการที่ว่า "ทุกคนเท่าเทียมกันต่อหน้ากฎหมาย" การรณรงค์ดังกล่าวส่งผลบวกต่อความปลอดภัยสาธารณะในทันที แต่ก็ก่อให้เกิดข้อถกเถียงเกี่ยวกับความรุนแรงเกินควรของบทลงโทษทางกฎหมายบางประการ และผลกระทบระยะยาวต่อความปลอดภัยสาธารณะ

การเพิ่มขึ้นของเสรีภาพทางเศรษฐกิจกำลังถูกแปลความหมายไปสู่เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่กว้างขวางขึ้น และมีนักวิจารณ์เริ่มผุดขึ้นภายในระบบ รวมถึงเว่ย์ จิงเชิง นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยชื่อดังผู้ซึ่งบัญญัติศัพท์ "การปฏิรูปที่ห้า" เพื่ออ้างถึงระบอบประชาธิปไตยซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ขาดหายไปในแผนการปฏิรูปของเติ้ง เสี่ยวผิง ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 ความไม่พอใจต่อระบอบอำนาจนิยมและความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้นได้ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ที่สุดต่อความเป็นผู้นำของเติ้ง

ปราบปรามการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน

การประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989 ซึ่งจุดสุดยอดคือการสังหารหมู่ในวันที่ 4 มิถุนายน เป็นการชุมนุมประท้วงที่เกิดขึ้นในและบริเวณใกล้กับจัตุรัสเทียนอันเหมินระหว่างวันที่ 15 เมษายน ถึง 5 มิถุนายน ค.ศ. 1989 อันเป็นปีที่รัฐบาลคอมมิวนิสต์หลายประเทศล่มสลาย

การประท้วงดังกล่าวจุดชนวนจากอสัญกรรมของหู เย่าปัง ผู้นำสายปฏิรูปที่ได้รับการสนับสนุนจากเติ้ง แต่ถูกขับออกจากตำแหน่งโดยกลุ่มผู้เฒ่าทั้งแปดและฝ่ายอนุรักษนิยมภายในกรมการเมือง ประชาชนจำนวนมากไม่พอใจต่อการตอบสนองอย่างล่าช้าของพรรค รวมถึงพิธีศพที่จัดขึ้นอย่างเรียบง่ายเกินไป ประชาชนเริ่มการไว้ทุกข์สาธารณะตามท้องถนนในปักกิ่งและในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในพื้นที่ใกล้เคียง ในปักกิ่ง เหตุการณ์นี้มีศูนย์กลางอยู่ที่อนุสาวรีย์วีชนในจัตุรัสเทียนอันเหมิน การไว้ทุกข์ดังกล่าวกลายเป็นช่องทางสาธารณะในการระบายความไม่พอใจต่อระบบอุปถัมภ์ที่รับรู้ได้ภายในรัฐบาล การปลดจากตำแหน่งอย่างไม่เป็นธรรม และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของหู รวมถึงบทบาทเบื้องหลังของกลุ่มผู้ทรงอำนาจรุ่นเก่า ในวันก่อนหน้าพิธีศพของหู จำนวนผู้เข้าร่วมการประท้วงในจัตุรัสเทียนอันเหมินได้เพิ่มขึ้นเป็น 100,000 คน แม้การประท้วงจะขาดเอกภาพในการเรียกร้องหรือผู้นำ แต่ผู้เข้าร่วมประท้วงได้หยิบยกประเด็นการทุจริตภายในรัฐบาล บางส่วนเรียกร้องให้มีการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ และการปฏิรูปประชาธิปไตยภายในโครงสร้างรัฐบาล ขณะที่บางส่วนเรียกร้องให้มีรูปแบบสังคมนิยมที่เผด็จการน้อยลงและไม่รวบอำนาจมากนัก

ระหว่างการประท้วง จ้าว จื่อหยาง เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน พันธมิตรผู้สนับสนุนนโยบายตลาดของเติ้ง ให้การสนับสนุนผู้ประท้วงและแสดงท่าทีแยกตัวออกจากกรมการเมือง กฎอัยการศึกถูกประกาศในวันที่ 20 พฤษภาคมโดยนายกรัฐมนตรีหลี่ เผิง นักการเมืองสายหัวรุนแรง แต่การรุกคืบของกองทัพในเมืองในช่วงแรกถูกขัดขวางโดยชาวเมือง การเคลื่อนไหวนี้กินเวลานานถึงเจ็ดสัปดาห์ วันที่ 3–4 มิถุนายน ทหารจำนวนกว่า 200,000 นายพร้อมด้วยรถถังและเฮลิคอปเตอร์ได้เข้ายึดเมืองเพื่อปราบปรามการประท้วงโดยใช้กำลัง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนหลายร้อยถึงหลายพันคน ประชาชนจำนวนมากในกรุงปักกิ่งเชื่อว่าเติ้งเป็นผู้สั่งการ แต่บรรดานักวิเคราะห์การเมืองยังไม่สามารถระบุได้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังคำสั่งดังกล่าวเป็นใคร[ต้องการเลขหน้า] อย่างไรก็ตาม บุตรีของเติ้งได้ออกมาปกป้องการกระทำดังกล่าว โดยระบุว่าเป็นการตัดสินใจร่วมกันของผู้นำพรรค

เพื่อขจัดกลุ่มที่เห็นพ้องสนับสนุนผู้ประท้วงเหตุการณ์จัตุรัสเทียนอันเหมิน พรรคคอมมิวนิสต์ได้ริเริ่มโครงการระยะหนึ่งปีครึ่งซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการขบวนการต่อต้านฝ่ายขวา กลุ่มผู้มีอาวุโส เช่น เติ้ง เฟย์ มีเป้าหมายจะ "ปราบปรามสมาชิกพรรคที่มีแนวโน้มเสรีนิยมชนชั้นกระฎุมพีอย่างเด็ดขาด" และมีการส่งเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์จำนวนกว่า 30,000 นายไปทำภารกิจดังกล่าว[ต้องการเลขหน้า]

จ้าวถูกคุมตัวไว้ในบ้านโดยฝ่ายหัวรุนแรง และเติ้งเองก็ถูกบีบให้ยอมรับเงื่อนไขบางประการของกลุ่มดังกล่าว[ต้องการเลขหน้า] ไม่นานนัก เขาประกาศว่า "โลกจักรวรรดินิยมตะวันตกทั้งหมดวางแผนที่จะบีบบังคับให้ประเทศสังคมนิยมทุกประเทศละทิ้งแนวทางสังคมนิยม และจากนั้นให้นำประเทศเหล่านั้นเข้าสู่การผูกขาดของทุนนิยมระหว่างประเทศ และเดินบนเส้นทางทุนนิยม" หลายเดือนต่อมาเขากล่าวว่า "สหรัฐมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้ง" ในการเคลื่อนไหวของนักศึกษา โดยอ้างถึงบรรดานักข่าวต่างชาติที่ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่นักศึกษาแกนนำ และต่อมาได้ช่วยเหลือนักศึกษาเหล่านั้นหลบหนีไปยังประเทศตะวันตกหลายประเทศ โดยส่วนใหญ่ไปยังสหรัฐผ่านฮ่องกงและไต้หวัน[ต้องการเลขหน้า]

แม้ว่าในเบื้องต้นเติ้งจะยอมผ่อนปรนให้แก่กลุ่มผู้สนับสนุนสังคมนิยมหัวรุนแรง แต่ไม่นานหลังการเยือนภาคใต้ใน ค.ศ. 1992 เขาก็กลับมาดำเนินการปฏิรูปอีกครั้ง หลังการเยือนครั้งนั้น เขาสามารถยุติการโจมตีการปฏิรูปของกลุ่มสังคมนิยมหัวรุนแรงผ่านการรณรงค์ "ตั้งชื่อว่าทุนนิยมหรือสังคมนิยม" ได้สำเร็จ[ต้องการเลขหน้า] เติ้งกล่าวเป็นการส่วนตัวกับพีเอร์ ทรูโด อดีตนายกรัฐมนตรีแคนาดา ว่าฝ่ายต่าง ๆ ภายในพรรคคอมมิวนิสต์นั้นสามารถยึดหน่วยทหารได้ และประเทศก็เสี่ยงจะเกิดสงครามกลางเมือง[ต้องการเลขหน้า] สองปีต่อมา เติ้งสนับสนุนให้จู หรงจี นายกเทศมนตรีเซี่ยงไฮ้ขึ้นดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี จูปฏิเสธการประกาศกฎอัยการศึกในเซี่ยงไฮ้ในระหว่างการประท้วง แม้ผู้สนับสนุนสังคมนิยมหัวรุนแรงจะกดดันเขาแล้วก็ตาม[ต้องการเลขหน้า]

การเกษียณและเยือนภาคใต้

image
เรือตรวจการณ์ที่ใช้ในการเยือนภาคใต้

เติ้งตัดสินใจเกษียณอายุจากตำแหน่งสูงสุดอย่างเป็นทางการ เมื่อเขาลาออกจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1989 และเจียง เจ๋อหมิน ผู้สืบทอดตำแหน่งของเขาก็เข้ารับตำแหน่งแทนและเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศ อย่างไรก็ตาม จีนยังคงอยู่ในสมัยของเติ้ง เสี่ยวผิง เขายังคงได้รับยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นผู้นำโดยพฤตินัยของประเทศ ถึงแม้จะไม่มีตำแหน่งทางการใด ๆ นอกเหนือจากประธานสมาคมไพ่บริดจ์แห่งประเทศจีน และเชื่อกันว่าเขามีอำนาจควบคุมอยู่เบื้องหลัง ทั้งนี้เขาแต่งตั้งหู จิ่นเทาให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของเจียงในการประชุมสภาแห่งชาติพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 14 ใน ค.ศ. 1992 เติ้งได้รับยกย่องอย่างเป็นทางการว่าเป็น "สถาปนิกผู้นำการปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมนิยมสมัยใหม่ของจีน" สำหรับพรรค เชื่อกันว่าเขาเป็นแบบอย่างที่ดีแก่แกนนำพรรคคอมมิวนิสต์ที่ปฏิเสธที่จะเกษียณอายุเมื่อถึงวัย เขาทำลายธรรมเนียมปฏิบัติเดิมที่ยึดถือการดำรงตำแหน่งตลอดชีวิต เขามักถูกเรียกขานสั้น ๆ ว่า "สหายเสี่ยวผิง" โดยปราศจากตำแหน่งใด ๆ ต่อท้าย

การประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989 ส่งผลให้อำนาจของเติ้งอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ และภายในพรรคก็ได้เกิดฝ่ายอนุรักษนิยมขึ้นมาต่อต้านการปฏิรูปของเติ้งอย่างแข็งขัน เพื่อย้ำนโยบายทางเศรษฐกิจของตนอีกครั้ง ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1992 เติ้งเดินทางเยือนภาคใต้ของจีน โดยเยือนกว่างโจว เชินเจิ้น จูไห่ และใช้เวลาช่วงเทศกาลตรุษจีนที่เซี่ยงไฮ้ การเดินทางครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อเน้นย้ำนโยบายเศรษฐกิจของตนหลังเกษียณไปแล้ว เขากล่าวว่า "คนบางกลุ่มได้ให้ร้ายต่อระบบสังคมนิยมของเราว่าเป็นระบบของราชวงศ์ฉิน ซึ่งเป็นการกล่าวหาที่น่ารำคาญนัก! ระบบของเราไม่ได้เป็นเผด็จการ แต่เป็นประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์ ในช่วงที่ประธานเหมาเป็นผู้นำก็ไม่ได้เป็นแบบราชวงศ์ฉิน แต่เป็นประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์เช่นกัน หากจะเปรียบเทียบแล้ว ระบบของเรานั้นน่าจะใกล้เคียงกับของฝรั่งเศสมากกว่า" การเยือนภาคใต้ใน ค.ศ. 1992 ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของจีน เพราะช่วยรักษาการปฏิรูปเศรษฐกิจของจีนไวและยังคงไว้ซึ่งความมั่นคงของสังคม สุขภาพของเติ้งเสื่อมลงอย่างรวดเร็วหลัง ค.ศ. 1994 ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1995 บุตรีของเติ้งเปิดเผยแก่สื่อมวลชนว่า "เมื่อปีที่แล้ว ท่านสามารถเดินได้นาน 30 นาทีวันละ 2 ครั้ง แต่ปัจจุบันไม่สามารถเดินได้แล้ว ... ท่านต้องอาศัยคนช่วยพยุงสองคน" ยังมีรายงานอีกว่าในปีเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคพาร์คินสันถูกส่งตัวไปปักกิ่งเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่เขา

อสัญกรรม

เติ้งถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997 เวลา 21.08 น. ตามเวลาปักกิ่ง สิริอายุ 92 ปี จากการติดเชื้อในปอดและโรคพาร์คินสัน ประชาชนส่วนใหญ่มีความพร้อมรับกับอสัญกรรมของเขา ด้วยมีข่าวลือว่าสุขภาพของเขากำลังย่ำแย่ลง เวลา 10:00 น. ของวันที่ 24 กุมภาพันธ์ นายกรัฐมนตรีหลี่ เผิงขอให้ประชาชนร่วมกันยืนสงบนิ่งเพื่อแสดงความอาลัยเป็นเวลา 3 นาที ธงชาติของประเทศถูกลดครึ่งเสาเป็นเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์ พิธีศพซึ่งถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ เป็นพิธีที่เรียบง่ายและค่อนข้างเป็นส่วนตัว มีเพียงผู้นำระดับสูงของประเทศและครอบครัวของเติ้งเท่านั้นที่เข้าร่วม และมีการถ่ายทอดสดผ่านช่องสัญญาณเคเบิลทุกช่อง ภายหลังพิธีศพ อวัยวะของเขาถูกบริจาคเพื่อวิจัยทางการแพทย์ ส่วนร่างกายที่เหลือถูกนำไปฌาปนกิจที่สุสานปฏิวัติปาเป่าชาน และอัฐิของเขาถูกโปรยลงสู่ทะเลตามความประสงค์สุดท้าย ตลอดสองสัปดาห์ถัดมา สื่อของรัฐบาลจีนเผยแพร่ข่าวและสารคดีเกี่ยวกับชีวิตและผลงานของเติ้ง โดยรายการข่าวแห่งชาติเวลา 19:00 น. ซึ่งเป็นรายการข่าวภาคค่ำประจำวัน ได้ขยายเวลาออกอากาศไปเกือบสองชั่วโมงจากเวลาออกอากาศปกติ[ต้องการอ้างอิง]

เจียง เจ๋อหมิน ผู้สืบทอดตำแหน่งของเติ้งยังคงดำเนินนโยบายตามแนวทางปรัชญาการเมืองและเศรษฐกิจของเติ้ง เติ้งได้รับการยกย่องว่าเป็น "มาร์กซิสต์ผู้ยิ่งใหญ่ นักปฏิวัติชนกรรมาชีพผู้ยิ่งใหญ่ รัฐบุรุษ นักยุทธศาสตร์การทหาร และนักการทูต หนึ่งในผู้นำแกนหลักของพรรคคอมมิวนิสต์จีน กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน และสาธารณรัฐประชาชนจีน สถาปนิกผู้ยิ่งใหญ่แห่งการเปิดประเทศแบบสังคมนิยมและการปฏิรูปประเทศจีนให้ทันสมัย และผู้ริเริ่มทฤษฎีเติ้ง เสี่ยวผิง" อย่างไรก็ตาม บางกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มลัทธิเหมาสมัยใหม่และนักปฏิรูปหัวรุนแรง (ทั้งซ้ายจัดและขวาจัด) นั้นมีมุมมองต่อเขาในแง่ลบ ปีต่อมา บทเพลงอย่าง "ชุนเทียนเตอะกู้ชื่อ" (นิทานฤดูใบไม้ผลิ) ขับร้องโดยต่ง เหวิน-หฺวา ซึ่งประพันธ์ขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เติ้งหลังการเดินทางเยือนภาคใต้ของเขาใน ค.ศ. 1992 ก็กลับมาได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายอีกครั้ง[ต้องการอ้างอิง]

อสัญกรรมของเติ้งก่อให้เกิดปฏิกิริยาในระดับนานาชาติ โคฟี แอนนัน เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวว่า "เติ้งควรได้รับการจดจำในประชาคมโลกว่าเป็นสถาปนิกการปฏิรูปและพัฒนาเศรษฐกิจของจีนให้ก้าวกระโดด" ประธานาธิบดีฌัก ชีรัก แห่งฝรั่งเศส กล่าวว่า "ในศตวรรษนี้มีชายเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถนำชุมชนมนุษย์ขนาดใหญ่ผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งและกำหนดชะตาชีวิตได้มากเท่ากับเติ้ง" นายกรัฐมนตรีจอห์น เมเจอร์ แห่งสหราชอาณาจักร ให้ความเห็นเกี่ยวกับบทบาทสำคัญของเติ้งในการส่งมอบฮ่องกงกลับคืนสู่การปกครองของจีน นายกรัฐมนตรีฌ็อง เครเตียง แห่งแคนาดา เรียกเติ้งว่าเป็น "บุคคลสำคัญ" ในประวัติศาสตร์จีน ประธานพรรคก๊กมินตั๋งแห่งไต้หวันได้ส่งคำแสดงความเสียใจพร้อมระบุว่าปรารถนาที่จะเห็นสันติภาพ ความร่วมมือ และความเจริญรุ่งเรือง องค์ทะไลลามะได้แสดงความเสียใจที่เติ้งจากไปโดยไม่ได้แก้ไขปัญหาเกี่ยวกับทิเบต

มรดก

image
รูปปั้นเติ้ง เสี่ยวผิงในเชินเจิ้น

วิสัยทัศน์ของเติ้งที่ว่า "การพัฒนาเป็นหลักการสำคัญยิ่ง" ยังคงเป็นแนวทางการบริหารประเทศของจีนต่อไป: 49  ในการประชุมสมัยสามัญครั้งที่ 4 ของคณะกรรมาธิการกลางพรรคชุดที่ 13 เจียง เจ๋อหมินและคณะผู้นำรุ่นที่สามได้ประกาศว่า "การพัฒนาเป็นเป้าหมายสูงสุดของพรรคในการบริหารประเทศและฟื้นฟูชาติ": 49  ในทำนองเดียวกัน การที่เติ้งให้ความสำคัญสูงสุดกับการพัฒนานั้นมีอิทธิพลต่อทัศนะวิทยาศาสตร์ว่าด้วยการพัฒนาของหู จิ่นเทา และฝันจีนของสี จิ้นผิง ซึ่งเน้นย้ำให้การพัฒนาเป็นภารกิจหลักของประเทศจีน: 49 

อนุสรณ์

อนุสรณ์ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เติ้งมักมีรูปแบบเรียบง่ายและไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับผู้นำคนอื่น ๆ สอดคล้องกับภาพลักษณ์ความเรียบง่ายและเน้นการปฏิบัติจริงของเติ้ง แทนที่จะถูกเก็บรักษาศพไว้ในโลงแก้วเช่นเดียวกับเหมา เขาเลือกที่จะฌาปนกิจ และให้โปรยอัฐิลงสู่ทะเล อย่างไรก็ตาม ยังคงมีการจัดแสดงสิ่งของส่วนตัวของเขาเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่สาธารณชน ในวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 2000 มีพิธีเปิดอนุสาวรีย์สำริด ณ ลานสวนสาธารณะเหลียนฮฺวาชานในเชินเจิ้น เพื่อเป็นเกียรติแก่บทบาทของเติ้งในฐานะผู้ออกแบบและผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเชินเจิ้น อนุสาวรีย์มีความสูง 6 เมตร (20 ฟุต) พร้อมฐานสูงอีก 3.68 เมตร แสดงให้เห็นถึงเติ้งที่กำลังก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ ผู้นำระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนจำนวนมากได้เดินทางมาเยือนอนุสาวรีย์แห่งนี้ นอกจากนี้ ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลและบนเกาะไหหลำ เติ้งยังปรากฏตัวอยู่บนป้ายโฆษณาริมทางพร้อมด้วยข้อความที่เน้นย้ำถึงการปฏิรูปเศรษฐกิจหรือนโยบายหนึ่งประเทศ สองระบบของเขา.

วันที่ 13 สิงหาคม ค.ศ. 2004 มีการจัดพิธีเปิดอนุสาวรีย์สำริดเพื่อฉลองครบรอบ 100 ปีชาตกาลของเติ้งในกว่างอาน บ้านเกิดของเติ้งในมณฑลเสฉวน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน แสดงให้เห็นถึงเติ้งที่แต่งกายแบบสบายกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้และมีสีหน้ายิ้มแย้ม อักษรจีนที่จารึกไว้บนฐานนั้นเป็นลายมือของเจียง เจ๋อหมิน เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน และประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางในขณะนั้น

บ้านเกิดของเติ้ง เสี่ยวผิงในหมู่บ้านไผฝาง มณฑลเสฉวน ได้รับการอนุรักษ์ไว้ในเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ใน

บิชเคก เมืองหลวงของประเทศคีร์กีซสถาน มีถนนขนาดสี่ช่องจราจรกว้าง 25 เมตร (82 ฟุต) ยาว 3.5 กิโลเมตร (2 ไมล์) ชื่อว่าถนนเติ้ง เสี่ยวผิง ซึ่งได้เปิดใช้งานในวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 1997 อนุสาวรีย์หินแกรนิตสีแดงสูง 2 เมตรตั้งอยู่ทางปลายด้านตะวันออกของถนนสายนี้ คำจารึกเขียนเป็นภาษาจีน รัสเซีย และคีร์กีซ

ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง "เติ้ง เสี่ยวผิง" ซึ่งสถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน (CCTV) เผยแพร่ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1997 นั้นนำเสนอประวัติชีวิตของเติ้งตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาในฝรั่งเศสจนถึงการเดินทางเยือนภาคใต้ใน ค.ศ. 1992 ใน ค.ศ. 2014 CCTV เผยแพร่ละครโทรทัศน์เรื่อง "เติ้ง เสี่ยวผิง บนจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์" (Deng Xiaoping at History's Crossroads) เพื่อเป็นการเตรียมฉลองครบรอบ 110 ปีชาตกาลของเขา

การประเมิน

เติ้งได้รับการขนานนามว่าเป็น "สถาปนิกแห่งประเทศจีนสมัยปัจจุบัน" และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในศตวรรษที่ 20 เขาได้รับเลือกให้เป็นบุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์ใน ค.ศ. 1978 และ 1985 นับเป็นผู้นำจีนคนที่สาม (รองจากเจียง ไคเชก และนางซ่ง เหม่ย์หลิง ภริยา) และเป็นผู้นำคอมมิวนิสต์คนที่สี่ (รองจากโจเซฟ สตาลิน ซึ่งได้รับเลือกสองครั้ง และนีกีตา ครุชชอฟ) ที่ได้รับเกียรตินี้

เติ้งเป็นที่จดจำอย่างมากจากการปฏิรูปเศรษฐกิจที่เขาริเริ่มในขณะเป็นผู้นำสูงสุดของจีน ซึ่งผลักดันจีนให้ไปสู่เศรษฐกิจแบบตลาด ส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด ยกระดับมาตรฐานการครองชีพของประชากรหลายร้อยล้านคน ขยายเสรีภาพส่วนบุคคลและวัฒนธรรม และบูรณาการประเทศเข้ากับเศรษฐกิจโลกอย่างมีนัยสำคัญ ภายใต้การนำของเขา ประชากรจำนวนมากได้หลุดพ้นจากสภาวะความยากจนมากกว่าช่วงเวลาใด ๆ ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ซึ่งเป็นผลมาจากการปฏิรูปที่เขาได้ริเริ่มเป็นส่วนใหญ่ จากเหตุผลดังกล่าว จึงมีผู้เสนอแนะว่าเติ้งสมควรได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เติ้งยังได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ลดทอนการบูชาเหมาอย่างสุดโต่ง และเป็นผู้ยุติสมัยแห่งความวุ่นวายของการปฏิวัติวัฒนธรรม ยิ่งไปกว่านั้น การใช้อำนาจอย่างเด็ดขาดของเขายังได้รับการยกย่องว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้จีนยังคงเป็นปึกแผ่น ต่างจากมหาอำนาจคอมมิวนิสต์อีกแห่งหนึ่งในสมัยนั้นอย่างสหภาพโซเวียตที่ล่มสลายลงใน ค.ศ. 1991

อย่างไรก็ตาม เติ้งยังเป็นที่จดจำในด้านการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเหตุความรุนแรงทางการเมืองจำนวนมาก ในฐานะผู้นำสูงสุด เขามีส่วนเกี่ยวข้องในการสั่งการปราบปรามประชาชนที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน และภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว เขาก็มีอิทธิพลอย่างสูงในการปกปิดเหตุการณ์นี้ภายประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกวาดล้างที่โหดร้ายที่สุดในช่วงที่เหมาครองอำนาจ ตัวอย่างเช่น เขาสั่งการให้กองทัพปราบปรามหมู่บ้านมุสลิมในมณฑลยูนนาน ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตถึง 1,600 คน รวมถึงเด็กอีก 300 คน

ในฐานะผู้นำสูงสุด เติ้งยังเจรจาเพื่อยุติการปกครองแบบอาณานิคมของอังกฤษเหนือฮ่องกงและสร้างความสัมพันธ์ทางทูตให้เป็นปกติกับสหรัฐและสหภาพโซเวียต ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1980 เขาริเริ่มการปฏิรูปการเมืองจีนโดยการกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งของเจ้าหน้าที่ และเสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่สามของจีนที่ร่างขึ้นในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรมอย่างเป็นระบบ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ได้นำหลักการของรัฐธรรมนูญนิยมในแบบฉบับของจีนมาใช้ และได้รับอนุมัติจากสภาประชาชนแห่งชาติในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1982 โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ยังคงมีผลบังคับใช้มาจนถึงปัจจุบัน เขามีส่วนสำคัญในการจัดระบบการศึกษาภาคบังคับ 9 ปีของจีน และฟื้นฟูการปฏิรูปการเมืองของจีน

ดูเพิ่ม

  • การปฏิรูปเศรษฐกิจจีน
  • สังคมพอเพียง
  • พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์มิตรภาพฝรั่งเศส–จีน

อ้างอิง

  1. Faison, Seth (20 February 1997). "Deng Xiaoping is Dead at 92; Architect of Modern China". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 January 2017. สืบค้นเมื่อ 19 April 2021.
  2. "Deng Xiaoping: Architect of modern China". China Daily. 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-06-23.
  3. Vogel 2011.
  4. "The Anti-Rightist Campaign of 1957" (PDF). May 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 8 May 2019.
  5. Denmark, Abraham. "40 years ago, Deng Xiaoping changed China — and the world". The Washington Post. ISSN 0190-8286. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 May 2019. สืบค้นเมื่อ 19 April 2021.
  6. "Man of the Year: Teng Hsiao-p'ing: Visions of a New China". Time. 1 January 1979. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 April 2021. สืบค้นเมื่อ 19 April 2021.
  7. "Man of the Year: Deng Xiaoping". Time. 6 January 1986. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 December 2019. สืบค้นเมื่อ 19 April 2021.
  8. Wu, Wei (4 June 2015). "Why China's Political Reforms Failed". The Diplomat. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 April 2023. สืบค้นเมื่อ 3 May 2020.
  9. Denmark, Abraham. "40 years ago, Deng Xiaoping changed China — and the world". The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 May 2019. สืบค้นเมื่อ 19 April 2021.
  10. "The arrival of the Hakkas in Sichuan Province". Asiawind.com. 29 December 1997. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 November 2010. สืบค้นเมื่อ 13 March 2010.
  11. "Luodai, a Hakkanese town in Sichuan Province". GOV.cn. 14 January 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 September 2018. สืบค้นเมื่อ 14 May 2010.
  12. Yingcong Dai (2009). The Sichuan Frontier and Tibet: Imperial Strategy in the Early Qing. University of Washington Press. pp. 25–. ISBN 978-0-295-98952-5. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 November 2016. สืบค้นเมื่อ 20 July 2016.
  13. Yang 1997, pp. 11–12.
  14. "Deng Xiaoping – Childhood". China.org.cn. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 September 2018. สืบค้นเมื่อ 14 May 2010.
  15. "Deng Xiaoping quits smoking". UPI. 1 Apr 1991. สืบค้นเมื่อ 23 Oct 2023.
  16. Evans, Richard (1995). Deng Xiaoping and the Making of Modern China (2 ed.). Penguin. p. 5. ISBN 978-0-14-013945-7.
  17. Xia, Zhengnong (2003). 大辭海. Vol. 哲學卷. Shanghai: Shanghai Dictionary Publishing House. p. 38. ISBN 9787532612369.
  18. Marquis, Christopher; Qiao, Kunyuan (2022). Mao and Markets: The Communist Roots of Chinese Enterprise. New Haven: Yale University Press. doi:10.2307/j.ctv3006z6k. ISBN 978-0-300-26883-6. JSTOR j.ctv3006z6k. OCLC 1348572572. S2CID 253067190.
  19. Spence, Jonathan (1999), "In Search of Modern China", 310
  20. Vogel (2011), p. 18–20.
  21. Stewart, Whitney (2001). Deng Xiaoping: Leader in a Changing China. Twenty-First Century Books. p. 23. ISBN 9780822549628.
  22. Mair, Victor H. (2013). Chinese Lives: The people who made a civilization. London: Thames & Hudson. p. 215. ISBN 9780500251928.
  23. [1] เก็บถาวร 27 พฤศจิกายน 2010 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Wang Song. "Chinese Revolutionaries in France".
  24. Bailey, Paul (1988). "The Chinese Work-Study Movement in France". The China Quarterly. 115 (115): 441–461. doi:10.1017/S030574100002751X. JSTOR 654865. S2CID 154375449. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 April 2021. สืบค้นเมื่อ 19 February 2021.
  25. Pantsov (2015), p. 450.
  26. "Exiled son who saved the state". Times Higher Education. 22 March 2002. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 December 2012. สืบค้นเมื่อ 2 December 2010.
  27. Gao 2008
  28. Yang 1997, pp. 66–67.
  29. Franz 1988, pp. 86–87.
  30. Goodman 1994, p. 34.
  31. Franz 1988, p. 87.
  32. Deng 1968.
  33. Yang 1997, p. 70.
  34. "豫西革命纪念馆和鲁山邓小平旧居扩建工程竣工". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 July 2022. สืบค้นเมื่อ 11 July 2022.
  35. "西关大街,从历史中走来". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 July 2022. สืบค้นเมื่อ 11 July 2022.
  36. Cheng Li (2001). China's leaders. Rowman & Littlefield. p. 131. ISBN 9780847694976. สืบค้นเมื่อ 6 March 2016.
  37. GREGOR BENTON. "Assessing Deng Xiaoping". jacobinmag.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 January 2019. สืบค้นเมื่อ 28 January 2019.
  38. DeMare, Brian James (2019). Land wars : the story of China's agrarian revolution. Stanford, California: Stanford University Press. pp. 117. ISBN 978-1-5036-0849-8. OCLC 1048940018.
  39. DeMare, Brian James (2019). Land wars : the story of China's agrarian revolution. Stanford, California: Stanford University Press. pp. 118. ISBN 978-1-5036-0849-8. OCLC 1048940018.
  40. "The Man Who Re-Invented China". origins.osu.edu. 17 September 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 July 2019. สืบค้นเมื่อ 27 July 2019.
  41. Jacques Guillermaz, The Chinese Communist Party in Power, 1949–1976 (1976) pp. 320–331.
  42. Henry He (2016). Dictionary of the Political Thought of the People's Republic of China. Taylor & Francis. p. 713. ISBN 9781315500430. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 March 2021. สืบค้นเมื่อ 3 October 2019.
  43. Meyskens, Covell F. (2020). Mao's Third Front: The Militarization of Cold War China. Cambridge, United Kingdom: Cambridge University Press. doi:10.1017/9781108784788. ISBN 978-1-108-78478-8. OCLC 1145096137. S2CID 218936313.
  44. Minqi Li (December 2008). "Socialism, capitalism, and class struggle: The Political economy of Modern china". Economic & Political Weekly.
  45. Shambaugh, David (1993). "Deng Xiaoping: The Politician". The China Quarterly. 135 (135): 457–490. doi:10.1017/S0305741000013874. ISSN 0305-7410. JSTOR 654098. S2CID 154440131. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 February 2023. สืบค้นเมื่อ 23 February 2023.
  46. "Film makers flock to tractor factory to shoot Deng's stories". News Guandong. 26 July 2004. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 September 2018. สืบค้นเมื่อ 18 February 2011.
  47. Yan, Jiaqi (1996). Kwok, Daniel W. Y. (บ.ก.). Turbulent decade : a history of the cultural revolution. Honolulu: University of Hawaii Press. doi:10.1515/9780824865313. ISBN 9780824865313. สืบค้นเมื่อ 23 February 2023.
  48. Wood, Michael (3 September 2020). The Story of China: A portrait of a civilisation and its people. Simon & Schuster UK. p. 341. ISBN 978-1-4711-7600-5. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 November 2021. สืบค้นเมื่อ 18 November 2021. In 1973, Premier Zhou Enlai had brought Deng back to Beijing from exile to focus on reconstructing the Chinese economy.
  49. Dillon, Michael (27 October 2014). Deng Xiaoping: The Man who Made Modern China. Bloomsbury Publishing. p. 201. ISBN 978-0-85772-467-0. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 November 2021. สืบค้นเมื่อ 18 November 2021. A major confrontation erupted on 4 October 1974 when Mao agreed, on the advice of Zhou Enlai, that Deng should be appointed first deputy premier of the State Council.
  50. Minami, Kazushi (2024). People's Diplomacy: How Americans and Chinese Transformed US-China Relations during the Cold War. Ithaca, NY: Cornell University Press. ISBN 9781501774157.
  51. "Deng Rong's Memoirs: Chpt 49". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 December 2008.
  52. Pantsov, Alexander; Levine, Steven I. (2015). Deng Xiaoping: A Revolutionary Life. Oxford University Press. ISBN 978-0-19-939203-2. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 August 2020. สืบค้นเมื่อ 20 May 2021.
  53. "Deng Rong's Memoirs: Chapter 53". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 December 2008.
  54. 1975–1976 and 1977–1980, Europa Publications (2002) "The People's Republic of Chine: Introductory Survey" The Europa World Year Book 2003 volume 1, (44th edition) Europa Publications, London, p. 1075, col. 1, ISBN 1-85743-227-4; and Bo, Zhiyue (2007) China's Elite Politics: Political Transition and Power Balancing World Scientific, Hackensack, New Jersey, p. 59, ISBN 981-270-041-2
  55. "1977: Deng Xiaoping back in power". BBC News. 22 July 1977. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 July 2017. สืบค้นเมื่อ 21 July 2011.
  56. "百年老胡同米粮库中的那些名人"住客"". visitbeijing.com. Beijing Tourism Network. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 April 2023. สืบค้นเมื่อ 30 April 2023.
  57. ""家庭园艺师"邓小平". people.com. People's Daily. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 August 2024. สืบค้นเมื่อ 30 August 2024.
  58. Ang, Yuen Yuen (2016). How China Escaped the Poverty Trap. Cornell University Press. ISBN 978-1-5017-0020-0. JSTOR 10.7591/j.ctt1zgwm1j.
  59. Xiang, Lanxin (20 April 2012). "Bo Xilai probe shows up China's outdated system of government". South China Morning Post
  60. "1989年6月1日 吴林泉、彭飞:胡耀邦同志领导平反"六十一人案"追记-胡耀邦史料信息网". www.hybsl.cn (ภาษาจีน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 January 2021. สืบค้นเมื่อ 29 April 2020.
  61. Zhao, Suisheng (2023). The dragon roars back : transformational leaders and dynamics of Chinese foreign policy. Stanford, California: Stanford University Press. p. 9. ISBN 978-1-5036-3415-2. OCLC 1332788951.
  62. Zhao, Suisheng (2023). The dragon roars back : transformational leaders and dynamics of Chinese foreign policy. Stanford, California: Stanford University Press. pp. 175–176. ISBN 978-1-5036-3088-8. OCLC 1331741429. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 March 2023. สืบค้นเมื่อ 8 January 2023.
  63. "MFA, Singapore Press Release". App.mfa.gov.sg. 29 December 2005. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 March 2012. สืบค้นเมื่อ 27 November 2011.
  64. Lee Kuan Yew, From Third World to First: The Singapore Story, 1965–2000, Volume 2, (HarperCollins: 2000), pp. 595–603
  65. "United States announces that it will recognize communist China | December 15, 1978 | HISTORY". HISTORY. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 December 2023. สืบค้นเมื่อ 15 January 2024.
  66. Zhao, Suisheng (2023). The Dragon Roars Back Transformational Leaders and Dynamics of Chinese Foreign Policy. Stanford: Stanford University Press. p. 56. ISBN 978-1-5036-3415-2. OCLC 1346366969.
  67. Zhao, Suisheng (2023). The dragon roars back : transformational leaders and dynamics of Chinese foreign policy. Stanford, California: Stanford University Press. pp. 9–10. ISBN 978-1-5036-3415-2. OCLC 1332788951.
  68. (Article 2) "The Contracting Parties declare that neither of them should seek hegemony in the Asia-Pacific region or in any other region and that each is opposed to efforts by any other country or group of countries to establish such hegemony." MOFA: Treaty of Peace and Friendship between Japan and the People's Republic of China เก็บถาวร 9 มิถุนายน 2017 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  69. Perkins, D in Barnett, A Doak and Ralph N Clough, Modernizing China : Post-Mao Reform and Development (Westgview Press, 1986), p 58.
  70. Michael E. Marti in China and the Legacy of Deng Xiaoping, (Brassy's, 2002) p. 19.
  71. Parks, Michael (15 May 1989). "Gorbachev in China: The Communist Summit: Deng and Gorbachev: Great Reformers Battling Socialist Crises". Los Angeles Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 July 2020. สืบค้นเมื่อ 8 March 2020.
  72. Zhao, Suisheng (2023). The dragon roars back : transformational leaders and dynamics of Chinese foreign policy. Stanford, California: Stanford University Press. p. 62. ISBN 978-1-5036-3415-2. OCLC 1332788951.
  73. Zhao, Suisheng (2022). The Dragon Roars Back: Transformational Leaders and Dynamics of Chinese Foreign Policy. Stanford University Press. p. 51. doi:10.1515/9781503634152. ISBN 978-1-5036-3415-2. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 April 2023. สืบค้นเมื่อ 1 January 2023.
  74. Chinese Foreign Policy Under Xi. Taylor & Francis. 2017. p. 115.
  75. Comparative Development of India & China Economic, Technological, Sectoral & Socio-cultural Insights. SAGE Publications. 2020. p. 372.
  76. Zhao, Suisheng (2023). The dragon roars back : transformational leaders and dynamics of Chinese foreign policy. Stanford, California: Stanford University Press. p. 136. ISBN 978-1-5036-3088-8. OCLC 1331741429. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 March 2023. สืบค้นเมื่อ 8 January 2023.
  77. Heilmann, Sebastian (2018). Red Swan: How Unorthodox Policy-Making Facilitated China's Rise. The Chinese University of Hong Kong Press. ISBN 978-962-996-827-4.
  78. John Naisbitt; Doris Naisbitt (2010). China's Megatrends: The 8 Pillars of a New Society. HarperBusiness. p. 4. ISBN 9780061963445.
  79. Mason, David (1984). "China's Four Modernizations: Blueprint for Development or Prelude to Turmoil?". Asian Affairs. 11 (3): 47–70. doi:10.1080/00927678.1984.10553699.
  80. Zhang, Xiaoming (2010). "Deng Xiaoping and China's Decision to go to War with Vietnam". Journal of Cold War Studies. 12 (3): 3–29. doi:10.1162/JCWS_a_00001. S2CID 57559703.
  81. Vogel (2011), p. 526–535.
  82. "Troop Cut to Save Money, Deng Says". Los Angeles Times. 6 May 1985. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 June 2020. สืบค้นเมื่อ 20 June 2020.
  83. Vogel (2011), p. 535–552.
  84. Dreyer, June Teufel (1988). "Deng Xiaoping and Modernization of the Chinese Military". Armed Forces & Society. 14 (2): 215–231. doi:10.1177/0095327X8801400203. S2CID 144391672.
  85. Paulson, Henry M. (2015). Dealing with China : an insider unmasks the new economic superpower (First ed.). New York. p. 21. ISBN 9781455504213.
  86. "The Three-Step Development Strategy". china.org.cn. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 September 2018. สืบค้นเมื่อ 28 November 2010.
  87. "Deng Xiaoping Is Dead at 92; Architect of Modern China". The New York Times. 20 February 1997. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 January 2017. สืบค้นเมื่อ 15 February 2017.
  88. "万方数据知识服务平台". d.wanfangdata.com.cn. doi:10.3969/j.issn.1004-1494.2011.05.008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 February 2021. สืบค้นเมื่อ 28 October 2020.
  89. Boer, Roland (2021-10-01). "From Belgrade to Beijing : Comparing Socialist Economic Reforms in Eastern Europe and China". World Review of Political Economy. 12: 309. doi:10.13169/worlrevipoliecon.12.3.0296. ISSN 2042-8928. S2CID 247967541.
  90. Cited by John Gittings in The Changing Face of China, Oxford University Press, Oxford, 2005. ISBN 

วิกิพีเดีย, วิกิ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, มือถือ, โทรศัพท์, แอนดรอยด์, ไอโอเอส, แอปเปิ้ล, สมาร์ทโฟน, พีซี, เว็บ, คอมพิวเตอร์, ข้อมูลเกี่ยวกับ เติ้ง เสี่ยวผิง, เติ้ง เสี่ยวผิง คืออะไร? เติ้ง เสี่ยวผิง หมายความว่าอะไร?

0 ตอบกลับ

ฝากคำตอบ

ต้องการเข้าร่วมการสนทนาหรือไม่?
คุณสามารถร่วมเขียนได้!

เขียนคำตอบ

ช่องที่จำเป็นถูกทำเครื่องหมายด้วยดาว *