ลัทธิเหมา
ลัทธิเหมา (จีน: 毛泽东思想; พินอิน: Máozédōng sīxiǎng) คือทฤษฎีทางการเมืองและการทหารที่พัฒนามาจากแนวคิดและนโยบายของเหมา เจ๋อตง (1893–1976) ซึ่งเป็นผู้นำทางการเมืองและการปฏิวัติของประเทศจีนในช่วงศตวรรษที่ 20 โดยในระยะแรกเริ่มนั้นถูกเรียกว่า "ทฤษฎีความคิดของเหมา เจ๋อตง" เดิมมองว่าแนวคิดนี้ถูกพัฒนามาจากแนวคิดของลัทธิมากซ์–เลนิน พรรคคอมมิวนิสต์จีนมองว่าลัทธิเหมาทำให้เกิดการปฏิวัติประชาธิปไตยใหม่ ทำให้ประเทศรบชนะสงครามต่อต้านญี่ปุ่นและสงครามการเมืองภายในประเทศ และเกิดทฤษฎีที่สำคัญที่นำมาใช้สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน

| ลัทธิเหมา | |||||||||||
| อักษรจีนตัวเต็ม | 毛澤東思想 | ||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| อักษรจีนตัวย่อ | 毛泽东思想 | ||||||||||
| ความหมายตามตัวอักษร | "แนวคิดของเหมา เจ๋อตง" | ||||||||||
| |||||||||||
ลัทธิเหมาถูกพัฒนาขึ้นมาระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1950–1970 เนื้อหาหลักของลัทธิเหมา ได้แก่ "ดวงไฟจากหมู่ดารา (กลุ่มประเทศล่าอาณานิคม) จะแผดเผาแผ่นดิน (จีน)", "ผู้ที่ถืออาวุธจะมีอำนาจทางการเมือง", "ชาวนาจะล้อมรอบเมือง", "นโยบายกองโจรล้อมเมือง", "ประชาชนจะเดินขบวนไปตามเส้นทาง", "รัฐบาลคอมมิวนิสต์รวบรวมประชาชนให้สามัคคีกัน", "ศิลปะจะต้องรับใช้การต่อสู้ทางชนชั้นเท่านั้น", "รัฐบาลจะแบ่งสันปันส่วนให้ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน" และ "ใช้ทฤษฏีของลัทธิเหมาดำเนินการปฏิวัติ" เป็นต้น ประธานเหมากล่าวว่าชาวนาควรเป็นป้อมปราการป้องกันพลังการปฏิวัติซึ่งนำโดยชนชั้นกรรมาชีพในประเทศจีน จนกระทั่งได้รับการปฏิรูปเปิดประเทศจากเติ้ง เสี่ยวผิง พรรคคอมมิวนิสต์จีนถือว่าลัทธิเหมาเป็นการตกผลึกความรู้ที่ทำให้ประชาชนรวมตัวกันโดยผู้นำรุ่นแรกของพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่มิได้เป็นแนวคิดส่วนบุคคลของเหมา เจ๋อตง
นอกจากนี้ "ลัทธิเหมา" (Maoism) ถือว่าเป็นการผสมผสานกันระหว่างลัทธิมากซ์กับแนวคิดจีนดั้งเดิมที่ลงตัวจนตกผลึกเป็นลัทธิเหมาซึ่งแตกต่างจากลัทธิมากซ์ ผู้ที่ยึดถือลัทธิเหมาเรียกได้ว่าเป็นผู้ที่ศรัทธาในลัทธิมากซ์–เลนินและลัทธิเหมา หรือเรียกรวม ๆ ว่า "ลัทธิมาร์กซ์–เลนิน–เหมา" อันเป็นแนวคิดที่ต่อต้านลัทธิปฏิรูป (Anti-Revisionism)
ที่มาและการเปลี่ยนแปลง
ดร.เบนจามิน ไอ. ชวาตซ์ (Benjamin Isadore Schwartz) นักจีนวิทยาชาวอเมริกันจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้เสนอคำว่า "ลัทธิเหมา" (Maoism) ขึ้นมาซึ่งวงการวิชาการระหว่างประเทศได้ยอมรับให้ใช้นามสกุลของเหมา เจ๋อตง ซึ่งเป็นผู้นำประเทศในขณะนั้นมาใช้เรียกแนวคิดของพรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งได้อิทธิพลมาจากลัทธิมากซ์–เลนิน
"เย่ชิง" (叶青) นักทฤษฎีต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์จากพรรคก๊กมินตั๋ง ได้นำนามสกุลของเหมาเจ๋อตงมาใช้เรียกทฤษฎีของลัทธิคอมมิวนิสต์ว่าลัทธิเหมาในช่วงฤดูหนาวของปี ค.ศ. 1941 แล้ว "จาง หรูซิน" (张如心) นักทฤษฎีชาวเหยียนอาน (延安) ก็ใช้คำศัพท์นี้ในระหว่างช่วงสงครามด้วย ต่อมาก็มีเติ้ง ทัว (邓拓) กับ อู๋ อวี้จาง (吴玉章) ที่ใช้เรียกคำนี้อีกด้วย
แนวคิดของเหมาเจ๋อตงปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในบทความ "เส้นทางการปลดแอกประชาชนชาวจีนและพรรคคอมมิวนิสต์จีน" ของหนังสือพิมพ์รายวัน "การปลดแอก" ในปี ค.ศ. 1943 ซึ่งเขียนโดย "หวาง เจี้ยเสียง" (王稼祥) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และในปี ค.ศ. 1945 ได้ปรากฏเอกสารทางการ "วิพากษ์พรรคการเมือง" (论党) ของหลิว เช่าฉี (刘少奇) ซึ่งเป็น 1 ใน 7 ผู้นำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ผู้นำทั้ง 7 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้กำหนดให้ลัทธิเหมาเป็นความคิดหลักของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ในปี ค.ศ. 1956 มีการประชุมของ 8 ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ให้ผ่านมติรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมีการวิพากษ์วิจารณ์การนับถือลัทธิสตาลินและเสนอให้ยกเลิกลัทธิเหมา ทางพรรคคอมมิวนิสต์จึงมีมติให้บังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้
ในปี ค.ศ. 1969 ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ฟื้นฟูระเบียบข้อบังคับ 7 ข้อซึ่งมีใจความสำคัญว่า "ลัทธิเหมาเกิดขึ้นเพราะลัทธิจักรวรรดินิยมล่มสลาย ถึงเวลาแล้วที่ลัทธิสังคมนิยมสายมากซ์–เลนินจะประกาศชัยชนะทั่วโลก" ซึ่งถือว่าเป็น "การเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคใหม่" ของลัทธิมากซ์–เลนิน หลังจากนั้นลัทธิเหมาก็กลายเป็นความคิดหลักที่บังคับใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
นิยามลัทธิเหมาของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ในปี ค.ศ. 1981 คณะกรรมการกลางประจำพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้จัดการประชุมครั้งที่ 6 ในสมัยประชุมครั้งที่ 11 ในหัวข้อการประชุม "การเจรจาหารือเกี่ยวกับปัญหาทางประวัติศาสตร์หลังสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน" ซึ่งนำโดยเติ้ง เสี่ยวผิง ในการประชุมครั้งนี้มีมติให้บังคับใช้โดยนำจุดยืน แนวคิดและวิธีการที่ผ่านการจัดระบบความคิดของเหมาเจ๋อตงให้กลายเป็นจิตวิญญาณของลัทธิเหมาที่ประชาชนชาวจีนเคารพและนับถือ ซึ่งมีแนวคิด 6 ด้าน และหลักการพื้นฐาน 3 ประการ
แนวคิด 6 ด้าน ได้แก่
- แนวคิดเกี่ยวกับการปฏิวัติประชาธิปไตยใหม่
- แนวคิดการปฏิวัติและสร้างชาติแบบสังคมนิยม
- แนวคิดการสร้างกองทัพปฏิวัติและยุทธศาสตร์ทางการทหาร
- แนวคิดเกี่ยวกับนโยบายและกลยุทธ์ในการปกครอง
- แนวคิดการทำงานทางการเมืองและวัฒนธรรม
- แนวคิดการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน
หลักการพื้นฐาน 3 ประการ ได้แก่
- การแสวงหาความจริงจากข้อเท็จจริง (实事求是) เป็นการนำทฤษฎีลัทธิเหมามาใช้ในการปลดแอกประชาชนโดยนำการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมมาใช้ในการตรวจสอบความจริง
- เส้นทางของมวลชน (群众路线) เป็นระบบการเมืองที่ทำเพื่อประชาชน พึ่งพาประชาชน โดยประชาชนและต้องเข้าถึงประชาชนทั้งหมด
- ความเป็นอิสระและการพึ่งพาตนเอง (独立自主、自力更生) จะต้องใช้นโยบายซึ่งวางอยู่บนพื้นฐานของการสร้างชาติและอำนาจของประชาชนในชาติ โดยหาวิธีการพัฒนาให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของประเทศชาติ
หลังจากนั้นได้กำหนดให้การปฏิวัติทางวัฒนธรรม (文化大革命) และการปฏิวัติระบบเผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ (无产阶级专政下继续革命) กลายเป็นแนวคิดที่ผิดพลาดในยุคเหมาตอนปลาย โดยรัฐบาลจีนได้มีมติให้แนวคิดที่ผิดพลาดนี้ไม่เป็นส่วนหนึ่งของลัทธิเหมาอีกต่อไป
ในวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 2002 พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้จัดการประชุมผู้แทนระดับชาติ ครั้งที่ 16 ในระหว่างการประชุมมีมติให้แก้ไขรัฐธรรมนูญบางส่วนโดยกำหนดนิยามของลัทธิเหมาใหม่ว่า "สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่เป็นตัวแทนสำคัญ และเคยเป็นสหายของเหมาเจ๋อตงได้นำแนวคิดหลักพื้นฐานของลัทธิมากซ์–เลนินมาผสมผสานกับขบวนการปฏิวัติสาธารณรัฐประชาชนจีน จนตกผลึกเป็นลัทธิเหมา ลัทธิเหมาได้รับการพัฒนามาจากลัทธิมากซ์–เลนิน และใช้ในการบริหารประเทศ และเกิดข้อสรุปจากทฤษฎีและประสบการณ์ที่ถูกต้องในการสร้างชาติและปฏิวัติสาธารณรัฐประชาชนจีน จนตกผลึกเป็นภูมิปัญญาในการรวมตัวของพรรคคอมมิวนิสต์จีน"
พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้นำลัทธิเหมามาใช้เป็นหลักการสำคัญในการบริหารประเทศ แต่สื่อสิ่งพิมพ์ภาษาอังกฤษใช้คำว่า "ลัทธิเหมา" (毛主义) ในเชิงดูถูกเหยียดหยาม ในขณะเดียวกันองค์กรระหว่างประเทศมักใช้คำว่า "ลัทธิมากซ์–เลนิน" แทนที่จะใช้ "ลัทธิเหมา" เพื่อแสดงให้เห็นว่าแนวคิดของลัทธิเหมาเป็นเพียงการพัฒนาขึ้นมาจากลัทธิมากซ์ แต่ยังมิได้เปลี่ยนแปลงแก้ไข อย่างไรก็ตาม พรรคคอมมิวนิสต์ต่างประเทศ (เช่นพรรคคอมมิวนิสต์ปฏิวัติอเมริกา) เห็นว่าทฤษฎีของเหมาเจ๋อตงมีการเสริมแนวคิดจากทฤษฎีพื้นฐานของลัทธิมากซ์ให้เป็นรูปธรรมขึ้น ฉะนั้น ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 เป็นต้นมา จึงมีการใช้คำว่า "ลัทธิมากซ์–เลนิน–เหมา" เพื่อใช้ในวาระทางการเมือง
ลัทธิเหมากลายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแนวคิดของรัฐบาลจีนนับตั้งแต่เติ้ง เสี่ยวผิงได้ดำเนินการปฏิรูปเปิดประเทศเมื่อปี ค.ศ. 1978 ลัทธิสังคมนิยมอัตลักษณ์จีนกลายเป็นแนวคิดที่ใช้เป็นหลักในทางการเมืองจีน รัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนได้ดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจและแก้ไขนิยามของลัทธิเหมาให้ประชาชนเกิดความตระหนักรู้ ในขณะเดียวกันก็ได้ลดสถานะของลัทธิเหมาให้มีขอบเขตที่น้อยลง ถึงแม้ลัทธิเหมาจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความคิดที่ใช้ในการบริหารประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่ว่า "ระบบทฤษฎีสังคมนิยมอัตลักษณ์จีน" ของเติ้งกลับมิได้รวมลัทธิเหมาอยู่ด้วย
พรรคคอมมิวนิสต์ปฏิวัติอเมริกาได้แสดงข้อเรียกร้องว่า "อำนาจของลัทธิแก้ในจีนหลังปี ค.ศ. 1976 ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่ฝักใฝ่ในลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่ยังเป็นของผู้สืบทอดอันเป็นมรดกตกทอดมาจากเส้นทางการปฏิวัติของเหมา เจ๋อตง" บ็อบ อวาเกียน (Bob Avakian) ผู้ซึ่งเป็นประธานพรรคคอมมิวนิสต์ปฏิวัติอเมริกาได้สันนิษฐานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศจีนทั้งหมดโดยใช้การวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์อย่างมีเหตุผล โดยอธิบายสาเหตุของการฟื้นฟูลัทธิปฏิรูป (修正主义) และระบบทุนนิยมของประเทศจีน เพื่อที่จะต้องการฟังเสียงสะท้อนต่อการปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่และปฏิเสธเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในประเทศจีน
เนื้อหาที่สำคัญ
ลัทธิเหมาเป็นแนวคิดที่ได้รับมรดกตกทอดมาจากลัทธิมากซ์–เลนิน ซึ่งมีรากฐานมาจากแนวคิดวัตถุนิยมและการต่อสู้ทางชนชั้นที่กำหนดแนวคิดเทววิทยาและมนุษยนิยม เน้นการจัดลำดับชั้นและการต่อสู้ทางชนชั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อปฏิวัติระบบสังคมที่ดำรงอยู่ให้กลายเป็นสังคมคอมมิวนิสต์ที่ปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ในระดับสากล
ความแตกต่างด้านการปฏิบัติการระหว่างลัทธิเหมากับลัทธิมากซ์–เลนิน คือการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้นถอดบทเรียนมาจากความพ่ายแพ้ของการจลาจลในสหภาพโซเวียต มีการโฆษณาชวนเชื่อปลุกเร้าให้กลุ่มชาวนาที่ยากจนออกมาทำการต่อสู้ทางชนชั้น โดยสร้างฐานที่มั่นไว้ที่เขตชนบท เพื่อที่จะใช้กองกำลังติดอาวุธยึดเมืองเรียกว่า "กลยุทธ์ป่าล้อมเมือง"
วิธีการที่เป็นรูปธรรมคือ "เน้นย้ำการใช้อำนาจการปกครองด้วยปลายกระบอกปืน" โดยก่อตั้งสังกัดย่อยของพรรค ปฏิบัติการภายใต้การบังคับบัญชาตามคำสั่งของพรรค รวมความคิดเป็นหนึ่งเดียวกัน กวาดล้างผู้เห็นต่าง สร้างวาทกรรมให้กองทัพมีความจงรักภักดีต่อรัฐบาลกลาง อีกประการหนึ่งคือ ดำเนินการปฏิวัติที่ดิน โดยนำที่ดินมาแบ่งสรรปันส่วนให้ประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตชนบทอย่างเท่าเทียมกัน ทำให้เกิดการต่อสู้ทางชนชั้นกันระหว่างชาวนาที่เป็นประชากรส่วนใหญ่กับชนชั้นนายทุนที่มีฐานะร่ำรวยโดย "ยึดทรัพย์สินของชนชั้นนายทุนด้วยวิธีการที่รุนแรง แล้วแบ่งที่ดินทำกินให้ผู้ที่เข้าร่วมปฏิบัติการต่อสู้ทางชนชั้น" โดยนำที่ดินและทรัพย์สินของชนชั้นนายทุนแบ่งส่วนให้กับชาวบ้านที่ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง และถ่ายโอนให้กับคนยากจนให้มีรายได้มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีการยึดทรัพย์สินเงินทองของคนรวยเพื่อให้กองทัพคอมมิวนิสต์ได้นำไปใช้เป็นเสบียงและเงินทุนในการทำสงคราม
แนวคิดด้านปรัชญา
เหมา เจ๋อตงได้อนุมัติการอภิปรายกฎหมายทั้งหมด 3 หมวดหมู่ ได้แก่ "คุณภาพมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ, การปฏิเสธสิ่งที่ถูกปฏิเสธ, สรรพสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน" โดยสนับสนุนกฎสรรพสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน: 389 "กฎสรรพสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียวกันเป็นหลักการพื้นฐานของจักรวาล ซึ่งพบได้ทั่วไปในโลกธรรมชาติ สังคมมนุษย์ และความคิดของมนุษย์"
เหมา เจ๋อตงสนับสนุนทฤษฎีวัตถุนิยมวิภาษวิธี โดยมองว่า "สิ่งภายนอกเป็นเพียงเงื่อนไขของการเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งภายในเป็นรากฐานของการเปลี่ยนแปลง สิ่งภายนอกกำเนิดมาจากสิ่งภายใน"
แนวคิดด้านการเมือง
แนวคิดทางการเมืองที่สำคัญของเหมา เจ๋อตง ได้แก่ ทฤษฎีประชาธิปไตยใหม่ ทฤษฎีเผด็จการประชาธิปไตยโดยประชาชน และทฤษฎีการปฏิวัติเผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ เหมาเห็นว่า "การต่อสู้โดยการปฏิวัติทั้งหมดบนโลกเป็นไปเพื่อยึดอำนาจทางการเมือง และความมั่นคงทางการเมือง"
เหมา เจ๋อตงได้เสนอว่า "ในสังคมแบบสังคมนิยม ความขัดแย้งพื้นฐานเป็นความขัดแย้งระหว่างความสัมพันธ์ในการผลิต และเป็นความขัดแย้งระหว่างพื้นฐานทางเศรษฐกิจกับโครงสร้างชั้นบน" การต่อสู้ทางชนชั้นดำรงอยู่ในประวัติศาสตร์ของสังคมแบบสังคมนิยมทุกยุคสมัย เมื่อชนชั้นกรรมาชีพได้สถาปนาอำนาจทางการเมืองแล้ว ชนชั้นนายทุนยังมีความพยายามฟื้นตัวขึ้นมา ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จึงมีแนวโน้มเป็น "ผู้มีอำนาจตามแนวทางระบบทุนนิยม"
แนวคิดด้านกฎหมาย
การรวมตัวกันปราบปราม: เหมา เจ๋อตงมีความเห็นต่อกลุ่มที่ต่อต้านการปฏิวัติว่า "จะต้องมีนโยบายการดำเนินการรวมตัวกันปราบปรามอันผ่อนผันต่อผู้ที่ชั่วร้าย และขู่ให้ปฏิบัติตามโดยที่ไม่ต้องตั้งคำถาม มีการให้รางวัลแก่ผู้ที่สร้างผลงาน ไม่ใช่แค่กำจัดอย่างเดียว"
การปรับปรุงตัวของอาชญากร: "ภายใต้เงื่อนไขของระบอบเผด็จการชนชั้นกรรมาชีพนั้น สามารถนำตัวนักโทษมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้ มีเพียงคนนอกเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้"
ระบอบเผด็จการโดยมวลชน: ระบอบเผด็จการจะต้องอาศัยมวลมหาประชาชน
เหมา เจ๋อตงผลักดันการบัญญัติกฎหมายอาญา "การผ่อนผันโทษประหารชีวิต" ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน
แนวคิดด้านการทหาร
เหมา เจ๋อตงได้ปฏิบัติการสำรวจท่ามกลางสงครามต่อต้านญี่ปุ่นและสงครามภายในอย่างต่อเนื่อง จนสามารถสร้างทฤษฎีทางการทหารที่สมบูรณ์ได้ทีละขั้นตอน ซึ่งรวมไปถึงยุทธศาสตร์และหลักการพื้นฐานทางการทหาร รูปแบบของการต่อสู้ทางชนชั้นของกองกำลังติดอาวุธ ยุทธวิธีป่าล้อมเมือง สงครามประชาชน สงครามกองโจร สงครามการเคลื่อนไหว ทฤษฎีสงครามประชาชนเป็นส่วนประกอบสำคัญของลัทธิเหมา ส่วนทฤษฎียุทธศาสตร์ทางการทหาร อย่างเช่น สงครามกองโจร และสงครามการเคลื่อนไหวถูกมองว่าเป็นแนวคิดและโลกทัศน์ของกลยุทธ์ทางการทหารจีนโบราณและลัทธิเต๋า
แนวคิดด้านการทูต
เหมา เจ๋อตงเป็นผู้บุกเบิกการทูตของสาธารณรัฐประชาชนจีน เขาได้เสนอแนวคิดการทูตโดย "นำลัทธิชาตินิยมและสากลนิยมมาผสมผสานกัน" มีการสนับสนุนนโยบายทางการทูตที่มมีความเป็นอิสระ
ในด้านความสัมพันธ์ภายในประเทศ เหมา เจ๋อตงมองว่าไม่ว่าจะเป็นประเทศขนาดเล็กหรือใหญ่ ควรมีความเท่าเทียมกันหมด โจว เอินไหลก็ยังเสนอนโยบายหลักการ 5 ข้อ ที่เน้นย้ำการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ยุคเหมา เจ๋อตงตอนปลายมีการเสนอให้แบ่งโลกออกเป็น 3 ส่วน จึงถูกมองว่าเป็นพัฒนาการและการสืบทอดแนวคิดการทูตทางการเมืองของจีนโบราณ
เหมา เจ๋อตงมองว่า "ประเทศชาติเป็นเรื่องของคนในชาติ พรรคการเมืองเป็นเรื่องของคนในพรรค" พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้สนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ในแต่ละประเทศ แต่รัฐบาลจีนจะไม่เข้าไปแทรกแซงพรรคการเมืองบางประเทศที่พยายามปราบปรามพรรคคอมมิวนิสต์: 594
แนวคิดทางศิลปวัฒนธรรม
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
อิทธิพลที่มีต่อศิลปะและวรรณกรรม
"คำปราศรัยในการประชุมศิลปะวรรณกรรม ณ เมืองเหยียนอาน" ได้รับการยกย่องให้เป็นรูปแบบหลักในการผลิตผลงานทางด้านศิลปะและวรรณกรรม
ในคำปราศรัยได้กล่าวเอาไว้ว่า "ศิลปะวรรณกรรมของเราจะต้องรับใช้ประชาชนเป็นจำนวนมาก" โดยเน้นย้ำในเรื่องของ "การใช้ศิลปะวรรณกรรมที่มีคุณภาพเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือที่นำไปใช้ในการปฏิวัติ... ศิลปะวรรณกรรมเป็น 'เกียร์และสกรู' ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการปฏิวัติ... ศิลปะวรรณกรรมจะต้องรับใช้การเมือง..."
ความคิดหลักในคำปราศรัยของเหมาเจ๋อตง คือ การนำศิลปะวรรณกรรมมายึดโยงกับกองกำลังของพรรคการเมือง เพื่อรับใช้พรรคการเมือง อันเป็นแผ่นป้ายโฆษณาเพื่อรับใช้ประชาชนส่วนใหญ่ แต่ทว่า "การปฏิวัติ" และ "การทำเพื่อประชาชนส่วนใหญ่" อาจไม่จำเป็นต้องไปด้วยกันก็ได้ สิ่งที่พรรคการเมืองต้องกระทำไม่จำเป็นต้องเป็นตัวแทนของมวลชนส่วนใหญ่ ศิลปะวรรณกรรมกับการเมืองเป็นหมวดหมู่ที่แตกต่างกัน หากศิลปะวรรณกรรมรับใช้การเมืองแล้วก็เท่ากับว่าจะต้องรับใช้พรรคการเมืองด้วย นักเขียนจะต้องถูกบังคับให้ยอมจำนนต่อพรรคการเมืองซึ่งมีท่าทีที่ยอมศิโรราบต่อการตัดสินและทบทวน อีกทั้งยังต้องติดตามโดยไม่จำเป็นต้องแยกแยะถูกผิด
เหมา เจ๋อตงได้นำความตระหนักรู้ต่อ "ชนชั้น" และ "การต่อสู้ทางชนชั้น" มาวิพากษ์วิจารณ์ "ธรรมชาติของมนุษย์" และ "มนุษยธรรมนิยม" ในคำปราศรัยซึ่งกล่าวว่า "กลุ่มปัญญาชนไม่ใสสะอาด... สมองของพวกเขาเต็มไปด้วยการเอารัดเอาเปรียบชนชั้นล่าง พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแนวคิดของชนชั้นกรรมาชีพคืออะไร ลัทธิคอมมิวนิสต์คืออะไร พรรคการเมืองคืออะไร... ชนชั้นกรรมาชีพมิอาจอำนวยความสะดวกให้แก่พวกคุณได้ หากพวกเราตามใจพวกคุณก็เท่ากับว่าเอาใจพวกชนชั้นนายทุนใหญ่ที่ถือครองที่ดินส่วนมาก ซึ่งนับว่าเป็นอันตรายต่อชาติบ้านเมืองอย่างยิ่ง..." ดังนั้น การทำงานทางด้านศิลปะวรรณกรรมจักต้องเชื่อฟังพรรคการเมือง ปฏิบัติตามคำชี้นำ ถึงจะเผยให้เห็นถึงความใสสะอาด ผลงานทางศิลปะวรรณกรรมของจีนยังขาดการพรรณนาและการแสดงออกอย่างลึกซึ้งในมิติของธรรมชาติของมนุษย์ สรรค์สร้างภาพลักษณ์ของตัวละครบนเส้นทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่
เหมา เจ๋อตงได้กล่าวในคำปราศรัยอีกว่า "ยุคสมัยความเรียงของหลู่ซฺวิ่นได้ผ่านพ้นไปแล้ว" นั่นหมายความว่าไม่อนุญาตให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาและความผิดพลาดของกลุ่มปฏิวัติ ดังนั้น เมื่อหวาง ฉือเว่ยเขียนผลงาน "野百合花" ซึ่งมีเนื้อหาพาดพิงถึงปัญหาที่มีอยู่ในสังคมเมืองเหยียนอานในเวลานั้น อย่างเช่น การจัดลำดับชั้น เมื่อเขาได้วิพากษ์วิจารณ์ถึงสิทธิพิเศษของนายทหารชั้นผู้ใหญ่ เขาได้เสียชีวิตจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1957 ผู้ใดกล้ามีปัญหากับรัฐบาลก็จะถูกจัดให้เป็นกลุ่มปัญญาชนขวาจัด
การสนับสนุนทฤษฎีการปฏิวัติ
ความแตกต่างสำคัญระหว่างลัทธิเหมากับแนวคิดฝ่ายซ้าย คือ ลัทธิเหมาเน้นทฤษฎีการปฏิวัติ โดยการต่อสู้ทางชนชั้นอันยาวนานในการสร้างชาติแบบสังคมนิยม พอชนชั้นกรรมาชีพมีอำนาจทางการเมืองแล้ว ก็ได้พยายามฟื้นฟูชนชั้นนายทุนขึ้นมา ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จึงมีแนวโน้มที่จะกลายเป็น "ผู้เดินตามแนวทางของระบบทุนนิยม"
มีผู้สนับสนุนลัทธิเหมาจำนวนมากเห็นว่า ระบบทุนนิยมเป็นอันตรายต่อการฟื้นฟูประเทศ พลังสำคัญในการฟื้นฟูมาจากพรรคคอมมิวนิสต์ที่มีอำนาจ ด้วยเหตุนี้จึงได้รวมเนื้อหา "การปฏิวัติระบอบเผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ" ในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1978 เป็นต้นมา ทฤษฎีหลักที่ใช้อย่างเป็นทางการในประเทศจีนได้ครอบคลุมขอบเขตของลัทธิเหมา ซึ่งเป็นความคิดก่อนปี ค.ศ. 1957 ความคิดหลังจากนั้นถือเป็น "บทเรียนที่ผิดพลาด" อันมหาศาลของลัทธิเหมา
ก่อนที่จะมี "การลงมติปัญหาทางประวัติศาสตร์การสร้างชาติจีนใหม่" ในการประชุมสมาชิกคณะรัฐบาลกลางพรรคคอมมิวนิสต์ ลัทธิเหมาได้รวมเอาแนวคิดการปฏิวัติระบอบเผด็จการชนชั้นกรรมาชีพเข้าไปด้วย ดังนั้น จึงมีคนใช้สโลแกน "ลัทธิเหมาจงเจริญ" จำนวนมากเพื่อใช้ในความหมายนี้
ลัทธิเหมาในจีนยุคปัจจุบัน
ลัทธิเหมาในจีนถูกมองว่าเป็นแนวคิดและกิจกรรมทางการเมืองที่สนับสนุนเหมา เจ๋อตงตลอดชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีท่าทีสนับสนุนขบวนการการปฏิวัติวัฒนธรรมในสมัยเหมายุคหลัง
โดยทั่วไปมองว่า เครือข่ายสาขาของกองทัพจีนแดงซึ่งเป็นพรรคการเมืองฝ่ายลัทธิเหมาที่นำโดยเหมา เจ๋อตงนั้น มีเติ้ง ลี่ฉฺวิน (อธิบดีกรมการส่งเสริมการปกครอง) ได้รับทุนสนับสนุนให้สร้างสังคมแบบยูโทเปีย (สังคมในอุดมคติ) และหลี่ เฉิงตฺวาน (อธิบดีกรมสถิติแห่งชาติ) ได้เข้าร่วมการสร้างชาติ เรียกอีกอย่างว่า "ลัทธิเหมาแบบจักรพรรดิ" ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับพรรคสังคมนิยมอัตลักษณ์จีน ตัวแทนกลุ่มกองทัพจีนแดง ได้แก่ อาจารย์จาง หงเหลียง หลี่ เชิ่นหมิง (รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยสังคมศาสตร์) แนวคิดพื้นฐานหลัก คือ ต่อต้านจักรวรรดินิยมอเมริกา ต่อต้านการปฏิรูปของเติ้ง เสี่ยวผิง ปฏิรูปและปกปักษ์รักษาพรรคคอมมิวนิสต์จีน และกำจัดกลุ่มต่อต้านลัทธิเหมาภายในประเทศ
เมื่อปี ค.ศ. 2014 ซากาโมโตะ (戚本) ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในการปฏิวัติทางวัฒนธรรมได้ให้สัมภาษณ์สื่อที่ฮ่องกงว่า "สี จิ้นผิงเป็นเหมา เจ๋อตงคนที่สอง การสนับสนุนสี จิ้นผิงเป็นลักษณะเด่นของลัทธิเหมาแบบจักรพรรดิจีน ผู้แทนจากรัฐบาลกลางยังมีเว่ย เวย หลิน ม่อหาน อู๋ เหลิ่งซี อวี้ เฉวียนอวี้ สวี่ ลี่ฉวิน (รองอธิบดีกรมการปกครองรุ่นก่อน) และเหมย์ สิง (เลขาของโจวเอินไหล) รวมไปถึงนิตยสาร "การแสวงหาสัจธรรม" (真理的追求) และ "จงหลิว" (中流) ที่ได้รับการอนุมัติ
มีพรรคต่อต้านการปฏิวัติทางวัฒนธรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน ความแตกต่างระหว่างพวกเขากับรัฐบาลกลางอยู่ตรงที่พวกเขาพยายามล้มล้างพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปัจจุบัน และพยายามฟื้นฟูระบบเจ้าขุนมูลนายที่มีการติดสินบนนายทุน อีกทั้งมีการพยายามฟื้นฟูนโยบายการสร้างกลุ่มต่อสู้ทางชนชั้นแบบในสมัยเหมาเจ๋อตง บุคคลที่เป็นสัญลักษณ์ ได้แก่ หยวนอวี่หวฺา จุดยืนของกลุ่มต่อต้านการปฏิวัติวัฒนธรรมในปัจจุบัน คือ ฟื้นฟูระบอบจักรพรรดิขึ้นมาและจงรักภักดีต่อพรรคการเมือง (保皇爱党) ผู้ที่ต่อต้านการปฏิวัติมีเป็นส่วนน้อย
พรรคการเมืองลัทธิเหมาในจีน
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
อิทธิพลของลัทธิเหมาที่มีต่อนานาประเทศ
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การประเมินค่า
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
อ้างอิง
- 本书编委会 (กรกฎาคม 2016). 中国共产党章程 中国共产党廉洁自律规则 中国共产党纪律处分条例 中国共产党党员权利保障条例 大字条旨版 [Constitution of the Communist Party of China Rules of Integrity and Self-discipline of the Communist Party of China]. 北京: 中国法制出版社. pp. 2–3.
- 国际显学与批判思潮:国际毛主义研究六十年. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 มีนาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 24 พฤศจิกายน 2014.
- 中共中央文献研究室 (April 2014). 中国延安干部学院编 (บ.ก.). 延安时期党的重要领导人著作选编 下 [Selected Works of Important Party Leaders in the Yan'an Period Part 2]. 北京: 中央文献出版社. p. 481. ISBN 978-7-5073-4041-9.
- 大陆新闻解读:十八大前老江搞笑搅场. 22 ตุลาคม 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 ธันวาคม 2012. สืบค้นเมื่อ 6 เมษายน 2013.
- 中共八大不提“毛泽东思想”的苏联背景. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2015. สืบค้นเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2015.
- (ภาษาจีน). 人民日报. 25 เมษายน 1969 – โดยทาง Wikisource.
- 杨立杰, บ.ก. (ตุลาคม 2007). 中国共产党章程(2002年11月14日十六大部分修改通过). 新华网. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 เมษายน 2013.
- 中国特色社会主义理论体系的内容简述. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 เมษายน 2013. สืบค้นเมื่อ 18 กันยายน 2019.
- 《矛盾论》.
- 中共中央文献研究室, บ.ก. (2013). 毛泽东年谱(1949—1976)·第五卷. 北京: 中央文献出版社. ISBN 978-7-5073-3992-5.
- 《关于正确处理人民内部矛盾的问题》
- 外国人眼中的毛泽东军事思想. 中国社会科学网. 19 กุมภาพันธ์ 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 กันยายน 2018. สืบค้นเมื่อ 27 พฤศจิกายน 2019.
- 钱其琛. 毛泽东在开创新中国外交和国际战略思想上的伟大贡献.
- 钱其琛 (1993). "毛泽东外交思想". 毛泽东思想大辞典. 上海辞书出版. ISBN 7-5326-0284-2.
- 姜安 (2012). 毛泽东“三个世界划分”理论的政治考量与时代价值. 中国社会科学 (1). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 กรกฎาคม 2014.
- 中共中央文献研究室, บ.ก. (2013). 毛泽东年谱(1949—1976)·第六卷. 北京: 中央文献出版社. ISBN 978-7-5073-3992-5.
- 《在延安文艺座谈会上的讲话》
- 陈子明:试析今日中国的毛派光谱. 共识网. 3 กันยายน 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 มีนาคม 2016.
- 袁庾华:邓小平思潮和老左派思潮. 共识网. 31 สิงหาคม 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 มีนาคม 2016.
- NHK纪录片《走近拥毛派》
วิกิพีเดีย, วิกิ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, มือถือ, โทรศัพท์, แอนดรอยด์, ไอโอเอส, แอปเปิ้ล, สมาร์ทโฟน, พีซี, เว็บ, คอมพิวเตอร์, ข้อมูลเกี่ยวกับ ลัทธิเหมา, ลัทธิเหมา คืออะไร? ลัทธิเหมา หมายความว่าอะไร?


ฝากคำตอบ
ต้องการเข้าร่วมการสนทนาหรือไม่?คุณสามารถร่วมเขียนได้!