มะเร็งปอด
มะเร็งปอด (อังกฤษ: lung cancer) เป็นเนื้องอกร้ายที่เกิดขึ้นในเนื้อเยื่อของปอด เกิดจากความเสียหายทางพันธุกรรมของดีเอ็นเอในเซลล์ระบบทางเดินหายใจ ซึ่งมักเกิดจากการสูบบุหรี่หรือการสูดดมสารเคมีที่เป็นอันตราย ทำให้เซลล์แบ่งตัวอย่างควบคุมไม่ได้ ทำให้เนื้องอกโตขึ้น หากไม่ได้รับการรักษา เนื้องอกจะกระจายไปทั่วปอด ทำให้การทำงานของปอดเสียหาย ในที่สุดเนื้องอกก็จะแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย
มะเร็งปอด (Lung cancer) | |
---|---|
ชื่ออื่น | Lung carcinoma |
ภาพเอกซเรย์ทรวงอกแสดงเนื้องอกในปอด (มีลูกศรชี้) | |
สาขาวิชา | วิทยามะเร็ง วิทยาปอด |
อาการ | ไอ (รวมทั้งที่เป็นเลือด) หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก |
การตั้งต้น | หลังอายุ 40 ปี[2] โดยเฉลี่ยที่อายุ 70 ปี[3] |
ประเภท | มะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก (SCLC) มะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก (NSCLC) |
ปัจจัยเสี่ยง |
|
วิธีวินิจฉัย | การสร้างภาพทางการแพทย์ การตัดเนื้อออกตรวจ |
การป้องกัน | เลี่ยงการสูบยาสูบและเลี่ยงสารก่อกลายพันธุ์จากสิ่งแวดล้อม |
การรักษา | การผ่าตัด, เคมีบำบัด, การฉายรังสี, การรักษาที่เจาะจงเซลล์มะเร็งทางโมเลกุล (molecular therapies), immune checkpoint inhibitors |
พยากรณ์โรค | อัตราการรอดชีวิตห้าปี 10–20% (โดยส่วนใหญ่ในหลายประเทศ)[4] |
ความชุก | 2.2 ล้าน (2020)[4] |
การเสียชีวิต | 1.8 ล้าน (2020)[4] |
มะเร็งปอดระยะเริ่มแรกมักไม่มีอาการและตรวจพบได้ด้วยเพียงการถ่ายภาพทางการแพทย์ เมื่อโรคลุกลาม ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีปัญหาทางระบบทางเดินหายใจที่ไม่จำเพาะ เช่น ไอ หายใจลำบาก หรือเจ็บหน้าอก อาการอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและขนาดเนื้องอก ผู้ที่สงสัยว่าเป็นมะเร็งปอดมักต้องผ่านการตรวจถ่ายภาพหลายชุดเพื่อระบุตำแหน่งและขอบเขตเนื้องอก การวินิจฉัยที่แน่ชัดต้องอาศัยการตัดตรวจชิ้นเนื้อของเนื้องอกที่สงสัย ทำโดยแพทย์พยาธิวิทยาด้วยกล้องจุลทรรศน์ นอกจากจะระบุแยกแยะว่ามีเซลล์มะเร็งแล้ว แพทย์ยังสามารถจำแนกเนื้องอกตามชนิดของเซลล์ที่เป็นต้นกำเนิด ประมาณ 15% จะเป็นมะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก (small-cell lung cancer, SCLC) และอีก 85% ที่เหลือ (คือ มะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์ขนาดเล็ก, non-small-cell lung cancer, NSCLC) จะเป็นมะเร็งชนิดต่อม, มะเร็งชนิดเซลล์สความัส และมะเร็งปอดชนิดเซลล์ใหญ่ หลังการวินิจฉัย จะมีการตรวจถ่ายภาพและตัดชิ้นเนื้อเพิ่มเติมเพื่อระบุระยะมะเร็งตามระดับการแพร่กระจาย
มะเร็งปอดระยะแรกรักษาด้วยการผ่าตัดเอาเนื้องอกออก แล้วบางครั้งตามด้วยการฉายรังสีและเคมีบำบัดเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลืออยู่ มะเร็งระยะลุกลามรักษาด้วยการฉายรังสีและเคมีบำบัดร่วมกับยาที่ออกฤทธิ์จำเพาะต่อชนิดย่อยของมะเร็ง แม้จะได้รับการรักษา ก็มีผู้ป่วยประมาณ 20% เท่านั้นที่รอดชีวิตได้ 5 ปีนับจากการวินิจฉัย[5] อัตราการรอดชีวิตจะสูงกว่าในผู้ที่ได้วินิจฉัยตั้งแต่ต้น ๆ ในผู้มีอายุน้อยกว่า และในผู้หญิงเมื่อเทียบกับผู้ชาย
มะเร็งปอดส่วนใหญ่เกิดจากการสูบบุหรี่ ที่เหลือเกิดจากการสัมผัสกับสารอันตราย เช่น กับแร่ใยหินและก๊าซเรดอน หรือเกิดจากการกลายพันธุ์ทีมีโอกาสเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ ดังนั้น การป้องกันมะเร็งปอดจึงมุ่งส่งเสริมให้หลีกเลี่ยงสารเคมีอันตรายและเลิกสูบบุหรี่ การเลิกสูบบุหรี่ช่วยทั้งลดโอกาสการเกิดมะเร็งปอดและเพิ่มผลการรักษาในผู้ป่วย
มะเร็งปอดเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดและมีคนตายมากที่สุดทั่วโลก ใน ค.ศ. 2020 มีผู้ป่วย 2.2 ล้านรายและเสียชีวิต 1.8 ล้านราย[4] โดยไม่ค่อยพบในผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปี อายุเฉลี่ยเมื่อวินิจฉัยอยู่ที่ 70 ปี และเมื่อเสียชีวิตที่ 72 ปี[3] อุบัติการณ์และผลลัพธ์ของโรคแตกต่างกันไปทั่วโลกโดยขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้ยาสูบ ก่อนการสูบบุหรี่ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 มะเร็งปอดเป็นโรคที่หายาก ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950 และ 1960 มีหลักฐานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ที่เชื่อมโยงมะเร็งปอดกับการใช้ยาสูบ เป็นเหตุให้หน่วยงานสาธารณสุขระดับชาติส่วนใหญ่รณรงค์ให้เลิกสูบบุหรี่
อาการ
มะเร็งปอดระยะแรกมักไม่มีอาการ เมื่อเกิดอาการ มักจะเป็นปัญหาทางเดินหายใจที่ไม่เฉพาะเจาะจง เช่น ไอ หายใจลำบาก หรือเจ็บหน้าอก และอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล[6] ผู้ที่ไอมักรายงานว่าเป็นอาการไอใหม่ หรืออาการไอเดิมที่ถี่ขึ้นหรือรุนแรงขึ้น[6] ประมาณหนึ่งในสี่จะไอมีเลือดปนในเสมหะตั้งแต่น้อยจนถึงมาก[7][6] ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยมีอาการหายใจลำบาก ในขณะที่ 25–50% มีอาการเจ็บหน้าอกแบบตื้อ ๆ โดยคงอยู่ในตำแหน่งเดิมตลอดเวลา[6] นอกจากอาการทางเดินหายใจ บางรายอาจมีอาการทางร่างกายอื่น ๆ เช่น เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลีย มีไข้ และเหงื่อออกตอนกลางคืน[6][8]
อาการที่พบน้อยกว่าบางอย่างบ่งบอกถึงเนื้องอกในตำแหน่งโดยเฉพาะ เนื้องอกในช่องอกอาจก่อปัญหาการหายใจเพราะอุดกั้นท่อลมหรือรบกวนเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงกะบังลม ทำให้กลืนลำบากเพราะกดทับหลอดอาหาร ทำให้เสียงแหบเพราะรบกวนเส้นประสาทกล่องเสียง และก่อกลุ่มอาการฮอร์เนอร์เพราะรบกวนระบบประสาทซิมพาเทติก[6][8] กลุ่มอาการฮอร์เนอร์ยังพบได้บ่อยในเนื้องอกที่อยู่ด้านบนของปอด ซึ่งเรียกว่าเนื้องอกแพนโคสต์ (Pancoast) เนื้องอกชนิดนี้ยังก่ออาการปวดไหล่ร้าวลงไปที่ด้านนิ้วก้อยของมือ รวมถึงทำลายซี่โครงส่วนบนสุด[8]ต่อมน้ำเหลืองบวมเหนือกระดูกไหปลาร้าอาจบ่งชี้ว่าเนื้องอกได้แพร่กระจายในช่องอกแล้ว[6] เนื้องอกที่อุดกั้นการไหลเวียนของเลือดเข้าสู่หัวใจ อาจก่อกลุ่มอาการ superior vena cava syndrome (คือบวมบริเวณส่วนบนของร่างกายและหายใจลำบาก) ในขณะที่เนื้องอกที่ลุกลามไปบริเวณรอบหัวใจ อาจทำให้น้ำสะสมรอบหัวใจ หัวใจเต้นผิดจังหวะ และหัวใจล้มเหลว[8]
ประมาณหนึ่งในสามของผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปอดจะมีอาการจากการแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ นอกเหนือจากปอด[8] โดยสามารถแพร่กระจายไปได้ทั่วร่างกาย อาการจะต่างกันไปตามตำแหน่งที่แพร่กระจาย การแพร่กระจายไปที่สมองอาจทำให้ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ชัก และเกิดความบกพร่องทางระบบประสาท การแพร่กระจายไปที่กระดูกอาจทำให้ปวด กระดูกหัก และกดทับไขสันหลัง การแพร่กระจายไปที่ไขกระดูกอาจทำให้เซลล์เม็ดเลือดลดลงแล้วเกิดภาวะมีเซลล์ที่ยังไม่เจริญเต็มที่ในเลือด (leukoerythroblastosis)[8] การแพร่กระจายไปที่ตับอาจทำให้ตับโต ปวดบริเวณช่องท้องด้านขวาบน มีไข้ และน้ำหนักลด[8]
เนื้องอกในปอดมักทำให้หลั่งฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงการทำงานของร่างกาย ซึ่งก่ออาการที่เรียกว่า กลุ่มอาการพารานีโอพลาสติก (paraneoplastic syndrome)[8] การหลั่งฮอร์โมนที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้ระดับเกลือแร่ในเลือดเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ที่พบบ่อยที่สุดคือภาวะแคลเซียมในเลือดสูง (hypercalcemia) ซึ่งเกิดจากการสร้างโปรตีนที่เกี่ยวกับฮอร์โมนพาราไทรอยด์หรือสร้างฮอร์โมนพาราไทรอยด์มากเกินไป ภาวะแคลเซียมในเลือดสูงอาจแสดงออกเป็นอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องผูก กระหายน้ำมากเรื้อรัง ปัสสาวะบ่อย และสภาพจิตใจที่เปลี่ยนแปลงไป[8] ผู้ป่วยยังมักประสบกับภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำเนื่องจากการหลั่งฮอร์โมนอะดรีโนคอร์ติโคโทรปิก (adrenocorticotropic hormone) ที่ไม่เหมาะสม และภาวะโซเดียมในเลือดต่ำเนื่องจากผลิตฮอร์โมนต้านการขับปัสสาวะ (antidiuretic hormone) หรือผลิตเพปไทด์ atrial natriuretic peptide มากเกินไป[8]
ประมาณหนึ่งในสามของผู้ป่วยจะมีเล็บปุก และประมาณหนึ่งในสิบจะมีภาวะกระดูกและข้อโตจากปอดเรื้อรัง (hypertrophic pulmonary osteoarthropathy รวมอาการเล็บปุก ปวดข้อ และผิวหนังหนาขึ้น) โรคภูมิต้านตนเองหลายชนิดสามารถเกิดขึ้นเป็นกลุ่มอาการพารานีโอพลาสติกในผู้ป่วย รวมถึงโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงแลมเบิร์ท-อีทัน โรคเส้นประสาทรับความรู้สึก (sensory neuropathies) กล้ามเนื้ออักเสบ สมองอักเสบ และการเสื่อมเหตุภูมิต้านตนเองของสมองน้อย, ระบบลิมบิก หรือก้านสมอง[8] ผู้ป่วยมากถึงหนึ่งในสิบสองมีการแข็งตัวของเลือดแบบพารานีโอพลาสติก รวมถึงภาวะหลอดเลือดดำอักเสบมีลิ่มเลือดอุดตันที่ย้ายตำแหน่งได้ ลิ่มเลือดในหัวใจ และภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจาย[8] ส่วนกลุ่มอาการพารานีโอพลาสติกที่เกี่ยวข้องกับผิวหนังและไตพบได้น้อย โดยเกิดไม่เกิน 1% ของผู้ป่วย[8]
การวินิจฉัย

ผู้ที่สงสัยว่าเป็นมะเร็งปอดจะได้รับการตรวจเอกซเรย์เพื่อประเมินการมีอยู่ ขอบเขต และตำแหน่งของเนื้องอก ในขั้นแรก แพทย์ปฐมภูมิจะทำเอกซเรย์ทรวงอกเพื่อตรวจหาก้อนเนื้อภายในปอด เอกซเรย์อาจเผยให้เห็นก้อนเนื้อที่ชัดเจน การขยายของช่องกลางอกที่เรียกว่าเมดิแอสตินัม (ซึ่งบ่งชี้ว่ามะเร็งได้แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณนั้น) ภาวะปอดแฟบ (atelectasis) ปอดบวม (หรือ consolidation) หรือมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด อย่างไรก็ดี เนื้องอกปอดบางชนิดก็ไม่สามารถเห็นได้ด้วยเอกซเรย์[6] จึงอาจต้องตรวจต่อไปด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ซึ่งสามารถแสดงขนาดและตำแหน่งของเนื้องอกได้[11]
การวินิจฉัยมะเร็งปอดที่ชัดเจนจำเป็นต้องตัดเนื้อเยื่อที่สงสัยออกตรวจทางจุลพยาธิวิทยาเพื่อหาเซลล์มะเร็ง[12] ตำแหน่งของเนื้องอกมะเร็งปอดมักทำให้ตัดชิ้นเนื้อได้ด้วยเทคนิคที่รุกล้ำน้อย เช่น กล้องส่องตรวจหลอดลมแบบไฟเบอร์ออปติก (บางครั้งใช้อัลตราซาวด์ช่วยนำทาง), การใช้เข็มเล็กดูดเอาเซลล์ออก (fine needle aspiration) หรือการตัดชิ้นเนื้อโดยใช้ภาพนำทางผ่านผิวหนัง[12] ผู้ที่ไม่สามารถตัดชิ้นเนื้อแบบปกติได้ อาจตรวจของเหลวแทน (เช่น โดยเก็บตัวอย่างของเหลวบางชนิดจากร่างกาย) ซึ่งอาจมีดีเอ็นเอของเนื้องอกที่หมุนเวียนอยู่ในเลือด (circulating tumor DNA) ซึ่งสามารถตรวจพบได้[13]

การถ่ายภาพทางการแพทย์ยังอาจใช้ประเมินขอบเขตการแพร่กระจายของมะเร็ง การถ่ายภาพรังสีระนาบด้วยการปล่อยโพซิตรอน (PET) หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ร่วมกับการถ่ายภาพรังสีระนาบด้วยการปล่อยโพซิตรอน (PET-CT) อาจใช้ค้นหาการแพร่กระจายในร่างกาย เนื่องจาก PET มีความไวต่ำในสมอง เครือข่ายศูนย์มะเร็งแห่งชาติสหรัฐ (NCCN) จึงแนะนำให้ตรวจสมองด้วยเอ็มอาร์ไอ หรือด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ถ้าไม่มี เพื่อหาการแพร่กระจายในผู้ป่วยมะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก หรือมีเนื้องอกขนาดใหญ่ หรือมีเนื้องอกที่แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง[14] เมื่อภาพบ่งชี้ว่าเนื้องอกได้แพร่กระจายแล้ว ก็มักจะตัดชิ้นเนื้อจากส่วนที่แพร่กระจายเพื่อตรวจยืนยันว่าเป็นมะเร็ง[12] มะเร็งปอดมักแพร่กระจายบ่อยที่สุดไปยังสมอง กระดูก ตับ และต่อมหมวกไต[15]
มะเร็งปอดมักปรากฏรอยโรคในลักษณะก้อนเล็กเดี่ยว (solitary pulmonary nodule) ในภาพเอกซเรย์ทรวงอกหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ในการศึกษาการตรวจคัดกรองมะเร็งปอด พบว่าผู้เข้าตรวจถึงร้อยละ 30 มีรอยโรคเล็กก้อนหนึ่งในปอด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นก้อนไม่ร้าย[17] นอกจากมะเร็งปอดแล้ว มีโรคอื่น ๆ อีกหลายชนิดที่มีลักษณะเช่นนี้ได้ รวมถึงก้อนเนื้อวิรูป (hamartoma), แกรนูโลมาเหตุติดเชื้อวัณโรค, การติดเชื้อรา histoplasmosis (Histoplasma capsulatum) หรือ coccidioidomycosis (สกุล Coccidioides)[18]
การจำแนกประเภท


ในการวินิจฉัย มะเร็งปอดจะจำแนกตามชนิดเซลล์ที่เนื้องอกเกิด เพราะเนื้องอกจากเซลล์ต่างชนิดจะมีการดำเนินโรคและการตอบสนองต่อการรักษาที่แตกต่างกัน มีสองชนิดหลักโดยแบ่งตามขนาดและลักษณะของเซลล์มะเร็งที่พยาธิแพทย์เห็นด้วยกล้องจุลทรรศน์ ได้แก่ มะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก (small cell lung cancer, SCLC, รวมได้ 15% ของผู้ป่วยที่พบ) และมะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก (non-small-cell lung cancer, NSCLC, รวมได้ 85% ของผู้ป่วยที่พบ)[20] ชนิดเซลล์เล็กมักพบใกล้ตรงกลางของปอดในหลอดลมใหญ่[21] เซลล์จะมีลักษณะเล็ก ขอบเขตไม่ชัดเจน มีไซโทพลาซึมไม่มาก มีไมโทคอนเดรียจำนวนมาก มีนิวเคลียสที่มีลักษณะเด่นคือมีโครมาตินเป็นเม็ด (granular) โดยมองไม่เห็นนิวคลีโอไล[22]
ส่วนชนิดไม่ใช่เซลล์เล็กเป็นกลุ่มมะเร็ง 3 ชนิด คือ มะเร็งชนิดต่อม, มะเร็งชนิดเซลล์สความัส (squamous-cell) และมะเร็งชนิดเซลล์ใหญ่[22] เกือบ 40% ของมะเร็งปอดทั้งหมดเป็นมะเร็งชนิดต่อม[23] เซลล์ของมันเป็นก้อน ๆ โตออกทั้งสามมิติ คล้ายเซลล์ต่อม (glandular cell) และอาจผลิตมิวซิน[22] ประมาณ 30% ของมะเร็งปอดเป็นชนิดเซลล์สความัส ซึ่งมักเกิดใกล้กับหลอดลมใหญ่[23] เนื้องอกประกอบด้วยเซลล์เรียงเป็นชั้น ๆ และชั้นเคราติน[22] มักพบโพรงกลวงและเซลล์ตายที่เกี่ยวข้องตรงกลางของเนื้องอก[23] น้อยกว่า 10% ของมะเร็งปอดเป็นชนิดเซลล์ใหญ่ (large-cell carcinomas)[22] ได้ชื่อนี้เพราะเซลล์มีขนาดใหญ่ มีไซโทพลาซึมมาก มีนิวเคลียสใหญ่ และนิวคลีโอลัสที่เห็นได้ชัด[23]
ประมาณ 10% ของมะเร็งปอดจัดเป็นชนิดหายาก[22] ซึ่งรวมถึงชนิดที่มีลักษณะผสมของชนิดที่กล่าวมาข้างต้น เช่น adenosquamous carcinoma และชนิดย่อยที่หายาก เช่น เนื้องอกคาร์ซินอยด์ (carcinoid tumor) และ sarcomatoid carcinomas[23]
มะเร็งปอดหลายประเภทถูกจำแนกย่อยตามลักษณะการเติบโตของเซลล์มะเร็ง มะเร็งชนิดต่อมจะจำแนกเป็นชนิด lepidic คือ เติบโตตามพื้นผิวผนังถุงลมที่ปกติ[25] ชนิด acinar และชนิด papillary, หรือชนิด micropapillary และ solid pattern ชนิด lepidic มักรุนแรงน้อยที่สุด ในขณะที่ชนิด micropapillary และ solid pattern จะรุนแรงมากที่สุด[26]
ในการตรวจชิ้นเนื้อ นอกจากจะดูรูปร่างของเซลล์แล้ว มักจะย้อมสีเซลล์ด้วยวิธีอิมมูโนฮิสโตเคมี (immunohistochemistry) เพื่อยืนยันชนิดของมะเร็งปอด มะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก (SCLC) มักมีสารส่อเซลล์ประสาทต่อมไร้ท่อ (neuroendocrine cell) เช่น chromogranin, synaptophysin และ CD56[27] มะเร็งชนิดต่อมมักแสดงออกโปรตีน Napsin-A และ TTF-1 ส่วนชนิดเซลล์สความัสจะไม่แสดงออก Napsin-A และ TTF-1 แต่จะแสดงออก p63 และไอโซฟอร์มของโปรตีนที่เกี่ยวกับมะเร็งโดยเฉพาะคือ p40[22] โปรตีน CK7 และ CK20 ก็มักใช้แยกชนิดมะเร็งปอดเช่นกัน โดย CK20 จะพบในมะเร็งหลายชนิดแต่มักไม่พบในมะเร็งปอด ขณะที่ CK7 พบได้ในมะเร็งปอดหลายชนิด แต่ไม่พบในมะเร็งชนิดเซลล์สความัส[28]
การระบุระยะ
TNM | ระยะ |
---|---|
T1a N0 M0 | IA1 |
T1b N0 M0 | IA2 |
T1c N0 M0 | IA3 |
T2a N0 M0 | IB |
T2b N0 M0 | IIA |
T1–T2 N1 M0 | IIB |
T3 N0 M0 | |
T1–T2 N2 M0 | IIIA |
T3 N1 M0 | |
T4 N0–N1 M0 | |
T1–T2 N3 M0 | IIIB |
T3–T4 N2 M0 | |
T3–T4 N3 M0 | IIIC |
T ทุกระยะ, N ทุกระยะ, M1a–M1b | IVA |
T ทุกระยะ, N ทุกระยะ, M1c | IVB |
การจัดระยะมะเร็งปอดคือการประเมินระดับการแพร่กระจายของมะเร็งจากแหล่งตั้งต้น ระยะมะเร็งปอดเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อทั้งพยากรณ์โรคและการรักษา
มะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็กมักจัดระยะด้วยระบบที่ค่อนข้างเรียบง่าย คือจัดเป็นระยะจำกัด (limited) หรือระยะแพร่กระจาย (extensive) ผู้ป่วยประมาณหนึ่งในสามได้รับวินิจฉัยว่าอยู่ในระยะจำกัด คือจำกัดอยู่เพียงด้านหนึ่งของทรวงอก ภายในขอบเขตการฉายรังสีหนึ่งครั้ง ที่เหลือสองในสามได้รับวินิจฉัยว่าอยู่ในระยะแพร่กระจาย คือแพร่ไปทั้งสองด้านของทรวงอก หรือไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย
มะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก และบางครั้งชนิดเซลล์เล็ก มักจัดระยะด้วยระบบจัดระยะของคณะกรรมการร่วมเรื่องมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา (AJCC) ซึ่งเรียกว่าระบบ Tumor, Node, Metastasis (TNM) ขนาดและขอบเขตของเนื้องอก (T) การแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียง (N) และการแพร่กระจายไปไกล (M) จะประเมินแยกกัน แล้วจึงนำมารวมเพื่อจัดกลุ่มระยะของโรค[32]
เนื้องอกที่ค่อนข้างเล็กจะกำหนดเป็น T1 โดยแบ่งย่อยตามขนาด ได้แก่ เนื้องอกที่มีขนาด ≤ 1 เซนติเมตร (ซม.) จัดเป็น T1a, ขนาด 1–2 ซม. จัดเป็น T1b และขนาด 2–3 ซม. จัดเป็น T1c เนื้องอกที่มีขนาดไม่เกิน 5 ซม. หรือได้แพร่กระจายไปยังเยื่อหุ้มตัวปอด (visceral pleura) หรือหลอดลมใหญ่ จะกำหนดเป็น T2 ส่วน T2a มีเนื้องอกขนาด 3–4 ซม. และ T2b มีขนาด 4–5 ซม. ส่วน T3 มีเนื้องอกขนาดไม่เกิน 7 ซม. มีก้อนเล็ก (nodules) ต่างหาก ๆ ที่กลีบเดียวกันของปอดหรือล้ำเข้าไปยังผนังทรวงอก (chest wall) หรือเข้าไปยังกะบังลม (หรือยังเส้นประสาทที่ควบคุมมัน) หรือบริเวณรอบหัวใจ[32][33]
เนื้องอกที่มีขนาดใหญ่กว่า 7 ซม. มีก้อนเล็กต่างหาก ๆ กระจายอยู่ในกลีบต่าง ๆ ของปอดหรือรุกล้ำเข้าไปยังประจันอก (mediastinum ตรงกลางของโพรงทรวงอก) ยังหัวใจ ยังหลอดเลือดใหญ่สุดที่เลี้ยงหัวใจ ยังท่อลม (trachea) หลอดอาหาร หรือยังกระดูกสันหลัง จะกำหนดเป็น T4[32][33] การจัดระยะของต่อมน้ำเหลืองจะขึ้นอยู่กับระดับการแพร่กระจายในพื้นที่ ได้แก่ ยังไม่แพร่ไปยังต่อมน้ำเหลืองใด ๆ (N0) แพร่ไปยังต่อมน้ำเหลืองปอดหรือขั้วปอด (ตามแนวหลอดลม) ที่อยู่ข้างเดียวกับเนื้องอก (N1) แพร่ไปยังต่อมน้ำเหลืองในช่องกลางทรวงอกหรือต่อมน้ำเหลืองซับคารินัล (อยู่กลางปอด N2) หรือแพร่ไปยังต่อมน้ำเหลืองของปอดฝั่งตรงข้ามจากเนื้องอก (N3)[33] การแพร่กระจายจะแบ่งระยะออกเป็นไม่พบการแพร่กระจาย (M0) การแพร่กระจายแบบใกล้เคียง (M1a รวมบริเวณรอบปอดหรือรอบหัวใจ หรือปอดฝั่งตรงข้าม) การแพร่กระจายเดี่ยวที่ห่างออกไป (M1b) หรือการแพร่กระจายหลายตำแหน่ง (M1c)[32]
คะแนน T, N และ M จะนำมารวมกันเพื่อจัดกลุ่มระยะของมะเร็ง ที่จำกัดเป็นเนื้องอกขนาดเล็ก ๆ จะจัดเป็นระยะที่ 1 ที่มีเนื้องอกขนาดใหญ่ขึ้นหรือแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียงจะจัดเป็นระยะที่ 2 ที่มีเนื้องอกใหญ่สุดหรือแพร่กระจายไปปยังต่อมน้ำเหลืองอย่างกว้างขวางจัดเป็นระยะที่ 3[34] ที่แพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกายจัดเป็นระยะที่ 4 แต่ละระยะยังแบ่งย่อยเพิ่มเติมตามการรวมกันของคะแนน T N และ M
|
|
|
การตรวจคัดกรอง
บางประเทศแนะนำให้ผู้ที่เสี่ยงเกิดมะเร็งปอดสูงเข้ารับการตรวจคัดกรองเป็นระยะ ๆ โดยใช้เอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบใช้รังสีต่ำ โครงการตรวจคัดกรองอาจช่วยตรวจพบเนื้องอกปอดระยะเริ่มต้นสำหรับผู้ที่ยังไม่มีอาการของมะเร็งปอดได้ โดยอุดมคติก็คือให้ตรวจพบในระยะที่ยังสามารถรักษาได้และช่วยลดอัตราการเสียชีวิต มีหลักฐานว่าการตรวจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบใช้รังสีต่ำเป็นประจำในผู้เสี่ยงสูงช่วยลดการเสียชีวิตจากมะเร็งปอดโดยรวมได้มากถึง 20%[17] แม้จะมีหลักฐานว่าเป็นประโยชน์สำหรับประชากรกลุ่มนี้ ผลเสียของการตรวจคัดกรองอาจเกิดได้จากผลบวกเทียมซึ่งทำให้ต้องตรวจเพิ่มอย่างไม่จำเป็น การต้องใช้หัตถการที่รุกล้ำ และความทุกข์ใจ[37] แม้จะพบน้อย แต่ก็มีความเสี่ยงเกิดมะเร็งจากรังสีอีกด้วย[37]
คณะกรรมการบริการป้องกันแห่งสหรัฐ (USPSTF) แนะนำให้ตรวจคัดกรองมะเร็งปอดเป็นประจำทุกปีด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบใช้รังสีต่ำสำหรับผู้มีอายุระหว่าง 55–80 ปีผู้มีประวัติสูบบุหรี่มาแล้วอย่างน้อย 30 ซอง·ปี (10,950 ซอง)[39] ส่วนคณะกรรมาธิการยุโรปแนะนำให้โครงการตรวจคัดกรองมะเร็งในสหภาพยุโรปขยายการตรวจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบใช้รังสีต่ำสำหรับผู้สูบบุหรี่ปัจจุบันหรือผู้ที่เคยสูบบุหรี่ ในทำนองเดียวกัน คณะทำงานด้านสุขภาพเชิงป้องกันของแคนาดา (PHAC) แนะนำให้ผู้สูบบุหรี่ปัจจุบันหรือผู้สูบบุหรี่ในอดีต (โดยมีประวัติการสูบบุหรี่มากกว่า 30 ซอง·ปี) และมีอายุระหว่าง 55–74 ปี เข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปอด[41]
การรักษา
การรักษามะเร็งปอดขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์มะเร็ง ระดับการแพร่กระจาย และสุขภาพของผู้ป่วย การรักษาสามัญสำหรับมะเร็งระยะเริ่มต้น ได้แก่ การผ่าตัดเอาเนื้องอกออก เคมีบำบัด และการฉายรังสี สำหรับมะเร็งระยะหลัง เคมีบำบัดและการฉายรังสีจะใช้ร่วมกับการรักษาแบบใหม่ที่เฉพาะเจาะจงเซลล์มะเร็งทางโมเลกุล (targeted molecular therapies) และยายับยั้ง immune checkpoint[5] การรักษามะเร็งปอดทุกรูปแบบจะผสมผสานกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิตและการดูแลแบบประคับประคองเพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต[42]
มะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก

มะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็กระยะจำกัดมักรักษาด้วยเคมีบำบัดร่วมกับการฉายรังสี[43] สำหรับเคมีบำบัด เครือข่ายศูนย์มะเร็งแห่งชาติสหรัฐ (NCCN) และวิทยาลัยแพทย์ทรวงอกอเมริกันแนะนำให้ใช้เคมีบำบัดชนิดแพลทินัม (platinum-based chemotherapeutic) คือยาซิสพลาตินหรือ carboplatin ร่วมกับ etoposide หรือ irinotecan 4–6 ชุด[44] โดยทั่วไปจะใช้ร่วมกับการฉายรังสีทรวงอกขนาด 45 เกรย์ (Gy) วันละสองครั้ง ควบคู่ไปกับเคมีบำบัดสองชุดแรก[43]
การรักษาลำดับแรกนี้ทำให้โรคทุเลาได้ถึง 80% แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ก็จะกลับมาเป็นซ้ำโดยโรคจะดื้อต่อเคมีบำบัด ผู้กลับมาเป็นซ้ำจะได้รับการรักษาลำดับสอง คือด้วยยา topotecan และ lurbinectedin ที่ได้อนุมัติจากองค์การอาหารและยาสหรัฐเพื่อการนี้[43] โดยบางครั้งก็ใช้ irinotecan, paclitaxel, docetaxel, vinorelbine, etoposide และ gemcitabine เช่นกันและมีประสิทธิผลใกล้เคียงกัน[43] การฉายรังสีสมองเชิงป้องกัน (prophylactic cranial irradiation) สามารถลดความเสี่ยงการแพร่กระจายไปยังสมองและเพิ่มการอยู่รอดสำหรับผู้ที่มีโรคระยะจำกัด[45][43]
มะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็กระยะลุกลามมักรักษาในเบื้องต้นด้วย etoposide ร่วมกับซิสพลาตินหรือ carboplatin การฉายรังสีจะใช้เฉพาะเมื่อต้องลดขนาดเนื้องอกที่ก่ออาการรุนแรงเป็นพิเศษ การใช้เคมีบำบัดมาตรฐานร่วมกับยา immune checkpoint inhibitor สามารถช่วยยืดการอยู่รอดสำหรับผู้ป่วยได้เป็นส่วนน้อย โดยเพิ่มอายุขัยเฉลี่ยได้ประมาณ 2 เดือน[47]
มะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก

สำหรับมะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก (NSCLC) ระยะที่ 1 และ 2 การรักษาลำดับแรกมักเป็นการผ่าตัดเอากลีบปอดที่มีรอยโรคออก (lobectomy)[48] หากผู้ป่วยไม่แข็งแรงพอสำหรับการตัดกลีบปอดออกทั้งหมด อาจใช้การผ่าตัดชิ้นปอดเล็ก ๆ (wedge resection) หรือการตัดกลีบปอดเป็นบางส่วน (segmentectomy) แทน[48] สำหรับผู้ที่มีเนื้องอกอยู่ใกล้ศูนย์กลางปอดและระบบทางเดินหายใจยังแข็งแรง อาจผ่าตัดเอาปอดทั้งข้างออก (pneumonectomy)[48] โอกาสรอดชีวิตจะดีขึ้นหากผ่าตัดโดยศัลยแพทย์ทรวงอกที่มีประสบการณ์และทำในศูนย์ผ่าตัดที่ผ่าตัดบ่อย ๆ[48]
ผู้ที่ไม่สามารถหรือไม่ต้องการผ่าตัดสามารถรับการฉายรังสีแทนได้ แบบดีที่สุดคือการฉายรังสีที่แรงน้อยกว่าแต่วางเป้าอย่างแม่นยำ (stereotactic body radiation therapy) โดยทำเป็นจำนวนหลายครั้งในช่วง 1–2 สัปดาห์[48] เคมีบำบัดแทบไม่มีประโยชน์ต่อผู้ป่วย NSCLC ระยะที่ 1 และอาจทำให้ผลลัพธ์แย่ลงในผู้ป่วยระยะแรกสุด สำหรับผู้ป่วยระยะที่ 2 มักเริ่มให้เคมีบำบัดหลังผ่าตัดประมาณ 6–12 สัปดาห์ โดยให้ซิสพลาติน (หรือ carboplatin ในผู้ที่มีปัญหาทางไต เส้นประสาท หรือการได้ยิน) ร่วมกับ vinorelbine, pemetrexed, gemcitabine หรือ docetaxel รวมสูงสุด 4 ชุด[48]
การรักษามะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก (NSCLC) ระยะที่ 3 ขึ้นอยู่กับลักษณะของโรค ผู้ที่มีการกระจายในวงจำกัด อาจได้รับการผ่าตัดเนื้องอกและต่อมน้ำเหลืองที่ได้รับผลกระทบออก ตามด้วยเคมีบำบัด โดยอาจฉายรังสีเพิ่มเติม ผู้ที่มีเนื้องอกขนาดใหญ่มาก (T4) หรือผ่าตัดไม่ได้ จะรักษาด้วยเคมีบำบัดร่วมกับการฉายรังสี บวกกับการบำบัดทางภูมิคุ้มกัน (immunotherapy) ด้วยยา durvalumab[49] การให้เคมีบำบัดร่วมกับการฉายรังสีช่วยให้รอดชีวิตได้ดีกว่าการให้เคมีบำบัดแล้วตามด้วยการฉายรังสี แต่มีผลข้างเคียงรุนแรงกว่า[49]
ผู้ป่วยระยะที่ 4 จะรักษาด้วยการผสมผสานใช้ยาแก้ปวด การฉายรังสี ภูมิคุ้มกันบำบัด และเคมีบำบัด[50] โรคระยะลุกลามหลายกรณีสามารถรักษาได้ด้วยการบำบัดแบบเจาะจงเซลล์มะเร็งทางโมเลกุล (targeted therapies) ขึ้นอยู่กับยีนของเซลล์มะเร็ง เนื้องอกมากถึง 30% มีการกลายพันธุ์ของยีน EGFR (Epidermal growth factor receptor) ที่ทำให้โปรตีน EGFR ทำงานเกิน[51] ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยยายับยั้ง EGFR ได้แก่ osimertinib, erlotinib, gefitinib, afatinib หรือ dacomitinib โดย osimertinib จะมีประสิทธิภาพดีกว่า erlotinib และ gefitinib และทั้งหมดดีกว่าเคมีบำบัดเพียงอย่างเดียว[50] ผู้ป่วย NSCLC ถึง 7% มีการกลายพันธุ์ที่ทำให้โปรตีน ALK (anaplastic lymphoma kinase) ทำงานเกิน ซึ่งรักษาได้ด้วยยายับยั้ง ALK ได้แก่ crizotinib หรือยารุ่นที่สองคือ alectinib, brigatinib และ ceritinib[50] โดยผู้กลับมาเป็นซ้ำ สามารถรักษาต่อด้วย lorlatinib ยายับยั้งรุ่นที่สาม[50] ผู้ป่วย NSCLC ถึง 5% มีโปรตีน MET (C-Met) ทำงานเกิน ซึ่งรักษาได้ด้วยยายับยั้ง MET ได้แก่ capmatinib หรือ tepotinib[50]
ยังมีการบำบัดมุ่งเป้าหมายสำหรับมะเร็งที่มีการกลายพันธุ์ชนิดหายากบางชนิด มะเร็งที่มีโปรตีน BRAF ทำงานเกิน (ประมาณ 2% ของ NSCLC) สามารถรักษาด้วย dabrafenib ร่วมกับตัวยับยั้ง MEK คือ trametinib ส่วนมะเร็งที่มี ROS1 ถูกกระตุ้นให้ทำงาน (ประมาณ 1% ของ NSCLC) รักษาได้ด้วย crizotinib, lorlatinib หรือ entrectinib สำหรับมะเร็งที่มี NTRK ทำงานเกิน (<1% ของ NSCLC) รักษาได้ด้วย entrectinib หรือ larotrectinib ส่วนมะเร็งที่มี NTRK ทำงานเกิน (<1% ของ NSCLC) รักษาได้ด้วย entrectinib หรือ larotrectinib สำหรับมะเร็งที่มีการทำงานของ RET (RET proto-oncogene) (ประมาณ 1% ของ NSCLC) รักษาได้ด้วย selpercatinib[50]
ผู้ป่วย NSCLC ซึ่งรักษาไม่ได้ด้วยการบำบัดแบบเจาะจงเซลล์มะเร็งทางโมเลกุลในปัจจุบัน สามารถรักษาได้ด้วยการใช้เคมีบำบัดร่วมกับยา immune checkpoint inhibitors ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์มะเร็งหยุดการทำงานของเซลล์ทีในระบบภูมิคุ้มกัน ยาเคมีบำบัดที่ใช้จะขึ้นอยู่กับชนิดย่อยของ NSCLC ได้แก่ ซิสพลาตินร่วมกับ gemcitabine สำหรับมะเร็งชนิดเซลล์สความัส และซิสพลาตินร่วมกับ pemetrexed สำหรับมะเร็งชนิด non-squamous cell[52] ยา immune checkpoint inhibitors มีประสิทธิภาพมากที่สุดต่อเนื้องอกที่แสดงออกโปรตีน PD-L1 แต่ก็อาจได้ผลกับชนิดที่ไม่แสดงออกเช่นกัน[53] การรักษาด้วย pembrolizumab, atezolizumab หรือการใช้ nivolumab ร่วมกับ ipilimumab มีประสิทธิภาพเหนือกว่าเคมีบำบัดเพียงอย่างเดียวต่อเนื้องอกที่แสดงออก PD-L1[53] ผู้ที่กลับมาเป็นซ้ำหลังการรักษาดังกล่าว จะได้รักษาต่อด้วยเคมีบำบัดลำดับที่สอง ได้แก่ docetaxel และ ramucirumab[54]
การดูแลแบบประคับประคอง

การบูรณาการด้วยการดูแลแบบประคับประคอง ซึ่งเน้นการบรรเทาอาการและลดความไม่สบาย เมื่อทำร่วมกับการรักษามะเร็งปอดตั้งแต่ช่วงวินิจฉัย จะช่วยยืดระยะการรอดชีวิตและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย[56] อาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยมะเร็งปอดคือหายใจลำบากและเจ็บปวด การให้ออกซิเจนเสริม การปรับปรุงการไหลเวียนของอากาศ การปรับเปลี่ยนท่านอนของผู้ป่วย และการให้มอร์ฟีนขนาดต่ำ ล้วนอาจช่วยบรรเทาอาการหายใจลำบากได้[57]
ผู้ป่วยมะเร็งปอดประมาณ 20–30% โดยเฉพาะในระยะลุกลาม เนื้องอกอาจโตไปกดหรือปิดกั้นทางเดินหายใจ ทำให้ไอและหายใจลำบาก[58] เนื้องอกที่อุดกั้นอาจผ่าตัดเอาออกได้ แต่โดยทั่วไปผู้ป่วยมักไม่แข็งแรงพอที่จะผ่าตัด ในกรณีดังกล่าว วิทยาลัยแพทย์ทรวงอกอเมริกันแนะนำให้เปิดทางเดินหายใจด้วยขดลวด (สเต็นท์) พยายามทำให้เนื้องอกยุบลงด้วยรังสีบำบัดระยะสั้น (brachytherapy) เฉพาะที่ หรือกำจัดเนื้อเยื่อที่อุดกั้นออกด้วยกล้องส่องหลอดลม (bronchoscopy) ซึ่งบางครั้งใช้ความร้อนหรือเลเซอร์ช่วยทำลาย[59] สาเหตุอื่น ๆ ของอาการหายใจลำบากที่สัมพันธ์กับมะเร็งปอดสามารถรักษาได้โดยตรง เช่น การให้ยาปฏิชีวนะสำหรับการติดเชื้อในปอด ยาขับปัสสาวะสำหรับภาวะปอดบวมน้ำ ยาเบ็นโซไดอาเซพีนสำหรับอาการวิตกกังวล และสเตียรอยด์สำหรับภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจ[57]
ผู้ป่วยมะเร็งปอดถึง 92% รายงานอาการปวด โดยเกิดจากความเสียหายของทั้งเนื้อเยื่อบริเวณเนื้องอกหรือของเส้นประสาท[60]องค์การอนามัยโลกได้พัฒนาระบบสามขั้นสำหรับจัดการความปวดจากมะเร็ง ผู้ที่มีอาการปวดเล็กน้อย (ขั้นที่หนึ่ง) แนะนำให้ใช้ยาพาราเซตามอลหรือยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตอรอยด์[60] ประมาณหนึ่งในสามของผู้ป่วยมีอาการปวดปานกลาง (ขั้นที่สอง) หรือปวดรุนแรง (ขั้นที่สาม) ซึ่งแนะนำให้ใช้ยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์[60] โอปิออยด์มักมีประสิทธิภาพบรรเทาอาการปวดที่เกิดจากการทำลายของเนื้อเยื่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และบางครั้งมีประสิทธิภาพบรรเทาอาการปวดจากการทำลายเส้นประสาท ยาสำหรับอาการปวดประสาท เช่น ยากันชัก ยาแก้ซึมเศร้ากลุ่มไตรไซคลิก และยากลุ่ม serotonin–norepinephrine reuptake inhibitors มักนำมาใช้เพื่อบรรเทาอาการปวดประสาท ทั้งเดี่ยว ๆ และใช้ร่วมกับยาโอปิออยด์[60] ในหลายกรณี การฉายรังสีแบบมุ่งเป้าสามารถยุบเนื้องอกลง ลดความเจ็บปวดและอาการอื่น ๆ ที่เกิดจากการโตของเนื้องอก[61]
ผู้ป่วยที่มีโรคระยะลุกลามและกำลังเข้าสู่ช่วงท้ายของชีวิตอาจได้รับประโยชน์จากการดูแลระยะสุดท้าย (end-of-life care) เพื่อจัดการอาการและบรรเทาความทุกข์ทรมาน เช่นเดียวกับระยะก่อนหน้า อาการปวดและหายใจลำบากจะพบได้บ่อย และจัดการได้ด้วยยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์ โดยอาจเปลี่ยนจากยารับประทานเป็นยาฉีดหากผู้ป่วยไม่สามารถกลืนยาได้[62] อาการไอก็พบได้บ่อยและบรรเทาได้ด้วยโอปิออยด์หรือยาแก้ไอ ผู้ป่วยบางรายอาจมีภาวะเพ้อในช่วงท้ายชีวิต (terminal delirium) เช่น พฤติกรรมสับสน การเคลื่อนไหวที่อธิบายไม่ได้ หรือการสลับกันของช่วงการนอนหลับและตื่น ซึ่งจัดการได้ด้วยยาระงับอาการทางจิต ยาระงับประสาทขนาดต่ำ และการตรวจหาสาเหตุอื่น ๆ ของความไม่สบาย เช่น น้ำตาลในเลือดต่ำ ท้องผูก หรือภาวะพิษเหตุติดเชื้อ[62] ในช่วง 2–3 วันสุดท้ายของชีวิต ผู้ป่วยจำนวนมากจะมีเสียงเสมหะก่อนตาย (terminal secretions) โดยมีน้ำคั่งในทางเดินหายใจโดยก่อเสียงขณะหายใจ ซึ่งเชื่อว่าไม่ได้ทำให้มีปัญหาการหายใจ แต่อาจสร้างความกังวลให้แก่ครอบครัวและผู้ดูแลได้ ยาแอนติโคลิเนอร์จิกสามารถช่วยลดอาการได้[62] แม้ผู้ป่วยที่สื่อสารไม่ได้หรือไม่ค่อยมีสติ ก็อาจยังคงรู้สึกเจ็บปวดจากมะเร็งได้ ดังนั้นยาแก้ปวดมักจะให้อย่างต่อเนื่องจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต[62]
พยากรณ์โรค

ระยะทางคลินิก | อัตราการรอดชีวิต 5 ปี (%) |
---|---|
IA1 | 92 |
IA2 | 83 |
IA3 | 77 |
IB | 68 |
IIA | 60 |
IIB | 53 |
IIIA | 36 |
IIIB | 26 |
IIIC | 13 |
IVA | 10 |
IVB | 0 |
ประมาณ 19% ของผู้ที่ได้วินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปอดมีชีวิตรอดได้ 5 ปีนับจากวันวินิจฉัย แม้พยากรณ์โรคจะขึ้นอยู่กับระยะของโรคขณะวินิจฉัยและกับชนิดมะเร็ง[5] พยากรณ์โรคจะดีกว่าสำหรับผู้ที่ตรวจพบในระยะเริ่มต้น ผู้ที่ได้วินิจฉัยในระยะ TNM แรกสุด คือ IA1 (เนื้องอกขนาดเล็ก ไม่กระจาย) มีอัตราการรอดชีวิต 2 ปีที่ 97% และอัตราการรอดชีวิต 5 ปีที่ 92%[63] ผู้ที่ได้วินิจฉัยในระยะที่ลุกลามไปแล้วมากที่สุด คือ IVB มีอัตราการรอดชีวิต 2 ปีที่ 10% และอัตราการรอดชีวิต 5 ปีที่ 0%[63] อัตราการรอดชีวิต 5 ปีสูงกว่าในผู้หญิง (22%) เมื่อเทียบกับผู้ชาย (16%)[5] ผู้หญิงมักได้วินิจฉัยว่าอยู่ในระยะที่ลุกลามน้อยกว่า และมีผลลัพธ์ที่ดีกว่าผู้ชายที่ได้วินิจฉัยในระยะเดียวกัน[64]
อัตราการรอดชีวิตเฉลี่ย 5 ปียังต่างกันทั่วโลก โดยญี่ปุ่นมีอัตราการรอดชีวิต 5 ปีสูงเป็นพิเศษ (33%) โดยอีก 12 ประเทศที่มีอัตราการรอดชีวิต 5 ปีเกิน 20% ได้แก่ มอริเชียส แคนาดา สหรัฐอเมริกา จีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน อิสราเอล ลัตเวีย ไอซ์แลนด์ สวีเดน ออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์[65] สำหรับประเทศไทย อัตราการรอดชีวิต 5 ปีระหว่าง ค.ศ. 2005–2009 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยคือ 8.1%
มะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก (SCLC) มีความรุนแรงเป็นพิเศษ โดยมีผู้ป่วยที่รอดชีวิตได้ 5 ปีหลังการวินิจฉัยเพียง 10–15%[43] เช่นเดียวกับมะเร็งปอดชนิดอื่น ระยะของโรคเมื่อวินิจฉัยมีผลต่อพยากรณ์โรค ผู้ป่วย SCLC ระยะจำกัดรอดชีวิตได้ 12–20 เดือนหลังการวินิจฉัย ส่วนผู้ป่วยระยะลุกลามจะรอดชีวิตได้ราว 12 เดือน[43] แม้ SCLC มักจะตอบสนองต่อการรักษาในเบื้องต้น แต่ส่วนใหญ่จะกลับเป็นซ้ำเป็นมะเร็งที่ดื้อต่อเคมีบำบัด โดยรอดชีวิตได้โดยเฉลี่ยเพียง 3–4 เดือนนับจากที่กลับเป็นซ้ำ[43] ผู้ป่วย SCLC ระยะจำกัดที่หายขาดหลังจากเคมีบำบัดและการฉายรังสีมีโอกาส 50% ที่มะเร็งจะแพร่กระจายไปยังสมองภายใน 2 ปี โดยลดความเสี่ยงได้ด้วยการฉายรังสีสมองเพื่อป้องกัน[44]
มีปัจจัยเกี่ยวกับบุคคลและโรคหลายอย่างที่สัมพันธ์กับผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยเมื่ออายุน้อยมักมีผลลัพธ์ที่ดีกว่า ผู้ที่สูบบุหรี่หรือมีน้ำหนักลดมักมีผลลัพธ์ที่แย่กว่า การกลายพันธุ์ของยีน KRAS ในเนื้องอกสัมพันธ์กับการรอดชีวิตที่ลดลง[64]
ประสบการณ์เป็นโรค
ความไม่แน่นอนของพยากรณ์โรคมะเร็งปอดมักก่อความเครียด ทำให้วางแผนอนาคตได้ยาก สำหรับทั้งผู้ป่วยและครอบครัว[67] ผู้ที่โรคมะเร็งทุเลาลงมักกลัวว่ามะเร็งจะกลับมาเป็นอีกหรือลุกลามมากขึ้น ซึ่งเชื่อมโยงกับคุณภาพชีวิตที่แย่ลง กับอารมณ์เชิงลบ และความบกพร่องในกิจกรรมชีวิต ความกลัวจะมีผลรุนแรงขึ้นหากมีการตรวจติดตามที่ถ่ายภาพบ่อยครั้งหรือยาวนาน หรือมีตัวสะกิดใจไปถึงสิ่งบ่งชี้ปัจจัยเสี่ยงมะเร็ง[67]
สาเหตุ
มะเร็งปอดเกิดจากความเสียหายต่อดีเอ็นเอของเซลล์ปอด ซึ่งโดยทั่วไปทำให้ยีนระงับเนื้องอก (tumor suppressor gene) ไม่ทำงาน หรือทำให้ยีนมะเร็งทำงานได้ดีขึ้น[68] การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้บางครั้งเกิดขึ้นแบบสุ่ม แต่มักเกิดจากการสูดสารพิษ เช่น ควันบุหรี่ ความเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่ก่อมะเร็งมีผลต่อการทำงานปกติของเซลล์ เช่น การแบ่งตัว การตายของเซลล์ตามกำหนด และการซ่อมแซมดีเอ็นเอ ในที่สุด เซลล์จะสะสมการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมมากพอแล้วโตอย่างควบคุมไม่ได้ จนกลายเป็นก้อนเนื้องอก แล้วสุดท้ายแพร่กระจายภายในและนอกปอด[68] การโตและการแพร่กระจายของเนื้องอกที่ควบคุมไม่ได้ก่ออาการของมะเร็งปอด หากไม่ระงับ เนื้องอกที่แพร่กระจายก็จะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด
การสูบบุหรี่

การสูบยาสูบเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ก่อมะเร็งปอด คิดเป็น 80–90% ของผู้ป่วยทั้งหมด[72] ความเสี่ยงมะเร็งปอดจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนบุหรี่ที่สูบ[73] ฤทธิ์ก่อมะเร็งของการสูบบุหรี่เกิดจากสารเคมีหลายชนิดในควันบุหรี่ที่ทำให้ดีเอ็นเอกลายพันธุ์ เพิ่มโอกาสให้เซลล์กลายเป็นมะเร็ง สำนักงานวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ (IARC) ระบุว่ามีสารเคมีอย่างน้อย 50 ชนิดในควันบุหรี่ที่ก่อมะเร็ง ที่มีฤทธิ์แรงที่สุดคือสารประกอบอินทรีย์กลุ่มไนโตรซามีนที่พบเฉพาะในยาสูบ[73] การสัมผัสสารเหล่านี้ก่อความเสียหายต่อดีเอ็นเอหลายรูปแบบ ได้แก่ การเกิด DNA adducts (ดีเอ็นเอเกิดติดกับสารเคมีก่อมะเร็ง), ภาวะ oxidative stress และการแตกหักของเส้นดีเอ็นเอ[75] การอยู่ใกล้ควันบุหรี่ หรือที่เรียกว่าการสูบบุหรี่มือสอง ก็สามารถก่อมะเร็งปอดได้เช่นกัน การใช้ชีวิตร่วมกับผู้สูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็งปอดถึง 24% ประมาณว่าร้อยละ 17 ของผู้ป่วยมะเร็งปอดที่ไม่สูบบุหรี่ เกิดจากการสัมผัสควันบุหรี่ในสิ่งแวดล้อมในระดับสูง[76]
การใช้บุหรี่ไฟฟ้าอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งปอด แต่ก็น้อยกว่าบุหรี่ อย่างไรก็ตาม จนถึง ค.ศ. 2021 ยังจำเป็นต้องวิจัยเพิ่มเติม เนื่องจากอาจใช้เวลานานกว่ามะเร็งปอดจะเกิดหลังสัมผัสสารก่อมะเร็ง[77]
การสูบผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่ยาสูบ ยังไม่มีข้อมูลว่าเกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งปอด การสูบกัญชาไม่พบว่าก่อมะเร็งปอดโดยตรง แม้ว่าควันกัญชาจะมีน้ำมันดิน (ทาร์) และสารก่อมะเร็งค่อนข้างสูง ความสัมพันธ์ระหว่างการสูบโคเคนกับการเกิดมะเร็งปอดยังไม่มีการศึกษาจนถึง ค.ศ. 2020[78]
สารก่อมะเร็งในสิ่งแวดล้อม
การสัมผัสสารพิษหลายชนิดซึ่งมักพบในอาชีพบางอย่าง สัมพันธ์กับความเสี่ยงมะเร็งปอดที่เพิ่มขึ้น[79] มะเร็งปอดประมาณ 9–15% มาจากการสัมผัสสารก่อมะเร็งในอาชีพ[79] ตัวอย่างเด่นก็คือแร่ใยหินซึ่งก่อมะเร็งปอดโดยตรงหรือโดยอ้อมจากการทำให้ปอดอักเสบ[79] การสัมผัสแร่ใยหินทุกรูปแบบที่มีจำหน่ายทางการค้าเพิ่มความเสี่ยงมะเร็ง โดยจะเสี่ยงเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาที่สัมผัส[79] แร่ใยหินและการสูบบุหรี่จะเพิ่มความเสี่ยงแบบเสริมฤทธิ์กัน กล่าวคือ ความเสี่ยงที่ผู้สูบบุหรี่ซึ่งสัมผัสแร่ใยหินจะเสียชีวิตจากมะเร็งปอดสูงกว่าที่คาดจากการบวกความเสี่ยงทั้งสองเข้าด้วยกัน[79]
ในทำนองเดียวกันการสัมผัสก๊าซเรดอน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสีตามธรรมชาติ ก็สัมพันธ์กับความเสี่ยงมะเร็งปอดที่เพิ่มขึ้น ระดับก๊าซเรดอนจะแตกต่างกันไปตามภูมิภาค[80] คนงานเหมืองใต้ดินมีการสัมผัสมากที่สุด อย่างไรก็ตาม แม้แต่ระดับเรดอนที่ต่ำซึ่งเข้ามาสู่ที่อยู่อาศัยก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งปอดได้ เช่นเดียวกับแร่ใยหิน การสูบบุหรี่ร่วมกับการสัมผัสก๊าซเรดอนเพิ่มความเสี่ยงแบบเสริมฤทธิ์[79] การสัมผัสก๊าซเรดอนเป็นสาเหตุมะเร็งปอดประมาณ 3–14%[80]
สารเคมีอื่น ๆ หลายชนิดที่พบในอาชีพต่าง ๆ ก็เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงมะเร็งปอดที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน รวมถึงสารหนูที่ใช้ในการรักษาเนื้อไม้ การใช้ยาฆ่าแมลง และการถลุงแร่บางชนิด, รังสีก่อไอออนที่สัมผัสเมื่อทำเหมืองยูเรเนียม, ไวนิลคลอไรด์ในการทำกระดาษ, เบริลเลียมที่ประสบโดยช่างอัญมณี คนงานเซรามิก ช่างขีปนาวุธ และคนงานเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์, โครเมียมในการผลิตเหล็กกล้าไร้สนิม งานเชื่อม และการฟอกหนัง, นิกเกิลที่สัมผัสโดยช่างชุบนิกเกิล คนงานแก้ว ช่างโลหะ ช่างเชื่อม และผู้ที่ทำแบตเตอรี่ เซรามิก และเครื่องประดับ, รวมถึงไอเสียดีเซลที่ประสบโดยคนงานเหมือง[79]
มลพิษทางอากาศ
การสัมผัสมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละอองที่ปล่อยออกมาจากท่อไอเสียของยานพาหนะและโรงไฟฟ้าที่เผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งปอด[81] สำนักงานวิจัยโรคมะเร็งระหว่างประเทศ (IARC) และองค์การอนามัยโลกจัดให้ฝุ่นละอองอยู่ในสารก่อมะเร็งกลุ่ม 1 (คือมีหลักฐานพอแล้วว่าก่อมะเร็งในมนุษย์) ฝุ่นละอองเป็นรูปแบบมลพิษทางอากาศที่อันตรายที่สุด เพราะสามารถเข้าไปได้ลึกในปอดและกระแสเลือดโดยไม่มีการกรอง งานวิจัย ESCAPE ตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ. 2013 ที่ศึกษาคนยุโรป 312,944 คนใน 9 ประเทศพบว่าไม่มีระดับที่ปลอดภัย สำหรับฝุ่น PM10 ที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (μg/m3) อัตราการเกิดมะเร็งปอดจะเพิ่มขึ้น 22% เทียบกับ PM2.5 ที่อัตราการเกิดจะเพิ่มขึ้น 36%การวิเคราะห์อภิมาน ตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ. 2014 โดยอาศัยงานวิจัย 18 งานทั่วโลกรวมถึงข้อมูลจาก ESCAPE พบว่า สำหรับ PM2.5 ที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ 10 μg/m3 อัตราการเกิดมะเร็งปอดจะเพิ่มขึ้น 9% ส่วนสำหรับ PM10 อัตราการเพิ่มอยู่ที่ 8%
มลพิษทางอากาศภายในอาคารจากการเผาไม้ ถ่าน หรือเศษพืชเพื่อทำอาหารและให้ความร้อน ก็เชื่อมโยงกับความเสี่ยงมะเร็งปอดที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน[86] สำนักงานวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศ (IARC) ได้จัดประเภทการปล่อยมลพิษจากการเผาถ่านหินและมวลชีวภาพในครัวเรือนว่าเป็น “สารก่อมะเร็ง” และ “อาจเป็นสารก่อมะเร็ง” ตามลำดับ[86]
โรคอื่น ๆ
โรคอื่น ๆ หลายชนิดที่ทำให้ปอดอักเสบจะเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งปอด ความสัมพันธ์นี้พบได้ชัดที่สุดในโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ผู้มีการอักเสบมากสุดจะเสี่ยงสูงสุด โดยความเสี่ยงจะลดลงเมื่อรักษาด้วยยาสเตอรอยด์ชนิดสูด[87] โรคปอดอักเสบและโรคระบบภูมิคุ้มกันอื่น ๆ เช่น alpha-1 antitrypsin deficiency, interstitial fibrosis, โรคหนังแข็ง, การติดเชื้อ Chlamydia pneumoniae ซึ่งทำให้ปอดบวม, วัณโรค และการติดเชื้อเอชไอวี ล้วนสัมพันธ์กับความเสี่ยงมะเร็งปอดที่เพิ่มขึ้น[87]ไวรัสเอ็ปสไตน์-บาร์ สัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งปอดชนิดหายาก คือ lymphoepithelioma-like carcinoma ในคนเอเชีย แต่ไม่พบในคนจากประเทศตะวันตก[88] ส่วนเชื้อโรคอื่น ๆ หลายชนิด ได้แก่ ฮิวแมนแพปพิลโลมาไวรัส, ไวรัส BK, ไวรัส JC, ฮิวแมนซัยโตเมกาโลไวรัส, ไวรัส SV40, ไวรัสหัด และไวรัส Torque teno มีบทบาทในการเกิดมะเร็งปอดที่ยังสรุปไม่ได้ทางการศึกษาจนถึง ค.ศ. 2020[88]
พันธุกรรม
การรวมกันของยีนอย่างจำเพาะอาจทำให้บางคนไวเกิดมะเร็งปอดมากขึ้น สมาชิกใกล้ชิดในครอบครัวของผู้ป่วยเสี่ยงเกิดมะเร็งปอดเป็นประมาณ 2 เท่าของคนทั่วไป แม้หลังจากควบคุมปัจจัยการสัมผัสทางอาชีพและพฤติกรรมการสูบบุหรี่แล้วก็ตาม[89] การศึกษาความสัมพันธ์ทั่วทั้งจีโนมได้ระบุรูปแปรผันของยีนหลายชนิดที่เกี่ยวกับความเสี่ยงมะเร็งปอด แต่ละชนิดเพิ่มความเสี่ยงเพียงเล็กน้อย[90] ยีนเหล่านี้มีบทบาทในวิถีทางชีวภาพที่เกี่ยวกับการเกิดมะเร็ง ได้แก่ การซ่อมแซมดีเอ็นเอ การอักเสบ วงจรการแบ่งเซลล์ การตอบสนองต่อความเครียดทางสิ่งแวดล้อมของเซลล์ (cellular stress response) และการปรับโครงสร้างโครมาติน (chromatin remodeling)[90] โรคทางพันธุกรรมที่พบน้อยบางชนิดซึ่งเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งหลายประเภท ก็ยังเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งปอดด้วย ได้แก่ มะเร็งจอตา (retinoblastoma) และ Li–Fraumeni syndrome[91]
การเกิดโรค
เช่นเดียวกับมะเร็งทุกชนิด มะเร็งปอดเกิดจากการกลายพันธุ์ที่ทำให้เซลล์เนื้องอกสามารถแบ่งตัวได้อย่างไม่สิ้นสุด กระตุ้นการสร้างเส้นเลือดใหม่ หลีกเลี่ยงการตายของเซลล์ตามโปรแกรม (อะพอพโทซิส) ผลิตโมเลกุลส่งสัญญาณที่กระตุ้นการเจริญเติบโต เพิกเฉยต่อโมเลกุลส่งสัญญาณที่ยับยั้งการเจริญเติบโต และในที่สุดลุกลามเข้าสู่เนื้อเยื่อรอบข้างหรือแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย[92] เนื้องอกแต่ละชนิดอาจได้ลักษณะเหล่านี้จากการกลายพันธุ์ต่าง ๆ กัน แต่โดยทั่วไป การกลายพันธุ์ที่มีส่วนก่อมะเร็งมักกระตุ้นยีนก่อมะเร็ง (oncogenes) และยับยั้งยีนหยุดเนื้องอก (tumor suppressors)[92]
การกลายพันธุ์บางชนิดที่เรียกว่า “driver mutations” พบได้บ่อยมากในมะเร็งต่อม โดยมีส่วนมากกว่าการกลายพันธุ์ชนิดอื่น ๆ ต่อการเกิดเนื้องอก และปกติเกิดที่ receptor tyrosine kinase รวมทั้ง EGFR, BRAF, MET, KRAS และ PIK3CA[92] ในทำนองเดียวกัน มะเร็งต่อมบางชนิดเกิดจากการจัดเรียงโครโมโซมใหม่ที่ทำให้ tyrosine kinase รวมทั้ง ALK, ROS1, NTRK และ RET มีการแสดงออกมากเกินไป เนื้องอกปกติจะมีการกลายพันธุ์ driver mutation ชนิดเดียว[92] ในทางตรงกันข้าม มะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก (SCLC) มักไม่พบ driver mutation เช่นนี้ แต่มักมีการกลายพันธุ์ที่ทำให้ยีนหยุดเนื้องอก p53 และ RB ไม่ทำงาน[93] อนึ่ง กลุ่มยีนหยุดเนื้องอกบนแขนสั้นของโครโมโซมคู่ที่ 3 มักหายไปตั้งแต่ระยะเริ่มแรกของการเกิดมะเร็งปอดทุกชนิด[92]
การป้องกัน
การเลิกสูบบุหรี่
ผู้สูบบุหรี่สามารถลดความเสี่ยงมะเร็งปอดได้โดยการเลิกสูบบุหรี่ ยิ่งงดนานเท่าไร ความเสี่ยงก็จะลดลงมากขึ้นเท่านั้น[94] โครงการช่วยให้ผู้สูบเลิกเองมักมีผลเพียงเล็กน้อยให้เลิกสูบได้ ในขณะที่การให้คำปรึกษาร่วมกับการใช้ยาสามารถช่วยเพิ่มอัตราการเลิก[94] องค์การอาหารและยาสหรัฐอนุมัติการใช้ยาต้านซึมเศร้าและยาทดแทนนิโคตินคือ varenicline เป็นการรักษาอันดับแรกเพื่อช่วยเลิกบุหรี่ ส่วน clonidine และ nortriptyline แนะนำให้ใช้เป็นการรักษาอันดับสอง[94] ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่วินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปอดจะพยายามเลิกสูบบุหรี่ โดยประมาณครึ่งหนึ่งสามารถเลิกได้สำเร็จ[95] แม้หลังจากได้วินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปอด การเลิกสูบบุหรี่ยังช่วยให้ผลลัพธ์ของการรักษาดีขึ้น ลดความเป็นพิษและอัตราความล้มเหลวของการรักษา และยืดเวลาการรอดชีวิต[96]
ในทางสังคม นโยบายควบคุมที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ยาสูบหาซื้อหรือใช้ได้ยากขึ้นสามารถส่งเสริมการเลิกสูบบุหรี่ได้ กรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO FCTC) กำหนดหรือแนะนำนโยบายทั่วโลก โดยได้สัตยาบันจาก 182 ประเทศซึ่งทั้งสิ้นรวมประชากรมากกว่า 90% ของโลก[97] องค์การอนามัยโลกได้จัดกลุ่มนโยบายเหล่านี้ออกเป็นมาตรการแทรกแซง 6 ประเภท โดยแต่ละประเภทได้พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพลดค่าใช้จ่ายของภาระโรคจากยาสูบ
- เพิ่มราคายาสูบโดยการขึ้นภาษี
- ห้ามใช้ยาสูบในที่สาธารณะเพื่อลดการรับสัมผัส
- ห้ามโฆษณายาสูบ
- เผยแพร่อันตรายของผลิตภัณฑ์ยาสูบ
- จัดตั้งโปรแกรมช่วยเหลือผู้พยายามเลิกสูบ
- เฝ้าติดตามการใช้ยาสูบในระดับประชากรและประสิทธิภาพของนโยบายควบคุมยาสูบ[98]
นโยบายการแทรกแซงแต่ละประเภทที่ได้ดำเนินพบว่าเกี่ยวข้องกับการใช้ยาสูบที่ลดลง ยิ่งใช้ใช้นโยบายจำนวนมากขึ้นเท่าไร ก็ลดลงได้มากขึ้นเท่านั้น การจำกัดการเข้าถึงยาสูบสำหรับวัยรุ่นมีประสิทธิภาพลดการเริ่มสูบบุหรี่จนเป็นนิสัยเป็นพิเศษ ความต้องการผลิตภัณฑ์ยาสูบของวัยรุ่นยังไวต่อการเพิ่มราคาเป็นพิเศษอีกด้วย[100]
อาหารและวิถีชีวิต
ทั้งอาหารและอาหารเสริมหลายชนิดเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงมะเร็งปอด การบริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์บางชนิดในปริมาณมาก เช่น เนื้อแดง (แต่ไม่รวมเนื้อชนิดอื่นหรือปลา) ไขมันอิ่มตัว รวมถึงไนโตรซามีนและไนไตรต์ (พบในเนื้อเค็มและเนื้อรมควัน) สัมพันธ์กับความเสี่ยงมะเร็งปอดที่เพิ่มขึ้น[101] ในทางตรงกันข้าม การบริโภคผักและผลไม้ในปริมาณมากสัมพันธ์กับความเสี่ยงมะเร็งปอดที่ลดลง โดยเฉพาะผักวงศ์ผักกาดและผักผลไม้สด[101] จากประโยชน์ของผักผลไม้ จึงมีการศึกษาวิตามินเสริมหลายชนิด การเสริมด้วยวิตามินเอหรือบีตา-แคโรทีนไม่มีผลต่อมะเร็งปอด โดยกลับเพิ่มอัตราการเสียชีวิตเล็กน้อย[101]วิตามินอีและสารกลุ่มเรตินอยด์ (retinoid) ก็ไม่มีผลเช่นกัน[102] การบริโภคไขมันไม่อิ่มตัวมีพันธะคู่หลายคู่ ชา เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และกาแฟ สัมพันธ์กับความเสี่ยงมะเร็งปอดที่ลดลง[101]
นอกเหนือจากอาหารแล้ว น้ำหนักตัวและนิสัยการออกกำลังกายยังสัมพันธ์กับความเสี่ยงมะเร็งปอด การมีน้ำหนักเกินสัมพันธ์กับความเสี่ยงมะเร็งปอดที่ต่ำลง อาจเนื่องจากผู้สูบบุหรี่มักมีน้ำหนักตัวน้อยกว่า[103] อย่างไรก็ตาม การมีน้ำหนักน้อยเกินก็สัมพันธ์กับความเสี่ยงมะเร็งปอดที่ลดลงเช่นกัน[103] งานวิจัยบางชิ้นแสดงว่า ผู้ออกกำลังกายเป็นประจำหรือมีสมรรถภาพหัวใจและหลอดเลือดที่ดีกว่า เสี่ยงเกิดมะเร็งปอดน้อยกว่า[103]
ระบาดวิทยา

ทั่วโลก มะเร็งปอดเป็นมะเร็งที่มีการวินิจฉัยมากที่สุด เป็นสาเหตุการเสียชีวิตจากมะเร็งเป็นอันดับหนึ่ง[105][106] เมื่อ ค.ศ. 2020 มีการวินิจฉัยผู้ป่วยใหม่ 2.2 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิต 1.8 ล้านราย คิดเป็น 18% ของการเสียชีวิตจากมะเร็งทั้งหมด[4] การเสียชีวิตจากมะเร็งปอดคาดว่าจะเพิ่มขึ้นทั่วโลกจนเกือบ 3 ล้านรายต่อปีภายใน ค.ศ. 2035 เนื่องจากอัตราการใช้ยาสูบที่สูงและประชากรสูงอายุ[106] มะเร็งปอดไม่ค่อยพบในผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี หลังจากนั้นอัตราการเกิดมะเร็งจะเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยคงที่ราวอายุ 80 ปี[2] อายุมัธยฐานของผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปอดอยู่ที่ 70 ปี ส่วนอายุมัธยฐานของการเสียชีวิตอยู่ที่ 72 ปี[3]
อุบัติการณ์ของมะเร็งปอดต่าง ๆ กันไปตามภูมิภาคและเพศ โดยพบอัตราสูงสุดในไมโครนีเซีย โพลินีเซีย ยุโรป เอเชีย และอเมริกาเหนือ และต่ำสุดในแอฟริกาและอเมริกากลาง[107] ทั่วโลก ประมาณ 8% ของผู้ชายและ 6% ของผู้หญิงมีโอกาสเป็นมะเร็งปอดในช่วงชีวิต[2] อัตราส่วนของผู้ป่วยมะเร็งปอดระหว่างผู้ชายต่อผู้หญิงต่างกันอย่างมากตามประเทศต่าง ๆ โดยสูงเกือบ 12:1 ในเบลารุส ไปจนถึง 1:1 ในบราซิล ซึ่งน่าจะเกิดจากการสูบบุหรี่ที่ต่าง ๆ กัน[108]
สำหรับประเทศไทย อัตราการรอดชีวิต 5 ปีระหว่าง ค.ศ. 2005–2009 อยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยคือ 8.1% จากสถิติมะเร็งของไทยระหว่าง ค.ศ. 2019–2021 พบว่า เพศชายเป็นมะเร็งปอดสูงเป็นอันดับสอง (รองจากมะเร็งตับและท่อน้ำดี) ส่วนเพศหญิงเป็นอันดับสาม (รองจากมะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ใหญ่) โดยอัตราส่วนการเป็นระหว่างชายต่อหญิงอยู่ที่ 2.45:1[109]
ความเสี่ยงมะเร็งปอดได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการสูบบุหรี่ รวมถึงความเสี่ยงจากอาชีพในเหมือง การต่อเรือ การกลั่นน้ำมัน และอาชีพที่สัมผัสกับแร่ใยหิน[108] ผู้สูบบุหรี่คิดเป็น 85–90% ของผู้ป่วยมะเร็งปอดทั้งหมด และ 15% ของผู้สูบบุหรี่จะเป็นมะเร็งปอด[108] ความเสี่ยงมะเร็งปอดของผู้ไม่สูบบุหรี่ก็ได้อิทธิพลจากการสูบบุหรี่เช่นกัน ควันบุหรี่มือสอง (คือการอยู่ใกล้ควันบุหรี่) เพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งปอดประมาณ 30% ความเสี่ยงจะสัมพันธ์กับระยะเวลาที่สัมผัส[108] เมื่ออุบัติการณ์ของมะเร็งปอดทั่วโลกลดลงควบคู่กับอัตราการสูบบุหรี่ที่ลดลงในประเทศพัฒนาแล้ว อุบัติการณ์ของมะเร็งปอดในผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่ก็ยังคงที่หรือกลับเพิ่มขึ้น
ประวัติ
มะเร็งปอดมีน้อยก่อนการสูบบุหรี่ ศัลยแพทย์อเมริกันคนแรก ๆ ที่ระบุความสัมพันธ์ของการสูบบุหรี่กับมะเร็งปอด อัลตัน ออคส์เนอร์ เล่าย้อนความว่า เมื่อยังเป็นนักศึกษาแพทย์ที่มหาวิทยาลัยวอชิงตันใน ค.ศ. 1919 มีการเรียกนักศึกษาแพทย์ทั้งชั้นให้ไปดูการชันสูตรศพชายที่เสียชีวิตจากมะเร็งปอด โดยระบุว่าอาจไม่มีโอกาสเห็นกรณีเช่นนี้อีก[111] ในหนังสือ (Primary Malignant Growths of the Lungs and Bronchi) ค.ศ. 1912 ของนายแพทย์อเมริกันไอแซ็ก แอดเลอร์ เขาเรียกมะเร็งปอดว่าเป็น "หนึ่งในโรคที่พบได้ยากที่สุด" แอดเลอร์ได้รวบรวมข้อมูลผู้ป่วยมะเร็งปอด 374 รายที่มีการตีพิมพ์จนถึงเวลานั้น โดยสรุปว่าโรคนี้มีอุบัติการณ์เพิ่มขึ้น[114] เมื่อถึงคริสต์ทศวรรษ 1920 ก็มีทฤษฎีหลายอย่างที่เสนอแล้วเพื่อเชื่อมการเพิ่มขึ้นของมะเร็งปอดกับการสัมผัสสารเคมีที่มีมากขึ้นหลายชนิดรวมถึงควันบุหรี่ ฝุ่นยางมะตอย มลพิษทางอากาศจากอุตสาหกรรม และก๊าซพิษจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง[114]
ตลอดหลายทศวรรษถัดมา หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นได้เชื่อมโยงมะเร็งปอดกับการสูบบุหรี่ ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1940 และต้นคริสต์ทศวรรษ 1950 งานศึกษามีกลุ่มควบคุมหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า ผู้ป่วยมะเร็งปอดมีแนวโน้มสูบบุหรี่มากกว่าผู้ที่ไม่เป็นมะเร็งปอด[115] ต่อมาในคริสต์ทศวรรษ 1950 งานศึกษาตามรุ่นตามแผนหลายชิ้นรวมถึงรายงานแรกของการศึกษาแพทย์อังกฤษ (British Doctors Study) ใน ค.ศ. 1954 ล้วนแสดงให้เห็นว่าผู้สูบบุหรี่เสี่ยงการเกิดมะเร็งปอดสูงขึ้นอย่างมาก[115]

การศึกษาเมื่อ ค.ศ. 1953 ที่แสดงว่า น้ำมันดินจากควันบุหรี่สามารถก่อเนื้องอกในหนูได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน โดยมีการนำเสนอในนิตยสารไลฟ์ และไทม์ ท่ามกลางความกังวลของมวลชนและราคาหุ้นที่ตกลง ซีอีโอของบริษัทยาสูบอเมริกันรายใหญ่สุด 6 รายได้รวมตัวกันในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1953[116] แล้วจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์ฮิลแอนด์โนลตัน (Hill & Knowlton) เพื่อวางกลยุทธ์ที่มุ่งเบนความสนใจจากหลักฐานที่เพิ่มขึ้น โดยให้เงินทุนแก่งานวิจัยที่เอื้อต่ออุตสาหกรรมยาสูบ, โดยระบุว่าความเชื่อมโยงกับมะเร็งปอดยังเป็น "ข้อถกเถียง" และโดยเรียกร้องให้มีการวิจัยอย่างไม่สิ้นสุดเพื่อยุติข้อถกเถียงที่ถูกสร้างขึ้นนี้[116][117] ในเวลาเดียวกัน งานวิจัยของบริษัทยาสูบรายใหญ่เองก็สนับสนุนความเชื่อมโยงระหว่างยาสูบกับมะเร็งปอด แม้ผลลัพธ์เหล่านี้จะถูกปกปิดจากสาธารณชน[118]
เมื่อหลักฐานที่เชื่อมโยงการใช้ยาสูบกับมะเร็งปอดเพิ่มขึ้น หน่วยงานทางสาธารณสุขต่าง ๆ ก็ได้ประกาศความเชื่อมโยงโดยเป็นจุดยืนอย่างเป็นทางการ ใน ค.ศ. 1962 ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งลอนดอนได้สรุปอย่างเป็นทางการว่าการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุของมะเร็งปอด ซึ่งกระตุ้นให้นายแพทย์ใหญ่แห่งสหรัฐอเมริกาจัดตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษา โดยมีการประชุมลับ 9 ครั้งระหว่างเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1962 ถึง ธันวาคม ค.ศ. 1963[119] รายงานของคณะกรรมการที่ตีพิมพ์ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1964 ได้สรุปอย่างหนักแน่นว่าการสูบบุหรี่ "มีน้ำหนักเหนือกว่าปัจจัยอื่น ๆ ทั้งหมด" ในการก่อมะเร็งปอด[120] รายงานดังกล่าวได้เผยแพร่อย่างกว้างขวางในสื่อมวลชน และมักมองว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการยอมรับอย่างเป็นทางการว่า การสูบบุหรี่ก่อมะเร็งปอด[119][121]
ความเชื่อมโยงกับก๊าซเรดอนได้ระบุเป็นครั้งแรกในหมู่คนงานเหมืองในเทือกเขาออร์ (Ore) ประเทศเยอรมนี ตั้งแต่ ค.ศ. 1500 มีการบันทึกว่าคนงานเหมืองป่วยด้วยโรคร้ายแรงที่เรียกว่า "โรคภูเขา" (Bergkrankheit) ซึ่งระบุว่าเป็นมะเร็งปอดในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19[123] จนถึง ค.ศ. 1938 มีคนงานเหมืองแร่ถึง 80% ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจนเสียชีวิตจากโรคนี้ ในคริสต์ทศวรรษ 1950 เรดอนและผลิตภัณฑ์การสลายตัวของมันได้การยอมรับว่าเป็นสาเหตุของมะเร็งปอดในคนงานเหมือง โดยอาศัยการศึกษาคนงานเหมืองเป็นหลัก องค์การวิจัยมะเร็งนานาชาติ (IARC) จึงได้จัดประเภทเรดอนว่าเป็น "สารก่อมะเร็งในมนุษย์" เมื่อ ค.ศ. 1988[123]
ใน ค.ศ. 1956 การศึกษาพบเรดอนในที่อยู่อาศัยในประเทศสวีเดน ตลอดหลายทศวรรษต่อมา มีการตรวจพบเรดอนความเข้มข้นสูงในที่อยู่อาศัยทั่วโลก และภายในคริสต์ทศวรรษ 1980 หลายประเทศได้จัดตั้งโครงการระดับชาติเพื่อบันทึกและลดปริมาณเรดอนในที่อยู่อาศัย[124]
การตัดปอด (pneumonectomy) ออกทั้งข้างทำสำเร็จเป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 1933 โดยแพทย์ชาวอเมริกันที่โรงพยาบาลบาร์นส์ เมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี[125] โดยในคริสต์ทศวรรษ 1960 การตัดปอดทั้งกลีบ (lobectomy) มีบ่อยกว่าการตัดปอดออกทั้งหมด และในต้นคริสต์ทศวรรษ 1970 ก็เริ่มมีการผ่าตัดปอดแบบเล็กกว่า คือ wedge resection[126][127] (ดูส่วนมะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก) แนวโน้มนี้ดำเนินต่อไปด้วยการพัฒนาการผ่าตัดทรวงอกอาศัยกล้องวิดีโอช่วย (video-assisted thoracoscopic surgery) ในคริสต์ทศวรรษ 1980 ซึ่งปัจจุบันใช้ผ่าตัดมะเร็งปอดอย่างแพร่หลาย[128]
งานวิจัย
แม้ว่ามะเร็งปอดจะเป็นมะเร็งชนิดร้ายแรงที่สุด แต่กลับได้รับทุนวิจัยจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NCI ซึ่งเป็นผู้ให้เงินทุนวิจัยมะเร็งรายใหญ่ที่สุดในโลก) เป็นลำดับที่สาม รองจากมะเร็งสมองและมะเร็งเต้านม แม้จะมีระดับเงินทุนวิจัยรวมที่สูง แต่เงินวิจัยมะเร็งปอดเทียบกับจำนวนการเสียชีวิตกลับล้าหลังมะเร็งชนิดอื่น ๆ เมื่อ ค.ศ. 2022 ในสหรัฐอเมริกาพบว่าอัตราการให้เงินทุนวิจัยในต่อรายผู้เสียชีวิตจากมะเร็งปอดในประเทศเป็นดังนี้ 3,200 ดอลลาร์ต่อราย ซึ่งต่ำกว่ามะเร็งสมอง (22,000 ดอลลาร์ต่อราย) มะเร็งเต้านม (14,000 ดอลลาร์ต่อราย) และมะเร็งโดยรวม (11,000 ดอลลาร์ต่อราย) อย่างมาก แนวโน้มนี้คล้ายกันในองค์กรไม่แสวงหากำไรภาคเอกชน รายได้ประจำปีขององค์กรไม่แสวงหากำไรที่เน้นมะเร็งปออยู่ในอันดับที่ห้าในบรรดามะเร็งทั้งหมด ซึ่งต่ำกว่าที่ควรจะเป็นเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ป่วย จำนวนผู้เสียชีวิต และจำนวนปีของชีวิตที่อาจสูญเสีย[131]
ถึงเช่นนั้น ก็ยังมีการทดลองการรักษามะเร็งปอดจำนวนมากที่อยู่ระหว่างการทดลองทางคลินิก มีการทดลองที่ลงทะเบียนดำเนินการ ณ ค.ศ. 2021 ถึง 2,250 งาน[132] ส่วนใหญ่กำลังทดสอบการรักษาด้วยรังสี (26% ของการทดลอง) และเทคนิคการผ่าตัด (22%) อีกหลายงานมุ่งทดสอบยาต้านมะเร็งที่เจาะจงเซลล์มะเร็งทางโมเลกุล มีโมเลกุลเป้าหมาย ได้แก่ EGFR (17% ของการทดลอง) ไมโครทิวบูล (12%) VEGF (12%) วิถีทางภูมิคุ้มกัน (immune pathways 10%) mTOR (1%) และ histone deacetylase (<1%)[133]
เชิงอรรถ
- checkpoint inhibitor therapy (การบำบัดด้วยยายับยั้งจุดตรวจภูมิคุ้มกัน) เป็นรูปแบบหนึ่งของการรักษามะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด การรักษานี้มุ่งเป้าไปที่จุดตรวจภูมิคุ้มกัน (immune checkpoint) ซึ่งเป็นตัวควบคุมหลักของระบบภูมิคุ้มกัน ที่เมื่อถูกกระตุ้นสามารถลดการตอบสนองของระบบต่อสิ่งกระตุ้นได้ มะเร็งบางชนิดจึงสามารถป้องกันตนเองจากภูมิคุ้มกันโดยการกระตุ้นจุดตรวจเช่นนี้ ดังนั้น ยายับยั้งจุดตรวจภูมิคุ้มกันจึงใช้ยับยั้งการทำงานของจุดตรวจที่กดภูมิคุ้มกัน ทำให้ภูมิคุ้มกันกลับมาทำงานได้ตามปกติอีก
- solitary pulmonary nodule เป็นรอยโรครูปกลมในปอดขนาดไม่เกิน 3 ซม. มีเนื้อปอดปกติล้อมรอบ ไม่เกิดร่วมกับภาวะที่ชี้ว่ามีโรคหนักยิ่ง ๆ ขึ้นไป[16]
- รอยโรคแบบ adenocarcinoma in situ (AIS) จัดเป็นเนื้องอกขนาดเล็กที่มีขนาดน้อยกว่า 3 ซม. โดยมีการเจริญของเซลล์ชนิด pneumocyte type II ที่ผิดปกติ ซึ่งจำกัดอยู่เฉพาะในช่องถุงลม (alveolar spaces) คือไม่เข้าสู่เนื้อเยื่อส่วนสโตรมา เยื่อหุ้มปอด หรือหลอดเลือด รูปแบบการโตเช่นนี้เรียกว่า lepidic และเป็นลักษณะเฉพาะของมะเร็งต่อมในปอดในระยะเริ่มแรก
- หน่วย ซอง·ปี เป็นหน่วยวัดปริมาณการสูบบุหรี่เป็นระยะเวลานาน คำนวณโดยนำจำนวนซองบุหรี่ที่สูบต่อวัน คูณด้วยจำนวนปีที่สูบ ตัวอย่างเช่น 1 ซอง·ปี เท่ากับการสูบบุหรี่วันละ 20 มวน (1 ซอง) เป็นเวลา 1 ปี หรือสูบวันละ 40 มวนเป็นเวลาเพียงครึ่งปี1 ซอง·ปี เทียบเท่ากับการสูบบุหรี่ 365 ซอง หรือ 7,300 มวน ในหนึ่งปี
อ้างอิง
- "Carcinoma, Non-Small-Cell Lung". meshb.nlm.nih.gov. National Library of Medicine. สืบค้นเมื่อ 2025-05-18.
- Horn & Iams 2022, "Epidemiology".
- Bade & Dela Cruz 2020, "Age".
- Sung et al. 2021, "Lung cancer".
- Rivera, Mody & Weiner 2022, "Introduction".
- Pastis, Gonzalez & Silvestri 2022, "Presentation/Initial Evaluation".
- Nasim, Sabath & Eapen 2019, "Clinical Manifestations".
- Horn & Iams 2022, "Clinical Manifestations".
- "Diagnosis – Lung Cancer". National Health Service. 2022-11-01. สืบค้นเมื่อ 2022-11-30.
- "Lung Carcinoma: Tumors of the Lungs" (online ed.). Merck Manual Professional. July 2020. สืบค้นเมื่อ 2021-07-21.
- Pastis, Gonzalez & Silvestri 2022, "Noninvasive Staging".
- Horn & Iams 2022, "Diagnosing Lung Cancer".
- Alexander, Kim & Cheng 2020, "Liquid Biopsy".
- Pastis, Gonzalez & Silvestri 2022, "Suspected Metastatic Disease".
- Morgensztern et al. 2023, "Clinical manifestations".
- แนวทางการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็งปอด (ปรับปรุงครั้งที่ 2) 2016, "คำย่อ" หน้า 40.
- Tanoue, Mazzone & Tanner 2022, "Evidence for Lung Cancer Screening".
- Salahuddin & Ost 2023, "Table 110-1: Differential Diagnosis of Solitary Pulmonary Nodules".
- Image by Mikael Häggström, MD. Source for findings: Caroline I.M. Underwood, M.D., Carolyn Glass, M.D., Ph.D. "Lung - Small cell carcinoma". Pathology Outlines.
{{cite web}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) Last author update: 20 September 2022 - Thai et al. 2021, "Histology".
- Rudin et al. 2021, "Signs and Symptoms".
- Horn & Iams 2022, "Pathology".
- Morgensztern et al. 2023, "Precursor lesions".
- Brunicardi (2014). Schwartz's Principles of Surgery (10 th ed.). McGraw-Hill. OCLC 941117341.
- Jones 2013, "Conclusion".
- Pastis, Gonzalez & Silvestri 2022, "Histology and Prognosis".
- Rudin et al. 2021, "Immunohistochemistry".
- Horn & Iams 2022, "Immunohistochemistry".
- The 8th lung cancer TNM classification and clinical staging system: review of the changes and clinical implications 2018, "Table 5: Overall stage based on T, N, and M descriptors".
- "Small Cell Lung Cancer Stages". American Cancer Society. 2019-10-01. สืบค้นเมื่อ 2022-12-02.
- "Non-small Cell Lung Cancer Stages". American Cancer Society. 2019-10-01. สืบค้นเมื่อ 2022-12-02.
- Horn & Iams 2022, "Staging System for Non-Small-Cell Lung Cancer".
- Pastis, Gonzalez & Silvestri 2022, "Eight Edition Lung Cancer Stage Classification".
- Horn & Iams 2022, "Table 78–6 TNM Stage Groupings, Eighth Edition".
- "Lung Cancer TNM staging summary" (PDF) (8th ed.). International Association for the Study of Lung Cancer. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2018-06-17. สืบค้นเมื่อ 2018-05-30.
- "Can Lung Cancer Be Found Early?". American Cancer Society. 2023-01-18. สืบค้นเมื่อ 2023-04-30.
- Jonas et al. 2021, Abstract – "Conclusions and Relevance".
- "pack year". National Cancer Institute. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2025-10-08.
- Alexander, Kim & Cheng 2020, "Lung Cancer Screening".
- Cancer screening in the European Union 2022, p. 27.
- Canadian Task Force 2016, "Recommendations".
- Rivera, Mody & Weiner 2022, "Palliative Care".
- Horn & Iams 2022, "Treatment – Small-Cell Lung Cancer".
- Rivera, Mody & Weiner 2022, "Treatment of Small Cell Lung Cancer".
- Rudin et al. 2021, "Locally advanced SCLC".
- Pardoll, DM (March 2012). "The blockade of immune checkpoints in cancer immunotherapy". Nature Reviews. Cancer. 12 (4): 252–64. doi:10.1038/nrc3239. PMC 4856023. PMID 22437870.
- Rudin et al. 2021, "Metastatic Disease".
- Horn & Iams 2022, "Management of Stages I and II NSCLC".
- Horn & Iams 2022, "Management of Stage III NSCLC".
- Horn & Iams 2022, "Management of Metastatic NSCLC".
- Alexander, Kim & Cheng 2020, "Basis of Molecularly Targeted Therapy in Lung Cancer".
- Horn & Iams 2022, "Cytotoxic Chemotherapy for Metastatic or Recurrent NSCLC".
- Horn & Iams 2022, "Immunotherapy".
- Horn & Iams 2022, "Second-Line Therapy and Beyond".
- แนวทางการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็งปอด (ปรับปรุงครั้งที่ 2) 2016, "เทคนิคการสอดใส่หรือฝังแร่ (Brachytherapy)" หน้า 68.
- Aragon 2020, "Integrating palliative care into lung cancer care".
- Aragon 2020, "Dyspnea".
- Obeng, Folch & Fernando Santacruz 2018, "Introduction", "Prevalence", and "Clinical presentation".
- Obeng, Folch & Fernando Santacruz 2018, "Management".
- Spencer et al. 2018, "What are the indications for using palliative radiotherapy?".
- Lim 2016, "Key area three: providing symptom management in the last days".
- Goldstraw et al. 2016, "Figure 2".
- Rivera, Mody & Weiner 2022, "Prognostic and Predictive Factors in Lung Cancer".
- Allemani et al. 2018, "Lung".
- Allemani et al. 2018, "Table 4" หน้า 995
- Temel, Petrillo & Greer 2022, "Coping with Prognostic Uncertainty".
- Horn & Iams 2022, "Molecular Pathology".
- "What Causes Lung Cancer". American Cancer Society. 2019-10-01. สืบค้นเมื่อ 2023-01-31.
- "What Causes Lung Cancer?". American Lung Association. 2022-11-17. สืบค้นเมื่อ 2023-01-31.
- Massion & Lehman 2022, Table 73.1: Hallmarks of Cancer.
- Schabath & Cote 2019, "Introduction".
- Bade & Dela Cruz 2020, "Tobacco Smoke Carcinogens".
- "Tobacco and Cancer". Centers for Disease Control and Prevention. 2021-11-18. สืบค้นเมื่อ 2022-12-29.
- Massion & Lehman 2022, "DNA Damage Response".
- Bade & Dela Cruz 2020, "Environmental Tobacco Smoke".
- Bracken-Clarke et al. 2021, Abstract – "Conclusion".
- Bade & Dela Cruz 2020, "Marijuana and Other Recreational Drugs".
- Christiani & Amos 2022, "Occupational Exposures".
- Schabath & Cote 2019, "Radon".
- Christiani & Amos 2022, "Air Pollution".
- Balmes & Holm 2022, Table 102.2: Major Pollutants Associated with Adverse Pulmonary Effects.
- US EPA, OAR (2016-04-26). "Health and Environmental Effects of Particulate Matter (PM)". US EPA. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-12-15. สืบค้นเมื่อ 2019-10-05.
- Raaschou-Nielsen, Ole; Andersen, Zorana J; Beelen, Rob; Samoli, Evangelia; Stafoggia, Massimo; Weinmayr, Gudrun; และคณะ (August 2013). "Air pollution and lung cancer incidence in 17 European cohorts: prospective analyses from the European Study of Cohorts for Air Pollution Effects (ESCAPE)". The Lancet Oncology. 14 (9): 813–822. doi:10.1016/S1470-2045(13)70279-1. PMID 23849838.
- Hamra, GB; Guha, N; Cohen, A; Laden, F; Raaschou-Nielsen, O; Samet, JM; และคณะ (September 2014). "Outdoor particulate matter exposure and lung cancer: a systematic review and meta-analysis". Environmental Health Perspectives. 122 (9): 906–11. doi:10.1289/ehp.1408092. PMC 4154221. PMID 24911630.
- Bade & Dela Cruz 2020, "Biomass Burning".
- Bade & Dela Cruz 2020, "Chronic Lung Diseases".
- Bade & Dela Cruz 2020, "Infections".
- Christiani & Amos 2022, "Genetic Susceptibility to Lung Cancer".
- Bade & Dela Cruz 2020, "Genetic Predisposition and History of Cancer".
- Christiani & Amos 2022, "High-Risk Syndromes Conferring an Increased Risk of Lung Cancer".
- Horn & Iams 2022, "Molecular Pathogenesis".
- Rudin et al. 2021, "Mechanisms/Pathophysiology".
- Horn & Iams 2022, "Risk Factors".
- Jassem 2019, "Prevalence and determinants of continued tobacco use after diagnosis of cancer".
- Jassem 2019, "Consequences of continued smoking after diagnosis of cancer".
- Peruga et al. 2021, "2.1. Galvanizing global political will around international law".
- Peruga et al. 2021, "2.2. Quadrupling the number of people benefiting from at least one cost-effective tobacco control policy since 2007".
- Arnott, Lindorff & Goddard 2022, p. 427.
- Christiani & Amos 2022, "Smoking Behavior and Risk for Lung Cancer".
- Bade & Dela Cruz 2020, "Diet".
- Bade & Dela Cruz 2020, "Chemopreventive Agents".
- Bade & Dela Cruz 2020, "Obesity and Exercise".
- "Estimated age-standardized incidence rates (World) in 2020, lung, both sexes, all ages". World Health Organization, International Agency for Research on Cancer. สืบค้นเมื่อ 2023-04-28.
- Schabath & Cote 2019, "Descriptive Epidemiology".
- Christiani & Amos 2022, "Introduction".
- Sung et al. 2021, "Figure 9".
- Christiani & Amos 2022, "Geographic, Gender, and Ethnic Variability".
- Cancer In Thailand Vol.XI 2019-2021 2025, "Figure C" หน้า 10.
- LoPiccolo, Jaclyn; Gusev, Alexander; Christiani, David C.; Jänne, Pasi A. (2024-01-09). "Lung cancer in patients who have never smoked — an emerging disease". Nature Reviews Clinical Oncology (ภาษาอังกฤษ). 21 (2): 121–146. doi:10.1038/s41571-023-00844-0. ISSN 1759-4782. PMC 11014425. PMID 38195910.
- Spiro & Silvestri 2005, "Introduction".
- Blum 1999, p. 102.
- Adler 1912, p. 3.
- Proctor 2012, "Introduction".
- Proctor 2012, "Population studies".
- Proctor 2012, "Animal experimentation".
- Brandt 2012, "Industry response to emerging tobacco science".
- Proctor 2012, "Cancer-causing chemicals in cigarette smoke".
- Hall 2022, "Establishing the advisory committee to the US Surgeon General".
- Hall 2022, "Cigarette smoking and lung cancer".
- Parascandola 2020, "Introduction".
- Witschi 2001, p. 2.
- Mc Laughlin 2012, "Miner epidemiological studies".
- Mc Laughlin 2012, "Residential radon epidemiology".
- Horn & Johnson 2008, "Introduction".
- Walcott-Sapp & Sukumar 2016, "Evolution of Indications and Operative Technique".
- Spiro & Silvestri 2005, "Surgery".
- Walcott-Sapp & Sukumar 2016, "A Delayed Entrance to the Modern Era of Minimally Invasive Lung Resection".
- "Funding for Research Areas". National Cancer Institute. 2022-05-10. สืบค้นเมื่อ 2023-04-22.
- "Estimates of Funding for Various Research, Condition, and Disease Categories (RCDC)". US National Institutes of Health. 2023-03-31. สืบค้นเมื่อ 2023-04-30.
- Kamath, Kircher & Benson 2019, "Results".
- Batra, Pawar & Bahl 2021, "Practice Points".
- Batra, Pawar & Bahl 2021, "Figure 2: Types of treatment for lung cancer in clinical trials, Phase I-IV".
แหล่งอ้างอิงอื่น ๆ
หนังสือ
- รักเอียด, สุพัตรา; ภักดีนิติ, ศุกล; ปานจันทร์, วิษณุ; ชัยวีระวัฒนะ, อาคม; อิ่มสำราญ, วีรวุฒิ, บ.ก. (2016). แนวทางการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็งปอด (ปรับปรุงครั้งที่ 2) (PDF). กรุงเทพฯ: กลุ่มงานสนับสนุนวิชาการ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. ISBN 978-974-422-788-1. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-05-16.
- S. Thanasitthichai; R. Ingsirorat; C. Chairat; I. Chiawiriyabunya; M. Wongsena; K. Sripratak; P. Laowahutanont; N. Srikat; S. Sangrajrang; D. Manorom; S. Pitakkarnkul; E. Sangariyavanich; R. Buasom, บ.ก. (2025). Cancer In Thailand Vol.XI 2019-2021 (PDF). กรุงเทพฯ: National Cancer Institute, Department of Medical Services, Ministry of Public Health. ISBN 978-616-11-5387-8. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 2025-03-17.
- Adler, I (1912). Primary Malignant Growths of the Lungs and Bronchi. New York: Longmans, Green, and Company. OCLC 14783544. OL 24396062M.
- Broaddus, C; Ernst, JD; King, TE; al, et, บ.ก. (2022). Murray & Nadel's Textbook of Respiratory Medicine (7th ed.). Elsevier. ISBN 978-0323655873.
- Balmes, JR; Holm, SM (2022). "Indoor and Outdoor Air Pollution". ใน Broaddus, C; Ernst, JD; King, TE; al, et (บ.ก.). Murray & Nadel's Textbook of Respiratory Medicine (7th ed.). Elsevier. pp. 1423–1434.
- Christiani, DC; Amos, CI (2022). "Lung Cancer: Epidemiology". ใน Broaddus, C; Ernst, JD; King, TE; al, et (บ.ก.). Murray & Nadel's Textbook of Respiratory Medicine (7th ed.). Elsevier. pp. 1018–1028.
- Massion, PP; Lehman, JM (2022). "Lung Cancer: Molecular Biology and Targets". ใน Broaddus, C; Ernst, JD; King, TE; al, et (บ.ก.). Murray & Nadel's Textbook of Respiratory Medicine (7th ed.). Elsevier. pp. 1005–1017.
- Pastis, NJ; Gonzalez, AV; Silvestri, GA (2022). "Lung Cancer: Diagnosis and Staging". ใน Broaddus, C; Ernst, JD; King, TE; al, et (บ.ก.). Murray & Nadel's Textbook of Respiratory Medicine (7th ed.). Elsevier. pp. 1039–1051.
- Rivera, P; Mody, GN; Weiner, AA (2022). "Lung Cancer: Treatment". ใน Broaddus, C; Ernst, JD; King, TE; al, et (บ.ก.). Murray & Nadel's Textbook of Respiratory Medicine (7 ed.). Elsevier. pp. 1052–1065.
- Tanoue, L; Mazzone, PJ; Tanner, NT (2022). "Lung Cancer: Screening". ใน Broaddus, C; Ernst, JD; King, TE; al, et (บ.ก.). Murray & Nadel's Textbook of Respiratory Medicine (7th ed.). Elsevier. pp. 1029–1038.
- European Commission. Directorate General for Research and Innovation.; European Commission Group of Chief Scientific Advisors. (2022). Cancer screening in the European Union. Publications Office of the European Union. doi:10.2777/867180. ISBN 978-92-76-45603-2.
- Horn, L; Iams, WT (2022). "78: Neoplasms of the Lung". ใน Loscalzo, J; Fauci, A; Kasper, D; al, et (บ.ก.). Harrison's Principles of Internal Medicine (21st ed.). McGraw Hill. ISBN 978-1264268504.
- Morgensztern, D; Boffa, D; Chen, A; Dhanasopon, A; Goldberg, SB; Decker, RH; Devarakonda, S; Ko, JP; LM, Solis Soto; Waqar, SN; Wistuba, II; Herbst, RS (April 2023). "80: Cancer of the Lung". ใน Bast, RC; Byrd, JC; Croce, CM; al, et (บ.ก.). Holland-Frei Cancer Medicine (10th ed.). Wiley. ISBN 978-1-119-75068-0.
- Salahuddin, M; Ost, DE (2023). "110: Approach to the Patient with Pulmonary Nodules". ใน Grippi, MA; Antin-Ozerkis, DE; CS, Dela Cruz; al, et (บ.ก.). Fishman's Pulmonary Diseases and Disorders (6th ed.). McGraw Hill. ISBN 978-1260473988.
บทความในวารสาร
- Alexander, M; Kim, SY; Cheng, H (December 2020). "Update 2020: Management of Non-Small Cell Lung Cancer". Lung. 198 (6): 897–907. doi:10.1007/s00408-020-00407-5. PMC 7656891. PMID 33175991.
- Allemani, C; Matsuda, T; Di Carlo, V; Harewood, R; Matz, M; Nikšić, M; และคณะ (March 2018). "Global surveillance of trends in cancer survival 2000–14 (CONCORD-3): analysis of individual records for 37,513,025 patients diagnosed with one of 18 cancers from 322 population-based registries in 71 countries". Lancet. 391 (10125): 1023–1075. doi:10.1016/S0140-6736(17)33326-3. PMC 5879496. PMID 29395269.
- Aragon, KN (June 2020). "Palliative Care in Lung Cancer". Clin Chest Med. 41 (2): 281–293. doi:10.1016/j.ccm.2020.02.005. PMID 32402363. S2CID 218633948.
- Arnott, D; Lindorff, K; Goddard, A (August 2022). "Tobacco control: the FCTC provides the route to the finish line". Lancet. 400 (10350): 427. doi:10.1016/S0140-6736(22)01334-4. PMID 35878621. S2CID 250960604.
- Bade, BC; CS, Dela Cruz (March 2020). "Lung Cancer 2020: Epidemiology, Etiology, and Prevention". Clin Chest Med. 41 (1): 1–24. doi:10.1016/j.ccm.2019.10.001. PMID 32008623. S2CID 211015015.
- Batra, H; Pawar, S; Bahl, D (February 2021). "Current clinical trials and patent update on lung cancer: a retrospective review". Lung Cancer Management. 10 (5): LMT45. doi:10.2217/lmt-2020-0029. PMC 8162165. PMID 34084211.
- Blum, A (July 1999). "Alton ochsner, MD, 1896–1981 anti-smoking pioneer". Ochsner J. 1 (3): 102–105. PMC 3145444. PMID 21845126.
- Bracken-Clarke, D; Kapoor, D; Baird, AM; Buchanan, PJ; Gately, K; Cuffe, S; Finn, SP (March 2021). "Vaping and lung cancer – A review of current data and recommendations". Lung Cancer. 153: 11–20. doi:10.1016/j.lungcan.2020.12.030. PMID 33429159. S2CID 231586192.
- Brandt, AM (January 2012). "Inventing conflicts of interest: a history of tobacco industry tactics". Am J Public Health. 102 (1): 63–71. doi:10.2105/AJPH.2011.300292. PMC 3490543. PMID 22095331.
- Canadian Task Force on Preventive Health Care (April 2016). "Recommendations on screening for lung cancer". CMAJ. 188 (6): 425–432. doi:10.1503/cmaj.151421. ISSN 0820-3946. PMC 4818132. PMID 26952527.
- Goldstraw, P; Chansky, K; Crowley, J; Rami-Porta, R; Asamura, H; Eberhardt, WE; และคณะ (January 2016). "The IASLC Lung Cancer Staging Project: Proposals for Revision of the TNM Stage Groupings in the Forthcoming (8th) ed. of the TNM Classification for Lung Cancer". J Thorac Oncol. 11 (1): 39–51. doi:10.1016/j.jtho.2015.09.009. hdl:10044/1/31538. PMID 26762738. S2CID 5368645.
- Hall, W (December 2022). "The 1964 US Surgeon General's report on smoking and health". Addiction. 117 (12): 3170–3175. doi:10.1111/add.16007. PMID 35852022. S2CID 250642397.
- Horn, L; Johnson, DH (July 2008). "Evarts A. Graham and the first pneumonectomy for lung cancer". Journal of Clinical Oncology. 26 (19): 3268–3275. doi:10.1200/JCO.2008.16.8260. PMID 18591561. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-03-17. สืบค้นเมื่อ 2009-03-20.
- Jassem, J (May 2019). "Tobacco smoking after diagnosis of cancer: clinical aspects". Translational Lung Cancer Research. 8 (Suppl 1): S50–S58. doi:10.21037/tlcr.2019.04.01. PMC 6546630. PMID 31211105.
- Jonas, DE; Reuland, DS; Reddy, SM; Nagle, M; Clark, SD; Weber, RP; Enyioha, C; Malo, TL; Brenner, AT; Armstrong, C; Coker-Schwimmer, M; Middleton, JC; Voisin, C; Harris, RP (March 2021). "Screening for Lung Cancer With Low-Dose Computed Tomography: Updated Evidence Report and Systematic Review for the US Preventive Services Task Force". JAMA. 325 (10): 971–987. doi:10.1001/jama.2021.0377. PMID 33687468. S2CID 232159404.
- Jones, KD (December 2013). "Whence lepidic?: the history of a Canadian neologism". Arch Pathol Lab Med. 137 (12): 1822–1824. doi:10.5858/arpa.2013-0144-HP. PMID 23937575.
- Kamath, SD; Kircher, SM; Benson, AB (July 2019). "Comparison of Cancer Burden and Nonprofit Organization Funding Reveals Disparities in Funding Across Cancer Types". J Natl Compr Canc Netw. 17 (7): 849–854. doi:10.6004/jnccn.2018.7280. PMID 31319386. S2CID 197666475.
- Lim, RB (October 2016). "End-of-life care in patients with advanced lung cancer". Ther Adv Respir Dis. 10 (5): 455–467. doi:10.1177/1753465816660925. PMC 5933619. PMID 27585597.
- Lim, W; Ridge, CA; Nicholson, AG; Mirsadraee, S (August 2018). "The 8th lung cancer TNM classification and clinical staging system: review of the changes and clinical implications". Quantitative Imaging in Medicine and Surgery. 8 (7): 709–718. doi:10.21037/qims.2018.08.02. PMC 6127520. PMID 30211037.
- J, Mc Laughlin (November 2012). "An historical overview of radon and its progeny: applications and health effects". Radiat Prot Dosimetry. 152 (1–3): 2–8. doi:10.1093/rpd/ncs189. PMID 22914338.
- Nasim, F; Sabath, BF; Eapen, GA (May 2019). "Lung Cancer". Med Clin North Am. 103 (3): 463–473. doi:10.1016/j.mcna.2018.12.006. PMID 30955514. S2CID 102349766.
- Obeng, C; Folch, E; J, Fernando Santacruz (December 2018). "Management of malignant airway obstruction". AME Medical Journal. 3: 115. doi:10.21037/amj.2018.11.06. S2CID 80791599.
- Parascandola, M (March 2020). "The other Surgeon General's report: history of the U.S. public health response to air pollution, cigarette smoking, and lung cancer". Annals of Cancer Epidemiology. 4: 3. doi:10.21037/ace.2020.03.01. S2CID 216205576.
- Peruga, A; López, MJ; Martinez, C; Fernández, E (March 2021). "Tobacco control policies in the 21st century: achievements and open challenges". Mol Oncol. 15 (3): 744–752. doi:10.1002/1878-0261.12918. PMC 7931122. PMID 33533185.
- Proctor, RN (March 2012). "The history of the discovery of the cigarette-lung cancer link: evidentiary traditions, corporate denial, global toll". Tob Control. 21 (2): 87–91. doi:10.1136/tobaccocontrol-2011-050338. PMID 22345227. S2CID 2734836.
- Rudin, CM; Brambilla, E; Faivre-Finn, C; Sage, J (January 2021). "Small-cell lung cancer". Nat Rev Dis Primers. 7 (1): 3. doi:10.1038/s41572-020-00235-0. PMC 8177722. PMID 33446664.
- Schabath, MB; Cote, ML (October 2019). "Cancer Progress and Priorities: Lung Cancer". Cancer Epidemiol Biomarkers Prev. 28 (10): 1563–1579. doi:10.1158/1055-9965.EPI-19-0221. PMC 6777859. PMID 31575553.
- Spencer, K; Parrish, R; Barton, R; Henry, A (March 2018). "Palliative radiotherapy". BMJ. 360: k821. doi:10.1136/bmj.k821. PMC 5865075. PMID 29572337.
- Spiro, SG; Silvestri, GA (September 2005). "One hundred years of lung cancer". American Journal of Respiratory and Critical Care Medicine. 172 (5): 523–529. doi:10.1164/rccm.200504-531OE. PMID 15961694.
- Sung, H; Ferlay, J; Siegel, RL; Laversanne, M; Soerjomataram, I; Jemal, A; Bray, F (May 2021). "Global Cancer Statistics 2020: GLOBOCAN Estimates of Incidence and Mortality Worldwide for 36 Cancers in 185 Countries". CA: A Cancer Journal for Clinicians. 71 (3): 209–249. doi:10.3322/caac.21660. PMID 33538338.
- Temel, JS; Petrillo, LA; Greer, JA (February 2022). "Patient-Centered Palliative Care for Patients With Advanced Lung Cancer". J Clin Oncol. 40 (6): 626–634. doi:10.1200/JCO.21.01710. PMID 34985932. S2CID 245772225.
- Thai, AA; Solomon, BJ; Sequist, LV; Gainor, JF; Heist, RS (August 2021). "Lung cancer". Lancet. 398 (10299): 535–554. doi:10.1016/S0140-6736(21)00312-3. PMID 34273294. S2CID 236034814.
- Walcott-Sapp, S; Sukumar, M (2016-12-08). "The history of pulmonary lobectomy: Two phases of innovation". CTSNet. สืบค้นเมื่อ 2023-04-28.
- Witschi, H (November 2001). "A short history of lung cancer". Toxicological Sciences. 64 (1): 4–6. doi:10.1093/toxsci/64.1.4. PMID 11606795.
แหล่งข้อมูลอื่น

- มะเร็งปอด เก็บถาวร 2010-01-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน จากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ
- การรักษาโรคมะเร็งปอดด้วยวิธีใหม่ ๆ จาก MedThai
การจำแนกโรค | D
|
---|---|
ทรัพยากรภายนอก |
|
วิกิพีเดีย, วิกิ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, มือถือ, โทรศัพท์, แอนดรอยด์, ไอโอเอส, แอปเปิ้ล, สมาร์ทโฟน, พีซี, เว็บ, คอมพิวเตอร์, ข้อมูลเกี่ยวกับ มะเร็งปอด, มะเร็งปอด คืออะไร? มะเร็งปอด หมายความว่าอะไร?
ฝากคำตอบ
ต้องการเข้าร่วมการสนทนาหรือไม่?คุณสามารถร่วมเขียนได้!