โง ดิ่ญ เสี่ยม

โง ดิ่ญ เสี่ยม (เวียดนาม: Ngô Đình Diệm; 3 มกราคม ค.ศ. 1901 – 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963) เป็นนักการเมืองชาวเวียดนาม เป็นนายกรัฐมนตรีคนสุดท้ายของรัฐเวียดนามตั้งแต่ ค.ศ. 1954 ถึง ค.ศ. 1955 แล้วจึงได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกแห่งเวียดนามใต้ (สาธารณรัฐเวียดนาม) ตั้งแต่ ค.ศ. 1955 จนกระทั่งถูกจับกุมและลอบสังหารในรัฐประหารเมื่อ ค.ศ. 1963

โง ดิ่ญ เสี่ยม
image
ภาพถ่ายอย่างเป็นทางการ ค.ศ. 1956
ประธานาธิบดีเวียดนามใต้ คนที่ 1
ดำรงตำแหน่ง
26 ตุลาคม ค.ศ. 1955 – 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963
รองประธานาธิบดีเหงียน หง็อก เทอ (ค.ศ. 1956–1963)
ก่อนหน้าจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย (ในตำแหน่งประมุขแห่งรัฐเวียดนาม)
ถัดไปเซือง วัน มิญ (ในตำแหน่งประธานคณะทหารปฏิวัติ)
เหงียน วัน เถี่ยว (ในตำแหน่งประธานาธิบดี)
นายกรัฐมนตรีรัฐเวียดนาม คนที่ 6 และ
นายกรัฐมนตรีเวียดนามใต้ คนที่ 1
ดำรงตำแหน่ง
16 มิถุนายน ค.ศ. 1954 – 26 ตุลาคม ค.ศ. 1955
รอง
ดูรายชื่อ
  • เหงียน วัน ซวน (ค.ศ. 1954)
  • เจิ่น ชั้ญ ถั่ญ (ค.ศ. 1954–1955)
ประมุขแห่งรัฐจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย
ก่อนหน้าเจ้าชายบื๋ว หล่ก
ถัดไปยกเลิกตำแหน่ง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเวียดนามใต้
ดำรงตำแหน่ง
6 กรกฎาคม ค.ศ. 1954 – 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963
ก่อนหน้าฟาน ฮวี กว๊าต
ถัดไปเจิ่น วัน โดน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
แห่งราชวงศ์เหงียน
ดำรงตำแหน่ง
8 เมษายน ค.ศ. 1933 – 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1933
กษัตริย์จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย
ก่อนหน้าเหงียน หืว บ่าย
ถัดไปท้าย วัน ตว๋าน
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด3 มกราคม ค.ศ. 1901(1901-01-03)
ไดฟ็องหล่ก จังหวัดกว๋างบิ่ญ อันนัม อินโดจีนของฝรั่งเศส
เสียชีวิต2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963(1963-11-02) (62 ปี)
ไซ่ง่อน ประเทศเวียดนามใต้
สาเหตุการเสียชีวิตลอบสังหารด้วยการยิง
ที่ไว้ศพสุสานมัก ดิ๊ญ จี (จนถึง ค.ศ. 1983)
สุสานล้ายเทียว [vi]
พรรคการเมืองปฏิวัติแรงงานปัจเจกนิยม
การเข้าร่วม
พรรคการเมืองอื่น
สมาคนฟื้นฟูไดเวียด [vi]
บุพการีโง ดิ่ญ ขา (บิดา)
ความสัมพันธ์โง ดิ่ญ โคย (พี่ชาย)
โง ดิ่ญ ถุก (พี่ชาย)
โง ดิ่ญ ญู (น้องชาย)
โง ดิ่ญ เกิ๋น (น้องชาย)
โง ดิ่ญ ลเหวี่ยน (น้องชาย)
การศึกษาเซมินารีแปย์แร็งเว้
โรงเรียนมัธยมโกว๊กห็อก
โรงเรียนเฮาบอฮานอย
มหาวิทยาลัยมิชิแกนสเตต
ลายมือชื่อimage
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง
รับใช้image เวียดนามใต้
ผ่านศึกสงครามเวียดนาม

เขาเป็นสมาชิกในตระกูลสำคัญที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และเป็นบุตรชายของโง ดิ่ญ ขา ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในรัชสมัยจักรพรรดิถั่ญ ท้าย ซึ่งตรงกับสมัยอาณานิคมของฝรั่งเศส เสี่ยมสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส และปรารถนาที่จะออกบวชตามโง ดิ่ญ ถุก ผู้เป็นพี่ชาย แต่สุดท้ายเปลี่ยนใจไปรับราชการ เขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในราชสำนักของจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย โดยได้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดบิ่ญถ่วนใน ค.ศ. 1929 แล้วจึงได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยใน ค.ศ. 1933 แต่ 3 เดือนให้หลัง ก็ลาออกจากตำแหน่ง แล้วออกหน้าประณามจักรพรรดิว่าทรงเป็นเครื่องมือของฝรั่งเศส จากนั้นเขาหันไปสนับสนุนกลุ่มชาตินิยมเวียดนาม โดยส่งเสริมการต่อต้านคอมมิวนิสต์ซึ่งอยู่คนละขั้วกับโฮจิมินห์ และส่งเสริมการปลดปล่อยเวียดนามจากความเป็นอาณานิคม เสี่ยมก่อตั้งพรรคเกิ่นลาว เพื่อสนับสนุนแนวคิดทางการเมืองของตนที่เรียกว่า ทฤษฎีญันหวิ [en] ซึ่งเป็นการผสมผสานกันของปรัชญาลัทธิบุคคลลักษณนิยมที่เขาได้รับแรงบันดาลใจจากเอ็มมานูเอล มูนิเยร์ นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส และลัทธิขงจื๊อ ซึ่งเสี่ยมและบิดาชื่นชมเป็นอย่างมาก เสี่ยมสนับสนุนแนวคิดอาณัติสวรรค์ของขงจื๊อ และปรารถนาที่จะทําให้แนวคิดนี้เป็นรากฐานของทฤษฎีการเมืองที่จะเกิดขึ้นในเวียดนาม

เสี่ยมต้องลี้ภัยเป็นเวลาหลายปี จนได้กลับคืนปิตุภูมิในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1954 และจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ทรงแต่งตั้งเขาเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่นานหลังจากนั้น มีการประชุมเจนีวา ค.ศ. 1954 ซึ่งมีผลให้แบ่งเวียดนามออกเป็นเวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้อย่างเป็นทางการตามเส้นขนานที่ 17 เสี่ยมสามารถรวบรวมอำนาจในเวียดนามใต้ได้ด้วยความช่วยเหลือของโง ดิ่ญ ญู ผู้เป็นน้องชาย และใน ค.ศ. 1955 หลังมีการลงประชามติซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องการทุจริต เสี่ยมได้ประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐเวียดนามขึ้นในเวียดนามใต้โดยมีตนเองเป็นประธานาธิบดี รัฐบาลเสี่ยมได้รับเสียงสนับสนุนจากประเทศอื่น ๆ ที่ต่อต้านคอมมิวนิสต์ โดยประเทศที่โดดเด่นที่สุดคือสหรัฐอเมริกา เมื่อได้ปกครองเวียดนามใต้แล้ว เสี่ยมจึงดำเนินโครงการสร้างชาติหลายโครงการ ซึ่งส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมและพื้นที่ชนบท ทว่า นับแต่ ค.ศ. 1957 เป็นต้นมา เสี่ยมต้องเผชิญความไม่สงบจากกลุ่มคอมมิวนิสต์ที่มีเวียดนามเหนือหนุนหลัง ในที่สุดกลุ่มเหล่านี้ได้จัดตั้งเป็นองค์กรอย่างเป็นทางการภายใต้ชื่อว่า "เหวียตกง" เสี่ยมตกเป็นเป้าของการลอบสังหารและการพยายามรัฐประหารหลายครั้ง จนใน ค.ศ. 1962 เขาได้ก่อตั้งโครงการหมู่บ้านยุทธศาสตร์ [en] ซึ่งเป็นหมุดหมายหลักในความพยายามของเขาที่จะรับมือกับกลุ่มก่อความไม่สงบ

การที่เสี่ยมนิยมคาทอลิกและเบียดเบียนผู้ถือพุทธในเวียดนาม ทำให้เกิดวิกฤตการณ์ชาวพุทธใน ค.ศ. 1963 ซึ่งรุนแรงจนทำลายความสัมพันธ์ที่มีกับสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ ซึ่งเคยเห็นอกเห็นใจเสี่ยม นอกจากนี้ ยังทำให้การปกครองของเสี่ยมเสื่อมความนิยมในหมู่ผู้นำกองทัพบกสาธารณรัฐเวียดนาม ดังนั้น ในวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963 เหล่าผู้นำทหารสาธารณรัฐเวียดนามจึงก่อรัฐประหารผ่านความช่วยเหลือของสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐ ในวันนั้น เสี่ยมและญูน้องชายหนีรอดไปได้ แต่ในวันถัดมาเสี่ยมก็ถูกจับกุม และถูกลอบสังหาร ตามคำสั่งของพลเอก เซือง วัน มิญ ผู้สืบตำแหน่งประธานาธิบดีต่อมา

ในหน้าประวัติศาสต์นั้น เสี่ยมเป็นบุคคลซึ่งเป็นที่โต้แย้ง นักประวัติศาสตร์บางคนมองว่าเขาเป็นเครื่องมือของสหรัฐ บางคนมองว่า เขาเป็นตัวแทนของระบอบประเพณีในเวียดนาม แต่ในเวลาที่เขาถูกลอบสังหารนั้น มองกันอย่างกว้างขวางว่า เขาเป็นเผด็จการที่ฉ้อฉล

ครอบครัวและชีวิตช่วงต้น

image
ภาพถ่ายเสี่ยมขณะอายุ 4 ปี (คนที่สามจากขวา) พร้อมครอบครัวใน ค.ศ. 1905 หรือ ค.ศ. 1906 โดยโง ดิ่ญ ขา บิดาของเขายืนอยู่ตรงกลาง

โง ดิ่ญ เสี่ยม เกิดเมื่อ ค.ศ. 1901 ที่จังหวัดกว๋างบิ่ญในเวียดนามตอนกลาง ครอบครัวของเขามีถิ่นกำเนิดมาจากหมู่บ้านฟู้กาม ซึ่งเป็นหมู่บ้านคาทอลิกใกล้กับเว้ บรรพบุรุษของเขาเป็นหนึ่งในผู้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกที่เก่าแก่ที่สุดของเวียดนามตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 เสี่ยมได้รับการตั้งชื่อนักบุญตั้งแต่แรกเกิดว่า "ซออาน บวาตีซีตา" (Gioan Baotixita; เป็นการถอดคำว่า "ยอห์นผู้ให้บัพติศมา" ในภาษาเวียดนาม) ตามธรรมเนียมของคริสตจักรโรมันคาทอลิก ตระกูลโง-ดิ่ญเคยประสบภัยจากการกวาดล้างชาวคาทอลิกในรัชสมัยจักรพรรดิมิญ หมั่ง และจักรพรรดิตึ ดึ๊ก ใน ค.ศ. 1880 ระหว่างที่โง ดิ่ญ ขา (ค.ศ. 1850–1925) บิดาของเสี่ยมกำลังศึกษาอยู่ที่บริติชมาลายา ได้เกิดการจลาจลต่อต้านคาทอลิกที่นำโดยพระสงฆ์ฝ่ายพุทธ จนเกือบล้างตระกูลโง-ดิ่ญจนหมดสิ้น ซึ่งมีสมาชิกตระกูลโงมากกว่า 100 คน "ถูกเผาทั้งเป็นภายในโบสถ์ รวมถึงบิดาและพี่น้องของโง ดิ่ญ ขา"

โง ดิ่ญ ขา ได้รับการศึกษาที่โรงเรียนคาทอลิกในบริติชมาลายา ซึ่งเขาได้เรียนภาษาอังกฤษและศึกษาหลักสูตรแบบยุโรป เขาเป็นคาทอลิกผู้เคร่งศาสนาและได้ยุติแผนการบวชเป็นบาทหลวงในช่วงปลายทศวรรษ 1870 เขาทำงานเป็นล่ามให้แก่ผู้บัญชาการกองทัพฝรั่งเศสและเข้าร่วมปฏิบัติการต่อต้านกลุ่มกบฏต้านอาณานิคมในเทือกเขาตังเกี๋ยเมื่อ ค.ศ. 1880 ต่อมาเขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เป็นครูใหญ่คนแรกของสถาบันการศึกษาแห่งชาติในเว้ (ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. 1896) และเป็นที่ปรึกษาแด่จักรพรรดิถั่ญ ท้าย แห่งอินโดจีนของฝรั่งเศส เขายังได้รับการแต่งตั้งเป็นเสนาบดีธรรมการและสมุหพระราชวัง รวมถึงผู้ดูแลขันทีด้วย แม้เขาจะทำงานร่วมกับเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส แต่เขาก็ "มิได้มีแรงจูงใจที่จะเป็นคนรักชาติฝรั่งเศสแม้แต่น้อย หากแต่เป็นเพราะมีความใฝ่ฝันด้านการปฏิรูป" เช่นเดียวกับฟาน เชิว จิญ [en] เขาเชื่อว่าอิสรภาพจากฝรั่งเศสจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง สังคม และวัฒนธรรมของเวียดนามเสียก่อน ใน ค.ศ. 1907 หลังจากการโค่นราชบัลลังก์ของจักรพรรดิถั่ญ ท้าย โง ดิ่ญ ขา จึงลาออกจากตำแหน่งทั้งหมด ถอนตัวออกจากราชสำนัก และหันไปทำไร่ในชนบท

โง ดิ่ญ ขา ตัดสินใจละทิ้งการศึกษาเพื่อเตรียมบวชเป็นบาทหลวงและไปแต่งงานแทน หลังจากภรรยาคนแรกของเขาเสียชีวิตโดยไม่มีบุตร เขาจึงสมรสใหม่และในระยะเวลา 23 ปี ก็มีบุตรรวม 12 คนกับฝั่ม ถิ เทิน ภรรยาคนที่สอง โดยมีบุตร 9 คน ที่รอดชีวิตจากวัยทารก ประกอบด้วยบุตรชาย 6 คน และบุตรสาว 3 คน ได้แก่ โง ดิ่ญ โคย [en], โง ดิ่ญ ถิ ซาว, โง ดิ่ญ ถุก [en], โง ดิ่ญ เสี่ยม, โง ดิ่ญ ถิ เหี่ยป, โง ดิ่ญ ถิ ฮหว่าง, โง ดิ่ญ ญู, โง ดิ่ญ เกิ๋น [en], และโง ดิ่ญ ลเหวี่ยน [en] ด้วยความที่โง ดิ่ญ ขา เป็นคาทอลิกผู้เคร่งครัด เขาจึงพาครอบครัวไปเข้าพิธีมิสซาทุกเช้า และส่งเสริมให้บุตรชายเข้าศึกษาเพื่อเตรียมบวชเป็นบาทหลวง และเนื่องจากโง ดิ่ญ ขา เคยเรียนทั้งภาษาละตินและภาษาจีนโบราณ เขาจึงพยายามอย่างมากให้บุตรของเขาได้รับการศึกษาที่ดีทั้งในพระคัมภีร์คริสต์และคัมภีร์ขงจื๊อ ในช่วงวัยเยาว์ เสี่ยมทํางานในนาข้าวของครอบครัว ขณะเดียวกันก็เรียนอยู่ที่โรงเรียนประถมศึกษาคาทอลิกของฝรั่งเศส (โรงเรียนแปย์แร็ง) ในเว้ และต่อมาเข้าศึกษาในโรงเรียนเอกชนที่บิดาก่อตั้ง ซึ่งเขาเรียนภาษาฝรั่งเศส ภาษาละติน และภาษาจีนโบราณ เมื่ออายุ 15 ปี เขาเลือกตามรอยโง ดิ่ญ ถุก พี่ชายของเขา (ซึ่งต่อมาเป็นมุขนายกโรมันคาทอลิกที่มีตำแหน่งสูงสุดในเวียดนาม) ในการเข้าเรียนโรงเรียนสอนศาสนา เสี่ยมสาบานต่อตนเองว่าจะครองพรหมจรรย์เพื่อแสดงความศรัทธาต่อศาสนา แต่ภายหลังพบว่าชีวิตนักบวชเคร่งครัดเกินไป เขาจึงตัดสินใจเลิกเส้นทางนี้มาร์ก มอยาร์ กล่าวว่าบุคลิกของเสี่ยมมีความเป็นอิสระเกินกว่าจะปฏิบัติตามระเบียบวินัยของโบสถ์ ส่วนจาร์วิสเล่าถึงคำประชดประชันของโง ดิ่ญ ถุก ว่าโบสถ์นั้น "โลกีย์เกินไป" สำหรับเสี่ยม นอกจากนี้ เสี่ยมยังสืบทอดความเป็นปฏิปักษ์ต่อเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสจากบิดาอีกด้วย

เมื่อเรียนจบมัธยมศึกษาที่โรงเรียนมัธยมโกว๊กห็อก (Quốc học) ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาแบบฝรั่งเศสในเว้ ผลสอบที่โดดเด่นทำให้เขาได้รับทุนไปศึกษาต่อที่ปารีส แต่เขาปฏิเสธ และใน ค.ศ. 1918 เขาได้เข้าเรียนที่โรงเรียนกฎหมายและการปกครองที่มีชื่อเสียงในฮานอย ซึ่งเป็นโรงเรียนของฝรั่งเศสที่ฝึกชาวเวียดนามรุ่นใหม่ให้ทำงานในฝ่ายปกครองอาณานิคม ช่วงนั้นเองเขามีความรักครั้งเดียวในชีวิตกับบุตรสาวของอาจารย์ แต่เมื่อเธอเลือกจะดำรงชีวิตนักบวชและเข้าคอนแวนต์ เขาจึงครองตนเป็นโสดไปตลอดชีวิต ค่านิยมด้านครอบครัว การศึกษา และศาสนา ส่งอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อชีวิตและการทำงานของเสี่ยม นักประวัติศาสตร์เอ็ดเวิร์ด มิลเลอร์ กล่าวว่าเสี่ยม "แสดงความศรัทธาต่อศาสนาคริสต์ในทุก ๆ สิ่ง ตั้งแต่การปฏิบัติศาสนกิจส่วนตัวไปจนถึงนิสัยชอบอ้างคัมภีร์ไบเบิลในการพูดต่าง ๆ" อีกทั้งยังชอบแสดงความรู้ในวรรณกรรมจีนโบราณอยู่เสมอ

อาชีพช่วงแรก

หลังจากสำเร็จการศึกษาด้วยผลการเรียนอันดับหนึ่งของชั้นใน ค.ศ. 1921 เสี่ยมได้ตามรอยโง ดิ่ญ โคย พี่ชายคนโต โดยเขาเข้ารับราชการในตำแหน่งข้าราชการชั้นผู้น้อยที่จังหวัดเถื่อเทียน เสี่ยมเริ่มยศจากขุนนางชั้นผู้น้อยสุดและไต่เต้าตำแหน่งทีละนิดตลอดทศวรรษถัดมา เขารับราชการครั้งแรกที่หอสมุดหลวงในเว้ และเพียงหนึ่งปีให้หลัง ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายอำเภอทั้งในจังหวัดเถื่อเทียนและจังหวัดกว๋างจิที่อยู่ใกล้เคียง โดยมีหมู่บ้านในการปกครองมากกว่า 70 หมู่บ้าน ต่อมาเสี่ยมได้รับเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนิญถ่วนขณะมีอายุเพียง 28 ปี โดยมีหมู่บ้านในการดูแล 300 หมู่บ้าน

image
ภาพถ่ายของจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย

ตลอดชีวิตราชการในฐานะขุนนาง เสี่ยมเป็นที่รู้จักในด้านความขยันขันแข็งและความซื่อสัตย์สุจริต รวมถึงในฐานะผู้นำคาทอลิกและนักชาตินิยม โดยลัทธิชาตินิยมคาทอลิกในประเทศเวียดนามระหว่างทศวรรษ 1920 และ 1930 อำนวยให้เสี่ยมก้าวหน้าในเส้นทางราชการ

การไต่เต้าของเสี่ยมยังได้รับแรงหนุนจากการที่โง ดิ่ญ โคย พี่ชายของเขา สมรสกับบุตรสาวของเหงียน หืว บ่าย ผู้เป็นหัวหน้าคณะเสนาบดีของราชสำนักเว้และเป็นคาทอลิก บ่ายยังสนับสนุนการปรับให้คริสตจักรคาทอลิกเวียดนามเป็นอิสระจากต่างชาติ และเพิ่มอำนาจการปกครองให้กับสถาบันกษัตริย์ บ่ายเป็นบุคคลที่ได้รับความนับถืออย่างสูงจากฝ่ายบริหารฝรั่งเศส สายสัมพันธ์ทางศาสนาและชาติตระกูลของเสี่ยมทำให้บ่ายประทับใจและกลายเป็นผู้อุปถัมภ์เขา ฝรั่งเศสเองก็ชื่นชมต่อจริยธรรมในการทำงานของเขา แต่ก็ขุ่นเคืองกับการที่เขามักเรียกร้องให้มอบอำนาจปกครองตนเองแก่เวียดนามมากขึ้น เสี่ยมเคยคิดจะลาออก แต่เสียงสนับสนุนจากประชาชนทำให้เขาตัดสินใจทำงานต่อไป ใน ค.ศ. 1925 ขณะที่เสี่ยมกำลังขี่ม้าไปในพื้นที่ใกล้จังหวัดกว๋างจิ เขาได้พบกับคอมมิวนิสต์เป็นครั้งแรก ซึ่งพวกเขากำลังกระจายโฆษณาชวนเชื่อ เสี่ยมไม่เห็นด้วยกับแผ่นพับโฆษณาชวนเชื่อเหล่านั้นซึ่งเรียกร้องให้มีการปฏิวัติสังคมนิยมอย่างรุนแรง ด้วยเหตุนี้เขาจึงเริ่มเข้าร่วมกิจกรรมต่อต้านคอมมิวนิสต์เป็นครั้งแรก โดยแจกใบปลิวโต้กลับเพื่อเผยแพร่แนวคิดต้านคอมมิวนิสต์ของตนเอง

ใน ค.ศ. 1929 เขาได้รับเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดบิ่ญถ่วนและเริ่มเป็นที่รู้จักจากจริยธรรมในการทำงาน จากนั้นใน ค.ศ. 1930 ถึง ค.ศ. 1931 เขาช่วยฝรั่งเศสปราบปรามกบฏชาวไร่ชาวนาเป็นครั้งแรก ซึ่งจัดตังโดยคอมมิวนิสต์ นักประวัติศาสตร์เบอร์นาร์ด บี ฟอล ระบุว่าเสี่ยมตัดสินใจปราบกบฏเหล่านี้เพราะเชื่อว่าจะไม่สามารถนำไปสู่การโค่นล้มฝรั่งเศสได้ แต่กลับกันอาจคุกคามอำนาจของขุนนาง ใน ค.ศ. 1933 เมื่อจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย เสด็จครองราชสมบัติ เสี่ยมตอบรับคำเชิญของพระองค์ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เนื่องด้วยการช่วยเหลือจากเหงียน หืว บ่าย ไม่นานหลังจากรับตำแหน่ง เสี่ยมเป็นหัวหน้าคณะกรรมาธิการเพื่อให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการปฏิรูประบบการปกครอง เขาได้เรียกร้องให้ฝ่ายบริหารฝรั่งเศสจัดตั้งสภานิติบัญญัติของชาวเวียดนามและดำเนินการปฏิรูปทางการเมืองอีกหลายประการ แต่เมื่อข้อเสนอถูกปฏิเสธ เขาจึงลาออกจากตำแหน่งภายในเวลาเพียงสามเดือน เสี่ยมประณามจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ว่าทรงเป็น "เพียงเครื่องมือในกำมือของฝ่ายบริหารฝรั่งเศส" และประกาศสละเครื่องราชอิสริยาภรณ์และบรรดาศักดิ์ที่ได้รับจากพระองค์ ฝ่ายบริหารฝรั่งเศสจึงขู่ว่าจะจับกุมและเนรเทศเขา

ตลอดทศวรรษถัดมา เสี่ยมใช้ชีวิตในฐานะพลเรือนร่วมกับครอบครัวที่เว้ แม้จะถูกเพ่งเล็งและเฝ้าระวังจากทางการ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านหนังสือ ทำสมาธิ เข้าโบสถ์ ทำสวน ล่าสัตว์ และถ่ายภาพสมัครเล่น เสี่ยมยังดำเนินกิจกรรมชาตินิยมอย่างกว้างขวางตลอดระยะเวลา 21 ปีนี้ ทั้งการเข้าร่วมประชุมและติดต่อสื่อสารกับผู้นำขบวนการปฏิวัติเวียดนามหลายคน เช่น เพื่อนของเขาอย่างฟาน โบ่ย เจิว [en] นักเคลื่อนไหวต่อต้านอาณานิคมชาวเวียดนาม ซึ่งเสี่ยมให้ความเคารพในความรู้ด้านลัทธิขงจื๊อ และเห็นว่าหลักคำสอนของขงจื๊อสามารถนำมาปรับใช้กับเวียดนามสมัยใหม่ได้ เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองในสมรภูมิแปซิฟิกปะทุขึ้น เสี่ยมมองเห็นโอกาสที่เวียดนามจะท้าทายระบอบอาณานิคมฝรั่งเศส เขาจึงพยายามโน้มน้าวให้กองทัพญี่ปุ่นประกาศอิสรภาพแก่เวียดนามใน ค.ศ. 1942 แต่ก็ถูกเพิกเฉย นอกจากนี้ เสี่ยมยังพยายามสร้างความสัมพันธ์กับนักการทูต นายทหาร และเจ้าหน้าที่ข่าวกรองญี่ปุ่นที่สนับสนุนอิสรภาพของเวียดนาม ใน ค.ศ. 1943 เพื่อนชาวญี่ปุ่นของเสี่ยมช่วยให้เขาติดต่อกับเจ้าชายเกื่อง เด๋ นักเคลื่อนไหวต่อต้านอาณานิคม ซึ่งลี้ภัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่น

หลังจากได้ติดต่อกับเจ้าชายเกื่อง เด๋ เสี่ยมได้ก่อตั้งพรรคการเมืองลับชื่อ "สมาคมฟื้นฟูเวียดนามอันยิ่งใหญ่" (Việt Nam Đại Việt Phục Hưng Hội) ซึ่งมีพันธมิตรชาวคาทอลิกในเว้เป็นกำล้งหลัก เมื่อการมีอยู่ของพรรคได้รับการเปิดเผยในช่วงฤดูร้อน ค.ศ. 1944 ฝรั่งเศสจึงประกาศว่าเสี่ยมเป็นผู้ล้มล้างการปกครองและสั่งจับกุมเขา ทำให้เสี่ยมเดินทางโดยเครื่องบินไปยังไซ่ง่อนที่อยู่ในการคุ้มครองของกองทัพญี่ปุ่น และพำนักอยู่ที่นั่นจนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง

ใน ค.ศ. 1945 หลังญี่ปุ่นก่อรัฐประหารต่อระบอบอาณานิคมฝรั่งเศส ได้มีการเสนอให้เสี่ยมเป็นนายกรัฐมนตรีของจักรวรรดิเวียดนามภายใต้จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ซึ่งญี่ปุ่นก่อตั้งขึ้นมาก่อนถอนกำลังออกจากประเทศ ในตอนแรกเสี่ยมปฏิเสธ แต่ภายหลังเปลี่ยนใจและพยายามขอกลับคำ ทว่าขณะนั้นจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ได้มอบตำแหน่งให้แก่เจิ่น จ่อง กีม ไปเสียแล้ว ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1945 หลังการถอนกำลังของญี่ปุ่น โฮจิมินห์ได้ประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม และกองกำลังเหวียตมิญเริ่มต่อสู้กับฝ่ายบริหารฝรั่งเศสทางเวียดนามตอนเหนือ เสี่ยมพยายามเดินทางไปที่เว้เพื่อกีดกันไม่ให้จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย เข้าร่วมกับโฮจิมินห์ แต่ระหว่างทางเหวียตมิญกลับจับกุมตัวเขาและเนรเทศไปยังหมู่บ้านบนที่สูงใกล้ชายแดน เขาอาจเสียชีวิตด้วยโรคมาลาเรีย โรคบิด และไข้หวัดใหญ่ หากไม่ได้รับการดูแลรักษาจากชนเผ่าท้องถิ่นจนหายดี หกเดือนต่อมา เสี่ยมถูกพาตัวไปพบโฮจิมินห์ ซึ่งยอมรับในคุณธรรมของเสี่ยมและต้องการขยายฐานสนับสนุนรัฐบาลใหม่ จึงเสนอตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้ แต่เสี่ยมปฏิเสธการเข้าร่วมเหวียตมิญ พร้อมทั้งโจมตีโฮจิมินห์จากเหตุที่แกนนำเหวียตมิญสังหารโง ดิ่ญ โคย พี่ชายของเขา

image
5 ขุนนางระดับสูง (Thượng thư) ของราชวงศ์เหงียนในรัชสมัยจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย (จากซ้ายไปขวา): โห่ ดั๊ก ขาย, ฝั่ม กวิ่ญ, ท้าย วัน ตว๋าน, โง ดิ่ญ เสี่ยม, และบู่ย บั่ง ดว่าน

ในช่วงสงครามอินโดจีน เสี่ยมและขบวนการชาตินิยมอื่นที่มิใช่คอมมิวนิสต์ต้องเผชิญกับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก พวกเขาไม่ต้องการให้ฝรั่เงศสกลับมาฟื้นฟูระบอบอาณานิคม แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ปรารถนาที่จะสนับสนุนเหวียตมิญ เสี่ยมประกาศวางตัวเป็นกลาง และพยายามสร้างกองกำลังฝ่ายที่สาม ซึ่งมีจุดยืนต่อต้านทั้งลัทธิอาณานิคมและลัทธิคอมมิวนิสต์ ใน ค.ศ. 1947 เขาได้ก่อตั้งและเป็นหัวหน้ากลุ่มสหภาพแห่งชาติ (Khối Quốc Gia Liên Hiệp) ก่อนจะรวมกลุ่มเข้ากับแนวร่วมชาติเวียดนาม (Việt Nam Quốc Gia Liên Hiệp) ซึ่งเป็นองค์กรที่รวมชาวเวียดนามผู้มีอุดมการณ์ชาตินิยมแต่ไม่ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์เข้าไว้ด้วยกัน นอกจากนี้ เขายังสร้างสายสัมพันธ์กับนักการเมืองต่อต้านคอมมิวนิสต์คนสำคัญ เช่น เหงียน โตน ฮหว่าน [en] (ค.ศ. 1917–2001) ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนชาวคาทอลิกและนักเคลื่อนไหวทางการเมือง พันธมิตรและที่ปรึกษาส่วนใหญ่ของเสี่ยมล้วนเป็นชาวคาทอลิก โดยเฉพาะสมาชิกในครอบครัวและมิตรสหายใกล้ชิด

เสี่ยมยังคงติดต่ออย่างลับ ๆ กับผู้นำระดับสูงของสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม โดยพยายามชักชวนให้พวกเขาลาออกจากรัฐบาลโฮจิมินห์และมาร่วมกับตน ขณะเดียวกัน เสี่ยมก็ได้วิ่งเต้นกับเจ้าหน้าที่อาณานิคมฝรั่งเศสเพื่อเรียกร้อง "อิสรภาพที่แท้จริง" ให้แก่เวียดนาม แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ทรงยอมรับข้อเสนอของฝรั่งเศสในการจัดตั้ง "รัฐภาคี" ภายใต้สหภาพฝรั่งเศส ซึ่งยังเปิดทางให้ฝรั่งเศสคงอำนาจด้านการทูต เศรษฐกิจ และการทหารไว้ในเวียดนาม ในระหว่างนั้น ฝรั่งเศสประกาศจัดตั้งรัฐเวียดนามขึ้น และเสี่ยมปฏิเสธข้อเสนอของจักรพรรดิในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต่อมาเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ. 1949 เสี่ยมตีพิมพ์แถลงการณ์ฉบับใหม่ในหนังสือพิมพ์ ประกาศถึง "กองกำลังฝ่ายที่สาม" ซึ่งแตกต่างจากทั้งเหวียตมิญและจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ทว่าสิ่งนี้ได้รับความสนใจเพียงเล็กน้อย และยิ่งเป็นหลักฐานชัดเจนต่อทั้งฝรั่งเศสและเหวียตมิญว่าเสี่ยมคือคู่แข่งที่น่ากลัว

ใน ค.ศ. 1950 เหวียตมิญหมดความอดทนและตัดสินโทษประหารชีวิตเสี่ยมโดยลับหลัง และฝรั่งเศสก็ปฏิเสธที่จะปกป้องเขา แกนนำของโฮจิมินห์ได้พยายามลอบสังหารเขาขณะเดินทางไปเยี่ยมโง ดิ่ญ ถุก พี่ชายผู้เป็นมุขนายกแห่งสังฆมณฑลหวิญล็องในดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง เมื่อเล็งเห็นสถานะทางการเมืองของตน เสี่ยมจึงตัดสินใจออกจากเวียดนามในปีนั้น

มิลเลอร์กล่าวว่าในเส้นทางอาชีพช่วงแรก เสี่ยมได้รับอิทธิพลทางความคิดด้านสังคมและการเมืองมาอย่างน้อย 3 แนวคิด นับตั้งแต่ทศวรรษ 1920 ถึงทศวรรษ 1930 แนวคิดแรกคือ "ลัทธิชาตินิยมคาทอลิก" ซึ่งเสี่ยมได้รับมาจากแบบแผนประเพณีของครอบครัว โดยเฉพาะจากมุขนายกโง ดิ่ญ ถุก พี่ชายของเขา และเหงียน หืว บ่าย ผู้ซึ่งแนะนำให้เขา "คืนตราตำแหน่ง" เมื่อ ค.ศ. 1933 เพื่อคัดค้านนโยบายของฝรั่งเศส แนวคิดที่สองคือ ความเข้าใจของเสี่ยมต่อ "ลัทธิขงจื๊อ" ซึ่งเขาได้ซึมซับผ่านมิตรสหายอย่างฟาน โบ่ย เจิว ผู้ซึ่งให้เหตุผลว่าหลักคำสอนของขงจื๊อสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเวียดนามสมัยใหม่ได้ และแนวคิดสุดท้ายภายใต้การแนะนำของโง ดิ่ญ ญู เสี่ยมเริ่มศึกษา "ลัทธิบุคคลลักษณนิยม" ซึ่งมีรากมาจากปรัชญาคาทอลิกฝรั่งเศส และต่อมาเขาได้นำแนวคิดนี้มาใช้เป็นอุดมการณ์หลักของรัฐบาลของตน

ลี้ภัย

image
เสี่ยมกับเจ้าชายเกื่อง เด๋ ที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อ ค.ศ. 1950

เสี่ยมยื่นขออนุญาตเดินทางไปที่กรุงโรมเพื่อร่วมการเฉลิมฉลองปีศักดิ์สิทธิ์ ณ นครรัฐวาติกัน หลังได้รับอนุญาตจากฝรั่งเศส เขาออกเดินทางในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1950 พร้อมกับโง ดิ่ญ ถุก โดยก่อนที่จะเดินทางไปยุโรป เสี่ยมได้แวะพักที่ญี่ปุ่นและพบกับเจ้าชายเกื่อง เด๋ ผู้เป็นอดีตพันธมิตร เพื่อหารือเกี่ยวกับความพยายามของเจ้าชายในการกลับสู่เวียดนามและบทบาทที่อาจมีในบ้านเกิด เพื่อนของเสี่ยมยังจัดการให้เขาได้พบกับเวสลีย์ ฟีเชล ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซึ่งทำงานให้กับซีไอเอที่ประเทศญี่ปุ่น ฟีเชลเป็นผู้สนับสนุนแนวคิด "กองกำลังฝ่ายที่สาม" ในเอเชียที่ต่อต้านอาณานิคมและคอมมิวนิสต์ เขาประทับใจในตัวเสี่ยมและช่วยจัดการเรื่องสายสัมพันธ์ในสหรัฐอเมริกา ต่อมาใน ค.ศ. 1951 เสี่ยมเดินทางต่อไปยังสหรัฐเพื่อแสวงหาการสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่รัฐบาล แต่ไม่ประสบความสำเร็จในการชักจูงให้สหรัฐสนับสนุนฝ่ายต่อต้านคอมมิวนิสต์ของเวียดนาม

ที่กรุงโรม เสี่ยมได้รับโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 12 ณ นครรัฐวาติกัน ก่อนจะเดินทางต่อไปเพื่อทำการวิ่งเต้นชาติต่าง ๆ ในยุโรป เขายังได้พบกับเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสและเวียดนามในกรุงปารีส พร้อมส่งสารแสดงความสมัครใจที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรัฐเวียดนามให้แด่จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย แต่พระองค์ทรงปฏิเสธที่จะพบเขา หลังจากนั้น เสี่ยมกลับไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อสร้างแรงสนับสนุนจากชาวอเมริกัน อย่างไรก็ดี สำหรับชาวอเมริกันแล้ว การที่เสี่ยมเป็นผู้ต่อต้านคอมมิวนิสต์เพียงอย่างเดียวไม่ได้ทำให้เขาดูพิเศษกว่าจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย หรือผู้นำรัฐเวียดนามคนอื่น ๆ รวมถึงเจ้าหน้าที่สหรัฐบางส่วนยังกังวลว่าความเคร่งครัดในความเป็นคาทอลิกของเขา อาจเป็นอุปสรรคต่อการระดมการสนับสนุนในประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่ไม่ใช่คาทอลิก เสี่ยมตระหนักดีถึงข้อกังวลนี้ จึงขยายประเด็นการวิ่งเต้นให้มุ่งเน้นไปที่ด้านการพัฒนา ควบคู่กับประเด็นต่อต้านคอมมิวนิสต์และศาสนา โดยเสี่ยมได้รับแรงบันดาลใจจากการที่สหรัฐอเมริกามีความกระตือรือร้นที่จะนำเทคโนโลยีและองค์ความรู้มาช่วยพัฒนาประเทศหลังยุคอาณานิคม ด้วยความช่วยเหลือจากฟีเชล ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่มหาวิทยาลัยมิชิแกนสเตต เสี่ยมได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาสำนักวิจัยรัฐบาลของมหาวิทยาลัย ทางมหาวิทยาลัยกำลังดำเนินโครงการช่วยเหลือพันธมิตรในสงครามเย็น ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐ โดยเสี่ยมมีบทบาทร่วมกับฟีเชลในการวางรากฐานโครงการซึ่งต่อมาจะมีการนำไปใช้ในเวียดนามใต้ นั่นคือ "กลุ่มที่ปรึกษามหาวิทยาลัยมิชิแกนสเตตในเวียดนาม"

แม้ชาวอเมริกันจำนวนมากจะประเมินตัวเสี่ยมแตกต่างกันไป แต่เสี่ยมก็สามารถสร้างความประทับใจกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงบางคนได้ เช่น วิลเลียม โอ. ดักลาส [en] ผู้พิพากษาศาลสูงสุด, ฟรานซิส สเปลแมน [en] พระคาร์ดินัลสายโรมันคาทอลิก, ไมก์ แมนส์ฟิลด์ [en] สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากรัฐมอนแทนา, และจอห์น เอฟ. เคนเนดี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากรัฐแมสซาชูเซตส์ รวมถึงนักข่าว นักวิชาการ และวิลเลียม เจ. โดโนแวน [en] อดีตผู้อำนวยการสำนักอำนวยการยุทธศาสตร์ แม้ว่าเขาจะไม่ประสบความสำเร็จในการได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากสหรัฐ แต่การพบปะส่วนตัวกับผู้นำทางการเมืองอเมริกันก็บ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ที่จะได้รับการสนับสนุนเพิ่มขึ้นในอนาคต แมนส์ฟิลด์เล่าว่าหลังงานเลี้ยงกลางวันกับเสี่ยมเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1953 เขารู้สึกว่า "ถ้าใครสามารถรักษาเวียดนามใต้ไว้ได้ ก็คงเป็นใครบางคนอย่างโง ดิ่ญ เสี่ยม" จอห์น คูนีย์ กล่าวว่าพระคาร์ดินัลฟรานซิส สเปลแมน มีบทบาทสำคัญในการสร้างเส้นทางการเมืองของโง ดิ่ญ เสี่ยม โดยสเปลแมนมองเห็นในตัวเสี่ยมว่ามีคุณสมบัติที่ผู้นำพึงมี นั่นคือความเป็นคาทอลิกที่เคร่งศาสนาและการต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรง

ระหว่างที่เสี่ยมลี้ภัยอยู่นั้น บรรดาพี่น้องของเขา ได้แก่ โง ดิ่ญ ญู, โง ดิ่ญ เกิ๋น, และโง ดิ่ญ ลเหวี่ยน ก็มีบทบาทสำคัญในการช่วยเขาสร้างเครือข่ายทั้งในระดับนานาชาติและภายในประเทศ รวมถึงยังให้การสนับสนุนในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อทำให้เสี่ยมหวนคืนสู่เวียดนามอีกครั้งหนึ่ง ในช่วงต้นทศวรรษ 1950 ญูได้ก่อตั้งพรรคเกิ่นลาว ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เสี่ยมก้าวขึ้นสู่อำนาจและรักษาอำนาจของตนเอาไว้

การเป็นนายกรัฐมนตรีและรวบรวมอำนาจ

รัฐเวียดนามยังเป็นเอกราชแต่ในนามจากรัฐบาลปารีสจนถึง ค.ศ. 1953 เสี่ยมเล็งเห็นว่าถึงเวลาอันควรแล้วที่ตนจะก้าวขึ้นสู่อำนาจในเวียดนาม เนื่องจากความไม่พอใจต่อฝรั่งเศสและจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย เพิ่มสูงขึ้นในหมู่นักชาตินิยมสายไม่ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ กอปรกับการสนับสนุนจากขบวนการชาตินิยมสายไม่ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์และพันธมิตรของเสี่ยมต่อมุมมอง "อิสรภาพที่แท้จริง" ก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

image
แผนที่ประเทศเวียดนามเหนือและใต้ โดยมีการแบ่งเขตแดนกันที่เส้นขนานที่ 17

เมื่อต้น ค.ศ. 1954 จักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ได้เสนอตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลเวียดนามใหม่ให้แก่เสี่ยม โดยในเดือนพฤษภาคม ปีเดียวกัน ฝรั่งเศสปราชัยในสมรภูมิที่เดียนเบียนฟู และการประชุมเจนีวาเริ่มขึ้นในเดือนเมษายน ค.ศ. 1954 ต่อมาในวันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ. 1954 เสี่ยมเข้าพบจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ที่ประเทศฝรั่งเศส และตกลงรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หากพระองค์ทรงมอบอำนาจควบคุมด้านทหารและพลเรือนให้แก่เขา จากนั้นในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 1954 เสี่ยมกลับจากการลี้ภัย โดยมาถึงท่าอากาศยานเตินเซินเญิ้ตที่ไซ่ง่อน และในวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1954 เสี่ยมก็จัดตั้งรัฐบาลใหม่ขึ้น โดยมีคณะรัฐมนตรีจำนวน 18 คน

ในระยะแรกของการดำรงตำแหน่ง เสี่ยมยังมีอำนาจในรัฐบาลไม่มากนัก โดยเขาไม่มีอำนาจควบคุมกองทัพและตำรวจ ขณะที่ตำแหน่งสำคัญในระบบราชการยังอยู่ในมือเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศส อีกทั้งเขายังไม่สามารถควบคุมธนาคารอินโดจีนได้ นอกจากนี้ เสี่ยมยังต้องเผชิญกับอุปสรรคใหญ่หลายประการ ทั้งปัญหาผู้ลี้ภัย ปัญหาที่เจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสต้องการปลดเสี่ยมเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของฝรั่งเศสในเวียดนามใต้ ปัญหาที่นายพลเหงียน วัน ฮิญ ผู้บัญชาการกองทัพแห่งชาติและผู้นิยมฝรั่งเศสพร้อมที่จะโค่นล้มเสี่ยมทุกเมื่อ ปัญหาที่ผู้นำกองทัพลัทธิฮหว่าหาวและลัทธิกาวด่ายต้องการตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีและอำนาจบริหารเบ็ดเสร็จเหนือพื้นที่ที่มีผู้สนับสนุนจำนวนมาก รวมถึงปัญหาภัยคุกคามจากกองกำลังบิ่ญเซวียน [en] ซึ่งเป็นองค์กรอาชญากรรมที่ควบคุมกรมตำรวจแห่งชาติภายใต้การนำของเล วัน เหวียน โดยเขาผู้นี้มีฐานอำนาจอยู่ที่ไซ่ง่อน ในฤดูร้อน ค.ศ. 1954 องค์กรทั้งสามนี้มีอำนาจควบคุมพื้นที่และประชากรราวหนึ่งในสามของเวียดนามใต้ ทำให้เสี่ยมต้องอาศัยทั้งทักษะทางการเมืองของตน ควบคู่ไปกับเครือญาติ และการหนุนหลังจากผู้สนับสนุนชาวอเมริกัน เพื่อฝ่าฟันอุปสรรคและทำให้คู่แข่งหมดอิทธิพล

การแบ่งประเทศ

เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม ค.ศ. 1954 ข้อตกลงเจนีวาได้กำหนดให้ประเทศเวียดนามแบ่งแยกเป็นการชั่วคราวตามเส้นขนานที่ 17 โดยรอจัดการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1956 เพื่อรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียว สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามครอบครองพื้นที่ตอนเหนือ ส่วนรัฐเวียดนามที่ฝรั่งเศสหนุนหลังครอบครองพื้นที่ตอนใต้ โดยมีเสี่ยมเป็นนายกรัฐมนตรี เสี่ยมวิพากษ์วิจารณ์ฝรั่งเศสที่ยอมมอบเวียดนามเหนือให้แก่คอมมิวนิสต์ในการประชุมเจนีวา โดยอ้างว่าข้อตกลงดังกล่าวไม่สะท้อนเจตจำนงของประชาชนเวียดนาม และปฏิเสธข้อเสนอของฝรั่งเศสที่ต้องการให้เพิ่มเจ้าหน้าที่ที่มีจุดยืนสนับสนุนฝรั่งเศสในรัฐบาล

ข้อตกลงเจนีวาอนุญาตให้มีการเดินทางระหว่างสองเขตได้อย่างเสรีจนถึงเดือนตุลาคม ค.ศ. 1954 สิ่งนี้สร้างแรงกดดันขนาดใหญ่แก่เวียดนามใต้ เสี่ยมคาดหวังว่าจะมีผู้ลี้ภัยจากฝั่งเหนือเพียง 10,000 คน แต่ภายในเดือนสิงหาคม กลับมีผู้ลี้ภัยมากกว่า 200,000 คน รอการอพยพจากฮานอยและไฮฟอง อย่างไรก็ตาม การย้ายถิ่นฐานช่วยเสริมสร้างฐานการสนับสนุนทางการเมืองของเสี่ยมในกลุ่มผู้ลี้ภัย เนื่องจากผู้อพยพซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวคาทอลิกมีจุดยืนต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างแข็งขัน รัฐบาลเสี่ยมได้จัดให้ผู้ลี้ภัยย้ายไปตั้งถิ่นฐานในจังหวัดที่มีที่ดินอุดมสมบูรณ์และมีประชากรเบาบางทางตะวันตกของดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง โดยมีจุดประสงค์ในการตอบสนองปัญหาผู้อพยพ นอกจากนี้ รัฐบาลยังจัดหาอาหารและที่พัก เครื่องมือเกษตร และวัสดุก่อสร้างบ้าน พร้อมทั้งขุดคลองชลประทาน สร้างคันกั้นน้ำ และปรับพื้นที่ชุ่มน้ำ เพื่อช่วยให้ผู้อพยพมีชีวิตที่มั่นคง

สถาปนาอำนาจการควบคุม

image
นายกรัฐมนตรีเสี่ยม (ตรงกลางทางซ้าย) ร่วมประชุมกับนายพลเหงียน วัน ฮิญ, เล วัน เหวียน, และเหงียน วัน ซวน ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1954

ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1954 เสี่ยมต้องเผชิญกับ "วิกฤตการณ์ฮิญ" เมื่อเหงียน วัน ฮิญ เริ่มโจมตีเสี่ยมต่อสาธารณะหลายครั้ง โดยประกาศว่าเวียดนามใต้ต้องการผู้นำที่ "แข็งแกร่งและเป็นที่นิยม" พร้อมทั้งข่มขู่ว่าจะก่อรัฐประหาร อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลาย ค.ศ. 1954 เสี่ยมบังคับให้ฮิญลาออกจากตำแหน่งได้สำเร็จ ทำให้ฮิญต้องลี้ภัยไปกรุงปารีสและส่งมอบอำนาจการบังคับบัญชากองทัพแห่งชาติให้แก่นายพลเหงียน วัน วี แต่บรรดานายทหารในกองทัพแห่งชาติก็ยังสนับสนุนการนำของเสี่ยมมากกว่านายพลวี ทำให้เขาต้องลี้ภัยไปกรุงปารีสเช่นกัน แม้ความพยายามก่อรัฐประหารของฮิญจะล้มเหลว แต่ฝรั่งเศสก็ยังให้การสนับสนุนฝ่ายตรงข้ามของเสี่ยมเพื่อบ่อนทำลายเขา

ต่อมาเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 1954 เสี่ยมได้ก่อตั้งธนาคารรัฐแห่งเวียดนามและประกาศใช้ธนบัตรเวียดนามรูปแบบใหม่แทนที่การใช้ธนบัตรอินโดจีนรูปแบบเดิม ในช่วงต้น ค.ศ. 1955 แม้ที่ปรึกษาชาวอเมริกันจะผลักดันให้เสี่ยมเจรจากับผู้นำกองกำลังทางการเมืองและศาสนาที่คุกคามรัฐบาล และสร้างแนวร่วมต่อต้านคอมมิวนิสต์ แต่เสี่ยมกลับตัดสินใจโจมตีศัตรูเพื่อรวบอำนาจไว้ในมือ โดยในเดือนเมษายน ค.ศ. 1955 กองกำลังของเสี่ยมสามารถยึดฐานที่มั่นส่วนใหญ่ของกองกำลังบิ่ญเซวียนในไซ่ง่อนได้สำเร็จ ซึ่งหลังจากได้รับชัยชนะในยุทธการที่ไซ่ง่อน เพียงไม่กี่เดือนต่อมา กองทัพของเสี่ยมก็สามารถกวาดล้างกองกำลังที่เหลือของบิ่ญเซวียนจนเหลือเพียงกลุ่มเล็ก ๆ ที่จะไปเข้าร่วมกับคอมมิวนิสต์ในภายหลัง[ต้องการอ้างอิง]

ความพ่ายแพ้ของบิ่ญเซวียนทำให้รัฐบาลเสี่ยมมีอำนาจและบารมีเพิ่มมากขึ้น และถือเป็นการยุติความพยายามของฝรั่งเศสในการปลดเสี่ยม ผู้นำส่วนใหญ่ของลัทธิกาวด่ายเลือกที่จะเป็นเข้าร่วมกับรัฐบาลเสี่ยม ต่อมาเสี่ยมได้รื้อถอนกองกำลังติดอาวุธของลัทธิกาวด่ายและลัทธิฮหว่าหาว โดยเมื่อสิ้นสุด ค.ศ. 1955 เสี่ยมีอำนาจควบคุมเวียดนามใต้เกือบทั้งหมด และรัฐบาลของเขามีความเข้มแข็งกว่าที่เคยเป็นมา ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1956 เมื่อสามารถจับกุมบา กุ่ต ผู้นำลัทธิฮหว่าหาวคนสุดท้ายได้สำเร็จ เสี่ยมก็แทบจะปราบศัตรูที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ได้ทั้งหมด และสามารถหันไปมุ่งรับมือกับฝ่ายคอมมิวนิสต์เวียดนามได้เต็มที่ มิลเลอร์กล่าวว่า ความสามารถของเสี่ยมในการปราบปรามศัตรูและรวบอำนาจไว้ในมือช่วยเสริมความเชื่อมั่นของสหรัฐที่มีต่อรัฐบาลของเขา แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐเคยมีแผนจะยุติการสนับสนุนเสี่ยมในช่วงปีแรก ๆ ที่เขาประสบปัญหาในการนำประเทศก็ตาม

ตำแหน่งประธานาธิบดี (ค.ศ. 1955–1963)

การจัดตั้งสาธารณรัฐเวียดนาม

image
ผลการลงประชามติ ค.ศ. 1955 ได้รับการประกาศที่ศาลาว่าการกรุงไซ่ง่อน

ในประเทศเวียดนามใต้ ได้มีการจัดลงประชามติขึ้นเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 1955 เพื่อกำหนดทิศทางอนาคตของฝั่งใต้ โดยให้ประชาชนเลือกว่าจะสนับสนุนโง ดิ่ญ เสี่ยม หรือจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย เป็นผู้นำเวียดนามใต้ เสี่ยมอาศัยการสนับสนุนจากโง ดิ่ญ ญู น้องชายของตน และพรรคเกิ่นลาว ใช้การรณรงค์โฆษณาชวนเชื่ออย่างเข้มข้นเพื่อทำลายภาพลักษณ์ของจักรพรรดิและสร้างคะแนนนิยมให้แก่ตนเอง แต่กลับกันกลุ่มผู้สนับสนุนจักรพรรดิไม่ได้รับอนุญาตให้หาเสียงและมักถูกคนของญูทำร้ายร่างกายอยู่บ่อยครั้ง เมื่อผลการลงคะแนนได้รับการประกาศขึ้นอย่างเป็นทางการ ปรากฏว่าร้อยละ 98.2 ลงคะแนนให้เสี่ยม ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงเกินจริงจนถูกประณามว่าเป็นการทุจริตเลือกตั้ง จำนวนบัตรเลือกตั้งทั้งหมดเกินกว่าผู้ลงทะเบียนถึง 380,000 คน ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการโกงการลงประชามติอย่างหนักหน่วง ตัวอย่างเช่น ในไซ่ง่อนมีผู้ลงทะเบียนเพียง 450,000 คน แต่กลับมีผู้ถูกอ้างว่าลงคะแนนให้เสี่ยมถึง 605,025 คน

image
คณะผู้แทนกำลังประชุมที่การประชุมเจนีวา ค.ศ. 1954

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 1955 เสี่ยมได้ประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐเวียดนาม โดยมีเขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกจนถึงวันที่ 26 ตุลาคม ค.ศ. 1956 รัฐธรรมนูญฉบับแรกได้บัญญัติมาตราว่าด้วยการจัดตั้งสาธารณรัฐและการจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดี ข้อตกลงเจนีวา ค.ศ. 1954 กำหนดให้จัดการเลือกตั้งเพื่อลงมติรวมประเทศใน ค.ศ. 1956 แต่เสี่ยมปฏิเสธที่จะจัดการเลือกตั้ง โดยอ้างว่าการเลือกตั้งเสรีในฝั่งเหนือนั้นเป็นไปไม่ได้ และก่อนหน้านี้รัฐเวียดนามก็ไม่ได้ลงนามในข้อตกลงเจนีวาแต่อย่างใด จึงไม่ผูกพันตามข้อตกลงดังกล่าว เสี่ยมยังยืนยันว่ารัฐบาลของตนมีสิทธิตามกฎหมายที่จะปฏิเสธการเลือกตั้งทั่วไป เนื่องจากรัฐเวียดนามได้รับการรับรองจากฝรั่งเศสว่าเป็นรัฐอธิปไตยอย่างสมบูรณ์ภายในสหภาพฝรั่งเศสตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 1954 และถือว่าเป็นเอกราชจากสนธิสัญญาที่ฝรั่งเศสได้ลงนาม นักประวัติศาสตร์คีธ เทย์เลอร์ ชี้ให้เห็นว่าการปฏิเสธข้อตกลงเจนีวาของเสี่ยมเป็นการคัดค้านระบอบอาณานิคมฝรั่งเศสในเวียดนาม รวมทั้งสะท้อนความเห็นของเขาต่อจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย และการจัดตั้งสาธารณรัฐเวียดนามที่หนึ่งจึงเป็นการยืนยันถึงเอกราชของเวียดนามจากฝรั่งเศสไปพร้อมกัน ในเวลาเดียวกัน รัฐธรรมนูญฉบับแรกของสาธารณรัฐเวียดนามก็ได้รับการประกาศใช้ โดยกำหนดให้ประธานาธิบดีมีอำนาจมากเป็นพิเศษ และเมื่อเวลาผ่านไป รูปแบบการปกครองของเสี่ยมก็ยิ่งทวีความเป็นเผด็จการมากขึ้น

การปกครองของเสี่ยมมีลักษณะอำนาจนิยมและเล่นพรรคเล่นพวก บุคคลที่เขาวางใจที่สุดคือ โง ดิ่ญ ญู ผู้เป็นน้องชายและหัวหน้าพรรคเกิ่นลาวที่สนับสนุนเสี่ยม ญูเป็นคนเสพติดฝิ่นและชื่นชมอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เขาได้นำรูปแบบการเดินแถวของตำรวจลับเกิ่นลาวและวิธีทรมานมาปรับใช้ตามแนวทางของนาซี ส่วน โง ดิ่ญ เกิ๋น น้องชายอีกคนหนึ่ง ได้รับมอบหมายดูแลอดีตราชธานีเว้ แม้ทั้งเกิ๋นและญูจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งในรัฐบาลอย่างเป็นทางการ แต่ทั้งสองกลับปกครองภูมิภาคของตนอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยมีทั้งกองกำลังติดอาวุธส่วนตัวและตำรวจลับ เสี่ยมยังแต่งตั้งโง ดิ่ญ ลเหวี่ยน น้องชายคนเล็ก เป็นเอกอัครราชทูตประจำสหราชอาณาจักร ขณะที่โง ดิ่ญ ถุก ผู้เป็นพี่ชาย เป็นอัครมุขนายกแห่งเว้ แม้กระนั้น ถุกก็อาศัยอยู่ที่วังประธานาธิบดีร่วมกับญู ภรรยาของญู และเสี่ยม เสี่ยมมีความเป็นชาตินิยม เคร่งครัดในศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ต่อต้านคอมมิวนิสต์ และยึดมั่นในปรัชญาบุคคลลักษณนิยมและลัทธิขงจื๊อ

image
ธงประจำตำแหน่งประธานาธิบดีเวียดนามใต้ (ค.ศ. 1955–1963)

การปกครองของเสี่ยมยังเต็มไปด้วยการทุจริตของครอบครัว โดยเกิ๋นเป็นที่เชื่อกันอย่างกว้างขวางว่าเกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมายจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการลักลอบค้าข้าวไปยังเวียดนามเหนือผ่านตลาดมืด การค้าฝิ่นผ่านประเทศลาว การผูกขาดการค้าอบเชย ตลอดจนการสะสมทรัพย์สินจำนวนมากในธนาคารต่างประเทศ นอกจากนี้ เกิ๋นยังร่วมกับญูในการแข่งขันเพื่อแย่งสัญญาแะการค้าข้าวของสหรัฐ ส่วนถุก ผู้เป็นผู้นำทางศาสนาที่ทรงอำนาจที่สุดในประเทศ ก็ได้รับอนุญาตให้เรี่ยไร "เงินบริจาคโดยสมัครใจเพื่อทำนุบำรุงศาสนจักร" จากนักธุรกิจในไซ่ง่อน ซึ่งเปรียบเสมือน "ใบแจ้งชำระภาษี" ถุกยังใช้ตำแหน่งเพื่อกว้านซื้อที่ดินทำการเกษตร กิจการพาณิชย์ อสังหาริมทรัพย์ในเขตเมือง ทรัพย์สินให้เช่า และสวนยางพาราในนามของศาสนจักรโรมันคาทอลิก อีกทั้งยังใช้กำลังพลของกองทัพบกสาธารณรัฐเวียดนามมาทำงานในกิจการไม้และโครงการก่อสร้างของตน ขณะที่ญูและภรรยาสะสมทรัพย์สินมหาศาลจากการควบคุมหวยใต้ดิน การปั่นค่าเงิน และการรีดไถธุรกิจในไซ่ง่อน ส่วนลเหวี่ยนกลายเป็นมหาเศรษฐีจากการเก็งกำไรค่าเงินปิอาสเตอร์และปอนด์สเตอร์ลิง โดยอาศัยข้อมูลภายในจากรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม มิลเลอร์ระบุว่าเสี่ยมก็ได้ปราบปรามการทุจริตด้วย โดยขณะนั้นเวียดนามใต้แบ่งพื้นที่การปกครองท้องถิ่นออกเป็นจังหวัดตามที่เคยใช้ในยุคอาณานิคม ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจอย่างกว้างขวางและควบคุมฝ่ายบริหารท้องถิ่นอย่างแน่นหนา ส่งผลให้เกิดปัญหาการทุจริตและระบบอุปถัมภ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจึงถูกมองว่าเป็น "ทรราชท้องถิ่น" และเสี่ยมก็ได้เปิดการสอบสวนคดีทุจริต พร้อมทั้งเปลี่ยนตัวผู้ว่าราชการจังหวัดจำนวนมาก แต่ถึงอย่างนั้น ตั้งแต่ ค.ศ. 1954 เป็นต้นมา ความวุ่นวายทางการเมืองทำให้เขาไม่สามารถดำเนินมาตรการเพิ่มเติมได้ ทางเอ็มเอสยูจี (MSUG) องค์กรที่ปรึกษาชาวอเมริกันซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือรัฐบาลเสี่ยม ได้แนะนำให้เสี่ยมรวมศูนย์อำนาจด้วยการยกเลิกการปกครองท้องถิ่น และปฏิรูปให้เป็น "เขต" ขนาดใหญ่ที่มีอำนาจน้อยลงและไม่มีอิสระทางการเงิน แต่เสี่ยมคัดค้านการยกเลิกตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด โดยให้เหตุผลว่ามีเพียงรัฐบาลท้องถิ่นเท่านั้นที่สามารถตอบสนอง "ความต้องการของประชาชนท้องถิ่น" ได้ อีกทั้งเขายังเชื่อว่าการกำหนดให้ท้องถิ่นต้องพึ่งพาตนเองด้านการเงิน คือ กุญแจสำคัญในการสร้าง "จิตสำนึกแห่งความรับผิดชอบร่วมกัน" ซึ่งเป็นแนวคิดหลักในประชาธิปไตยแบบชุมชนนิยมตามการตีความของเสี่ยม

พรรคเกิ่นลาวมีบทบาทสำคัญในรัฐบาลเสี่ยม โดยมิใช่เพียงเครื่องมือทางการเมืองเท่านั้น ในระยะแรก พรรคดำเนินการอย่างลับ ๆ ผ่านเครือข่ายขนาดเล็ก แต่ละสมาชิกจะรู้จักตัวตนของเพื่อนร่วมพรรคเพียงไม่กี่คน และเมื่อจำเป็น พรรคสามารถสวมบทบาทเป็นรัฐบาลได้โดยตรง ภายหลัง ค.ศ. 1954 การมีอยู่ของพรรคได้รับการเปิดเผย แต่กิจกรรมต่าง ๆ ยังคงได้รับการปิดบังจากสาธารณะ ในช่วงต้นทศวรรษ 1950 เสี่ยมและญูใช้พรรคเพื่อระดมการสนับสนุนต่อขบวนการทางการเมืองของเสี่ยม ตามกฤษฎีกาสาธารณรัฐเวียดนามที่ 116/BNV/CT พรรคเกิ่นลาวได้รับการจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1954 ลัทธิบุคคลลักษณนิยม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีญันหวิ [en] ได้กลายมาเป็นหลักการพื้นฐานของการปกครองของรัฐบาลเสี่ยมอย่างเป็นทางการ โดยสะท้อนให้เห็นในบทนำของรัฐธรรมนูญที่บัญญัติว่า "การสร้างการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมเพื่อประชาชน บนพื้นฐานแห่งการเคารพลัทธิบุคคลลักษณนิยม"

การเลือกตั้ง

image
เสี่ยม (ขวา) กำลังลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งรัฐสภาเมื่อ ค.ศ. 1959

มิลเลอร์กล่าวว่าประชาธิปไตยสำหรับเสี่ยมมีรากฐานมาจากตัวตนสองด้านของเขา ทั้งในฐานะผู้นิยมขงจื๊อและชาวคาทอลิก และยังสัมพันธ์กับลัทธิชุมชนนิยมและปรัชญาบุคคลลักษณนิยม เสี่ยมนิยามประชาธิปไตยว่าเป็น "จริยธรรมทางสังคมที่ตั้งอยู่บนสำนึกแห่งหน้าที่ทางศีลธรรม" มิใช่ในความหมายแบบสหรัฐที่เน้น "สิทธิทางการเมือง" หรือพหุนิยมทางการเมือง ในบริบทของประเทศเอเชียอย่างเวียดนาม เสี่ยมมองว่าค่านิยมแบบขงจื๊อและคาทอลิกมีความเหมาะสมต่อการรับมือกับปัญหาการเมือง การปกครอง และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในสมัยนั้น ด้วยแง่มุมนี้ เสี่ยมจึงไม่ใช่ขุนนางหัวโบราณที่ไร้ความสนใจในประชาธิปไตยตามที่นักวิชาการบางคนตีความ แต่ทัศนะของเขาที่เกี่ยวกับประชาธิปไตยกลับเป็นปัจจัยสำคัญต่อแนวทางการปฏิรูปการเมืองและการบริหาร เสี่ยมยืนยันว่าเวียดนามหลังยุคอาณานิคมต้องเป็นประเทศประชาธิปไตย แต่เขาเน้นย้ำว่าประชาธิปไตยแบบเวียดนามควรพัฒนามาจากรูปแบบก่อนยุคอาณานิคม มากกว่าที่จะเลียนแบบแนวคิดยุโรปหรืออเมริกา โดยกล่าวว่า "สถาบัน ขนบธรรมเนียม และหลักการที่รองรับสังคมเวียดนามล้วนเป็นข้อเท็จจริงของประชาธิปไตย" เสี่ยมได้ศึกษาเรื่องราวราชวงศ์เหงียนและยืนกรานว่าบรรทัดฐานทางศีลธรรมของเวียดนามสมัยราชวงศ์เหงียนตั้งอยู่ "บนประชาขน" ตามแนวคิดอาณัติแห่งสวรรค์ของขงจื๊อ ซึ่งประชาชนสามารถถอนการสนับสนุนจากกษัตริย์ที่ไม่เป็นที่นิยม และบ่อยครั้งก็ทำให้ราชวงศ์ล่มสลายลง เสี่ยมถือว่านี่คือ "ประเพณีประชาธิปไตยแบบเวียดนามพื้นเมือง" และเขาปรารถนาที่จะสร้างประชาธิปไตยในเวียดนามบนรากฐานดังกล่าว

อุดมการณ์บุคคลลักษณนิยมของเสี่ยมได้รับอิทธิพลอย่างมากจากแนวคิดขงจื๊อที่ว่าการพัฒนาตนเองคือการร่วมมือกับชุมชนท้องท้องถิ่นและสังคมโดยรวม เขามองว่ามีความตึงเครียดระหว่างความปรารถนาส่วนบุคคลกับจริยธรรมแห่งความรับผิดชอบร่วมกันของชุมชน เสี่ยมได้รับแรงบันดาลใจจากงานเขียนของเอ็มมานูเอล มูนิเยร์ นักปรัชญาคาทอลิก โดยมองว่าอุดมการณ์บุคคลลักษณนิยมเป็น "ทางเลือกที่สาม" ของลัทธิชุมชนนิยม ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ที่อยู่ระหว่างปัจเจกนิยมกับคติรวมหมู่ [en] เขายืนกรานว่าประชาธิปไตยไม่อาจเกิดขึ้นได้เพียง "ด้วยการร่างและประกาศใช้เอกสารหรือข้อบังคับ" แต่เสรีภาพพลเมืองที่มอบโดยระบอบประชาธิปไตยควรมีไว้เพื่อ "การพัฒนาร่วมกันของสังคม" โดยมุ่งเน้นเพื่อชุมชนของแต่ละบุคคล มากกว่าเพื่อประโยชน์ส่วนตน

ใน ค.ศ. 1955 เสี่ยมระบุว่า "ประชาธิปไตยคือสภาวะทางความคิด คือวิถีการดำรงชีวิตที่เคารพในความเป็นมนุษย์ ทั้งในแง่ที่เรามีต่อตนเองและต่อผู้อื่น" และยังระบุเพิ่มเติมอีกว่า "ยิ่งกว่าระบอบการปกครองใด ๆ ประชาธิปไตยเรียกร้องให้เราทุกคนแสดงทั้งปัญญาและคุณธรรมในการปฏิสัมพันธ์ต่อกันและกัน" ต่อมาใน ค.ศ. 1956 เสี่ยมได้เสริมว่าประชาธิปไตยจำเป็นต้องส่งเสริมความรู้สึกของชุมชนและความรับผิดชอบร่วมกัน โดยให้เหตุผลว่าการเคารพต่อประชาธิปไตยตั้งอยู่บน "ความสุภาพเรียบร้อยในความสัมพันธ์ทางสังคม" ดังนั้น เขาจึงนิยามประชาธิปไตยแบบเวียดนามว่าเป็นประชาธิปไตยที่มีแก่นแท้ของลัทธิชุมชนนิยม มิใช่ปัจเจกนิยม

image
เสี่ยมกำลังสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐเวียดนาม

ในช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1955 รัฐบาลเสี่ยมต้องตัดสินชะตากรรมของอดีตจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย เดิมทีพระองค์ทรงได้รับตำแหน่งประมุขแห่งรัฐต่อไปจนถีงการเลือกตั้งรัฐสภา แต่คณะรัฐมนตรีเสี่ยมเลือกที่จะใช้การลงประชามติชี้ชะตาพระองค์ มิลเลอร์ชี้ให้เห็นว่า แม้จะมีประชาชนทั่วไปจะเชื่อว่าการทำประชามตินี้เป็นความคิดของเอ็ดเวิร์ด แลนส์เดล แต่แท้จริงแล้วเป็นเสี่ยมที่ตัดสินใจจัดการประชามติเพื่อสร้างภาพลักษณ์ประชาธิปไตยของตน และเพื่อทดลองนำแนวคิดประชาธิปไตยของเขามาปฏิบัติ อย่างไรก็ดี เนื่องจากจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย ไม่เป็นที่นิยมในหมู่ประชาชน จากการที่พระองค์เคยให้ความร่วมมือกับระบอบอาณานิคมฝรั่งเศส รัฐบาลใหม่จึงเดินหน้าทำลายชื่อเสี่ยงของพระองค์ต่อไป โดยการรณรงค์ให้ร้ายพระองค์อย่างรุนแรงและการจัดการชุมนุมสนับสนุนเสี่ยมในวงกว้าง ทั้งนี้ การลงประชามติยังถูกมองว่าไม่เป็นความลับ เนื่องจากผู้เลือกตั้งได้รับบัตรเลือกตั้งที่มีภาพถ่ายของเสี่ยมและจักรพรรดิบ๋าว ดั่ย และต้องฉีกบัตรครึ่งหนึ่งแล้วนำส่วนที่เลือกใส่ลงหีบ ทำให้ทุกคนสามารถเห็นได้ว่าผู้ลงคะแนนเลือกฝ่ายใด มิลเลอร์ตั้งข้อสังเกตว่าการลงประชามติครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึง "ความประหลาด" ของความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยของเสี่ยม กล่าวคือ หากมองในแง่พหุนิยมทางการเมือง ผลการลงคะแนนเสียงย่อมมีลักษณะเป็นเผด็จการ แต่สำหรับเสี่ยม เขามองว่าผลลัพธ์นั้นชอบธรรม เพราะเขานิยามประชาธิปไตยว่าเป็น "สภาวะทางความคิด" ที่ประชาชนเลือกผู้นำซึ่งมีศีลธรรมสูงกว่า ดังนั้นเสี่ยมจึง "ยืนกรานว่าผลลัพธ์นี้สอดคล้องโดยสมบูรณ์กับทัศนะของเขาที่ว่าประชาธิปไตยคือการที่พลเมืองยอมรับจริยธรรมร่วมกัน"

ต่อมาเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1956 มีการจัดการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาครั้งแรก การเลือกตั้งครั้งนี้มีความเสรีและยุติธรรมกว่าการประชามติอย่างมาก โดยมิลเลอร์ระบุว่า ผู้สมัครฝ่ายรัฐบาลต้องแข่งขันแย่งชิงที่นั่งในรัฐสภาอย่างหนักกับผู้สมัครอิสระและฝ่ายค้าน ครั้งนี้ผู้สมัครที่ไม่ใช่ฝ่ายรัฐบาลได้รับอนุญาตให้หาเสียง และบรรยากาศการเลือกตั้งก็สะท้อนถึงความเป็นพหุนิยมที่แท้จริง แต่กระนั้นรัฐบาลยังคงสงวนสิทธิ์ห้ามผู้สมัครที่ถูกมองว่าเกี่ยวโยงกับคอมมิวนิสต์หรือกลุ่มกบฏ และสื่อหาเสียงก็ถูกตรวจสอบ มิลเลอร์ระบุว่าในบางเขตเลือกตั้ง ผู้สมัครฝ่ายตรงข้ามต้องถอนตัวเพราะถูกตำรวจคุกคามและมีการปรากฏตัวของทหาร ที่น่าประหลาดใจคือ แทนที่เสี่ยมจะปล่อยให้การร่างรัฐธรรมนูญอยู่ในมือของคณะกรรมาธิการที่คัดสรรมาอย่างดี แต่เขากลับยุบคณะกรรมาธิการดังกล่าว แล้วให้สมาชิกรัฐสภาเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญ รัฐบาลยกย่องว่ากระบวนการนี้เป็นประชาธิปไตยและโปร่งใส เนื่องจากการประชุมสภาเปิดให้สาธารณชนรับรู้และมีสื่อเข้าร่วม แม้ขบวนการปฏิวัติแห่งชาติจะครองเสียงข้างมากในสภา แต่ก็ยังมีฝ่ายค้านจำนวนหนึ่งที่สามารถชนะการเลือกตั้งและได้เข้าสภาเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ระบอบ "ประชาธิปไตยแบบผู้นำเดียว" ของเสี่ยมเผชิญกับความยากลำบากมากขึ้น หลังจากได้รับแรงกดดันทั้งจากภายในเวียดนามและจากสหรัฐอเมริกา เสี่ยมจึงยอมจัดการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติเวียดนามใต้ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1959 แต่ในความเป็นจริง หนังสือพิมพ์ไม่ได้รับอนุญาตให้ตีพิมพ์ชื่อหรือเผยแพร่นโยบายของผู้สมัครอิสระ และมีการสั่งห้ามการประชุมทางการเมืองที่มีคนเกิน 5 คน ผู้สมัครที่ลงแข่งกับผู้สมัครที่รัฐบาลสนับสนุนต้องเผชิญกับการคุกคามและข่มขู่ ในเขตชนบท ผู้สมัครที่ลงเลือกตั้งถูกข่มขู่ด้วยข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับเหวียตกง ซึ่งมีโทษถึงประหารชีวิต ฟาน กวาง ด๊าน [en] นักวิจารณ์รัฐบาลที่โดดเด่นที่สุด ก็ลงสมัครการเลือกตั้งนี้ด้วย แม้รัฐบาลจะส่งทหารนอกเครื่องแบบของกองทัพบก 8,000 นาย ไปยังเขตเลือกตั้งของเขาเพื่อลวคะแนนเสียง แต่ด๊านก็ยังชนะด้วยอัตราส่วนคะแนนหกต่อหนึ่ง ซึ่งการขนทหารไปลงคะแนนเพื่อสนับสนุนผู้สมัครฝ่ายรัฐบาลเช่นกรณีนี้เกิดขึ้นทั่วประเทศ แต่ที่สุดแล้ว เมื่อรัฐสภาชุดใหม่เปิดประชุม ด๊านก็ถูกจับกุม

image
เสี่ยมกับลินดอน บี. จอห์นสัน รองประธานาธิบดีสหรัฐ และเฟรเดอริก นอลทิง เอกอัครราชทูต เมื่อ ค.ศ. 1961

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1961 ลินดอน บี. จอห์นสัน รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้เยือนกรุงไซ่ง่อน และประกาศด้วยความรู้สึกอันแรงกล้าว่าเสี่ยมคือ "วินสตัน เชอร์ชิล แห่งเอเชีย" เมื่อถูกถามว่าทำไมถึงกล่าวเช่นนั้น จอห์นสันตอบว่า "เสี่ยมคือเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวที่เรามีที่นั่น" จอห์นสันยังให้คำมั่นกับเสี่ยมว่าจะเพิ่มความช่วยเหลือเพื่อสร้างกองกำลังที่สามารถต่อต้านคอมมิวนิสต์ได้

นโยบายทางเศรษฐกิจและสังคม

ระหว่างที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เสี่ยมได้ออกโครงการปฏิรูปสังคมไซ่ง่อนให้สอดคล้องกับค่านิยมของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกและลัทธิขงจื๊อ มีการสั่งปิดซ่องและบ่อนฝิ่น การหย่าและการทำแท้งเป็นสิ่งผิดกฎหมาย รวมถึงกฎหมายว่าด้วยการผิดประเวณีก็ได้รับการปรับปรุงให้เข้มงวดยิ่งขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลเสี่ยมยังได้ก่อตั้งโรงเรียนและมหาวิทยาลัยจำนวนมาก เช่น ศูนย์เทคนิคแห่งชาติที่ฟู้เถาะ (ค.ศ. 1957), มหาวิทยาลัยไซ่ง่อน (ค.ศ. 1956), มหาวิทยาลัยเว้ (ค.ศ. 1957) และมหาวิทยาลัยดาลัด (ค.ศ. 1957)

การพัฒนาชนบท

เสี่ยมหวังที่จะปลูกจิตสำนึกรักชาติและนักปฏิวัติให้กับประชาชนเวียดนามใต้ รวมทั้งสร้างประชาธิปไตยแบบชุมชนที่เข้มแข็งและประเทศเวียดนามที่เป็นเอกราชโดยไม่ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ เขามองว่าชาวนาชาวไร่เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างชาติ เนื่องจากเชื่อว่าชาวนาชาวไร่มีแนวโน้มที่จะเห็นแก่ประเทศชาติมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตนในจิตวิญญาณของการอาสา มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการพิเศษเพื่อการปฏิบัติการพลเรือนขึ้น โดยมีจุดประสงค์ที่จะขยายอำนาจของรัฐบาลไซ่ง่อนเข้าสู่พื้นที่ชนบทและสร้าง "หมู่บ้านตัวอย่าง" เพื่อแสดงให้ชาวชนบทเห็นว่ารัฐบาลเวียดนามใต้มีศักยภาพจริง อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ประชาชนอาสาสมัครและผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วยพัฒนาชุมชนและผูกพันพวกเขาเข้ากับความเป็นชาติ คณะกรรมาธิการพิเศษนี้ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือเชิงปฏิบัติของรัฐบาลเสี่ยม เพื่อเข้ามาเติมเต็ม "สุญญากาศแห่งอำนาจ" และสร้างอิทธิพลของรัฐบาลในชนบท ภายหลังการถอนกำลังพลของเหวียตมิญตามข้อตกลงเจนีวา (ค.ศ. 1954)

การศึกษาโดยเจฟฟรีย์ ซี. สจวร์ต ช่วยให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับนโยบายภายในประเทศของเสี่ยม และทำให้เข้าใจมากขึ้นถึงความพยายามของรัฐบาลในการเข้าถึงและเชื่อมโยงกับชุมชนท้องถิ่นในเวียดนามใต้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเป็น "ความริเริ่มจากภายในประเทศ" ของรัฐบาลเองในการสร้างชาติที่เป็นอิสระและยั่งยืน

image
ชาวนาเวียดนามที่ตวีฮหว่า เมื่อ ค.ศ. 1966

การปฏิรูปที่ดิน ในประเทศเวียดนามใต้ โดยเฉพาะบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ที่ดินในชนบทอยู่ในการครอบครองของครอบครัวเจ้าของที่ดินผู้ร่ำรวยเพียงไม่กี่ตระกูล ทำให้มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องทำการปฏิรูปที่ดิน เสี่ยมได้พยายามถึงสองครั้งที่จะควบคุมระบบเช่าที่ดินที่เอาเปรียบเกินควร โดยออกกฤษฎีกาเลขที่ 2 เมื่อวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 1955 เพื่อลดค่าเช่าที่ดินให้อยู่ระหว่างร้อยละ 15–25 ของผลผลิตเฉลี่ย และกฤษฎีกาเลขที่ 7 เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1955 เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้เช่าที่ดินใหม่และที่ดินรกร้าง รวมถึงส่งเสริมการเพาะปลูก จากนั้นในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1956 เสี่ยมได้ออกกฎหมายปฏิรูปที่ดินที่เข้มข้นยิ่งขึ้น ภายใต้คำแนะนำของวูล์ฟ ลาเดจินสกี [en] ที่ปรึกษาส่วนตัวของเสี่ยมด้านการปฏิรูปเกษตร โดยริเริ่มโครงการ "ที่ดินต้องเป็นของผู้เพาะปลูก" (ซึ่งไม่ควรสับสนกับโครงการปฏิรูปที่ดินชื่อเดียวกันในภายหลังของเหงียน วัน เถี่ยว) โดยกำหนดเพดานถือครองสูงสุดที่ 100 เฮกตาร์ สำหรับที่ดินทำนา และ 15 เฮกตาร์ สำหรับที่ดินที่ใช้บูชาบรรพบุรุษ

อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้แทบไม่เกิดผลใด ๆ เนื่องจากเจ้าของที่ดินจำนวนมากหลบเลี่ยงการกระจายที่ดินโดยโอนทรัพย์สินไปให้ญาติ นอกจากนี้ ระหว่างสงครามต่อต้านฝรั่งเศส (ค.ศ. 1946–1954) เหวียตมิญได้ควบคุมพื้นที่บางส่วนในภาคใต้ และได้ริเริ่มการปฏิรูปที่ดินไปแล้ว โดยยึดที่ดินจากเจ้าของที่ดินและจัดสรรให้ชาวนาชาวไร่ ทั้งนี้ เพดานถือครองที่ดินในโครงการเสี่ยมยังสูงกว่าของญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวันถึง 30 เท่า และที่ดินกว่า 370,000 เอเคอร์ (ราว 1,500 ตารางกิโลเมตร) ของคริสตจักรคาทอลิกก็ได้รับการยกเว้น ผลทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจที่เกิดจากการปฏิรูปที่ดินจึงมีน้อยมาก นับตั้งแต่ ค.ศ. 1957 ถึง ค.ศ. 1963 มีเพียงร้อยละ 50 ของที่ดินเวนคืนที่มีการจัดสรรจริง และมีเพียง 100,000 ครัวเรือน จากเกษตรกรผู้เช่าไร่นาประมาณหนึ่งล้านครัวเรือนที่ได้ประโยชน์จากการปฏิรูปนี้ นอกจากนี้ เกษตรกรจําเป็นต้องจ่ายค่าที่ดินที่พวกเขาได้มาภายใต้โครงการนี้ และโครงการก็เต็มไปด้วยการทุจริตและไร้ประสิทธิภาพ

เหวียตกงเริ่มได้รับการสนับสนุนเพิ่มขึ้น เนื่องจากความขุ่นเคืองที่เสี่ยมยกเลิกการปฏิรูปที่ดินของเหวียตมิญในชนบท ก่อนหน้านี้เหวียตมิญได้ยึดที่ดินเอกชนขนานใหญ่ ลดค่าเช่าและหนี้สิน และแบ่งที่ดินส่วนรวมให้ชาวนาที่ยากจน แต่เสี่ยมกลับนำระบบถือครองที่ดินกลับมา ทำให้คนที่ทําการเกษตรมาหลายปีต้องคืนที่ดินให้เจ้าของเดิม และยังต้องจ่ายค่าเช่าย้อนหลังหลายปี มาริลิน บี. ยัง บันทึกไว้ว่า "ความแตกแยกภายในหมู่บ้านสะท้อนให้เห็นภาพในอดีตสมัยต่อต้านฝรั่งเศส โดยร้อยละ 75 สนับสนุนเหวียตกง, ร้อยละ 20 พยายามเป็นกลาง และมีเพียงร้อยละ 5 ที่ยืนข้างรัฐบาลไซ่ง่อนอย่างมั่นคง"

การตั้งรกรากใหม่ มิลเลอร์ระบุว่าเสี่ยมมองว่าเกษตรกรผู้เช่าไร่นาเป็น "ชนชั้นกรรมาชีพที่แท้จริง" และได้ตั้งเป้าหมายสู่ "การทำให้เป็นชาวนาชนชั้นกลาง" โดยเขามิได้อยู่ใต้อิทธิพลของเจ้าที่ดินรายใหญ่ แต่แทนที่เสี่ยมจะดําเนินการปฏิรูปที่ดินอย่างจริงจัง เขากลับมีวิสัยทัศน์ของตนเองในการพัฒนาชนบทเวียดนาม โดยอาศัยแนวคิดการตั้งรกรากใหม่ ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การจัดกระจายประชากรขึ้นใหม่ (มากกว่าการจัดสรรที่ดิน) แนวทางนี้สามารถช่วยลดความแออัดและนำไปสู่ประโยชน์ในด้านการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงในด้านการทหารและความมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อต้านการแทรกซึมของคอมมิวนิสต์ นอกจากนี้ เสี่ยมยังมีความมุ่งมั่นที่จะใช้การตั้งรกรากใหม่เป็นยุทธวิธีในการปฏิบัติตามเป้าหมายทางอุดมการณ์ของรัฐบาล ความแตกต่างระหว่างสหรัฐอเมริกากับเสี่ยมในเรื่องการสร้างชาติในชนบท จึงกลายเป็นจุดแตกหักในความเป็นพันธมิตรของทั้งสองฝ่าย

โครงการตั้งรกรากใหม่ก๊ายซั้น (Cái Sắn): ในช่วงปลาย ค.ศ. 1955 เนื่องด้วยความช่วยเหลือด้านวัตถุและทักษะความรู้จากสหรัฐ รัฐบาลเสี่ยมจึงดำเนินโครงการก๊ายซั้นในจังหวัดอานซาง ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างถิ่นฐานใหม่ให้แก่ผู้ลี้ภัยชาวเหนือจำนวนหนึ่งแสนคน

โครงการพัฒนาที่ดิน (Khu dinh điền): ในช่วงต้น ค.ศ. 1957 เสี่ยมริเริ่มโครงการใหม่ โดยเรียกว่า "การพัฒนาที่ดิน" เพี่อย้ายผู้อยู่อาศัยที่ยากจน ทหารปลดประจําการ และกลุ่มชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยในภาคกลางและใต้ของเวียดนาม มายังที่ดินรกร้างว่างเปล่าบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงและที่ราบสูงตอนกลาง และพัฒนาความสำเร็จทางเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์เพื่อจุดประสงค์ในการเปลี่ยนแปลงเวียดนามใต้ รวมถึงเป็นการรับรองความปลอดภัยและป้องกันการแทรกซึมจากคอมมิวนิสต์ เสี่ยมมองว่าโครงการนี้จะช่วยพัฒนาความเป็นอยู่ของพลเมือง และช่วยสอนค่านิยมของการพึ่งพาตนเองและการทํางานหนัก เมื่อสิ้นสุด ค.ศ. 1963 โครงการดังกล่าวได้สร้างถิ่นฐานใหม่มากกว่าสองร้อยแห่ง เพื่อรองรับประชากรราว 250,000 คน อย่างไรก็ตาม การขาดแคลนปัจจัยแวดล้อมที่เหมาะสมในพื้นที่เหล่านี้ ประกอบกับการทุจริตและความโหดร้ายของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ทำให้โครงการต้องเป็นอันพับไป

image
เสี่ยม (กลางขวา) ได้รับการต้อนรับจากภิกษุและผู้อาวุโสในหมู่บ้านที่ภาคกลางของเวียดนาม

โครงการหมู่บ้านการเกษตร (khu trù mật): ในช่วงปลาย ค.ศ. 1959 ถึงต้น ค.ศ. 1960 ด้วยแรงจูงใจจากแนวคิดเรื่องการรวมกลุ่มประชากรเข้าด้วยกัน เสี่ยมจึงเริ่มโครงการหมู่บ้านเกษตร [en] โดยมีเป้าหมายในการย้ายถิ่นฐานประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลและโดดเดี่ยวในดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ไปยังรกรากใหม่ใน "พื้นที่หนาแน่นและมั่งคั่ง" โดยเสนอว่าจะมอบความทันสมัยแบบเมืองและสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่พวกเขา โดยที่ยังสามารถทำเกษตรได้เหมือนเดิม รวมถึงทำให้ประชาชนอยู่ห่างไกลจากคอมมิวนิสต์ อย่างไรก็ตาม เมื่อปลาย ค.ศ. 1960 เสี่ยมได้ออกมายอมรับว่าเป้าหมายของโครงการนี้ล้มเหลว เนื่องจากชาวบ้านไม่พอใจต่อโครงการ และคอมมิวนิสต์ยังคงแทรกซึมได้ จนท้ายที่สุดเขาต้องยกเลิกโครงการนี้

มิลเลอร์อธิบายว่าความไม่ลงรอยกันระหว่างสหรัฐกับเสี่ยมในเรื่องการปฏิรูปการเกษตร ทำให้ความเป็นพันธมิตรของทั้งสองฝ่าย "เลวร้ายลงเรื่อย ๆ" มิลเลอร์ให้เหตุผลว่าเสี่ยมตั้งใจสนับสนุนเกษตรกรผู้ยากจน โดยเลือกวิธีปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยแบบค่อยเป็นค่อยไปและกระจายที่ดินในระดับปานกลาง แม้เขาต้องการได้รับที่ดินของเจ้าของที่ดินรายใหญ่เพื่อนำมาจัดสรร แต่เขาก็ยังต้องการคุ้มครองทรัพย์สินของเจ้าของที่ดินชนชั้นกลางด้วย หนึ่งในความกังวลหลักของเสี่ยม คือ ปัญหาประชากรล้น ซึ่งรุนแรงขึ้นเนื่องจากการอพยพของผู้ลี้ภัยจากฝั่งเหนือ เสี่ยมจึงพยายามบรรเทาปัญหาด้วยการจัดตั้งรกรากใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญของชาตินิยมทางเศรษฐกิจ โดยให้เหตุผลว่าการใช้ประโยชน์ที่ดินในประเทศจะช่วยเพิ่มการผลิตธัญพืชและยาง รวมทั้งเปิดโอกาสให้เวียดนามใต้เข้าสู่การค้าโลก ในเชิงอุดมการณ์แล้ว เสี่ยมมองนโยบายนี้ว่าเป็นหัวใจของ "การปฏิวัติแบบบุคคลลักษณนิยม" โดยหมู่บ้านที่จัดตั้งใหม่จะ "ไม่ใช่การรวมกลุ่มแบบคอมมิวนิสต์ และไม่ใช่ชุมชนแบบต่างคนต่างอยู่" แต่จะสะท้อนอุดมคติแบบชุมชนนิยมของเขา การเปลี่ยนชาวนาที่ไร้ที่ดินให้กลายเป็นผู้ถือครองที่ดินจึงถูกมองว่าเป็นก้าวสำคัญของการปฏิรูปสังคมเวียดนามโดยรวม

ปลาย ค.ศ. 1955 โครงการก๊ายซั้นริเริ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายในการสร้างถิ่นฐานใหม่ให้แก่ผู้ลี้ภัยจากฝั่งเหนือในพื้นที่ชนบท ซึ่งก่อนหน้านี้อยู่ในการยึดครองของลัทธิฮหว่าหาว โครงการนี้ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางสังคมอย่างรุนแรงระหว่างผู้อพยพใหม่กับชาวท้องถิ่นเดิม เสี่ยมจึงยื่นข้อเสนอประนีประนอมให้แก่เจ้าของที่ดินท้องถิ่น ด้วยการออกกฤษฎีกาบังคับให้ผู้ลี้ภัยต้องทำสัญญาเช่าที่ดินกับพวกเขา สิ่งนี้จุดชนวนให้เกิดการชุมนุมประท้วงของผู้ลี้ภัย ซึ่งเริ่มคลี่คลายลงหลังจากเสี่ยมให้ผู้ลี้ภัยมีสิทธิซื้อที่ดินที่ตนทำกินอยู่ได้ แม้ว่าในช่วงแรกโครงการนี้จะถูกมองว่าล้มเหลว เนื่องจากก่อให้เกิดกระแสต่อต้านรัฐบาลและสร้างความขัดแย้งทางสังคม แต่มิลเลอร์ชี้ว่าโครงการก๊ายซั้นกลับประสบผลสำเร็จต่อเนื่องนับตั้งแต่ ค.ศ. 1960 และการสร้างถิ่นฐานใหม่ค่อย ๆ พัฒนาไปสู่ฐานการสนับสนุนรัฐบาล จึงถือว่าประสบความสำเร็จตามเป้าหมายด้านการต่อต้านการก่อความไม่สงบ อย่างไรก็ตาม โครงการต่อต้านการก่อความไม่สงบหลายโครงการกลับดำเนินไปอย่างเร่งร้อนเกินไป และทำให้การปกครองของเสี่ยมไม่มั่นคงในที่สุด เมื่อโรเบิร์ต ทอมป์สัน ส่งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการภาคสนามจากฟิลิปปินส์ลงพื้นที่หมู่บ้าน เจ้าหน้าที่ได้รายงานว่าชวนาเวียดนามใต้ยอมรับคำกล่าวอ้างของเหวียตกงที่ว่า "อเมริกาได้เข้ามาแทนที่ฝรั่งเศสในฐานะเจ้าอาณานิคมในเวียดนาม"

การปราบปรามการก่อความไม่สงบ

ระหว่างที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เสี่ยมให้ความสำคัญกับความกังวลหลักของเขา ซึ่งคือความมั่นคงภายใน เพื่อรักษาระบอบการปกครองของตน รวมทั้งรักษาความสงบเรียบร้อยและขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดยใช้นโยบายต่อต้านการบ่อนทำลายและกบฏอย่างแข็งกร้าว หลังจากบิ่ญเซวียนได้รับความพ่ายแพ้และลัทธิฮหว่าหาวและกาวด่ายถูกปราบปราม เสี่ยมจึงหันมากำราบภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุดของตนอย่างคอมมิวนิสต์ โดยวิธีการหลักของเสี่ยมในการรักษาความมั่นคงภายในคือการประทุษร้าย การลงโทษ และการข่มขู่ รัฐบาลเสี่ยมได้ตอบโต้ความพยายามบ่อนทำลายของเวียดนามเหนือคอมมิวนิสต์ (รวมถึงการสังหารเจ้าหน้าที่เวียดนามใต้กว่า 450 คน ใน ค.ศ. 1956) ด้วยการเปิดฉากรณรงค์ที่รู้จักกันในชื่อ "ประณามพวกคอมมิวนิสต์" มีการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยว่าเป็นคอมมิวนิสต์กว่าหลายหมื่นคนไว้ที่ "ศูนย์อบรมการเมือง" รัฐบาลเวียดนามเหนืออ้างว่าภายในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1957 มีผู้ถูกจองจำราว 65,000 คน และถูกสังหาร 2,148 คน ในการรณรงค์นี้ ในจดหมายที่ส่งถึงคณะกรรมาธิการควบคุมและกำกับดูแลระหว่างประเทศเมื่อ ค.ศ. 1961 นายพลหวอ เงวียน ซ้าป แห่งเวียดนามเหนือ ระบุว่าการรณรงค์ "ประณามพวกคอมมิวนิสต์" ทำให้มีผู้ถูกจับกุม บาดเจ็บ หรือเสียชีวิตหลายร้อยคน บางครั้งอาจมากถึงหลักพัน นักประวัติศาสตร์ กาบริเอล คอลโก กล่าวว่าตั้งแต่ ค.ศ. 1955 จนสิ้นสุด ค.ศ. 1958 มีการจำคุกนักโทษการเมือง 40,000 คน และหลายคนถูกประหารชีวิต อย่างไรก็ดี นักประวัติศาสตร์ กึนเทอ เลวี ให้ความเห็นว่าตัวเลขดังกล่าวเกินจริง โดยระบุว่าในช่วงเวลาดังกล่าวมีนักโทษในเวียดนามใต้เพียง 35,000 คนเท่านั้น

นับตั้งแต่ปลาย ค.ศ. 1959 เสี่ยมสามารถควบคุมแต่ละครัวเรือนได้อย่างสมบูรณ์และคอมมิวนิสต์ต้องประสบกับ "สมัยแห่งความมืดมนที่สุด" ในประวัติศาสตร์ของพวกเขา จำนวนสมาชิกของกลุ่มคอมมิวนิสต์ลดลงสองในสามและแทบไม่มีอำนาจในชนบทของเวียดนามใต้ การปราบปรามของเสี่ยมไม่ได้จำกัดอยู่เพียงกลุ่มคอมมิวนิสต์เท่านั้น แต่ยังขยายไปถึงผู้เห็นต่างที่ต่อต้านคอมมิวนิสต์ และผู้เปิดโปงการทุจริตอีกด้วย ใน ค.ศ. 1956 ภายหลัง "การรณรงค์ประณามคอมมิวนิสต์" เสี่ยมได้ออกกฤษฎีกาเลขที่ 6 ซึ่งให้อำนาจควบคุมตัวบุคคลซึ่งถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐและความสงบเรียบร้อยของประชาชนไว้ในคุกหรือภายใต้การกักบริเวณ

อย่างไรก็ตาม นโยบายอันเข้มงวดของเสี่ยมนำไปสู่ความหวาดกลัวและความไม่พอใจในหลายภาคส่วนของเวียดนามใต้ และส่งผลกระทบในทางลบต่อความสัมพันธ์ของเขากับสหรัฐอเมริกาในด้านวิธีการปราบปรามการก่อความไม่สงบ เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1957 ขณะที่เสี่ยมกล่าวสุนทรพจน์ในงานแสดงสินค้าเกษตรที่บวนมาถ็วต ห่า มิญ จี นักคอมมิวนิสต์ผู้หนึ่ง พยายามลอบสังหารประธานาธิบดี เขาได้เข้าไปใกล้เสี่ยมและยิงปืนพกในระยะประชิด แต่พลาดเป้า กระสุนไปถูกแขนซ้ายของเลขาธิการด้านปฏิรูปที่ดินแทน จากนั้นอาวุธเกิดขัดข้องและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็สามารถเข้าควบคุมตัวห่า มิญ จี ได้ก่อนที่จะลั่นกระสุนนัดต่อไป เหตุการณ์ครั้งนั้นหาได้ทำให้เสี่ยมสะทกสะท้านไม่ ความพยายามลอบสังหารดังกล่าวถือเป็นการตอบโต้ด้วยความสิ้นหวังของฝ่ายคอมมิวนิสต์ต่อมาตรการต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างไม่ลดละของเขา

เมื่อกระแสการต่อต้านการปกครองของเสี่ยมในเวียดนามใต้ขยายตัวขึ้น การก่อความไม่สงบขนาดย่อมก็เริ่มก่อตัวขึ้นใน ค.ศ. 1957 ที่สุดแล้วในเดือนมกราคม ค.ศ. 1959 ภายใต้แรงกดดันจากคอมมิวนิสต์ภาคใต้ซึ่งกำลังตกเป็นเป้าโจมตีของตำรวจลับของเสี่ยมอย่างหนักหน่วง คณะกรรมการส่วนกลางจากกรุงฮานอยจึงออกมติลับ ซึ่งอนุมัติให้ใช้อาวุธในการก่อความไม่สงบได้ในภาคใต้ พร้อมทั้งสนับสนุนด้านเสบียงและกำลังพลจากทางเหนือต่อมาเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1960 ภายใต้คำสั่งจากฮานอย ฝ่ายคอมมิวนิสต์ภาคใต้ได้ก่อตั้งเหวียตกงขึ้นเพื่อโค่นล้มรัฐบาลฝั่งใต้ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1960 พันโท เวือง วัน ดง [en] และพันเอก เหงียน ชั้ญ ที [en] แห่งกองพลอากาศสาธารณรัฐเวียดนาม พยายามก่อรัฐประหารต่อรัฐบาลเสี่ยมแต่ล้มเหลว ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1962 ได้มีความพยายามลอบสังหารเสี่ยมและครอบครัวอีกครั้ง เมื่อเจ้าหน้าที่กองทัพอากาศสองนายร่วมมือกันทิ้งระเบิดใส่วังประธานาธิบดี [en]

image
"หมู่บ้านยุทธศาสตร์" ของเวียดนามใต้

ใน ค.ศ. 1962 แกนหลักของความพยายามในการปราบปรามการก่อความไม่สงบของเสี่ยม คือ โครงการหมู่บ้านยุทธศาสตร์ [en] (ภาษาเวียดนาม: Ấp Chiến lược) ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น "โครงการสร้างชาติครั้งสุดท้ายและยิ่งใหญ่ที่สุดของรัฐบาลเสี่ยม" โดยมีเป้าหมายในการรวมหมู่บ้านกว่า 14,000 แห่งในเวียดนามใต้ ให้เหลือ 11,000 แห่ง ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีความมั่นคง แต่ละหมู่บ้านมีที่อยู่อาศัย โรงเรียน บ่อน้ำ และหอเฝ้าระวัง ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลเวียดนามใต้ หมู่บ้านดังกล่าวได้รับการออกแบบมาเพื่อแยกเหวียตกงออกจากชาวบ้านซึ่งเป็นแหล่งในการสรรหาทหาร เสบียง และข่าวสาร ตลอดจนเพื่อปรับเปลี่ยนชนบทเสียใหม่ อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดโครงการหมู่บ้านยุทธศาสตร์ก็ไม่ประสบความสำเร็จตามที่คาดหวัง และถูกยกเลิกภายหลังการลอบสังหารเสี่ยม เนื่องจากมีข้อบกพร่องหลายประการ ถึงอย่างนั้น มิลเลอร์กลับเห็นว่าโครงการนี้สร้างความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญต่อการปกครองของเสี่ยมในสงครามต่อต้านคอมมิวนิสต์เฟรเดอริก นอลทิง รายงานว่าเสี่ยมกล่าวว่าการฟื้นฟูการควบคุมและความมั่นคงถือเป็นภารกิจอันดับหนึ่งของตนในพื้นที่ชนบท แม้ว่าเขาจะแสดงท่าทีเปิดรับต่อการสร้าง "โครงสร้างพื้นฐานประชาธิปไตย" ในชนบท แต่เสี่ยมเน้นว่าสิ่งนั้นจะต้องรอจนกว่าสงครามจะสิ้นสุดลง ทั้งนี้ โครงการหมู่บ้านยุทธศาสตร์ได้รับการเปิดเผยภายหลังรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963 ว่าแทบล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เจ้าหน้าที่สหรัฐพบว่า จากจำนวนหมู่บ้าน 8,600 แห่งที่รัฐบาลเสี่ยมรายงานว่า "เสร็จสมบูรณ์" มีเพียงร้อยละ 20 เท่านั้นที่เป็นไปตามมาตรฐานขั้นต่ำด้านความมั่นคงและความพร้อมตามที่สหรัฐกำหนด

นโยบายด้านศาสนาและวิกฤตการณ์ชาวพุทธ

จากการประมาณการส่วนใหญ่ มีผู้นับถือศาสนาพุทธเป็นร้อยละ 70–90 ของประชากร แม้จะมีบางส่วนประมาณการไว้น้อยกว่านั้น แต่ก็มีผู้นับถือศาสนาพุทธควบคู่ไปกับความเชื่ออื่น ๆ เช่น ศาสนาชาวบ้านเวียดนามและลัทธิเต๋า

เสี่ยมเป็นที่กล่าวถึงอย่างกว้างขวางในหมู่นักประวัติศาสตร์ว่าเขาได้ดำเนินนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อชาวคาทอลิก ซึ่งสร้างความขัดแย้งกับพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐบาลถูกมองว่ามีอคติต่อพุทธศาสนิกชนในเรื่องการรับราชการ การเลื่อนตำแหน่งในกองทัพ ตลอดจนการจัดสรรที่ดิน สิทธิประโยชน์ทางธุรกิจ และการยกเว้นภาษี มีการกล่าวอ้างว่าเสี่ยมเคยกล่าวกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่นายหนึ่ง โดยลืมไปว่าเขาเป็นชาวพุทธว่า "จงแต่งตั้งนายทหารคาทอลิกของคุณไว้ในตำแหน่งสำคัญ เพราะพวกเขาเชื่อถือได้" นายทหารจำนวนมากในกองทัพบกสาธารณรัฐเวียดนามได้เปลี่ยนศาสนาไปเป็นศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ด้วยความเชื่อว่าความก้าวหน้าในอาชีพทหารขึ้นอยู่กับเรื่องนี้ สำหรับการแจกจ่ายอาวุธให้กับกองกำลังป้องกันตนเองในหมู่บ้านเพื่อใช้ต่อต้านกองโจรเหวียตกง ปรากฏว่ามีการมอบอาวุธให้แก่ชาวคาทอลิกเท่านั้น ส่งผลให้บางหมู่บ้านชาวพุทธหันมานับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกทั้งหมู่บ้าน เพื่อให้ได้รับความช่วยเหลือหรือเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกรัฐบาลเสี่ยมบังคับย้ายถิ่นฐาน ขณะเดียวกัน พุทธศาสนิกชนในกองทัพที่ปฏิเสธไม่ยอมเปลี่ยนศาสนาก็ถูกกีดกันไม่ให้เลื่อนตำแหน่ง มีบาทหลวงคาทอลิกบางรายที่จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธส่วนตัวของตนเอง และในบางพื้นที่ได้มีการบังคับให้เปลี่ยนศาสนา การปล้นสะดม การยิงปืนใหญ่ และการรื้อทำลายวัดวาอารามเกิดขึ้น สวอเวียกให้เหตุผลว่าการที่เสี่ยมแสดงความลำเอียงต่อคาทอลิกนั้น ไม่ใช่สัญญาณของการทุจริตหรือเล่นพรรคเล่นพวก แต่เป็นสิ่งจำเป็นที่เสี่ยมต้องทำเพื่อเลือกคนที่ภักดีต่อเขา ท่ามกลางสถานการณ์ภายในเวียดนามที่เปราะบาง

image
ธงที่ชาวพุทธเวียดนามใช้ระหว่างการประท้วง

ศาสนจักรคาทอลิกเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่ที่สุดในประเทศ และด้วยสถานะ "ศาสนาเอกชน" ที่ฝรั่งเศสกำหนดไว้ต่อศาสนาพุทธ ทำให้การจัดกิจกรรมทางศาสนาของชาวพุทธในที่สาธารณะต้องได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการ ซึ่งเสี่ยมก็ไม่เคยยกเลิกข้อบังคับนี้ ชาวคาทอลิกยังได้รับการยกเว้นโดยพฤตินัยจากการเป็นแรงงานเกณฑ์ที่รัฐบาลบังคับให้ประชาชนทุกคนต้องปฏิบัติ อีกทั้งความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกายังได้รับการจัดสรรอย่างไม่สมดุลไปยังหมู่บ้านที่มีชาวคาทอลิกเป็นส่วนใหญ่ ที่ดินที่ศาสนจักรคาทอลิกครอบครองยังได้รับการยกเว้นจากการปฏิรูปที่ดิน ภายใต้การปกครองของเสี่ยม ศาสนจักรคาทอลิกได้รับเอกสิทธิ์พิเศษในการได้มาซึ่งทรัพย์สิน และใน ค.ศ. 1959 เสี่ยมได้ถวายประเทศของตนเพื่ออุทิศแด่พระนางมารีย์ มีการชักธงนครรัฐวาติกันสีขาวทองขึ้นเป็นประจำในงานสาธารณะสำคัญทุกครั้งของเวียดนามใต้ และมหาวิทยาลัยใหม่ที่เพิ่งก่อสร้างขึ้นที่เว้และดาลัดก็ได้รับการจัดระเบียบให้ผู้บริหารเป็นชาวคาทอลิกทั้งหมด เพื่อปลูกฝังสภาพแวดล้อมทางวิชาการที่โน้มเอียงไปทางคาทอลิก อย่างไรก็ดี เสี่ยมก็ได้มีส่วนสนับสนุนชุมชนชาวพุทธในเวียดนามใต้เช่นกัน โดยการอนุญาตให้ดำเนินกิจกรรมซึ่งก่อนหน้านี้ฝรั่งเศสห้ามไว้ รวมถึงการจัดสรรงบประมาณสำหรับโรงเรียนพุทธ งานพิธีทางศาสนา และการสร้างวัดเพิ่มเติม ในบรรดาสมาชิกคณะรัฐมนตรี 18 คนของเสี่ยมนั้น มีชาวคาทอลิก 5 คน ผู้นิยมลัทธิขงจื๊อ 5 คน และชาวพุทธ 8 คน ซึ่งรวมถึงรองประธานาธิบดีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศด้วย นอกจากนี้ ในบรรดานายทหารระดับสูง 19 คน มีเพียง 3 คนเท่านั้นที่เป็นชาวคาทอลิก

ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลเสี่ยมกับสหรัฐย่ำแย่ลงใน ค.ศ. 1963 ขณะที่ความไม่พอใจในหมู่ชาวพุทธ ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของเวียดนามใต้ ก็ทวีความรุนแรงขึ้นไปพร้อมกัน ในเดือนพฤษภาคม ที่เมืองเว้ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของชาวพุทธ และยังเป็นที่พำนักของพี่ชายคนโตของเสี่ยม ผู้ดำรงตำแหน่ง อัครมุขนายกคาทอลิกท้องถิ่น ชาวพุทธส่วนใหญ่ถูกห้ามไม่ให้ประดับธงศาสนาพุทธในช่วงวันวิสาขบูชาเพื่อรำลึกถึงการประสูติของพระโคตมพุทธเจ้า โดยรัฐบาลอ้างกฎระเบียบที่ห้ามมิให้มีการชักธงที่มิใช่ของทางราชการ อย่างไรก็ตาม เพียงไม่กี่วันก่อนหน้านั้น ธงพระสันตะปาปาสีขาวเหลืองกลับมีการชักขึ้นในงานฉลองครบรอบ 25 ปี แห่งการเลื่อนตำแหน่งของโง ดิ่ญ ถุก ขึ้นเป็นมุขนายก มิลเลอร์กล่าวว่าจากนั้นเสี่ยมได้ประกาศห้ามชักธงศาสนา เนื่องจากรู้สึกไม่พอใจกับงานฉลองของถุก แต่การห้ามดังกล่าวกลับนำไปสู่การประท้วงรัฐบาลที่นำโดยพระทิก จี๊ กวาง ซึ่งเสี่ยมใช้กำลังในการปราบปราม ส่งผลให้มีการสังหารพลเรือนมือเปล่าในเหตุปะทะครั้งนั้น เสี่ยมและผู้สนับสนุนได้โยนความผิดให้แก่เหวียตกง รวมทั้งกล่าวว่าผู้ประท้วงต้องรับผิดชอบต่อความรุนแรงนี้ แม้ทางผู้ว่าราชการจังหวัดจะแสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตและเสนอค่าชดเชยแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต แต่รัฐบาลกลับปฏิเสธโดยสิ้นเชิงว่ากองกำลังของตนมีส่วนเกี่ยวข้อง พร้อมทั้งโทษเหวียตกงแทน เสี่ยมอ้างว่าเป็นฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่ขว้างระเบิดมือเข้าไปในฝูงชน

ชาวพุทธได้ผลักดันข้อเรียกร้อง 5 ประการ ได้แก่ เสรีภาพในการชักธงศาสนา การยุติการจับกุมโดยพลการ การชดเชยแก่เหยื่อเหตุการณ์ที่เมืองเว้ การลงโทษเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ และความเสมอภาคทางศาสนา ต่อมาเสี่ยมได้สั่งห้ามการชุมนุมประท้วงและสั่งให้กองกำลังของตนจับกุมผู้ที่มีส่วนร่วมในการอารยะขัดขืน เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 1963 ผู้ประท้วงพยายามเดินขบวนไปยังวัดตื่อด่าม การใช้แก๊สน้ำตาและสุนัขโจมตีของกองทัพบกถึงหกระลอกก็ไม่สามารถสลายฝูงชนได้ สุดท้ายมีการสาดสารเคมีสีน้ำตาลแดงใส่ผู้ประท้วงที่กำลังสวดมนต์ ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บจากสารเคมีและต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล 67 คน ภายหลังได้มีการประกาศห้ามออกจากเคหสถานเวลาค่ำคืน

image
พระภิกษุทิก กว๋าง ดึ๊ก จุดไฟเผาตนเองจนมรณภาพกลางทางแยกที่พลุกพล่านในกรุงไซ่ง่อน เพื่อประท้วงนโยบายของเสี่ยม

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน เมื่อพระภิกษุทิก กว๋าง ดึ๊ก จุดไฟเผาตนเองจนมรณภาพกลางทางแยกที่พลุกพล่านในกรุงไซ่ง่อน เพื่อประท้วงนโยบายของเสี่ยม ภาพถ่ายเหตุการณ์ดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลก และสำหรับผู้คนจำนวนมาก ภาพเหล่านี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความล้มเหลวของรัฐบาลเสี่ยม ต่อมา พระสงฆ์อีกหลายรูปได้จุดไฟเผาตนเองต่อสาธารณะ และสหรัฐอเมริกาก็แสดงความไม่พอใจต่อภาพลักษณ์ของผู้นำที่ไร้ความนิยม ทั้งในเวียดนามและในสหรัฐ เสี่ยมยังคงใช้ข้ออ้างแบบเดิมว่าเป็นการต่อต้านคอมมิวนิสต์ โดยกล่าวหาว่าผู้เห็นต่างเหล่านี้คือคอมมิวนิสต์ ขณะที่การชุมนุมต่อต้านรัฐบาลดำเนินต่อไปตลอดฤดูร้อน กองกำลังพิเศษที่ภักดีต่อโง ดิ่ญ ญู น้องชายของเสี่ยม ได้บุกวัดซ้าเหล่ยในไซ่ง่อนเมื่อเดือนสิงหาคม มีการเข้าทำลายวัดวาอารามหลายแห่ง ทำร้ายร่างกายพระสงฆ์ และมีการยึดอัฐิของพระกว๋างดึ๊กที่เผาแล้ว (รวมถึงหัวใจซึ่งถือเป็นพระสรีรธาตุ) การตีโฉบฉวยเกิดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ โดยเข้าปล้นวัดตื่อด่าม ที่เมืองเว้ ทุบทำลายพระพุทธรูป และยึดร่างพระสงฆ์ที่มรณภาพไปด้วย เมื่อประชาชนออกมาปกป้องพระสงฆ์ การปะทะที่เกิดขึ้นส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิต 30 คน และบาดเจ็บ 200 คน มีพระสงฆ์ถูกจับกุม 1,400 รูป และบาดเจ็บราว 30 รูปทั่วประเทศ สหรัฐอเมริกาได้แสดงการไม่เห็นด้วยต่อการบริหารของเสี่ยม เมื่อเอกอัครราชทูต เฮนรี เคบอต ลอดจ์ จูเนียร์ เข้าเยี่ยมวัดดังกล่าว หลังจากนั้นก็ไม่มีการประท้วงครั้งใหญ่ของชาวพุทธเกิดขึ้นอีกตลอดช่วงเวลาที่เสี่ยมดำรงอำนาจ

สถานการณ์เริ่มตึงเครียดยิ่งขึ้น เมื่อมาดามญูหรือเจิ่น เหละ ซวน ภรรยาของโง ดิ่ญ ญู แสดงความเห็นอย่างเย้ยหยันต่อการเผาตัวเองของพระสงฆ์ว่า "ถ้าชาวพุทธอยากจะย่างเนื้ออีก ฉันก็ยินดีที่จะหาน้ำมันเบนซินให้" การตีโฉบฉวยวัดทำให้เกิดความไม่พอใจในวงกว้างทั่วกรุงไซ่ง่อน นักศึกษามหาวิทยาลัยไซ่ง่อนคว่ำบาตรการเรียนและก่อจลาจล ส่งผลให้มีการจับกุม คุมขัง และสั่งปิดมหาวิทยาลัย เหตุการณ์เช่นเดียวกันเกิดขึ้นซ้ำที่มหาวิทยาลัยเว้ เมื่อกลุ่มนักเรียนมัธยมออกมาเดินขบวนประท้วง เสี่ยมก็สั่งจับกุมเช่นกัน โดยมีนักเรียนกว่า 1,000 คน จากโรงเรียนมัธยมชั้นนำของไซ่ง่อน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบุตรของข้าราชการ ถูกส่งไปยังค่ายปรับทัศนคติ โดยมีรายงานว่าแม้กระทั่งเด็กอายุเพียง 5 ขวบก็ถูกจับไปด้วย ในข้อหาวาดข้อความต่อต้านรัฐบาลตามกำแพง หวู วัน เหมิว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของเสี่ยม ยื่นใบลาออก และโกนศีรษะเหมือนพระภิกษุเพื่อเป็นการประท้วง เมื่อเขาพยายามจะเดินทางไปอินเดียเพื่อแสวงบุญ เขาถูกควบคุมตัวและกักบริเวณไว้ในบ้าน

ขณะที่วิกฤตการณ์ชาวพุทธกำลังปะทุขึ้น ก็ได้มีความพยายามทางการทูตของฝรั่งเศสเพื่อยุติสงคราม ความพยายามนี้เป็นที่รู้จักของนักประวัติศาสตร์ว่า "กรณีมาแนลี" ตามชื่อของมีแยตชึสวาฟ มาแนลี กรรมาธิการชาวโปแลนด์ประจำคณะกรรมาธิการควบคุมและกำกับดูแลระหว่างประเทศ ผู้ซึ่งทําหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างเวียดนามทั้งสอง ใน ค.ศ. 1963 เวียดนามเหนือกําลังประสบกับภัยแล้งที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายชั่วอายุคน มาแนลีได้ส่งข้อความถึงทั้งรัฐบาลฮานอยและรัฐบาลไซ่ง่อนเพื่อเจรจาข้อตกลงหยุดยิง โดยเสนอเงื่อนไขว่าเวียดนามใต้จะส่งข้าวให้เวียดนามเหนือ และเวียดนามเหนือจะส่งถ่านหินกลับมา เมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1963 มาแนลีเข้าพบญู ณ วังซาลอง โดยญูจงใจทำให้ข้อมูลการพบปะครั้งนี้รั่วไหลไปยังโจเซฟ อัลซอป คอลัมนิสต์ชาวอเมริกัน ซึ่งได้นำไปเปิดเผยต่อสาธารณชนผ่านคอลัมน์ "อะแมตเตอร์ออฟแฟกต์" (A Matter of Fact) ในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ จุดประสงค์ของญูในการรั่วไหลเรื่องนี้ คือเพื่อข่มขู่รัฐบาลกลางสหรัฐ ด้วยข้อความว่าหากประธานาธิบดีเคนเนดียังคงวิจารณ์การจัดการวิกฤตการณ์ชาวพุทธของเสี่ยมต่อไป เสี่ยมก็จะไปทำความตกลงกับคอมมิวนิสต์แทน ฝ่ายบริหารของเคนเนดีจึงแสดงความไม่พอใจอย่างยิ่งต่อสิ่งที่อัลซอปเปิดเผยออกมา ในสารถึงดีน รัสก์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ โรเจอร์ ฮิลส์แมน ได้เรียกร้องให้สนับสนุนการทำรัฐประหารโค่นล้มเสี่ยมโดยเร็วที่สุด โดยให้เหตุผลว่าเพียงแค่ความเป็นไปได้ที่เสี่ยมอาจทำข้อตกลงกับคอมมิวนิสต์ ก็ถือว่าเขาไม่อาจอยู่ในอำนาจต่อไปได้แล้ว

มีการตีความวิกฤตการณ์ชาวพุทธและการเผาตนเองของพระทิก กว๋าง ดึ๊ก ที่เกิดขึ้นใน ค.ศ. 1963 อยู่หลายแนวทาง เมื่อนำเหตุการณ์เหล่านี้ไปเชื่อมโยงกับบริบทที่กว้างขึ้นของศาสนาพุทธในประเทศเวียดนามในคริสต์ศตวรรษที่ 20 กอปรกับพิจารณาปฏิสัมพันธ์ระหว่างเสี่ยมกับกลุ่มชาวพุทธ จะทำให้เห็นว่าการประท้วงของชาวพุทธในสมัยรัฐบาลเสี่ยม ไม่ได้เป็นเพียงการต่อสู้เพื่อต่อต้านการเลือกปฏิบัติทางศาสนาและเสรีภาพทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังเป็นการต่อต้านนโยบายสร้างชาติของเสี่ยม ซึ่งมีการปฏิวัติแบบบุคคลลักษณนิยมเป็นศูนย์กลาง และชาวพุทธมองว่านโยบายดังกล่าวเป็นภัยคุกคามต่อการฟื้นฟูอำนาจของศาสนาพุทธในประเทศเวียดนาม แม้กระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต เสี่ยมและญู น้องชายของเขา ยังคงเชื่อมั่นว่าโครงการสร้างชาติของตนประสบความสำเร็จ และพวกเขาสามารถแก้ไขวิกฤตการณ์ชาวพุทธได้ด้วยวิธีการของตนเอง เช่นเดียวกับที่เคยทำสำเร็จในวิกฤตการณ์ฮิญเมื่อ ค.ศ. 1954 และการต่อสู้กับกลุ่มบิ่ญเซวียนเมื่อ ค.ศ. 1955

แยแรมา สวอเวียก จากมหาวิทยาลัยยากีแยลลอเนียน ชี้ให้เห็นว่าการรายงานข่าวของสื่ออเมริกันบิดเบือนเบื้องหลังที่แท้จริงของความขัดแย้ง โดยเผยแพร่ "เรื่องเล่าว่าเสี่ยมเป็นเผด็จการชั่วร้ายที่กดขี่ชาวพุทธผู้สงบสันติ" ด้วยเหตุนี้เอง เสี่ยมจึงถูกมองว่าเป็นเผด็จการที่โหดร้ายและทุจริตในสายตาชาวอเมริกัน ณ เวลาที่เขาถูกลอบสังหาร อย่างไรก็ตาม เสี่ยมมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีกับชาวพุทธจนถึง ค.ศ. 1963 และยังเคยสนับสนุนวัดพุทธหลายแห่ง โดยเฉพาะวัดซ้าเหล่ยเมื่อ ค.ศ. 1956 ขณะที่ชาวพุทธเวียดนามเองก็มีวิสัยทัศน์แบบชาตินิยมของตน และเป็นศัตรูทางการเมืองกับเสี่ยม ก่อให้เกิดเป็น "การปะทะกันของสองวิสัยทัศน์ที่แตกต่างกันในเวียดนาม" การท้าทายรัฐบาลเสี่ยมของชาวพุทธมีแรงจูงใจทางการเมือง และเป็นการต่อสู้แย่งชิงอำนาจมากกว่าจะเป็นความขัดแย้งทางศาสนา โดยพิเคราะห์ได้จากการที่ชาวพุทธมุ่งประท้วงไปที่ตระกูลโงโดยตรง และปฏิเสธข้อประนีประนอมของเสี่ยม เนื่องจากมีเป้าหมายที่ชัดเจนคือการโค่นล้มเสี่ยม พระทิก จี๊ กวาง ผู้นำขบวนการชาวพุทธ ยืนยันว่าการเคลื่อนไหวจะต้องดำเนินต่อไปจนกว่าจะมีการล้มล้างรัฐบาลเวียดนามใต้ และยังประกาศความตั้งใจที่จะ "เรียกหาอาสาสมัครพลีชีพ" หากจำเป็น เช่นเดียวกับเอ็ดเวิร์ด มิลเลอร์ ที่ก็กล่าวว่าสาเหตุหลักของการประท้วง คือการต่อต้านเสี่ยมและนโยบายของเขา มากกว่าประเด็นการเลือกปฏิบัติทางศาสนา เพราะขบวนการพุทธในเวียดนามมีเป้าหมายทางการเมืองของตนเองที่แตกต่างจากเสี่ยมอย่างสิ้นเชิง เสี่ยมตอบโต้การต่อต้านของชาวพุทธเช่นเดียวกับที่เคยทำในวิกฤตการณ์กลุ่มลัทธิเมื่อ ค.ศ. 1955 และการตีโฉบฉวยวัดซ้าเหล่ยก็ประสบความสำเร็จในการสลายการชุมนุมของผู้ประท้วง กองทัพยังคงสนับสนุนเสี่ยม และผู้นำกองทัพก็มีส่วนช่วยวางแผนการตีโฉบฉวยและผลักดันให้ใช้มาตรการเข้มแข็งต่อการประท้วง มีเพียงการไม่เห็นด้วยของสหรัฐอเมริกาเท่านั้นที่ทำให้กลุ่มนายพลเริ่มทบทวนการสนับสนุนเสี่ยม

นโยบายการต่างประเทศ

image
โง ดิ่ญ เสี่ยม พร้อมด้วยจอห์น ฟอสเตอร์ ดัลเลส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ เดินทางมาถึง ณ ท่าอากาศยานแห่งชาติวอชิงตันใน ค.ศ. 1957 ภาพแสดงให้เห็นถึงเสี่ยมที่กำลังจับมือกับดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ ประธานาธิบดีสหรัฐ

ฟิเชลระบุว่านโยบายการต่างประเทศของสาธารณรัฐเวียดนามในช่วงเวลานั้น เป็นนโยบายส่วนตัวของเสี่ยมอย่างมีนัยสำคัญยิ่ง เขาเป็นผู้ชี้ขาดในการกำหนดทิศทางการต่างประเทศของสาธารณรัฐ โดยที่บทบาทของที่ปรึกษาอย่างโง ดิ่ญ ญู และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอีกหลายคน ได้แก่ เจิ่น วัน โด่ (ค.ศ. 1954–1955), หวู วัน เหมิว (ค.ศ. 1955–1963), และฝั่ม ดัง เลิม (ค.ศ. 1963) มีเพียงสถานะในลำดับรองภายใต้รัฐบาลเสี่ยมเท่านั้น อย่างไรก็ดี เนื่องจากเสี่ยมต้องทุ่มเทความสนใจอย่างมากต่อปัญหาภายในประเทศในบริบทของสงครามเวียดนาม นโยบายการต่างประเทศจึงมิได้รับความสำคัญเท่าที่ควร เขาให้ความสำคัญต่อประเทศที่มีผลกระทบโดยตรงต่อเวียดนามมากกว่า และมักจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นเรื่องส่วนตัวและมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ประเด็นด้านการต่างประเทศที่เสี่ยมให้ความสำคัญ ได้แก่ ความตกลงเจนีวา การถอนตัวของฝรั่งเศส การสร้างการรับรองในระดับนานาชาติ การธำรงความชอบธรรมของสาธารณรัฐเวียดนาม ตลอดจนความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา, ลาว (ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางการที่ราบรื่น), กัมพูชา (ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน โดยเฉพาะจากข้อพิพาทเขตแดนและชนกลุ่มน้อย) และโดยเฉพาะเวียดนามเหนือ นอกจากนี้ สาธารณรัฐเวียดนามยังให้ความสำคัญกับการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศเอเชียอื่น ๆ เพื่อสร้างหลักประกันการรับรองในเวทีระหว่างประเทศอีกด้วย

image
โง ดิ่ญ เสี่ยม พบปะกับชวาหะร์ลาล เนห์รู นายกรัฐมนตรีอินเดีย ระหว่างการเยือนอินเดียเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1957

ท่าทีของเสี่ยมต่ออินเดียไม่ราบรื่นนัก เนื่องจากนโยบายไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดของอินเดีย ซึ่งเสี่ยมมองว่าเอนเอียงไปในทางสนับสนุนคอมมิวนิสต์ จนเมื่อ ค.ศ. 1962 อินเดียได้ลงคะแนนสนับสนุนรายงานที่วิพากษ์วิจารณ์คอมมิวนิสต์จากการช่วยเหลือการรุกรานเวียดนามใต้ เสี่ยมจึงกลับมาทบทวนทัศนะของตนที่มีต่ออินเดีย สำหรับญี่ปุ่น รัฐบาลเสี่ยมได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตขึ้นเพื่อเจรจาชดเชยค่าปฏิกรรมสงคราม และนำไปสู่ข้อตกลงการชดใช้ใน ค.ศ. 1959 เป็นจำนวนเงิน 49 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 514 ล้านดอลลาร์สหรัฐใน ค.ศ. 2023) นอกจากนี้ เสี่ยมยังสร้างความสัมพันธ์อันดีกับรัฐอื่นที่มิใช่คอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะเกาหลีใต้ ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ ไทย ลาว และสหพันธรัฐมาลายา ซึ่งต่างมีจุดยืนร่วมกันในการรับรู้ถึงภัยคุกคามจากลัทธิคอมมิวนิสต์

ในด้านความสัมพันธ์กับเวียดนามเหนือซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์ เสี่ยมคงท่าทีแสดงความเป็นศัตรูอย่างสิ้นเชิง และไม่เคยมีความพยายามอย่างจริงจังที่จะสร้างความสัมพันธ์ใด ๆ กับฝ่ายนั้น ส่วนในความสัมพันธ์กับฝรั่งเศส เสี่ยมผู้ยึดถือลัทธิชาตินิยมต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคม ไม่เคยเชื่อมั่นในฝรั่งเศส และถือว่าฝรั่งเศสเป็นปัจจัยเชิงลบในนโยบายการต่างประเทศของตน อีกทั้งเขาไม่เคยมองฝรั่งเศสว่าเป็น "ตัวถ่วงดุลอิทธิพลของสหรัฐอเมริกา" อย่างไรก็ตาม ใน ค.ศ. 1963 รัฐบาลเสี่ยมได้เข้าสู่การเจรจาลับกับเวียดนามเหนือบางส่วน ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาเศรษฐกิจของฝ่ายเหนือ ทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าเวียดนามทั้งสองจะดำรงอยู่ในช่วงเวลาหนึ่งเพื่อการแลกเปลี่ยนและปฏิสัมพันธ์ ก่อนที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปและการจัดตั้งรัฐบาลผสม โดยมีเสี่ยมดำรงตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาล

แม้ว่าเสี่ยมจะยอมรับถึงความสำคัญของพันธมิตรระหว่างสหรัฐอเมริกากับสาธารณรัฐเวียดนาม แต่เขามองว่าความช่วยเหลือจากสหรัฐมีเป้าหมายหลักเพื่อผลประโยชน์แห่งชาติสหรัฐเอง มากกว่าที่จะตอบสนองต่อผลประโยชน์ของเวียดนามใต้ เทย์เลอร์ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ความไม่ไว้วางใจที่เสี่ยมมีต่อสหรัฐเพิ่มขึ้น เพราะนโยบายที่มีต่อประเทศลาว ซึ่งเปิดโอกาสให้เวียดนามเหนือสามารถเข้าถึงชายแดนเวียดนามใต้ผ่านทางตอนใต้ของลาว อีกทั้งเสี่ยมยังเกรงว่าการเพิ่มจำนวนบุคลากรทางทหารของสหรัฐในเวียดนามใต้จะคุกคามความเป็นชาติและบ่อนทำลายอิสรภาพของรัฐบาลเขาเอง โดยในช่วงต้น ค.ศ. 1963 พี่น้องตระกูลโงได้ทบทวนปรับเปลี่ยนความเป็นพันธมิตรกับสหรัฐเสียใหม่ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังมีความเห็นต่างกันเกี่ยวกับวิธีการรับมือกับภัยคุกคามจากเวียดนามเหนือ โดยเสี่ยมเห็นว่าก่อนที่จะเปิดระบบการเมืองให้กลุ่มการเมืองอื่นเข้ามามีส่วนร่วม ควรให้ความสำคัญกับเรื่องการทหารและความมั่นคงเป็นอันดับแรก ขณะที่สหรัฐแสดงท่าทีตรงกันข้าม และวิพากษ์วิจารณ์การปกครองระบบอุปถัมภ์ของเสี่ยม ซึ่งอำนาจทางการเมืองกระจุกอยู่กับสมาชิกตระกูลและผู้ใกล้ชิดที่เขาไว้วางใจ วิกฤตการณ์ชาวพุทธในเวียดนามใต้ยังได้บ่อนทำลายความเชื่อมั่นของสหรัฐที่มีต่อเสี่ยม และในที่สุดก็นำไปสู่รัฐประหารที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐ ในท้ายที่สุด การเมืองแบบสร้างชาติกลายเป็น "ปัจจัยที่หล่อหลอมพัฒนาการและการล่มสลายของพันธมิตรสหรัฐ–เสี่ยม" ความแตกต่างในความหมายของแนวคิดเรื่องประชาธิปไตย ชุมชน ความมั่นคง และการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เป็นรากเหง้าที่สำคัญของความตึงเครียดตลอดระยะเวลาที่ทั้งสองฝ่ายเป็นพันธมิตรกัน

รัฐประหารและการลอบสังหาร

เมื่อวิกฤตการณ์ชาวพุทธทวีความรุนแรงขึ้นในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1963 บรรดานักชาตินิยมเวียดนามที่ไม่ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์และกองทัพก็เริ่มเตรียมการก่อรัฐประหาร บู่ย เสียม ผู้ซึ่งต่อมาดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตเวียดนามใต้ประจำสหรัฐอเมริกา ได้บันทึกไว้ในบันทึกความทรงจำของเขาว่า พลเอก เล วัน กีม ร้องขอให้เขาช่วยสอบถามว่ารัฐบาลสหรัฐจะมีท่าทีอย่างไรต่อรัฐบาลเสี่ยม เขาเองมีช่องทางติดต่อทั้งในสถานทูตสหรัฐอเมริกา และกับนักข่าวอเมริกันชื่อดังที่พำนักอยู่ในเวียดนามใต้ในเวลานั้น ได้แก่ เดวิด ฮัลเบอร์สแตม (จากเดอะนิวยอร์กไทมส์), นีล ชีแฮน (จากยูไนเต็ดเพรสอินเตอร์เนชันแนล), และมัลคอล์ม บราวน์ (จากแอสโซซิเอเต็ดเพรส)

รัฐประหารครั้งนี้วางแผนโดยคณะทหารปฏิวัติ ซึ่งประกอบด้วยนายพลกองทัพบกสาธารณรัฐเวียดนาม โดยมีพลเอก เซือง วัน มิญ เป็นผู้นำคณะรัฐประหาร พันโท ลูเซียน โกนีน เจ้าหน้าที่ข่าวกรองสหรัฐ เข้ามามีบทบาทเป็นผู้ประสานงานระหว่างสถานทูตสหรัฐอเมริกากับบรรดานายพลที่มีพลเอก เจิ่น วัน โดน เป็นแกนนำ ทั้งสองฝ่ายได้พบกันครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 1963 ที่ท่าอากาศยานเตินเซินเญิ้ต สามวันต่อมา โกนีนเข้าพบพลเอก เซือง วัน มิญ เพื่อหารือเกี่ยวกับแผนรัฐประหารและจุดยืนของสหรัฐต่อเหตุการณ์ดังกล่าว จากนั้นโกนีนได้ส่งข้อความจากทำเนียบขาวที่ยืนยันถึงการไม่แทรกของสหรัฐ ข้อความนี้ยังได้รับการย้ำอีกครั้งโดยเฮนรี เคบอต ลอดจ์ จูเนียร์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ให้คำมั่นลับแก่บรรดานายพลว่าสหรัฐจะไม่เข้ามาขัดขวางรัฐประหารครั้งนี้

รัฐประหารครั้งนี้วางแผนโดยบรรดานายพลเวียดนามใต้เป็นหลัก ซึ่งแตกต่างจากความพยายามรัฐประหารใน ค.ศ. 1960 โดยครั้งนี้คณะผู้ก่อการสามารถหาวิธีรวบรวมการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากบรรดานายทหารกองทัพบกสาธารณรัฐเวียดนาม โดยได้รับแรงสนับสนุนจากพลเอก โตน เทิ้ต ดิ๊ญ, โด๋ กาว จี๊, และเหงียน คั้ญ ผู้บัญชาการกองทัพภาคที่ 3, 2 และ 1 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม พลตรี ฮหวิ่ญ วัน กาว ผู้บัญชาการกองทัพภาคที่ 4 ยังคงภักดีต่อเสี่ยม

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963 โกนีนได้สวมเครื่องแบบทหารและนำเงิน 3 ล้านปิอาสเตอร์เวียดนามใส่ถุงเพื่อนำไปมอบให้แก่นายพลมิญ จากนั้นโกนีนได้ติดต่อไปยังสถานีหน่วยข่าวกรองเพื่อส่งสัญญาณว่าการทำรัฐประหารโค่นล้มเสี่ยมกำลังจะเริ่มต้น มิญและพรรคพวกจึงเริ่มปฏิบัติการล้มล้างรัฐบาลอย่างรวดเร็ว

image
ร่างของเสี่ยมหลังถูกยิงและลอบสังหารในระหว่างรัฐประหาร ค.ศ. 1963

เมื่อเพียงกองกำลังรักษาวังประธานาธิบดีเท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดปกป้องเสี่ยมและญูน้องชาย บรรดานายพลได้ติดต่อไปยังวัง โดยเสนอให้เสี่ยมลี้ภัยหากยอมจำนน อย่างไรก็ตาม ในคืนนั้น เสี่ยมพร้อมผู้ติดตามสามารถหลบหนีออกจากวังผ่านอุโมงค์ลับไปยังโบสถ์คาทอลิกจาตาม (Cha Tam) ในย่านเจอเลิ้น (Cholon) ก่อนจะถูกจับกุมในเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963 ร้อยเอก เหงียน วัน ญุง ใช้ดาบปลายปืนและปืนลูกโม่ สังหารทั้งสองพี่น้องบริเวณหลังรถลำเลียงพลหุ้มเกราะ เอ็ม113 ภายใต้คำสั่งของมิญ[ต้องการอ้างอิง] ร่างของเสี่ยมได้รับการฝังในหลุมศพไร้ชื่อในสุสานมัก ดิ๊ญ จี ต่อมาใน ค.ศ. 1983 รัฐบาลเวียดนามได้ปิดสุสานแห่งนี้ และสั่งขุดย้ายศพทั้งหมดออกไป ร่างของเสี่ยมและน้องชายจึงได้รับการฝังใหม่ที่สุสานล้ายเทียว [vi]

ผลที่ตามมา

เมื่อโฮจิมินห์ได้รับข่าวการโค่นล้มและการลอบสังหารเสี่ยม เขากล่าวว่า "ข้าพเจ้าแทบไม่เชื่อเลยว่าชาวอเมริกันจะโง่ได้ถึงเพียงนี้" ขณะที่โปลิตบูโรเวียดนามเหนือ แสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า

ผลลัพธ์ของรัฐประหาร 1 พฤศจิกายน จะเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับสิ่งที่พวกจักรวรรดินิยมอเมริกันคาดการณ์ไว้ ... เสี่ยมเป็นหนึ่งในบุคคลที่แข็งกร้าวที่สุดในการต่อต้านประชาชนและคอมมิวนิสต์ สิ่งใดก็ตามที่สามารถทำได้เพื่อพยายามบดขยี้การปฏิวัติ ล้วนถูกเสี่ยมกระทำมาแล้วทั้งสิ้น เสี่ยมถือเป็นหนึ่งในบรรดาลูกสมุนที่มีความสามารถมากที่สุดของพวกจักรวรรดินิยมอเมริกัน ... ในบรรดาผู้ต่อต้านคอมมิวนิสต์ทั้งที่อยู่ในเวียดนามใต้และที่ลี้ภัยในต่างประเทศ ไม่มีผู้ใดที่มีทั้งทุนทางการเมืองและความสามารถมากพอที่จะทำให้ผู้อื่นยอมเชื่อฟังได้ ดังนั้น รัฐบาลหุ่นเชิดย่อมไม่อาจสร้างเสถียรภาพได้ รัฐประหาร 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963 จึงจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน

หลังจากการลอบสังหารเสี่ยม เวียดนามใต้ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพได้ และเกิดรัฐประหารตามมาหลายครั้ง ขณะที่สหรัฐอเมริกายังคงมีอิทธิพลต่อรัฐบาลเวียดนามใต้ การลอบสังหารครั้งนั้นกลับช่วยเสริมความพยายามของเวียดนามเหนือในการสร้างภาพให้เวียดนามใต้เป็น "ผู้สนับสนุนลัทธิล่าอาณานิคม"

เครื่องอิสริยาภรณ์

เครื่องอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ

image
เจียง ไคเชก ประธานาธิบดีสาธารณรัฐจีน กำลังส่งมอบเครื่องอิสริยาภรณ์หยกเจิดจรัสให้แก่เสี่ยม
  • image มาลายา:
    • image เครื่องราชอิสริยาภรณ์ราชมงกุฎ ชั้นเกียรติยศ – ค.ศ. 1960
  • image ฟิลิปปินส์:
    • image เครื่องอิสริยาภรณ์ซิกาตูนา ชั้นสายสร้อย – 13 ตุลาคม ค.ศ. 1956
  • image ไทย
    • image เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ 1 ปฐมจุลจอมเกล้า – 27 สิงหาคม ค.ศ. 1957
  • image ออสเตรเลีย
    • image เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญไมเคิลและจอร์จ ชั้นที่ 1 – ค.ศ. 1957
  • image เกาหลีใต้
    • image เครื่องอิสริยาภรณ์กิตติคุณสำหรับการสร้างชาติ ชั้นที่ 1 – ค.ศ. 1957
  • image สาธารณรัฐจีน
    • image เครื่องอิสริยาภรณ์หยกเจิดจรัส – ค.ศ. 1960

สิ่งสืบเนื่อง

การลอบสังหารเสี่ยมทำให้ระบอบการปกครองของเขาล่มสลาย และเป็นจุดสิ้นสุดของสาธารณรัฐเวียดนามที่หนึ่ง ตลอดการครองอำนาจเก้าปีของเขา นับตั้งแต่ ค.ศ. 1954–1963 สามารถประเมินได้ในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นบทบาทในการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยจากภาคเหนือ การสถาปนาและรวบอำนาจการปกครอง การปราบปรามกลุ่มศาสนา และการรักษาความสงบของประเทศ เสี่ยมสามารถสร้างเสถียรภาพให้แก่เวียดนามใต้ซึ่งบอบช้ำจากสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง และจัดตั้งรัฐบาลที่ค่อนข้างมั่นคงในไซง่อนช่วงปลายทศวรรษ 1950 สภาวะปกติและความมั่นคงภายในประเทศดังกล่าวได้สร้างเงื่อนไขสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการพัฒนาการศึกษาในเวียดนามใต้ ซึ่งมีส่วนสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีการศึกษามารับใช้ชาติ

นักประวัติศาสตร์ ฟิลิป แคตตัน ให้ความเห็นว่าเสี่ยมเป็นนักชาตินิยมเวียดนามก่อนสิ่งอื่นใด (Vietnamese first) และมีความระแวดระวังต่อการพึ่งพาสหรัฐอเมริกา โดยเขา "หวาดกลัวอเมริกาไม่น้อยไปกว่าผู้ก่อความไม่สงบคอมมิวนิสต์" เสี่ยมปะทะคารมณ์กับที่ปรึกษาชาวอเมริกันอยู่เสมอในด้านนโยบาย และมีความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยและคุณค่าทางศาสนาคริสต์คาทอลิกแตกต่างจากตะวันตกอย่างสิ้นเชิง ขณะที่ คีธ เทย์เลอร์ ให้เหตุผลว่า แม้การปกครองของเสี่ยมจะมีลักษณะเป็นเผด็จการ แต่ก็เป็นสิ่งจำเป็นในสถานการณ์ที่ไม่มั่นคงของฝั่งใต้ในเวลานั้น เขายังชี้ว่ากองทัพเวียดนามใต้ภายใต้การนำของเสี่ยมจะค่อย ๆ สั่งสมประสบการณ์และทักษะทั้งในด้านการสงครามและข่าวกรอง แต่การลอบสังหารของเขากลับพลิกสถานการณ์ให้เป็นประโยชน์ต่อฝั่งเหนือ เนื่องจากรัฐบาลชุดต่อ ๆ มาขาดประสิทธิภาพและไม่สามารถจัดการต่อต้านการรุกคืบของเหวียตกงได้สำเร็จ เอ็ดเวิร์ด มิลเลอร์ อธิบายว่านักวิชาการสายดั้งเดิม มักมองเสี่ยมว่าเป็นทรราชหุ่นเชิดที่ฉ้อฉล ในขณะที่นักวิชาการสายเปลี่ยนแปลง เชื่อว่าเสี่ยมเป็นผู้นำอิสระซึ่งเข้าใจสิ่งที่จำเป็นต่อการคงอยู่ของระบอบการปกครองใหม่ อย่างไรก็ตาม ทั้งสาธารณชนและนักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ยอมรับตรงกันว่า การฉ้อฉลของระบอบเผด็จการเสี่ยมเป็นอุปสรรคต่อความขยายอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาในเวียดนาม

สารานุกรมบริแทนนิการะบุว่า

" เสี่ยมได้สถาปนาระบอบการปกครองแบบเผด็จการ ซึ่งในฝ่ายบริหารระดับสูงสุดเต็มไปด้วยสมาชิกในครอบครัวของเขาเอง… เสี่ยมไม่เคยปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้เรื่องการปฏิรูปที่ดิน… ยุทธวิธีทางทหารที่เสี่ยมใช้ในการปราบปรามผู้ก่อความไม่สงบเป็นไปอย่างแข็งกร้าวและไร้ประสิทธิผล ซึ่งมีแต่จะยิ่งทำให้รัฐบาลของเขาถูกต่อต้านและโดดเดี่ยวมากขึ้น"

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1961 ลินดอน บี. จอห์นสัน รองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้เดินทางเยือนกรุงไซ่ง่อน และประกาศด้วยความรู้สึกอันแรงกล้าว่าเสี่ยมคือ "วินสตัน เชอร์ชิล แห่งเอเชีย" อย่างไรก็ตาม เมื่อสตานลีย์ คาร์โนว์ ถามเหตุผลที่ทำให้เขากล่าวเช่นนั้น ขณะทั้งสองอยู่บนเครื่องบินในเวลาต่อมา จอห์นสันจึงตอบกลับไปว่า

"ให้ตายสิ! เสี่ยมคือเด็กหนุ่มเพียงคนเดียวที่เรามีที่นั่น"

หมายเหตุ

  1. บางแหล่งข้อมูลและสื่อในภาษาไทยและภาษาอังกฤษยังมีการเขียนและออกเสียงว่า โง ดินห์ เดียม

อ้างอิง

  1. "Đảo chính Ngô Đình Diệm". BBC News Tiếng Việt (ภาษาเวียดนาม). 1 November 2013. สืบค้นเมื่อ 30 November 2023.
  2. "โง ดินห์ เดียม และชะตากรรมของเวียดนามใต้". สืบค้นเมื่อ 9 กันยายน 2025.
  3. สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (27 สิงหาคม 1957). "แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 74 (71): 2136.
  4. British Pathé – "New York Hails Vietnam's President Diem (1957)"
  5. Fall, Bernard B. (1963). The Two Viet-Nams. Praeger Publishers, p. 235.
  6. Miller 2013, p. 19.
  7. Jacobs 2006, p. 18.
  8. Miller 2013, p. 23.
  9. Fall 1967, p. 235.
  10. Moyar 2006, p. 12.
  11. Jarvis 2018, p. 20.
  12. Jacobs 2006, p. 19
  13. Miller 2013, p. 22.
  14. Jarvis 2018, p. 21.
  15. Miller 2013, p. 24.
  16. Jarvis 2018, p. 37.
  17. Moyar 2006, p. 11.
  18. Fall 1967, p. 239
  19. Miller 2013, p. 21.
  20. Miller 2013, p. 25.
  21. Jacobs 2006, p. 20
  22. Lockhart, Bruce McFarland (1993). The end of the Vietnamese monarchy. Council on Southeast Asia Studies, Yale Center for International and Area Studies. pp. 68–86. ISBN 093869250X.
  23. Moyar 2006, p. 13
  24. Miller 2013, p. 30.
  25. Trần Mỹ-Vân 2005, pp. 32–67.
  26. Keith, Charles (2012). Catholic Vietnam: a church from empire to nation. From Indochina to Vietnam. Berkeley: University of California Press. p. 212. ISBN 978-0-520-27247-7.
  27. Jacobs 2006, p. 22.
  28. Jacobs 2006, pp. 20–25
  29. Miller 2013, p. 32.
  30. Miller 2013, pp. 32–33.
  31. Miller 2013, p. 35.
  32. Miller 2013, p. 36.
  33. Miller 2013, pp. 20–30.
  34. Trần Mỹ-Vân 2005, pp. 213–214.
  35. "MSU Libraries". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 December 2017. สืบค้นเมื่อ 20 November 2017.
  36. Fall 1967, p. 242.
  37. Miller 2013, pp. 39–40.
  38. Jacobs 2006, p. 27.
  39. Miller 2013, p. 34.
  40. Jacobs 2006, p. 30.
  41. Morgan 1997, pp. 1–14.
  42. Oberdorfer, Don (2003). Senator Mansfiled: the Extraordinary Life of a Great American Statesman and Diplomat. Washington, DC. p. 77.
  43. Cooney, John (1984). The American Pope: The Life and Times of Francis Cardinal Spellman. Time Books. P. 240
  44. Cao, Văn Luận (1972). Bên giòng lịch sử, 1940–1965. Sài Gòn – Trí Dũng. pp. 180–189.
  45. Miller 2004, p. 450.
  46. Miller 2013, pp. 94–95.
  47. Moyar 2006, p. 33.
  48. Moyar 2006, p. 41.
  49. Chapman 2013, p. 74.
  50. Moyar 2006, pp. 41–42.
  51. Chapman 2013, p. 69.
  52. Moyar 2006, p. 40.
  53. Chapman 2013, p. 84
  54. Moyar 2006, p. 52.
  55. Phạm, Văn Thuỷ (2019). Beyond Political Skin: Colonial to National Economies in Indonesia and Vietnam (1910s–1960s). Springer Nature. p. 66. ISBN 978-9811337116.
  56. Chapman 2013, p. 75.
  57. Moyar 2006, pp. 51–53.
  58. Moyar 2006, p. 55.
  59. Moyar 2006, p. 59.
  60. Chapman 2013, p. 128.
  61. Miller 2013, p. 6.
  62. Moyar 2006, p. 54.
  63. Karnow 1997, pp. 223–224
  64. Jacobs 2006, p. 95.
  65. Grant, J. A. C. (June 1958). "The Viet Nam Constitution of 1956". American Political Science Review. 52 (2): 437–462. doi:10.2307/1952326. JSTOR 1952326. S2CID 143647818. สืบค้นเมื่อ 28 October 2022.
  66. William Woodruff, Mark (2005). Unheralded Victory: The Defeat of the Viet Cong and the North Vietnamese Army, 1961–1973. Random House. ISBN 978-0891418665.
  67. Cheng Guan, Ang (1997). Vietnamese Communists' Relations with China and the Second Indochina War (1956–62). McFarland & Company. p. 11. ISBN 0-7864-0404-3.
  68. Turner, Robert F. (1975). Vietnamese Communism: Its Origins and Development. Stanford: Hoover Institution Publications. p. 93. ISBN 978-0-8179-1431-8.
  69. Taylor 2015, p. 6.
  70. Miller 2013, p. 137.
  71. Olson 1996, p. 65.
  72. Karnow 1997, p. 326.
  73. Moyar 2006, p. 36.
  74. Buttinger 1967, p. 954-955.
  75. Langguth 2000, p. 258.
  76. Karnow 1997, p. 246.
  77. Jacobs 2006, p. 89.
  78. Olson 1996, p. 98.
  79. Miller 2013, p. 152.
  80. Miller 2013, p. 155.
  81. Nguyễn, Xuân Hoài (2011). Chế độ Việt Nam cộng hòa ở miền Nam Việt Nam giai đoạn 1955–1963 Republic of Vietnam regime in South Vietnam (1955–1963), Dissertation. Ho Chi Minh city: University of Social Sciences and Humanities – Ho Chi Minh city. pp. 43–47.
  82. Miller 2013, pp. 137–139.
  83. Miller 2013, p. 136.
  84. Miller 2013, p. 139.
  85. Miller 2013, p. 138.
  86. Miller 2013, p. 141.
  87. Miller 2013, p. 142.
  88. Miller 2013, p. 144.
  89. Jacobs 2006, pp. 112–115.
  90. Jacobs 2006, pp. 123–125.
  91. Kolko 1994, p. 89.
  92. "Trường Đại Học Khoa Học Tự Nhiên TP Hồ Chí Minh - Lịch sử phát triển". 6 July 2016. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 July 2016. สืบค้นเมื่อ 30 August 2023.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  93. Stewart, Geoffrey C. (2011). "Hearts, Minds and Công Dân Vụ: The Special Commissariat for Civic Action and Nation Building in Ngô Đình Diệm's Vietnam, 1955–1957". Journal of Vietnamese Studies. 6 (3): 44. doi:10.1525/vs.2011.6.3.44.
  94. Trần Quang Minh 2015, p. 54.
  95. Young, Marilyn B. (1991). The Vietnam Wars. New York: HarperPerennial. pp. 56–57. ISBN 0-06-016553-7.
  96. Trần Quang Minh 2015, p. 53.
  97. Tucker, Spencer C., Ed. (1998), Encyclopedia of the Vietnam War, Oxford: Oxford University Press, p. 219
  98. Young, Marilyn (1991). The Vietnam Wars: 1945–1990. Harper Perennial. ISBN 978-0-06-092107-1.
  99. Miller 2013, p. 160.
  100. Miller 2013, pp. 165–184
  101. Miller 2013, p. 161.
  102. Miller 2013, p. 163.
  103. Miller 2013, p. 169.
  104. Miller 2013, p. 170.
  105. Latham, Michael (2000). Modernization as Ideology: American Social Science and 'Nation Building' in the Kennedy Era. Chapel Hill: University of North Carolina Press. p. 188.
  106. Miller 2013, p. 187.
  107. Turner, Robert F. (1975). Vietnamese Communism: Its Origins and Development. Hoover Institution Publications. pp. 174–178. ISBN 978-0817964313.
  108. Vo, Nguyen Giap (1961). We Open The File. Foreign Languages Publishing House (Hanoi). p. 36.
  109. Lewy, Guenter (29 May 1980). America in Vietnam (ภาษาอังกฤษ). Oxford University Press. p. 294–95. ISBN 978-0-19-987423-1.
  110. Jacobs 2006, pp. 89–90.
  111. Moyar 2006, pp. 66–67
  112. Karnow 1997, p. 252-253.
  113. Karnow 1997, p. 280-281.
  114. Jacobs 2006, pp. 131–132.
  115. Moyar 2006, pp. 151–152.
  116. Miller 2013, p. 247.
  117. Tucker, Spencer, The Encyclopedia of the Vietnam War: A Political, Social, and Military History, ABC-CLIO, 2011, p. 1070
  118. The 1966 Buddhist Crisis in South Vietnam เก็บถาวร 4 มีนาคม 2008 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน HistoryNet
  119. Gettleman 1966, pp. 275–276, 366.
  120. Moyar 2006, pp. 215–216.
  121. "South Viet Nam: The Religious Crisis". Time. 14 June 1963. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 September 2007. สืบค้นเมื่อ 20 May 2010.
  122. Tucker 2001, pp. 49, 291, 293.
  123. Maclear 1981, p. 63.
  124. "SNIE 53-2-63, "The Situation in South Vietnam, 10 July 1963". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 November 2017. สืบค้นเมื่อ 19 April 2007.
  125. Słowiak, Jerema (2017). "Role of the Religion and Politico-Religious Organizations in the South Vietnam During Ngo Dinh Diem Period" (PDF). Nauki Społeczne. Kraków: Zeszyty Naukowe Towarzystwa Doktorantów UJ (16): 109–124. ISSN 2082-9213.
  126. Tucker 2001, p. 291.
  127. Gettleman 1966, pp. 280–282.
  128. Buttinger 1967, p. 993.
  129. "South Vietnam: Whose funeral pyre?". The New Republic. 29 June 1963. p. 9.
  130. Warner 1964, p. 210.
  131. Fall 1967, p. 199.
  132. Karnow 1997, p. 294.
  133. Jacobs 2006, p. 91
  134. Buttinger 1967, p. 933.
  135. "Diem's other crusade". The New Republic. 22 June 1963. pp. 5–6.
  136. Halberstam, David (17 June 1963). "Diệm and the Buddhists". New York Times.
  137. Moyar 2006, p. 216.
  138. Miller 2013, p. 266.
  139. Jarvis 2018, p. 59.
  140. Moyar 2006, pp. 212–213.
  141. Jacobs 2006, p. 143.
  142. Jacobs 2006, p. 145.
  143. Moyar 2006, p. 220.
  144. Jacobs 2006, pp. 147–154.
  145. Moyar 2006, pp. 212–216, 231–234.
  146. Jacobs 2006, p. 149.
  147. Jacobs 2006, p. 154.
  148. Sheehan 1989, p. 357.
  149. Jacobs 2006, p. 165.
  150. Langguth 2000, p. 234.
  151. Karnow 1997, p. 292
  152. Miller 2013, p. 262.
  153. Miller 2013, pp. 277–278.
  154. Henderson & Fishel 1966, p. 4.
  155. Henderson & Fishel 1966, p. 5
  156. Henderson & Fishel 1966, pp. 13–14.
  157. Henderson & Fishel 1966, p. 22.
  158. Henderson & Fishel 1966, pp. 23–24.
  159. Henderson & Fishel 1966, pp. 17–18.
  160. Henderson & Fishel 1966, p. 21.
  161. Vietnam, ‘63 and Now, By MIECZYSLAW MANELIJAN. 27, 1975, The New York Times
  162. Henderson & Fishel 1966, p. 9.
  163. Taylor 2015, p. 3
  164. Miller 2013, pp. 253–260.
  165. Bùi Diễm & Chanoff 1999, p. 100.
  166. Bùi Diễm & Chanoff 1999, p. 101.
  167. Miller 2013, p. 312
  168. Jacobs 2006, p. 2.
  169. Miller 2013, p. 320.
  170. Jacobsen, Annie (2019). Surprise, Kill, Vanish: The Secret History of CIA Paramilitary Armies, Operators, and Assassins (1 ed.). New York: Little, Brown and Company. p. 148. ISBN 978-0-316-44143-8.
  171. Bùi Diễm & Chanoff 1999, p. 105.
  172. "2,000 Mourn Diem at Saigon Grave". The New York Times. 3 November 1970.
  173. "Despite intimidation, South Vietnam's Diem remembered". Union of Catholic Asian News. 3 November 2017. สืบค้นเมื่อ 2 August 2023.
  174. "Kể chuyện dời mộ ở Sài Gòn nhân Lễ Vu Lan" [Telling the story of moving the grave in Saigon on the occasion of Vu Lan Festival]. VietNamNet (ภาษาเวียดนาม). 18 August 2005. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 April 2016. สืบค้นเมื่อ 1 August 2023.
  175. Moyar 2006, p. 286.
  176. Political Bureau Resolution, November 1963, TTU, Pike Collection, Unit 6, box 1; quoted and translated in Moyar (2006, p. 286).
  177. Moyar 2006, p. 287-90.
  178. "Darjah Kebesaran Persekutuan". Bahagian Istiadat Dan Urusetia Persidangan Antarabangsa (ภาษามาเลย์). สืบค้นเมื่อ 31 August 2023.
  179. "The Order of Sikatuna". Official Gazette. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 August 2019. สืบค้นเมื่อ 18 February 2023.
  180. Ham, Paul (2007). Vietnam: the Australian War. Pymble, New South Wales: Harper Collins. ISBN 978-0-7322-8237-0., p. 57
  181. "경무대에서 상호 훈장 수여식 후 기념촬영". Open Archives, Korea Democracy Foundation (ภาษาเกาหลี). สืบค้นเมื่อ 20 March 2024.
  182. 中華民國文化部. "總統蔣公影輯—接見外賓 (十)-文化部國家文化記憶庫". memory.culture.tw (ภาษาจีนกลางสำเนียงไต้หวัน). สืบค้นเมื่อ 31 August 2023.
  183. Shidler, Derek (2009). "Vietnam's Changing Historiography: Ngo Dinh Diem and America's Leadership" (PDF). สืบค้นเมื่อ 23 October 2022.
  184. Ngo Dinh Diem .”
  185. Stanley Karnow, “Vietnam a History”, Edition King Press 1983, P. 214

บรรณานุกรม

  • Bùi Diễm; Chanoff, David (1999). In the jaws of history. Vietnam war era classics series. Bloomington: Indiana University Press. ISBN 978-0-253-33539-5.
  • Buttinger, Joseph (1967). Vietnam: A Dragon Embattled. Praeger Publishers.
  • Cao, Văn Luận (1972). Bên giòng lịch sử, 1940–1965. Trí Dũng, Sài Gòn.
  • Catton, Philip E. (2003). Diem's Final Failure: Prelude to America's War in Vietnam. University Press of Kansas. ISBN 978-0700612208.
  • Chapman, Jessica M. (2013). Cauldron of Resistance: Ngo Dinh Diem, the United States, and 1950s Southern Vietnam. Cornell University Press. ISBN 978-0801450617.
  • Fall, Bernard B. (1967). The Two Viet-Nams. Praeger Publishers.
  • Gettleman, Marvin E. (1966). Vietnam: History, Documents, and Opinions on a Major World Crisis. Harmondsworth, Middlesex: Penguin Books.
  • Henderson, William; Fishel, Wesley R. (1966). "The Foreign Policy of Ngo Dinh Diem". Vietnam Perspectives. 2 (1): 3–30. JSTOR 30182487.
  • Jacobs, Seth (2006). Cold War Mandarin: Ngo Dinh Diem and the Origins of America's War in Vietnam, 1950–1963. Lanham, Maryland: Rowman & Littlefield. ISBN 0-7425-4447-8.
  • Jarvis, Edward (2018). Sede Vacante: the Life and Legacy of Archbishop Thục. Berkeley, California: Apocryphile Press. ISBN 978-1-949643-02-2.
  • Karnow, Stanley (1997). Vietnam: A History. New York: Penguin Books. ISBN 0-670-84218-4.
  • Kolko, Gabriel (1994). Anatomy of a war : Vietnam, the United States, and the modern historical experience. New Press, W.W. Norton & Company. ISBN 978-1-56584-218-2.
  • Langguth, A.J. (2000). Our Vietnam: The War 1954–1975. New York: Simon and Schuster. ISBN 0743212444.
  • Maclear, Michael (1981). Vietnam: The Ten Thousand Day War. New York: Methuen Publishing. ISBN 0-423-00580-4.
  • Miller, Edward (2004). "Vision, Power and Agency: The Ascent of Ngô Đình Diệm, 1945–54". Journal of Southeast Asian Studies. 35 (3): 433–458. doi:10.1017/S0022463404000220. S2CID 145272335.
  • Miller, Edward (2013). Misalliance: Ngo Dinh Diem, the United States, and the Fate of South Vietnam. Harvard University Press. ISBN 978-0674072985.
  • Morgan, Joseph G. (1997). The Vietnam lobby: the American Friends of Vietnam, 1955-1975. Chapel Hill, NC: University of North Carolina Press. ISBN 978-0-8078-2322-4.
  • Moyar, Mark (2006). Triumph Forsaken: The Vietnam War, 1954–1965. Cambridge University Press. ISBN 978-0511511646.
  • Nguyen, Phi-Vân (2018). "A Secular State for a Religious Nation: The Republic of Vietnam and Religious Nationalism, 1946–1963". The Journal of Asian Studies. 77 (3): 741–771. doi:10.1017/S0021911818000505. hdl:1993/34017.
  • Sheehan, Neil (1989). A Bright Shining Lie. New York: Vintage Books. ISBN 978-0-679-72414-8.
  • Olson, James S. (1996). Where the Domino Fell. St. Martin's Press. ISBN 0-312-08431-5.
  • Stewart, Geoffrey C. (2011). "Hearts, Minds and Công Dân Vụ: The Special Commissariat for Civic Action and Nation-Building in Ngô Đình Diệm's Vietnam, 1955–1957". Journal of Vietnamese Studies. 6 (3): 44–100. doi:10.1525/vs.2011.6.3.44.
  • Stewart, Geoffrey C. (2017). Vietnam's Lost Revolution: Ngô Đình Diệm's Failure to Build an Independent Nation, 1955–1963. Cambridge University Press. ISBN 978-1316160992.
  • Taylor, Keith W., บ.ก. (2015). Voices from the Second Republic of South Vietnam (1967-1975). Studies on Southeast Asia series. Ithaca, New York: Southeast Asia Program Publications, Cornell University Press. ISBN 978-0-87727-765-1.
  • Tan, Mitchell (2019). "Spiritual Fraternities: The Transnational Networks of Ngô Đình Diệm's Personalist Revolution and the Republic of Vietnam, 1955–1963". Journal of Vietnamese Studies. 14 (2): 1–67. doi:10.1525/vs.2019.14.2.1. S2CID 182587669.
  • Trần Mỹ-Vân (2005). A Vietnamese Royal Exile in Japan: Prince Cường Để (1882-1951). Routledge Studies in the Modern History of Asia. Routledge. ISBN 978-0-415-29716-5.
  • Tran, Nu-Anh (2022). Disunion: Anticommunist Nationalism and the Making of the Republic of Vietnam. University of Hawaiʻi Press. ISBN 978-0824887865.
  • Trần Quang Minh. "A Decade of Public Service: Nation Building during the Interregnum and Second Republic (1964–1975)". In Taylor (2015).
  • Tucker, Spencer C., บ.ก. (2001). Encyclopedia of the Vietnam War: A Political, Social, and Military History (1 ed.). New York: Oxford University Press. ISBN 978-0195135251.
  • Warner, Denis (1964). The Last Confucian: Vietnam, South-East Asia, and the West. Sydney: Angus and Robertson.

หนังสืออ่านเพิ่มเติม

  • Fitzgerald, Frances (1972). Fire in the Lake: The Vietnamese and Americans in Vietnam. Boston: Little, Brown and Company. ISBN 0-316-15919-0.
  • Halberstam, David; Singal, Daniel J. (2008). The Making of a Quagmire: America and Vietnam during the Kennedy Era. Lanham, Maryland: Rowman & Littlefield. ISBN 978-0-7425-6007-9.
  • Hammer, Ellen J. (1987). A Death in November: America in Vietnam, 1963. New York: E. P. Dutton. ISBN 0-525-24210-4.

วิกิพีเดีย, วิกิ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, มือถือ, โทรศัพท์, แอนดรอยด์, ไอโอเอส, แอปเปิ้ล, สมาร์ทโฟน, พีซี, เว็บ, คอมพิวเตอร์, ข้อมูลเกี่ยวกับ โง ดิ่ญ เสี่ยม, โง ดิ่ญ เสี่ยม คืออะไร? โง ดิ่ญ เสี่ยม หมายความว่าอะไร?

0 ตอบกลับ

ฝากคำตอบ

ต้องการเข้าร่วมการสนทนาหรือไม่?
คุณสามารถร่วมเขียนได้!

เขียนคำตอบ

ช่องที่จำเป็นถูกทำเครื่องหมายด้วยดาว *