มุฮัมมัด
มุฮัมมัด (อาหรับ: مُحَمَّد, อักษรโรมัน: Muḥammad; ป. ค.ศ. 570 – 8 มิถุนายน ค.ศ. 632) เป็นผู้นำทางศาสนา สังคม และการเมืองชาวอาหรับ และผู้ก่อตั้งศาสนาอิสลามหลักคำสอนอิสลามระบุว่าท่านเป็นศาสดาที่ได้รับพระวจนะเพื่อสั่งสอนและยืนยันความเป็นเอกภาพที่ถูกสอนมาตั้งแต่อาดัม, อิบรอฮีม, มูซา, อีซา และนบีท่านอื่น มุสลิมเชื่อกันว่าท่านเป็นคอตะมุนนะบียีน โดยมีอัลกุรอานและหลักคำสอนกับหลักปฏิบัติเป็นรากฐานในความเชื่อของศาสนาอิสลาม
มุฮัมมัด | |
---|---|
مُحَمَّد | |
![]() "มุฮัมมัด ศาสนทูตของอัลลอฮ์" ภาพถ่ายที่ประตูมัสยิดอันนะบะวีในเมืองมะดีนะฮ์ | |
ชื่ออื่น | เราะซูลุลลอฮ์ (แปลตรงตัว 'ศาสนทูตของอัลลอฮ์') ดูชื่อและสมญานามของมุฮัมมัด |
ส่วนบุคคล | |
เกิด | ป. ค.ศ. 570 (53 ปีก่อน ฮ.ศ.) มักกะฮ์ ฮิญาซ อาระเบีย (ปัจจุบัน ประเทศซาอุดีอาระเบีย) |
เสียชีวิต | 8 มิถุนายน ค.ศ. 632 (ฮ.ศ. 11; 61–62 ปี) มะดีนะฮ์ รัฐอิสลามแห่งแรก |
ที่ฝังศพ | โดมเขียวที่มัสยิดอันนะบะวี มะดีนะฮ์ อาระเบีย 24°28′03″N 39°36′41″E / 24.46750°N 39.61139°E |
คู่สมรส | ดูภรรยาของมุฮัมมัด |
บุตร | ดูลูกของมุฮัมมัด |
บุพการี |
|
รู้จักจาก | ผู้ก่อตั้งศาสนาอิสลาม |
ชื่ออื่น | เราะซูลุลลอฮ์ (แปลตรงตัว 'ศาสนทูตของอัลลอฮ์') ดูชื่อและสมญานามของมุฮัมมัด |
ญาติ | อะฮ์ลุลบัยต์ ดูพงศาวลีของมุฮัมมัด |
ตามข้อมูลนักเขียนอัสซีเราะตุนนะบะวียะฮ์ มุฮัมมัดถือกำเนิดที่มักกะฮ์จากตระกูลบะนูฮาชิมอันเป็นอภิชนของเผ่ากุร็อยช์ ท่านเป็นบุตรของอับดุลลอฮ์ อิบน์ อับดุลมุฏฏอลิบกับอามินะฮ์ บินต์ วะฮบ์ อับดุลลอฮ์ บิดาผู้เป็นบุตรของอับดุลมุฏฏอลิบ หัวหน้าเผ่า เสียชีวิตประมาณช่วงที่มุฮัมมัดถือกำเนิด ส่วนอามินะฮ์เสียชีวิตตอนท่านอายุ 6 ขวบ ทำให้ท่านกลายเป็นเด็กกำพร้า ท่านได้รับเลี้ยงจากอับดุลมุฏฏอลิบ ปู่ของท่าน และอะบูฏอลิบ ลุงฝ่ายพ่อ ในช่วงปีหลัง ๆ ท่านเก็บตัวอยู่ในถ้ำบนภูเขาฮิรออ์เป็นเวลาหลายคืน จนกระทั่งตอนอายุ 40 ปีเมื่อ ประมาณ ค.ศ. 610 ท่านพบกับทูตสวรรค์ญิบรีลในถ้ำ และได้รับโองการแรกจากพระเจ้า ต่อมาใน ค.ศ. 613 มุฮัมมัดจึงเริ่มเผยแผ่คำสอนอย่างเปิดเผย โดยประกาศว่า "พระเจ้ามีเพียงองค์เดียว" และ "การจำนน" (อิสลาม) ต่อพระเจ้า (อัลลอฮ์) อย่างสมบูรณ์คือวิถีชีวิตที่ถูกต้อง (ดีน) และท่านเป็นศาสดาและศาสนทูตของอัลลอฮ์คล้ายกับนบีในศาสนาอิสลามท่านอื่น ๆ
ในช่วงแรก ผู้ติดตามของมุฮัมมัดมีจำนวนน้อย และประสบกับการกดขี่จากชาวมักกะฮ์ที่นับถือพระเจ้าหลายองค์เป็นเวลา 13 ปี เพื่อหลีกเลี่ยงการกดขี่ที่ยังคงมีอยู่ ท่านจึงส่งผู้ติดตามบางส่วนไปยังอะบิสซิเนียใน ค.ศ. 615 ก่อนที่ท่านกับผู้ติดตามอพยพจากมักกะฮ์ไปยังมะดีนะฮ์ (ในเวลานั้นมีชื่อว่า ยัษริบ) ใน ค.ศ. 622 เหตุการณ์นี้ (ฮิจเราะห์) ถือเป็นจุดเริ่มต้นของปฏิทินอิสลาม ซึ่งมีอีกชื่อว่า ปฏิทินฮิจเราะห์ ในมะดีนะฮ์ มุฮัมมัดรวมชนเผ่าต่าง ๆ ภายใต้รัฐธรรมนูญมะดีนะฮ์ ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 629 หลังสู้รบกับชนเผ่ามักกะฮ์เป็นระยะ ๆ ถึง 8 ปี มุฮัมมัดจึงรวบรวมกองทัพที่มีมุสลิม 10,000 คนและเดินทัพไปมักกะฮ์ การพิชิตครั้งนี้ส่วนใหญ่ไม่มีผู้โต้แย้ง และมุฮัมมัดก็ยึดเมืองนี้ได้โดยมีการนองเลือดเพียงเล็กน้อย ท้ายที่สุดใน ค.ศ. 632 หลังกลับจากฮัจญ์อำลาเพียงไม่กี่เดือน ท่านจึงล้มป่วยและเสียชีวิต ในช่วงที่เสียชีวิตนั้น ผู้คนในคาบสมุทรอาหรับส่วนใหญ่หันมาเข้ารับอิสลามแล้ว
วิวรณ์ (อายะฮ์) ที่มุฮัมมัดได้รับจนกระทั่งเสียชีวิตได้รับการรวมรวมเป็นโองการจากอัลกุรอาน ซึ่งมุสลิมถือว่าเป็น "พระดำรัสของพระเจ้า" แบบคำต่อคำ นอกจากอัลกุรอานแล้ว หลักคำสอนและหลักปฏิบัติของมุฮัมมัด (ซุนนะฮ์) ที่พบในสายรายงาน (ฮะดีษ) และในชีวประวัติ (ซีเราะฮ์) ยังยึดถือและใช้เป็นแหล่งที่มาของกฎหมายอิสลาม นอกจากศาสนาอิสลามแล้ว ท่านยังได้รับคำชื่นชมในศาสนาซิกข์เป็นบุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ ความเชื่อดรูซมองเป็นหนึ่งในเจ็ดศาสดาหลัก และในศาสนาบาไฮมองเป็นการสำแดงของพระเจ้า
แหล่งที่มาของข้อมูลชีวประวัติ
การประเมินแหล่งข้อมูลอย่างมีวิจารณญาณมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเปิดเผยการมีตัวตนทางประวัติศาสตร์ของมุฮัมมัดนอกเหนือจากตำนาน แหล่งข้อมูลยุคแรกเกี่ยวกับชีวประวัติมุฮัมมัดคือนักเขียนในช่วงฮิจเราะห์ศตวรรษที่ 2 ถึง 3 (คริสต์ศตวรรษที่ 8 ถึง 9) ซึ่งผลงานของพวกเขาได้รวบรวมข้อมูลชีวประวัติหลักเกี่ยวกับประเพณีของชาวมุสลิมในด้านชีวิตของท่าน แต่ความน่าเชื่อถือของข้อมูลนี้เป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากในแวดวงวิชาการ เนื่องจากช่องว่างระหว่างบันทึกชีวประวัติมุฮัมมัดกับช่วงเวลาที่งานเขียนเหล่านี้เริ่มปรากฏในแหล่งข้อมูล จอห์น เบอร์ตันสรุปข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่มีอยู่มากมายจากมุมมองของนักประวัติศาสตร์ ดังนี้:
ในการตัดสินเนื้อหา นักวิชาการใช้เพียงปทัฏฐานของความเป็นไปได้เป็นเครื่องมือพิจารณา และจะต้องกล่าวถึงซ้ำอีกครั้งตามพื้นฐานนี้ แทบไม่มีข้อมูลใด ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อนักประวัติศาสตร์เลยจากบันทึกอันน้อยนิดเกี่ยวกับชีวิตช่วงแรกของผู้ก่อตั้งศาสนาที่ยิ่งใหญ่ล่าสุดของโลก ... ดังนั้น ไม่ว่าเราพยายามย้อนกลับไปในธรรมเนียมชาวมุสลิมในปัจจุบันไกลแค่ไหน ก็ไม่สามารถกู้คืนข้อมูลที่เป็นประโยชน์จริงในการสร้างประวัติศาสตร์มนุษยชาติของมุฮัมมัดแม้แต่น้อย นอกเหนือจากข้อเท็จจริงที่ว่าครั้งหนึ่งท่านเคยมีตัวตนอยู่
ชีวประวัติยุคแรก

ข้อมูลที่ใช้ในประวัติศาสตร์อิสลามยุคแรกเกิดขึ้นจากผลงานที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวของนักเล่าเรื่อง ซึ่งในขณะนั้นถือเป็นอาชีพค่อนข้างมีชื่อเสียง โดยไม่มีรายละเอียด ในขณะเดียวกัน การศึกษาประวัติศาสตร์อิสลามช่วงแรกสุดก็ทำได้ยากเนื่องจากขาดแหล่งข้อมูล ในขณะที่เรื่องเล่าในช่วงแรกอยู่ในรูปแบบของมหากาพย์วีรบุรุษที่เรียกว่า magāzī รายละเอียดต่าง ๆ ได้ถูกเพิ่มเข้ามาในภายหลัง แก้ไข และแปลงเป็นการรวบรวมซีเราะฮ์ นักประวัติศาสตร์ตะวันตกอธิบายจุดประสงค์ของชีวประวัติยุคแรกเหล่านี้ว่าส่วนใหญ่คือการถ่ายทอดข้อความ มากกว่าที่จะบันทึกประวัติศาสตร์อย่างเคร่งครัดและแม่นยำ
ซีเราะฮ์ (ชีวประวัติของมุฮัมมัดและคำพูดที่ระบุว่ามาจากท่าน) รูปเขียนแรกสุดคือ ชีวิตศาสนทูตของอัลลอฮ์ ของอิบน์ อิสฮาก เขียน ประมาณ ค.ศ. 767 (ฮ.ศ. 150) แม้ว่าผลงานต้นฉบับสูญหาย ซีเราะฮ์นี้ยังคงหลงเหลือเป็นข้อความที่ตัดตอนมาอย่างกว้างขวางในผลงานของอิบน์ ฮิชาม และของอัฏเฏาะบะรีในขอบเขตน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม อิบน์ ฮิชามเขียนคำนำในชีวประวัติมุฮัมมัดของตนเองว่า เขาได้ละเว้นเรื่องราวจากชีวประวัติของอิบน์ อิสฮากที่ "จะทำให้บางคนไม่สบายใจ" ข้อมูลประวัติศาสตร์ยุคแรกอีกอันคือประวัติการทัพของมุฮัมมัดโดยอัลวากิดี (เสียชีวิตใน ฮ.ศ. 207) และผลงานของอิบน์ ซะอด์ อัลบัฆดาดี (เสียชีวิตใน ฮ.ศ. 230) เลขานุการของอัลวากิดี ด้วยความพยายามรวบรวมข้อมูลชีวประวัติในช่วงต้น ทำให้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับมุฮัมมัดมากกว่าผู้ก่อตั้งศาสนาหลัก ๆ เกือบทั้งหมด นักวิชาการหลายคนยอมรับว่าชีวประวัติในยุคแรกเหล่านี้เป็นเรื่องจริง อย่างไรก็ตาม ชีวประวัติของอัลวากิดีถูกวิจารณ์จากนักวิชาการอิสลามอย่างแพร่หลายสำหรับวิธีการของเขา โดยเฉพาะการตัดสินใจละเว้นแหล่งที่มาของเขา การศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ทำให้นักวิชาการแยกแยะระหว่างธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องกฎหมาย และเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ล้วน ๆ โดยในกลุ่มกฎหมายอาจมีการประดิษฐ์ธรรมเนียมขึ้น ในขณะที่เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ อาจอยู่ภายใต้ "การกำหนดรูปแบบแนวโน้ม" เท่านั้น นอกเหนือจากกรณีพิเศษ นักวิชาการคนอื่น ๆ วิจารณ์ถึงความน่าเชื่อถือของวิธีการนี้ โดยชี้ให้เห็นว่าไม่สามารถแบ่งธรรมเนียมออกเป็นหมวดหมู่ทางกฎหมายและประวัติศาสตร์อย่างเฉพาะเจาะจงได้
ฮะดีษ
แหล่งข้อมูลสำคัญอีกแห่งได้แก่ชุดสะสมฮะดีษ รายงานคำสอนและธรรมเนียมทางวาจาและทางกายที่เชื่อกันว่าเป็นของมุฮัมมัด มุสลิมรวบรวมฮะดีษเป็นเวลาหลายรุ่นหลังหลังท่านเสียชีวิต เช่น มุฮัมมัด อัลบุคอรี, มุสลิม อิบน์ อัลฮัจญาจญ์, มุฮัมมัด อิบน์ อีซา อัตติรมิษี, อับดุรเราะห์มาน อันนะซาอี, อะบูดาวูด, อิบน์ มาญะฮ์, มาลิก อิบน์ อะนัส, อัดดาเราะกุฏนี
นักวิชาการมุสลิมโดยทั่วไปให้ความสำคัญกับฮะดีษมากกว่าวรรณกรรมชีวประวัติ เนื่องจากหะดีษมีสายรายงานส่งต่อแบบดั้งเดิม (อิสนาด) ในสายตาของพวกเขา การไม่มีสายรายงานดังกล่าวสำหรับวรรณกรรมชีวประวัติทำให้ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ฮะดีษโดยทั่วไปนำเสนอทัศนคติในอุดมคติของศาสดามุฮัมมัด นักวิชาการตะวันตกแสดงความกังขาเกี่ยวกับความสามารถในการพิสูจน์ยืนยันสายรายงานถ่ายทอดเหล่านี้ นักวิชาการตะวันตกเชื่อกันอย่างกว้างขวางว่ามีการกุเรื่องฮะดีษขึ้นอย่างกว้างขวางในช่วงศตวรรษต้น ๆ ของศาสนาอิสลาม เพื่อสนับสนุนจุดยืนทางเทววิทยาและกฎหมายบางประการ และมีข้อเสนอแนะว่า "มีความเป็นไปได้อย่างมากที่ฮะดีษจำนวนมากที่พบในชุดสะสมฮะดีษไม่ได้มีที่มาจากท่านศาสดา" นอกจากนี้ ความหมายของฮะดีษอาจคลาดเคลื่อนไปจากคำบอกเล่าดั้งเดิมจนถึงตอนที่บันทึกลงในที่สุด แม้ว่าสายรายงานถ่ายทอดจะเป็นของแท้ก็ตาม โดยรวมแล้ว นักวิชาการตะวันตกบางคนมองชุดฮะดีษเหล่านี้อย่างระมัดระวังว่าเป็นแหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง ในขณะที่ "กระบวนทัศน์หลัก" ในงานวิชาการตะวันตกคือการพิจารณาว่าความน่าเชื่อถือของชุดฮะดีษนั้นน่าสงสัย นักวิชาการอย่าง Wilferd Madelung ไม่ได้ปฏิเสธฮะดีษที่รวบรวมขึ้นในยุคหลัง แต่ตัดสินโดยพิจารณาจากบริบททางประวัติศาสตร์
อัลกุรอาน
อัลกุรอานเป็นคัมภีร์หลักอันเป็นรากฐานของศาสนาอิสลาม ซึ่งเชื่อว่าเป็นพระดำรัสของพระเจ้าที่เปิดเผยผ่านทูตสวรรค์ญิบรีลแก่มุฮัมมัด อัลกุรอานกล่าวถึง"ศาสนทูตของอัลลออฮ์"เพียงคนเดียวเป็นหลัก นั่นคือ มุฮัมมัด ซึ่งต่างกันตรงที่มีการอ้างอิงถึงเรื่องราวของศาสดาในอัลกุรอานหลายร้อยครั้ง เช่น มูซา (โมเสส) และอีซา (พระเยซู) แต่กลับให้ข้อมูลเกี่ยวกับมุฮัมมัดเศาะฮาบะฮ์ หรือผู้ร่วมสมัยท่านอยู่น้อยมาก บุคคลที่ได้รับการกล่าวถึงในข้อโต้แย้งในอัลกุรอานและบริบทที่ถูกนำมาใช้นั้น เป็นเพียงบันทึกที่เขียนขึ้นในอรรถาธิบายที่เขียนขึ้นในศตวรรษต่อมา ยกเว้นเพียงซัยด์ ทาส/บุตรบุญธรรมของท่านที่มีการกล่าวถึงชื่อของเขาในโองการต่าง ๆ (อัลอะฮ์ซาบ; 37) ในบริบทภรรยาที่หย่าร้างของเขาถูกนำไปใช้ในการสมรสของมุฮัมมัด
เรื่องราวชีวประวัติของมุฮัมมัดในคัมภีร์อัลกุรอานที่ชัดเจนที่สุดน่าจะเป็นการกล่าวถึงการตั้งถิ่นฐานในยัษริบของผู้ติดตามของท่านอย่างสั้น ๆ หลังจากที่ถูกพวกกุร็อยช์ขับไล่ออกไป และการเผชิญหน้าทางทหาร เช่น ชัยชนะของมุสลิมที่บัดร์ อย่างไรก็ตาม มักกะฮ์ในฐานะแหล่งกำเนิดศาสนาอิสลามขาดข้อมูลทางโบราณคดีที่สนับสนุนเรื่องราวดั้งเดิม และบันทึกที่เก่าแก่ที่สุดชี้ให้เห็นถึงภูมิภาคทางภูมิศาสตร์แบบอื่น ทำให้พื้นที่นี้กลายเป็นสถานที่ต้องสงสัยสำหรับนักวิจัยสมัยใหม่ว่าเป็นต้นกำเนิดของศาสนาอิสลาม
ช่วงปีในมักกะฮ์
ชีวิตช่วงต้น

มุฮัมมัด อิบน์ อับดุลลอฮ์ อิบน์ อับดุลมุฏฏอลิบ อิบน์ ฮาชิมเกิดที่มักกะฮ์เมื่อประมาณ ค.ศ. 570 และเชื่อกันว่าวันเกิดอยู่ในเดือนเราะบีอุลเอาวัล ท่านอยู่ในตระกูลบะนูฮาชิมจากเผ่ากุร็อยช์ ซึ่งเป็นกองกำลังที่มีอำนาจเหนือในอาระเบียตะวันตก แม้ว่าตระกูลของท่านเป็นหนึ่งในตระกูลที่มีความโดดเด่นอีกตระกูลหนึ่งจากชนเผ่า ดูเหมือนว่าในช่วงแรกดูขาดความเจริญรุ่งเรือง ตามธรรมเนียมมุสลิมระบุว่ามุฮัมมัดเป็นฮะนีฟ คือผู้ที่นับถือเอกเทวนิยมในอาระเบียก่อนอิสลาม ท่านยังอ้างว่าเป็นลูกหลานของอิสมาอีลบุตรอิบรอฮีม (อิชมาเอลบุตรอับราฮัม)
ชื่อมุฮัมมัดหมายถึง "ได้รับการสรรเสริญ" ในภาษาอาหรับและปรากฏในอัลกุรอาน 4 ครั้ง ในวัยหนุ่มเป็นที่รู้จักกันในนาม "อัลอะมีน" (แปลตรงตัว 'น่าเชื่อถือ') อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์มีความเห็นต่างกันว่า ชื่อนี้ตั้งขึ้นเพื่อสะท้อนถึงนิสัยของท่าน หรือเป็นเพีัยงชื่อตัวจากพ่อแม่ นั่นคือ รูปเพศชายของชื่อแม่ของท่าน ("อามินะฮ์") มุฮัมมัดได้รับกุนยะฮ์ อะบูกอซิม หลังการถือกำเนิดของกอซิม ลูกชายที่เสียชีวิตเมื่อสองปีให้หลัง
ธรรมเนียมอิสลามระบุว่าปีเกิดของมุฮัมมัดใกล้เคียงกับปีช้างที่อับเราะฮะฮ์ อุปราชอาณาจักรอักซุมในอดีตอาณาจักรฮิมยัร ประสบความล้มเหลวในการยึดครองมักกะฮ์ อย่างไรก็ตาม การศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ท้าทายแนวคิดนี้ เนื่องจากมีหลักฐานอื่นชี้ให้เห็นว่า หากเกิดขึ้นจริง เหตุการณ์นี้คงจะเกิดขึ้นเป็นนัยยะสำคัญก่อนที่มุฮัมมัดจะถือกำเนิด นักวิชาการมุสลิมยุคหลังสันนิษฐานว่าเชื่อมโยงชื่ออันโด่งดังของอับเราะฮะฮ์กับเรื่องเล่าการกำเนิดของมุฮัมมัดเพื่ออธิบายข้อความที่ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับ "พวกเจ้าของช้าง" ในคัมภีร์อัลกุรอาน 105:1–5The Oxford Handbook of Late Antiquity จัดให้เรื่องราวการทัพด้วยช้างศึกของอับเราะฮะฮ์เป็นเรื่องปรัมปรา
อับดุลลอฮ์ บิดาของมุฮัมมัด เสียชีวิตก่อนที่ท่านเกิดเกือบ 6 เดือน มุฮัมมัดจึงอาศัยอยู่กับฮะลีมะฮ์ บินต์ อะบีษุอัยบ์ แม่อุปถัมภ์ กับสามีของเธอจนกระทั่งท่านอายุ 2 ขวบ จากนั้นตอนอายุ 6 ขวบ อะมีนะฮ์ บินต์ วะฮับ แม่ของมุฮัมมัด ป่วยแล้วเสียชีวิต ทำให้ท่านกลายเป็นเด็กกำพร้า มุฮัมมัดจึงอยู่ในความคุ้มครองของอับดุลมุฏฏอลิบ ผู้นำเผ่าบนูฮาชิมที่เป็นปู่ของท่าน จนกระทั่งเขาเสียชีวิตตอนท่านอายุ 8 ขวบ แล้วจึงอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของอะบูฏอลิบ ลุงของท่าน ผู้เป็นผู้นำคนใหม่ของบะนูฮาชิม พี่น้องชายของอะบูฏอลิบช่วยสอนมุฮัมมัดในด้านต่าง ๆ โดยฮัมซะฮ์ น้องคนสุดท้อง เป็นผู้ฝึกสอนมุฮัมมัดในวิชาการยิงธนู ศิลปะการใช้ดาบ และศิลปะการต่อสู้ อับบาส ลุงอีกคนหนึ่ง มอบหมายงานให้มุฮัมมัดเป็นหัวหน้ากองคาราวานในเส้นทางตอนเหนือสู่ซีเรีย

บันทึกประวัติศาสตร์มักกะฮ์ในช่วงต้นของท่านมีน้อยและกระจัดกระจาย ทำให้เป็นการยากที่จะแยกประวัติศาสตร์ออกจากตำนาน เรื่องเล่าในศาสนาอิสลามหลายเรื่องระบุว่า เมื่อครั้งยังเด็ก มุฮัมมัดเคยเดินทางไปค้าขายที่ซีเรียกับอะบูฏอลิบ และได้พบกับบาทหลวงรูปหนึ่งชื่อบะฮีรอ ซึ่งกล่าวกันว่าได้ทำนายไว้ว่าท่านจะเป็นศาสดา มีเรื่องราวหลายฉบับที่มีรายละเอียดขัดแย้งกันเอง เรื่องราวทั้งหมดของบะฮีรอและการพบกันของเขากับมุฮัมมัด นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่ถือเป็นเรื่องแต่งขึ้น รวมถึงนักวิชาการมุสลิมสมัยกลางบางคน เช่น อัษษะฮะบี
ต่อมาในช่วงหนึ่ง มุฮัมมัดได้ขอสมรสกับฟาคิตะฮ์ บินต์ อะบีฏอลิบ ลูกพี่ลูกน้องและรักแรก แต่คงเป็นเพราะความยากจนของท่าน ทำให้การขอสมรสถูกอะบูฏอลิบ พ่อของเธอผู้เลือกชายที่โด่งดังกว่า ปฏิเสธ เมื่อมุฮัมมัดอายุ 25 ปี โชคชะตาพลิกผัน ชื่อเสียงทางธุรกิจของท่านดึงดูดความสนใจจากเคาะดีญะฮ์ ญาติห่าง ๆ วัย 40 ปีที่เป็นนักธุรกิจหญิงผู้มั่งคั่ง ซึ่งประสบความสำเร็จในอาชีพผู้ประกอบการค้าในอุตสาหกรรมการค้าคาราวาน เธอขอให้ท่านนำคาราวานของเธอคันหนึ่งไปซีเรีย หลังจากนั้น เธอประทับใจในความสามารถของท่านจากการเดินทางครั้งนี้มากจนขอแต่งงานกับท่าน มุฮัมมัดยอมรับข้อเสนอของเธอและยังคงรักเดียวใจเดียวจนกระทั่งเธอเสียชีวิต

ใน ค.ศ. 605 ชาวกุร็อยช์ตัดสินใจมุงหลังคากะอ์บะฮ์ ซึ่งก่อนหน้านี้มีเพียงแค่กำแพง ทำใหต้องสร้างใหม่ทั้งหมดเพื่อรองรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการรบกวนเทพเจ้า ชายคนหนึ่งก้าวออกมาพร้อมจอบและร้องว่า "โอ้เทพี! อย่ากลัวเลย! เรามีเจตนาแต่สิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น" เมื่อพูดจบ เขาก็เริ่มทำลายกำแพง ชาวมักกะฮ์ที่วิตกกังวลต่างรอคอยการลงทัณฑ์จากเทพเจ้าชั่วข้ามคืน แต่การที่เขายังคงดำเนินชีวิตต่อไปโดยปราศจากอันตรายในวันรุ่งขึ้นกลับถูกมองว่าเป็นสัญญาณแห่งการเห็นชอบจากเทพเจ้า ตามรายงานที่อิบน์ อิสฮากรวบรวมไว้ เมื่อถึงช่วงที่มีการตั้งหินดำใหม่ มีการโต้เถียงกันว่าตระกูลใดควรได้รับสิทธิพิเศษนี้ ทำให้มีการตัดสินว่าบุคคลแรกที่เข้ามาในลานกะอ์บะฮ์จะเป็นผู้ชี้ขาด และผู้ที่มาคนแรกคือมุฮัมมัด ท่านจึงขอผ้าคลุมแล้วยกหินตั้งบนนั้น แล้วให้ผู้นำตระกูลต่าง ๆ จับผ้าผืนนั้นพร้อมกัน และท่านจะเป็นคนนำหินตั้งเอง
จุดเริ่มต้นของอัลกุรอาน

ความมั่นคงทางการเงินที่มุฮัมมัดได้รับจากเคาะดีญะฮ์ ภรรยาผู้มั่งคั่ง ทำให้ท่านมีเวลาว่างมากมายในการใช้เวลาอยู่อย่างสันโดษในถ้ำฮิรออ์ ตามธรรมเนียมอิสลามระบุว่า ใน ค.ศ. 610 เมื่อท่านมีอายุ 40 ปี ทูตสวรรค์ญิบรีลปรากฏตัวต่อหน้าท่านระหว่างเยี่ยมชมถ้ำ ทูตสวรรค์แสดงผ้าที่มีโองการอัลกุรอานให้ดูและสั่งให้ท่านอ่าน เมื่อมุฮัมมัดสารภาพว่าตนไม่รู้หนังสือ ญิบรีลจึงบีบคออย่างแรงจนเกือบทำให้หายใจไม่ออก และสั่งซ้ำอีกครั้ง เมื่อมุฮัมมัดย้ำว่าท่านอ่านหนังสือไม่ออก ญิบรีลก็บีบคอเขาอีกครั้งในลักษณะเดียวกัน ลำดับเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีกครั้งก่อนที่ญิบรีลจะอ่านโองการเหล่านั้นในที่สุด ทำให้มุฮัมมัดสามารถท่องจำโองการเหล่านั้นได้ ต่อมาโองการเหล่านี้ได้บรรจุลงในคัมภีร์อัลกุรอาน 96:1-5
มุฮัมมัดตกใจและไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงรีบเดินโซเซลงจากภูเขาไปหาเคาะดีญะฮ์ ภรรยาของท่าน เมื่อมาถึงตัวเธอ ท่านก็คลานเข่าไปบนตักของเธอ ตัวสั่นเทาอย่างรุนแรงและร้องว่า "คลุมฉันที!" พลางโน้มตัวลงบนตักของเธอ เคาะดีญะฮ์ห่อตัวท่านด้วยเสื้อคลุมและกอดไว้จนกระทั่งความกลัวของท่านจางหายไป เธอไม่สงสัยเลยเกี่ยวกับการเปิดเผยโองการของท่าน โดยยืนยันว่าสิ่งนั้นเป็นของจริง ไม่ใช่ญิน มุฮัมมัดก็ได้รับความมั่นใจจากวะเราะเกาะฮ์ อิบน์ เนาฟัล ลูกพี่ลูกน้องที่นับถือศาสนาคริสต์ของเคาะดีญะฮ์ ผู้อุทานอย่างยินดีว่า "ศักดิ์สิทธิ์จริง! ศักดิ์สิทธิ์จริง! หากท่านได้พูดความจริงแก่ตัวข้า โอ้ เคาะดีญะฮ์ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ได้เสด็จมาหาท่านแล้ว และแท้จริง ท่านคือศาสดาของชนชาติของท่าน" เคาะดีญะฮ์สั่งให้มุฮัมมัดแจ้งให้เธอทราบหากญิบรีลกลับมา เมื่อท่านปรากฏตัวในช่วงเวลาส่วนตัวของทั้งสอง เคาะดีญะฮ์ได้ทำการทดสอบโดยให้มุฮัมมัดนั่งบนต้นขาซ้าย ต้นขาขวา และตักของเธอ แล้วถามมุฮัมมัดว่ายังมีร่างนั้นอยู่หรือไม่ในแต่ละครั้ง หลังจากที่เคาะดีญะฮ์ถอดเสื้อผ้าของเธอออกในขณะที่มุฮัมมัดนั่งอยู่บนตัก ท่านก็รายงานว่าญิบรีลออกไปในขณะนั้น เคาะดีญะฮ์จึงบอกให้ท่านดีใจเมื่อเธอสรุปว่านั่นไม่ใช่ชัยฏอน แต่เป็นทูตสวรรค์ที่มาหาท่าน
กิริยาท่าทางของมุฮัมมัดในช่วงที่มีการดลใจเป็นถี่ ๆ นำไปสู่ข้อกล่าวหาจากคนรุ่นราวคราวเดียวกันว่าท่านอยู่ภายใต้อิทธิพลของญิน นักพยากรณ์ หรือนักมายากล ซึ่งชี้ให้เห็นว่าประสบการณ์ของท่านในระหว่างเหตุการณ์เหล่านี้มีความคล้ายคลึงกับประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลเหล่านี้ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในอาระเบียโบราณ กระนั้น เหตุการณ์ครอบงำอันลึกลับเหล่านี้อาจเป็นหลักฐานโน้มน้าวใจสำหรับผู้ติดตามของท่านในเรื่องต้นกำเนิดอันศักดิ์สิทธิ์ของการเปิดเผยโองการ นักประวัติศาสตร์บางคนตั้งข้อสังเกตว่าคำอธิบายภาพอาการของมุฮัมมัดในกรณีเหล่านี้น่าจะเป็นเรื่องจริง เนื่องจากไม่น่าจะเป็นไปได้ที่มุสลิมรุ่นหลังจะประดิษฐ์เรื่องนี้ขึ้นได้

หลังวะเราะเกาะฮ์เสียชีวิตไม่นาน การประทานวะฮ์ยูนั้นหยุดไปช่วงหนึ่ง ทำให้มุฮัมมัดรู้สึกทุกข์ใจอย่างมากและคิดฆ่าตัวตาย ในช่วงหนึ่ง มีรายงานว่าท่านปีนขึ้นเขาตั้งใจที่จะกระโดดลงไป อย่างไรก็ตาม ก่อนถึงยอดเขา ญิบรีลปรากฏต่อท่านเพื่อยืนยันสถานะศาสนทูตของอัลลอฮ์อย่างแท้จริง การเผชิญหน้าครั้งนี้ทำให้มุฮัมมัดสงบลงแล้วกลับบ้าน ต่อมาเมื่อมีการเว้นช่วงระหว่างการประทานโองการเป็นเวลานานอีก ท่านก็ทำเช่นนี้อีก แต่ญิบรีลก็เข้ามาแทรกแซงในทำนองเดียวกัน ทำให้ท่านสงบลงและกลับบ้าน
มุฮัมมัดมั่นใจว่าสามารถแยกแยะความคิดของตนเองจากข้อความเหล่านี้ได้ การเปิดเผยอัลกุรอานในยุคแรกใช้วิธีการเตือนผู้ไม่ศรัทธาด้วยการลงโทษจากสวรรค์ ขณะเดียวกันก็สัญญาว่าจะให้รางวัลแก่ผู้ศรัทธา พวกเขาถ่ายทอดผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้น เช่น ความอดอยากและการสังหารผู้ที่ปฏิเสธพระเจ้าของมุฮัมมัด และพาดพิงถึงภัยพิบัติทั้งในอดีตและอนาคต โองการในคัมภีร์ยังเน้นย้ำถึงการพิพากษาครั้งสุดท้ายที่ใกล้จะมาถึง และภัยคุกคามจากไฟนรกสำหรับผู้คลางแคลงใจ เนื่องจากความซับซ้อนของประสบการณ์นี้ ในตอนแรกมุฮัมมัดจึงลังเลมากที่จะบอกคนอื่นเกี่ยวกับการเปิดเผยของท่าน ตอนแรก ท่านเล่าเรื่องราวให้เฉพาะสมาชิกครอบครัวและเพื่อนที่คัดมาเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ธรรมเนียมมุสลิมระบุว่า เคาะดีญะฮ์ ภรรยาของท่าน เป็นบุคคลแรกที่เชื่อว่าท่านเป็นศาสดา ตามมาด้วยอะลี อิบน์ อะบี ฏอลิบ ลูกพี่ลูกน้องอายุ 10 ขวบของท่าน อะบูบักร์ เพื่อนใกล้ชิด และซัยด์ บุตรบุญธรรม ขณะที่ข่าวการเปิดเผยของมุฮัมมัดแพร่กระจายไปทั่วครอบครัวที่เหลือของท่าน พวกเขาก็เริ่มมีความคิดเห็นแตกแยกกันเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้น โดยผู้ที่เชื่อในตัวท่านส่วนใหญ่เป็นเยาวชนและสตรี ในขณะที่ผู้ชายส่วนใหญ่ในรุ่นก่อน ๆ คัดค้านอย่างหนักแน่น
การต่อต้านในมักกะฮ์
มุฮัมมัดเริ่มเผยแผ่คำสอนแก่สาธารณชนเมื่อประมาณ ค.ศ. 613 ผู้ติดตามในตอนแรกหลายคนเป็นผู้หญิง เสรีชน บริวาร ทาส และสมาชิกคนอื่น ๆ ในชนชั้นตอนล่างทางสังคม บรรดาผู้เปลี่ยนศาสนาเหล่านี้ต่างเฝ้ารอคอยการเปิดเผยใหม่ ๆ จากมุฮัมมัดอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อท่านอ่านสิ่งเหล่านั้นแล้ว พวกเขาทั้งหมดก็จะอ่านตามท่านและจดจำมันไว้ และผู้ที่รู้หนังสือก็จะบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร มุฮัมมัดยังได้แนะนำพิธีกรรมต่าง ๆ ให้กับกลุ่มของท่าน ซึ่งรวมถึงการสวดมนต์ (ละหมาด) ด้วยท่าทางที่แสดงถึงการยอมจำนนอย่างสมบูรณ์ (อิสลาม) ต่อพระเจ้า และการทำทาน (ซะกาต) เป็นข้อกำหนดของชุมชนมุสลิม (อุมมะฮ์) เมื่อถึงจุดนี้ ขบวนการทางศาสนาของมุฮัมมัดจึงเป็นที่รู้จักในชื่อ ตะซักกา ('การทำให้บริสุทธิ์')
ในตอนแรก ท่านไม่ได้ประสบกับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากพลเมืองมักกะฮ์ที่เฉยเมยต่อกิจกรรมเปลี่ยนศาสนาของท่าน แต่เมื่อท่านเริ่มโจมตีความเชื่อของพวกเขา ความตึงเครียดจึงเกิดขึ้น เผ่ากุร็อยช์ท้าให้ท่านแสดงปาฏิหารย์ เช่น นำตาน้ำพุออกมา แต่ท่านปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่าความสม่ำเสมอของธรรมชาติเป็นข้อพิสูจน์ถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่เพียงพอแล้ว บางคนเยาะเย้ยต่อความล้มเหลวของท่านโดยสงสัยว่าทำไมพระเจ้าไม่ประทานทรัพย์สมบัติให้ท่านเสียที ในขณะที่อีกกลุ่มขอให้ท่านเดินทางไปสวรรค์และกลับมาพร้อมกับม้วนกระดาษอัลกุรอานที่จับต้องได้ แต่มุฮัมมัดยืนยันว่า อัลกุรอานในรูปแบบที่ท่านถ่ายทอดออกมานั้นเป็นข้อพิสูจน์ที่น่ามหัศจรรย์อยู่แล้ว
อัมร์ อิบน์ อัลอาศรายงานว่า ชาวกุร็อยช์บางคนรวมตัวกันที่ฮิจญร์และปรึกษาว่าพวกเขาไม่เคยเจอปัญหาร้ายแรงอย่างที่พวกเขาพบกับมุฮัมมัดมาก่อน พวกเขากล่าวว่าท่านได้เยาะเย้ยวัฒนธรรม ดูหมิ่นบรรพบุรุษ ดูถูกความศรัทธา ทำลายชุมชน และสาปแช่งเทพเจ้าของพวกเขา ต่อมา มุฮัมมัดเดินทางมา จูบหินดำ และทำพิธีเฎาะวาฟ ขณะที่มุฮัมมัดเดินผ่านพวกเขาไป มีรายงานว่าพวกเขาได้กล่าวร้ายต่อท่าน เหตุการณ์เดียวกันนี้เกิดขึ้นเมื่อท่านเดินผ่านพวกเขาเป็นครั้งที่สอง เมื่อผ่านไปเป็นครั้งที่สาม มุฮัมมัดก็หยุดและกล่าวว่า "เจ้าจะฟังข้าไหม โอ กุร็อยช์? ด้วยพระนาม (อัลลอฮ์) ผู้ทรงกุมชีวิตข้าไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ ข้านำการสังหารแก่เจ้า" พวกเขาเงียบและบอกให้ท่านกลับบ้าน โดยกล่าวว่าท่านไม่ใช่คนรุนแรง วันถัดมา ชาวกุร็อยช์จำนวนหนึ่งเข้ามาหาท่านแล้วถามว่าท่านได้พูดสิ่งที่พวกเขาได้ยินจากสหายของพวกเขาหรือไม่ ท่านตอบว่าใช่ และหนึ่งในนั้นได้จับเสื้อคลุมของท่าน อะบูบักร์แทรกขึ้นมาด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า "เจ้าจะฆ่าคนเพียงเพราะเขาพูดว่าอัลลอฮ์คือพระเจ้าของข้าหรือ?" แล้วพวกเขาก็จากท่านไป
พวกกุร็อยช์จึงพยายามหลอกล่อให้มุฮัมมัดหยุดสอนศาสนาด้วยการให้ท่านเข้าสู่วงในของพ่อค้า ตลอดจนการแต่งงานที่ได้เปรียบ แต่ท่านปฏิเสธทั้งสองข้อเสนอ จากนั้นคณะผู้แทนของพวกเขาที่นำโดยผู้นำตระกูลบะนูมัคซูม ซึ่งชาวมุสลิมรู้จักในชื่ออะบูญะฮัล ไปหาอะบูฏอลิบ ลุงของมุฮัมมัดผู้เป็นหัวหน้าตระกูลบะนูฮาชิมและผู้ดูแลมุฮัมมัด พร้อมให้คำขาดแก่เขาที่จะปฏิเสธมุฮัมมัด:
ขอสาบานต่อพระผู้เป็นเจ้า เราไม่สามารถทนต่อการถูกดูหมิ่นเหยียดหยามบรรพบุรุษของเรา เยาะเย้ยค่านิยมดั้งเดิมของเรา และดูหมิ่นพระเจ้าของเราได้อีกต่อไป อะบูฏอลิบ ท่านต้องหยุดมุฮัมมัดด้วยตัวเอง หรือไม่ก็ต้องปล่อยให้เราหยุดเขา ในเมื่อท่านเองก็มีจุดยืนเช่นเดียวกับเรา ขัดแย้งกับสิ่งที่เขาพูด เราจะกำจัดเขาให้พ้นจากท่าน
ตอนแรกอะบูฏอลิบไล่พวกเขาออกไปอย่างสุภาพ เพราะคิดว่าเป็นเพียงการพูดคุยที่ดุเดือด แต่เมื่อมุฮัมมัดเริ่มพูดเสียงดังขึ้น อะบูฏอลิบจึงขอร้องมุฮัมมัดว่าอย่าให้เขาแบกรับภาระหนักเกินกว่าที่เขาจะรับไหว ซึ่งมุฮัมมัดร้องไห้และตอบว่า ท่านจะไม่หยุดแม้พวกเขาจะเอาดวงอาทิตย์ไว้ในมือขวาและดวงจันทร์ไว้ในมือซ้ายก็ตาม เมื่อท่านหันกลับ อะบูฏอลิบก็เรียกท่านและกล่าวว่า "กลับมาเถิดหลานชาย พูดอะไรก็ได้ตามใจชอบ เพราะด้วยพระนามของพระผู้เป็นเจ้า ข้าจะไม่ทอดทิ้งเจ้าไปไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น"
กลุ่มตัวแทนกุร็อยช์ไปที่ยัษริบ
ผู้นำกุร็อยช์ส่งนัฎร์ อิบน์ อัลฮาริษและอุกบะฮ์ อิบน์ อะบี มุอัยฏ์ไปที่ยัษริบเพื่อขอความเห็นเกี่ยวกับมุฮัมมัดจากบรรดารับบีชาวยิว บรรดารับบีแนะนำให้พวกเขาถามมุฮัมมัดสามคำถาม: เล่าเรื่องราวของชายหนุ่มที่ออกเดินทางในยุคแรก; เล่าเรื่องราวของนักเดินทางที่เดินทางไปถึงสุดขอบโลกตะวันออกและตะวันตก; และให้รายละเอียดเกี่ยวกับวิญญาณ พวกเขากล่าวว่า หากมุฮัมมัดตอบถูก ท่านจะเป็นศาสดา หากไม่เช่นนั้นท่านจะเป็นคนโกหก เมื่อพวกเขากลับไปยังมักกะฮ์และถามคำถามเหล่านี้กับมุฮัมมัด ท่านบอกว่าเขาจะให้คำตอบในวันรุ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม 15 วันผ่านไปโดยปราศจากคำตอบจากพระผู้เป็นเจ้าของท่าน ทำให้เกิดการนินทาในหมู่ชาวมักกะฮ์และทำให้มุฮัมมัดเกิดความทุกข์ใจ ต่อมา ทูตสวรรค์ญิบรีลได้มาหามุฮัมมัดและให้คำตอบแก่ท่าน
เพื่อตอบคำถามข้อแรก อัลกุรอานเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับกลุ่มชายที่นอนหลับอยู่ในถ้ำ (อัลกุรอาน 18:9–25) ซึ่งนักวิชาการมักเชื่อมโยงกับตำนานผู้หลับใหลทั้งเจ็ดแห่งเมืองเอเฟซัส สำหรับคำถามข้อที่สอง อัลกุรอานกล่าวถึงซูลก็อรนัยน์ ซึ่งแปลตรงตัวว่า 'เจ้าของสองเขา' (อัลกุรอาน 18:93–99) ซึ่งเป็นเรื่องราวที่นักวิชาการเชื่อมโยงกับ Alexander Romance อย่างกว้างขวาง สำหรับคำถามข้อที่สาม เกี่ยวกับธรรมชาติของวิญญาณ การเปิดเผยในอัลกุรอานยืนยันว่าสิ่งนั้นเกินความเข้าใจของมนุษย์ ทั้งชาวยิวที่คิดคำถามเหล่านี้ขึ้นมาและชาวกุร็อยช์ที่นำคำถามเหล่านี้ไปถามมุฮัมมัดไม่ได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามเมื่อได้รับคำตอบ นัฎร์และอุกบะฮ์ถูกประหารชีวิตตามคำสั่งของมุฮัมมัดภายหลังยุทธการที่บะดัร ส่วนเชลยคนอื่น ๆ ถูกกักขังไว้เพื่อเรียกค่าไถ่ ขณะที่อุกบะฮ์วิงวอนว่า "แล้วใครจะดูแลลูก ๆ ของข้า มุฮัมมัด?" มุฮัมมัดตอบว่า "นรก!"
การอพยพไปยังอะบิสซีเนียและอุบัติการณ์โองการชัยฏอน
ใน ค.ศ. 615 มุฮัมมัดจึงส่งผู้ติดตามบางส่วนอพยพไปที่อาณาจักรอักซุมของอะบิสซีเนียและจัดตั้งอาณานิคมขนาดเล็กภายใต้การคุ้มครองของอันนะญาชี จักรพรรดิเอธิโอเปียที่นับถือศาสนาคริสต์ ในบรรดาผู้อพยพกลุ่มนั้นได้แก่อุมม์ฮะบีบะฮ์ บุตรสาวของอะบูซุฟยาน หนึ่งในหัวหน้าเผ่ากุร็อยช์ และสามีของเธอ ฝ่ายกุร็อยช์จึงส่งตัวชายสองคนให้นำตัวพวกเขากลับมา เนื่องจากงานเครื่องหนังในอะบิสซีเนียสมัยนั้นมีราคาแพงมาก พวกเขาจึงรวบรวมผืนหนังจำนวนมากและขนส่งไปที่นั่นเพื่อแจกจ่ายให้กับนายพลของอาณาจักรแต่ละคน แต่กษัตริย์ทรงปฏิเสธคำร้องขอของพวกเขาอย่างเหนียวแน่น
ในขณะที่อัฏเฏาะบะรีกับอิบน์ ฮิชามกล่าวถึงการอพยพไปอะบิสซีเนียเพียงครั้งเดียว อิบน์ ซะอด์ระบุว่ามีการอพยพถึงสองชุด โดยในสองชุดนั้น ประชากรกลุ่มแรกส่วนใหญ่เดินทางกลับมักกะฮ์ก่อนเหตุการณ์ฮิจเราะห์ ส่วนประชากรส่วนใหญ่ในกลุ่มที่สองยังคงอยู่ที่อะบิสซีเนียและเดินทางไปยังมะดีนะฮ์หลังเหตุการณ์ฮิจเราะห์ บันทึกเหล่านี้ยอมรับว่าการกดขี่มีบทบาทสำคัญต่อการที่มุฮัมมัดส่งพวกเขาไปที่นั่น ในจดหมายของอุรวะฮ์ที่อัฏเฏาะบะรีรักษาไว้ระบุว่า ผู้ที่อพยพเดินทางกลับมาหลังการเข้ารับอิสลามของบุคคลที่มีตำแหน่งหลายคน เช่น อุมัรกับฮัมซะฮ์
อัฏเฏาะบะรีกับคนอื่น ๆ บันทึกว่า มุฮัมมัดสิ้นหวังอย่างยิ่ง โดยหวังว่าจะได้อยู่ร่วมกับชนเผ่าของท่าน ดังนั้น ขณะที่ท่านอยู่ต่อหน้าชาวกุร็อยช์จำนวนหนึ่ง หลังกล่าวโองการที่กล่าวถึงเทพเจ้าที่พวกเขาโปรดปรานสามองค์ (อัลกุรอาน 53:19-20) ชัยฏอนสวมรอยคำพูด (put upon his tongue) กับสองโองการสั้นว่า: "เทพเจ้าเหล่านี้คือผู้เหินเวหา / ผู้ซึ่งการวิงวอนของพวกเธอเป็นที่หวัง" ("These are the high flying ones / whose intercession is to be hoped for.") สิ่งนี้นำไปสู่การคืนดีกันระหว่างมุฮัมมัดและชาวมักกะฮ์โดยทั่วไป และชาวมุสลิมในอะบิสซิเนียก็เริ่มเดินทางกลับบ้าน อย่างไรก็ตาม วันรุ่งขึ้น มุฮัมมัดได้ถอนโองการเหล่านี้ออกตามคำสั่งของญิบรีล โดยอ้างว่าโองการเหล่านี้ถูกชัยฏอนสวมรอยในลิ้นของท่าน และพระผู้เป็นเจ้าทรงยกเลิกโองการเหล่านั้นแล้ว แต่กลับมีข้อความสบประมาทเทพธิดาเหล่านั้นปรากฏขึ้นแทน ทำให้มุสลิมที่เดินทางกลับมาจำต้องทำข้อตกลงขอความคุ้มครองตามตระกูลก่อนที่จะเข้ามักกะฮ์อีกครั้ง
อุบัติการณ์โองการซาตานดังกล่าวได้รับการรายงานเป็นจำนวนมากและบันทึกไว้โดยนักชีวประวัติมุฮัมมัดคนสำคัญเกือบทั้งหมดในสองศตวรรษแรกของศาสนาอิสลาม ซึ่งสำหรับพวกเขาถือว่าสอดคล้องกับอัลกุรอาน 22:52 แต่นับตั้งแต่การก้าวขึ้นมาของขบวนการฮะดีษและเทววิทยาเชิงระบบที่มีหลักคำสอนใหม่ ๆ รวมถึงอิศมะฮ์ ซึ่งอ้างว่าศาสดามุฮัมมัดนั้นไม่มีความผิดพลาด และด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถถูกชัยฏอนหลอกได้ ความทรงจำทางประวัติศาสตร์ของชุมชนยุคแรกจึงได้รับการประเมินใหม่ ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 นักวิชาการมุสลิมได้ปฏิเสธเหตุการณ์นี้อย่างเป็นเอกฉันท์ ในขณะนี้นักชีวประวัติมุฮัมมัดชาวยุโรปส่วนใหญ่ยอมรับความจริงของเหตุการณ์เกี่ยวกับโองการชัยฏอนนี้โดยอาศัยเกณฑ์ของความอับอาย (criterion of embarrassment) Alfred T. Welch นักประวัติศาสตร์ เสนอว่า ช่วงเวลาที่มุฮัมมัดละทิ้งความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวอย่างเคร่งครัดน่าจะยาวนานกว่านั้นมาก แต่ต่อมาได้สรุปไว้ในเรื่องราวที่ทำให้สั้นลงมาก และกล่าวหาว่าชัยฏอนเป็นผู้ร้าย
ใน ค.ศ. 616 มีการจัดทำข้อตกลงโดยตระกูลอื่น ๆ ในเผ่ากุร็อยช์ทั้งหมดที่บังคับใช้การคว่ำบาตรต่อบะนูฮาชิม ห้ามค้าขายและแต่งงานกับพวกเขา ถึงกระนั้น สมาชิกบะนูฮาชิมยังคงสามารถเดินทางรอบตัวเมืองได้อย่างมีอิสระ แม้ว่ามุฮัมมัดเผชิญกับการดูหมิ่นทางวาจามากขึ้น ท่านยังคงเดินทางและมีส่วนในการโต้วาทีในที่สาธารณะโดยไม่ถูกทำร้ายทางร่างกาย ในช่วงหลัง ฝ่ายกุร็อยช์จำนวนหนึ่งที่เห็นอกเห็นใจต่อบะนูฮาชิมริเริ่มความพยายามยุติการคว่ำบาตร ส่งผลให้เกิดฉันทามติทั่วไปให้ยกเลิกการคว่ำบาตรใน ค.ศ. 619
พยายามจัดตั้งตนเองในอัฏฏออิฟ
ใน ค.ศ. 619 มุฮัมมัดประสบกับช่วงแห่งความโศกเศร้า เนื่องจากเคาะดีญะฮ์ ภรรยาผู้สนับสนุนทางการเงินและอารมณ์ที่สำคัญของท่าน เสียชีวิต และอะบูฏอลิบ ลุงและผู้พิทักษ์ของท่าน ก็เสียชีวิตในปีเดียวกัน แม้ว่ามุฮัมมัดเรียกร้องให้อะบูฏอลิบเข้ารับอิสลามตอนที่เขาอยู่บนเตียงนอนขณะกำลังจะเสียชีวิต แต่เขาก็ยึดติดกับความเชื่อพหุเทวนิยมจนกระทั่งเสียชีวิตอะบูละฮับ ลุงของมุฮัมมัดอีกคนที่ขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าตระกูลบะนูฮาชิมต่อ ในตอนแรกเต็มใจที่จะปกป้องมุฮัมมัด แต่หลังได้ยินจากมุฮัมมัดว่าอะบูฏอลิบกับอับดุลมุฏฏอลิบจะต้องตกนรกเนื่องจากไม่ยอมรับอิสลาม เขาจึงถอนการสนับสนุน
จากนั้นมุฮัมมัดจึงเดินทางไปยังอัฏฏออิฟเพื่อสร้างตัวในเมืองและรับความช่วยเหลือกับการคุ้มครองไปจากชาวมักกะฮ์ แต่กลับมีผู้ตอบมาว่า: "ถ้าแกเป็นศาสดาจริง ๆ ทำไมต้องการความช่วยเหลือจากเราด้วย? ถ้าพระเจ้าส่งแกมาในฐานะศาสนทูต ทำไมพระองค์ไม่ปกป้องแก? และถ้าอัลลอฮ์ประสงค์ที่จะส่งศาสดาลงมา ทำไมพระองค์ไม่พบคนที่ดีไปกว่าแก ไอ้เด็กกำพร้าอ่อนแอไร้พ่อ?" เมื่อพบว่าภารกิจของท่านล้มเหลว มุฮัมมัดจึงขอให้ผู้คนในอัฏฏออิฟเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ด้วยความกลัวว่าสิ่งนี้จะเสริมสร้างความเป็นศัตรูของกุร็อยช์ต่อท่าน แต่ทว่า แทนที่จะตอบรับคำขอ พวกเขากลับขว้างก้อนหินใส่จนทำให้ขาของท่านบาดเจ็บ ในที่สุดท่านก็หลีกหนีความวุ่นวายและการข่มเหงรังแกนี้ด้วยการหลบหนีไปยังสวนของอุตบะฮ์ อิบน์ เราะบีอะฮ์ หัวหน้าเผ่าชาวมักกะฮ์ผู้มีบ้านพักตากอากาศในเมืองฏออิฟ มุฮัมมัดรู้สึกสิ้นหวังจากการถูกปฏิเสธและความเป็นปรปักษ์ที่ไม่คาดคิดในเมือง ณ จุดนี้ ท่านตระหนักได้ว่าท่านไม่มีความมั่นคงหรือความคุ้มครองใด ๆ เลยนอกจากพระผู้เป็นเจ้า ท่านจึงเริ่มละหมาด หลังจากนั้นไม่นาน อัดดาส ทาสคริสเตียนของอุตบะฮ์ ก็แวะมาและถวายองุ่น ซึ่งมุฮัมมัดก็รับไว้ เมื่อการพบปะสิ้นสุดลง อัดดาสรู้สึกท่วมท้นและจูบศีรษะ มือ และเท้าของมุฮัมมัดเพื่อแสดงความยอมรับในความเป็นศาสดาของท่าน
เมื่อมุฮัมมัดเดินทางกลับมักกะฮ์ ข่าวเหตุการณ์ในอัฏฏออิฟถึงหูของอะบูญะฮล์ และเขาตอบว่า "พวกเขาไม่ยอมให้มันเขาอัฏฏออิฟ ดังนั้นเราไม่ให้มันเข้ามักกะฮ์ด้วย" เมื่อรู้ถึสถานการณ์เช่นนีเ มุฮัมมัดจึงถามคนที่ขี่ม้าผ่านมาให้ส่งข้อความไปยังอัลอัคนัส อิบน์ ชุร็อยก์ สมาชิกทางฝั่งตระกูลแม่ เพื่อขอความคุ้มครองให้ท่านเข้าเมืองได้อย่างปลอดภัย แต่อัลอัคนัสปฏิเสธ โดยกล่าวว่าตนเป็นเพียงผู้เกี่ยวข้องกับเผ่ากุร็อยช์เท่านั้น จากนั้นมุฮัมมัดจึงส่งข้อความไปยังซุฮัยล์ อิบน์ อัมร์ที่ปฏิเสธตามหลักชนเผ่าเช่นเดียวกัน ท้ายที่สุด มุฮัมมัดจึงส่งคนไปถามมุฏอิม อิบน์ อะดี หัวหน้าตระกูลบะนูเนาฟัล มุฏอิมยอมรับ แล้วเตรียมตัวและขี่ออกไปตอนเช้าพร้อมบรรดาลูกและหลานชายเพื่อนำมุฮัมมัดเข้าเมือง เมื่ออะบูญะฮล์เห็นเขา เขาถามว่ามุฏอิมแค่ให้การคุ้มครองหรือหันไปเข้ารีตศาสนาของท่านแล้ว มุฏอิมกล่าวว่า "แค่ให้การคุ้มครองเขา" อะบูญะฮล์จึงตอนว่า "เราจะปกป้องใครก็ตามที่เจ้าคุ้มครอง"
อิสรออ์กับมิอ์รอจญ์

ในช่วงที่ตกต่ำของชีวิตมุฮัมมัดเป็นช่วงที่มีรายงานซีเราะฮ์เกี่ยวกับอิสรออ์กับเมียะอ์รอจญ์ ปัจจุบัน มุสลิมเชื่อว่าอิสรออ์คือการเดินทางของมุฮัมมัดจากมักกะฮ์ไปยังเยรูซาเลม ส่วนเมียะอ์รอจญ์คือการเดินทางจากเยรูซาเลมสู่ชั้นฟ้า ไม่มีหลักฐานที่เป็นรูปธรรมเกี่ยวกับเมียะอ์รอจญ์ในอัลกุรอาน เนื่องจากอัลกุรอานไม่ได้กล่าวถึงสิ่งนี้โดยตรง
อพยพไปมะดีนะฮ์ (ฮิจเราะฮ์)
มีการมอบหมายหน้าที่ในสภาของสิบสองชนเผ่าสำคัญแห่งมะดีนะฮ์ ได้เชิญชวนให้มุฮัมมัดเป็นหัวหน้าของสังคมทั้งหมด เพราะว่าท่านมีสถานะเป็นกลาง โดยมีการต่อสู้ในมะดีนะฮ์ ข้อแรกคือความขัดแย้งระหว่างชาวอาหรับกับชาวยิวที่มีมานานกว่าร้อยปี
มุฮัมมัดได้บอกให้ผู้ติดตามให้อพยพไปมะดีนะฮ์ทั้งหมด ตามรายงานธรรมเนียมอิสลามว่า พวกมักกะฮ์วางแผนลอบสังหารมุฮัมมัด แต่ด้วยความช่วยเหลือจากอะลี มุฮัมมัดจึงรอดจากการถูกฆ่า และหนีอออกไปจากเมืองกับอบูบักร์ ในปีค.ศ. 622 มุฮัมัมดได้อพยพไปยังมะดีนะฮ์ โดยใครที่อพยพมาจากมักกะฮ์จะถูกเรียกเป็น มุฮาญิรีน (ผู้อพยพ)
ช่วงปีในมะดีนะฮ์
Julius Wellhausen นักบูรพาคดีในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ระบุว่า เมื่อมุฮัมมัดเดินทางถึงใน ค.ศ. 622 ชนเผ่ายิวเป็นพันธมิตรกับชนเผ่าอาหรับสองกลุ่มที่อยู่ในสังกัด อย่างไรก็ตาม Russ Rodgers นักประวัติศาสตร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 21 ปฏิเสธสิ่งนี้ เขาโต้แย้งว่าในช่วงการทำสัตยาบันอะเกาะบะฮ์ครั้งที่สองของมุฮัมมัด สมาชิกชนเผ่าอาหรับกล่าวว่าพวกตนต้องทำลายความเป็นพันธมิตรกับชาวยิวเนื่องจากลักษณะของคำมั่นสัญญา Rodgers อนุมานได้ว่าชนเผ่าอาหรับเป็นผู้ยอมจำนน หรืออย่างมากที่สุดก็มีตำแหน่งเท่าเทียมกับชาวยิว เพราะมิฉะนั้น ชาวยิวก็จะถูกดึงเข้าสู่พันธสัญญานี้
รัฐธรรมนูญมะดีนะฮ์
หลังจากบรรยายเรื่องฮิจเราะห์แล้ว อิบน์ อิสฮากยืนยันว่ามุฮัมหมัดเขียนข้อความที่ปัจจุบันเรียกว่ารัฐธรรมนูญมะดีนะฮ์และเปิดเผยเนื้อหาที่สันนิษฐานไว้โดยไม่มีการระบุอิสนาด หรือหลักฐานใด ๆ มาสนับสนุน โดยทั่วไปถือเป็นการตั้งชื่อที่ไม่ชัดเจน เนื่องจากข้อความนี้ไม่ได้กำหนดสถานะหรือบัญญัติกฎเกณฑ์อัลกุรอาน แต่เป็นการกล่าวถึงเรื่องชนเผ่า ในขณะที่นักวิชาการทั้งฝั่งตะวันตกและโลกมุสลิมยอมรับถึงความน่าเชื่อถือของข้อความ ยังคงมีข้อขัดแย้งว่าสิ่งนี้เป็นสนธิสัญญาหรือคำประกาศฝ่ายเดียวของมุฮัมมัด จำนวนเอกสารที่มีประกอบ ฝ่ายหลัก ระยะเวลาเฉพาะของการประดิษฐ์ (หรือส่วนของส่วนประกอบ) ไม่ว่าจะร่างไว้ก่อนหรือหลังมุฮัมมัดกำจัดชนเผ่ายิวชั้นนำสามกลุ่มในมะดีนะฮ์ และแนวทางในการแปลที่ถูกต้อง
เริ่มการใช้อาวุธในทางทหาร
— กุรอาน (22:39–40)
หลังการอพยพ ชาวมักกะฮ์ได้ยึดทรัพย์สินของชาวมุสลิมที่อพยพไปยังมะดีนะฮ์ และสงครามได้เกิดขึ้นระหว่างชาวมักกะฮ์กับมุสลิม ศาสดาได้บอกโองการจากอัลกุรอานที่อนุญาตให้มุสลิมต่อสู้ได้ (ดูซูเราะฮ์อัลฮัจญ์ กุรอาน 22:39–40).รายงานจากธรรมเนียมมุสลิม ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 624 ในขณะละหมาดที่มัสยิดอัลกิบละตัยน์ในมะดีนะฮ์ มุฮัมมัดได้รับโองการจากอัลลอฮ์ให้เปลี่ยนกิบลัตจากเยรูซาเลมไปยังมักกะฮ์
ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 624 มุฮัมมัดได้นำทหาร 300 นาย ไปโจมตีกองคาราวานของมักกะฮ์ โดยซุ่มอยู่ที่บัดร์ แต่เนื่องจากพวกมักกะฮ์รู้แผนก่อน จึงเลี่ยงเส้นทางนั้น และถึงที่หมายอย่างปลอดภัย ทำให้เกิดยุทธการที่บะดัรขึ้น แม้ว่าพวกมักกะฮ์มีจำนวนมากกว่ามุสลิมอยู่ 3 ต่อ 1 แต่ฝ่ายมุสลิมก็ชนะสงคราม โดยชาวมักกะฮ์ถูกฆ่าไป 45 คน และฝ่ายมุสลิมถูกฆ่าไป 14 คน และได้ฆ่าหัวหน้าชาวมักกะฮ์คนสำคัญหลายคน เช่น อบูญะฮัล มีการจับนักโทษ 70 คน โดยส่วนใหญ่ถูกไถ่แล้ว มุฮัมมัดกับผู้ติดตามเห็นชัยชนะครั้งนี้เป็นการยืนยันความศรัทธา และท่านกล่าวว่าชัยชนะนี้เกิดจากกลุ่มเทวทูต อายะฮ์กุรอานในช่วงนั้นกล่าวถึงการจัดการปัญหาของรัฐบาลและปัญหาต่าง ๆ
มุฮัมมัดได้สั่งเนรเทศเผ่าบนูกุร็อยเซาะฮ์ หนึ่งในสามชนเผ่ายิว ออกจากมะดีนะฮ์ แต่นักประวัติศาสตร์บางคนกล่าวว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากท่านเสียชีวิตไปแล้ว รายงานจากอัลวะกีดี หลังจากอับดุลลอฮ์ อิบน์ อุบัยด์พูดกับพวกเขา มุฮัมมัดละเว้นการประหารชีวิต และสั่งให้เนรเทศพวกเขาออกจากมะดีนะฮ์ หลังจากสงครามนี้ มุฮัมมัดได้สร้างพันธมิตรกับชนเผ่าเบดูอินหลายเผ่า เพื่อปกป้องสังคมของท่านจากการโจมตีในบริเวณตอนเหนือของฮิญาซ
ความขัดแย้งกับมักกะฮ์
ส่วนนี้ของบทความอาจต้องปรับปรุงให้มีมุมมองที่เป็นกลาง เนื่องจากนำเสนอมุมมองเพียงด้านเดียว ดูหน้าอภิปรายประกอบ โปรดอย่านำป้ายออกจนกว่าจะมีข้อสรุป |

ชาวมักกะฮ์ต้องการแก้แค้น เพื่อให้เศรษฐกิจกลับคืนมา พวกเขาต้องฟื้นฟูศักดิ์ศรีที่สูญเสียไปที่บะดัร ไม่กี่เดือนต่อมา พวกมักกะฮ์ส่งหน่วยสอดแนมไปที่มะดีนะฮ์ ในขณะที่มุฮัมมัดเดินทางไปที่ชนเผ่าที่สวามิภักดิ์ต่อมักกะฮ์ และส่งหน่วยจู่โจมไปที่คาราวานมักกะฮ์อบูซุฟยานได้เตรียมกองทัพ 3,000 คนไปโจมตีมะดีนะฮ์
หน่วยสอดแนมได้แจ้งมุฮัมมัดถึงการมาและจำนวนทหารของฝ่ายมักกะฮ์ เช้าวันต่อมาได้มีการประชุมเกี่ยวกับสงคราม มุฮัมมัดกับผู้อาวุโสหลายคนมีมติว่าควรสู้ในมะดีนะฮ์ แต่ฝ่ายมุสลิมโต้แย้งว่าฝ่ายมักกะฮ์จะทำลายพืชผล และการสู้รบในเมืองอาจทำลายศักดิ์ศรีของมุสลิม มุฮัมมัดจึงยอมรับและเตรียมกองทัพไปสู้รบที่ภูเขาอุฮุด (ที่ตั้งของค่ายชาวมักกะฮ์) แล้วสู้รบในสงครามอุฮุด เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 625 ถึงแม้ว่าฝ่ายมุสลิมมีความได้เปรียบในช่วงแรก แต่ความหละหลวมต่อยุทธวิธีของพลธนูทำให้ฝ่ายมุสลิมพ่ายแพ้ โดยถูกฆ่าไป 75 คน ซึ่งรวมถึงฮัมซะฮ์ อิบน์ อับดุลมุฏฏอลิบ ลุงของมุฮัมมัด พวกมักกะฮ์ไม่ได้ไล่ตามพวกมุสลิม แต่ได้รวมพลกลับมักกะฮ์เพื่อประกาศชัยชนะ เพราะพวกเขาคิดว่ามุฮัมมัดบาดเจ็บและคงตายไปแล้ว เมื่อพวกเขาพบว่ามุฮัมมัดยังไม่ตาย พวกมักกะฮ์จึงล้มเหลวต่อการกำจัดพวกมุสลิมให้สิ้นซาก ชาวมุสลิมได้ฝังศพและกลับบ้านในเวลาเย็น แล้วถามถึงสาเหตุความพ่ายแพ้ มุฮัมมัดได้กล่าวอายะฮ์กุรอาน 3:152 ว่าสาเหตุการพ่ายแพ้มีอยู่สองอย่าง คือ: การไม่เชื่อฟัง และการทดสอบความแน่วแน่
อบูซุฟยานได้นำกองทัพอีกกลุ่มไปโจมตีมะดีนะฮ์ โดยได้ผู้สนับสนุนจากชนร่อนเร่ในบริเวณตอนเหนือกับตะวันออกของมะดีนะฮ์ ผ่านการโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับจุดอ่อนของมุฮัมมัด สัญญาที่จะปล้น ความทรงจำในศักดิ์ศรีของเผ่ากุเรช และสินบน มุฮัมมัดรู้ถึงความดื้อดึงต่อผู้คนในมะดีนะฮ์ และตอบสนองอย่างดี ตัวอย่างแรกคือ การลอบสังหารกะอับ อิบน์ อัลอัชรอฟ หัวหน้าเผ่ายิวบนูนาดีร อัลอัชรอฟไปยังมักกะฮ์แล้วเขียนกวีให้ชาวมักกะฮ์แก้แค้นต่อสงครามบะดัร ในปีต่อมา มุฮัมมัดได้เนรเทศเผ่าบนูนาดีรไปจากมะดีนะฮ์โดยบังคับให้อพยพไปที่ซีเรีย ซึ่งทำให้ศัตรูรวมกันเป็นหนึ่งเพื่อทำลายท่านเสีย มุฮัมมัดพยายามหลีกเลี่ยงการรวมตัวของพวกเขาแต่ล้มเหลว ถึงแม้ว่าท่านสามารถเพิ่มจำนวนพลทหารและหยุดชนเผ่าอื่นเข้าร่วมฝ่ายศัตรูก็ตาม
ยุทธการสนามเพลาะ
เมื่อรู้ว่าชัยชนะของตนที่อุฮุดล้มเหลวต่อการทำให้ตำแหน่งของมุฮัมมัดอ่อนแอลงอย่างมาก ในขณะที่ท่านยังคงเตรียมการจู่โจมคาราวานสินค้าของพวกเขาต่อไป พวกกุร็อยช์ ในที่สุดก็มองเห็นความจำเป็นในการยึดครองมะดีนะฮ์ ซึ่งเป็นข้อเสนอที่พวกเขาเคยละเลยไปก่อนหน้านี้ ข้อมูลมุสลิมระบุว่า การตัดสินใจครั้งนี้ส่วนหนึ่งได้รับอิทธิพลจากผู้นำเผ่าบะนูนะฎีรบางส่วนที่ทุกข์ใจต่อการสูญเสียดินแดนของตน อย่างไรก็ตาม ข้อมูลนั้นอาจเป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อของมุสลิม ด้วยความตระหนักถึงทักษะการทำสงครามที่จำกัดในฐานะพ่อค้าในเมืองของตน พวกกุร็อยช์จึงเริ่มการเจรจากับชนเผ่าเบดูอินกลุ่มต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง โดยรวบรวมกองกำลังที่เชื่อกันว่ามีจำนวนประมาณ 10,000 คน มุฮัมมัดหลังได้รับแจ้งล่วงหน้าจากพันธมิตรของท่านในมักกะฮ์ สั่งให้ผู้ติดตามเสริมกำลังมะดีนะฮ์ด้วยสนามเพลาะ ตามคำแนะนำของซัลมาน อัลฟาริซี ชาวยิวบะนูกุร็อยเซาะฮ์ได้ช่วยเหลือด้วยการขุดสนามเพลาะ และให้มุสลิมยืมเครื่องมือใช้ ฝ่ายกุร็อยช์และพันธมิตรที่ไม่คุ้นเคยกับการทำสงครามสนามเพลาะจึงต้องทำการปิดล้อมที่ยืดเยื้อ มุฮัมมัดใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ด้วยใช้การเจรจาอย่างลับ ๆ กับเผ่าเฆาะเฏาะฟานให้ไปสร้างความปั่นปวนในกลุ่มศัตรู เมื่อสภาพอากาศย่ำแย่ ขวัญกำลังใจของชาวกุเรชและพันธมิตรจึงเสื่อมถอยลง นำไปสู่การถอนทัพ การล้อมครั้งนี้มีจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตน้อย โดยฝั่งมุสลิมได้รับความสูญเสียเพียง 5 ถึง 6 คน ส่วนฝ่ายล้อมเมืองเสียเพียง 3 คน
การสังหารหมู่บะนูกุร็อยเซาะฮ์
สนธิสัญญาฮุดัยบิยะฮ์

ในช่วงต้น ค.ศ. 628 หลังจากที่มุฮัมมัดฝันถึงการแสดวบุญในมักกะฮ์โดยไร้แรงต่อต้าน ท่านจงเริ่มต้นการเดินทาง โดยแต่งกายด้วยชุดแสวงบุญตามธรรมเนียมและมีผู้ติดตามกลุ่มหนึ่งติดตามไปด้วย ก่อนเดินทางถึงฮุดัยบิยะฮ์ พวกเขาเผชิญหน้ากับตัวแทนของชาวกุร็อยช์ที่ตั้งคำถามถึงความตั้งใจของพวกเขา มุฮัมมัดอธิบายว่าพวกเขามาเพื่อแสดงความเคารพต่อกะอ์บะฮ์ ไม่ใช่สู้รบ จากนั้นท่านจึงส่งอุษมาน ลูกของลูกพี่ลูกน้องของอะบูซุฟยาน ไปเจรจากับพวกกุร็อยช์ ขณะที่การเจรจายืดเยื้อ เริ่มมีการจุดข่าวลือเรื่องการเสียชีวิตของอุษมาน ซึ่งกระตุ้นให้มุฮัมมัดเรียกผู้ติดตามให้ต่ออายุคำสาบานแห่งความจงรักภักดี อุษมานกลับมาพร้อมกับข่าวอุปสรรคในการเจรจา มุฮัมมัดยังคงยืนหยัดในสิ่งต่อไป ท้ายที่สุด ฝ่ายกุร็อยช์จึงส่งตัวซุฮัยล์ อิบน์ อัมร์ ทูตที่มีอำนาจต่อรองเต็มที่ ในที่สุด หลังจากหารือกันอย่างยาวนาน ก็มีการประกาศใช้สนธิสัญญานี้ โดยมีเงื่อนไข ดังนี้:
- สัญญาสงบศึกระหว่างสองฝ่ายเป็นเวลา 10 ปี
- ถ้าชาวกุร็อยช์เขามาหาฝ่ายมุฮัมมัดโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้คุ้มครอง เขาจะต้องถูกส่งกลับไป แต่ถ้ามุสลิมมาหาชาวกุร็อยช์ เขาจะไม่ต้องถูกส่งกลับไปหามุฮัมมัด
- ชนเผ่าใดก็ตามที่สนใจสร้างพันธมิตรกับมุฮัมมัดหรือกุร็อยช์มีอิสระที่จะทำเช่นนั้นได้ พันธมิตรเหล่านี้ยังได้รับการคุ้มครองผ่านสัญญาสงบศึกสิบปี
- ฝ่ายมุสลิมต้องเดินทางกลับมะดีนะฮ์ กระนั้น พวกเขาได้รับอนุญาตให้ทำอุมเราะฮ์ในปีถัดไป
การรุกรานค็อยบัร
ทำอุมเราะฮ์และยุทธการที่มุอ์ตะฮ์
ช่วงปีสุดท้าย
การพิชิตมักกะฮ์

สนธิสัญญาฮุดัยบิยะฮ์ถูกใช้แค่ 2 ปีเพราะเผ่าบนูคุซาอะฮ์มีความสัมพันธ์ที่ดีกับมุฮัมมัด ในขณะที่ศัตรูของพวกเขาซึ่งเป็นเผ่าบนูบักร์ได้เป็นพันธมิตรกับมักกะฮ์ เผ่าบนูบักร์ได้โจมตีเผ่าคุซาอะฮ์ในเวลากลางคืน และฆ่าไปบางคน พวกมักกะฮ์ได้ช่วยเหลือบนูบักร์อย่างดี และในบางรายงานกล่าวว่า มีพวกมักกะฮ์บางคนเข้าร่วมด้วย หลังจากเหตุการณ์นั้น มุฮัมมัดได้ส่งจดหมายแก่ชาวมักกะฮ์ โดยมีสามเงื่อนไข และต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ: พวกมักกะฮ์อาจต้องจ่ายด้วยเลือดสำหรับการฆ่าคนจากเผ่าบนูคุซาอะฮ์, ประกาศปฏิเสธการกระทำของพวกบนูบักร์ หรือทำให้สนธิสัญญาฮุดัยบิยะฮ์เป็นโมฆะ
พวกมักกะฮ์ได้เลือกข้อสุดท้าย (สัญญาเป็นโมฆะ) จากนั้นพวกเขาจึงรู้ถึงความผิดพลาด และส่งอบูซุฟยานไปเพื่อทำสัญญาใหม่ แต่มุฮัมมัดปฏิเสธ
มุฮัมมัดเรื่มเตรียมการพิชิตขึ้นในปีค.ศ. 630 มุฮัมมัดเดินทางไปมักกะฮ์พร้อมกับมุสลิม 10,000 คน แล้วควบคุมมักกะฮ์ได้ ท่านประกาศนิรโทษกรรมแก่ทุกคน ยกเว้นชายและหญิง 10 คนที่ "มีความผิดจากการฆ่าคนหรืออื่น ๆ หรือก่อสงครามและทำลายสันติภาพ" บางคนถูกให้อภัยในภายหลัง ชาวมักกะฮ์ส่วนใหญเข้ารับอิสลาม และมุฮัมมัดเริ่มดำเนินการทำลายรูปปั้นเทพเจ้าอาหรับทั้งหมดจากข้างในและรอบกะอ์บะฮ์ รายงานจากอิบน์อิสฮักกับอัลอัซรอดี มุฮัมมัดที่ได้งดเว้นภาพหรือเฟรสโกของพระแม่มารีย์กับพระเยซู แต่ในรายงานอื่นกล่าวว่า ภาพทุกรูปถูกลบหมด ในอัลกุรอานได้กล่าวถึงเหตุการณ์พิชิตมักกะฮ์
ปราบฮะวาซินและษะกีฟกับการเดินทางไปที่ตะบูก
หลังได้ยินว่ามักกะฮ์ตกเป็นของมุสลิมแล้ว บะนูฮะวาซินจึงรวบรวมทั้งเผ่าให้ต่อสู้ ประมาณการว่ามีนักรบประมาณ 4,000 นาย มุฮัมมัดนำทัพ 12,000 นายไปโจมตี แต่พวกเขากลัับจู่โจมท่านที่วาดีฮุนัยน์ ฝ่ายมุสลิมเอาชนะพวกเขาและยึดบรรดาผู้หญิง เด็ก ๆ และสัตว์หลายตัวของพวกเขาไป จากนั้นมุฮัมมัดหันความสนใจไปที่อัฏฏออิฟ นครที่มีชื่อเสียงในด้านไร่องุ่นและสวน ท่านสั่งให้สวนเหล่านี้ต้องถูกทำลาย และล้อมนครที่มีกำแพงล้อมรอบ หลังประสบความล้มเหลวในการทำลายฝ่ายป้องกันเป็นเวลา 15–20 วัน ท่านจึงละทิ้งความพยายามดังกล่าว
เมื่อท่านแบ่งทรัพย์ที่ปล้นจำนวนมากมาจากฮุนัยน์ให้แก่เหล่าทหาร เผ่าฮะวาซินที่เหลือหันไปเข้ารับอิสลาม และวิงวอนมุฮัมมัดให้ปล่อยตัวเด็กและผู้หญิงของพวกเขา โดยเตือนให้ท่านรำลึกว่าเคยได้รับการดูแลจากผู้หญิงบางคนเมื่อตอนยังเป็นทารก ท่านปฏิบัติตามแต่ยังคงยึดส่วนปล้นที่เหลือไว้ คนของท่านบางคนคัดค้านการแบ่งส่วนของตน ดังนั้นท่านจึงชดเชยแต่ละคนด้วยด้วยอูฐหกตัวจากการปล้นในครั้งหลัง มุฮัมมัดแบ่งทรัพย์ที่ยึดได้ในสงครามจำนวนมากให้แก่ผู้ที่หันมานับถือศาสนาใหม่จากเผ่ากุร็อยช์ อะบูซุฟยานกับบุตร 2 คน มุอาวิยะฮ์กับยะซีด แต่ละคนได้รับอูฐ 100 ตัวชาวอันศอรที่เข้าสู้รบอย่างกล้าหาญในยุทธการนี้ แต่แทบไม่ได้รับรางวัลใด รู้สึกไม่พอใจต่อสิ่งนี้
ประมาณเกือบ 10 เดือนหลังยึดครองมักกะฮ์ มุฮัมมัดจึงนำกองทัพไปโจมตีมณฑลชายแดนซีเรียของไบแซนไทน์ที่ร่ำรวย โดยมีการเสนอแรงจูงใจหลายประการ ซึ่งรวมถึงการแก้แค้นความพ่ายแพ้ที่มุอ์ตะฮ์และรับของที่ถูกปล้นจำนวนมาก เนื่องจากความแห้งแล้ง และความร้อนแรงในขณะนั้น มุสลิมบางส่วนจึงไม่เข้าร่วมสงคราม สิ่งนี้นำไปสู่การประทานโองการอัลกุรอาน 9:38 ที่ตำหนิคนเกียจคร้านเหล่านั้น เมื่อมุฮัมมัดและกองทัพของท่านเดินทางถึงตะบูก กลับไม่มีกองกำลังศัตรูอยู่เลย อย่างไรก็ตาม ท่านสามารถบังคับให้หัวหน้าเผ่าท้องถิ่นบางคนยอมรับการปกครองของท่านและจ่ายญิซยะฮ์ กองทัพภายใต้การนำของคอลิด อิบน์ อัลวะลีดที่ท่านส่งไปโจมตี ก็ได้รับสินทรัพย์สงครามบางส่วน ซึ่งรวมถึงอูฐ 2,000 ตัวกับโค 800 ตัว
การเข้ารับอิสลามของฮะวาซินทำให้อัฏฏออิฟสูญเสียพันธมิตรหลักสุดท้าย หลังจากอดกลั้นต่อการโจรกรรมและการโจมตีด้วยความหวาดกลัวอย่างไม่หยุดยั้งจากฝ่ายมุสลิมหลังการปิดล้อมนานถึงหนึ่งปี ท้ายที่สุด ชาวอัฏฏออิฟที่รู้จักกันในชื่อบะนูษะกีฟ เข้าถึงจุดเปลี่ยน และยอมรับว่าการเข้ารับอิสลามเป็นเส้นทางที่สมเหตุสมผลที่สุดสำหรับพวกตน
ฮัจญ์อำลา

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 631 มุฮัมมัดได้รับโองการที่ให้พวกบูชารูปปั้นได้รับความกรุณาเป็นเวลาสี่เดือน หลังจากนั้นชาวมุสลิมจะโจมตี สังหาร และปล้นพวกเขาไม่ว่าจะพบกันที่ไหนก็ตาม
ในช่วงทำฮัจญ์ใน ค.ศ. 632 มุฮัมมัดเป็นผู้นำพิธีและให้โอวาทด้วยตนเอง บรรดาประเด็นสำคัญได้แก่ ห้ามกินดอกเบี้ยกับความอาฆาตพยาบาทที่เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมในอดีตจากยุคก่อนอิสลาม ความเป็นภราดรภาพของมุสลิมทุกคน และการใช้เดือนจันทรคติสิบสองเดือนโดยไม่มีการทดปฏิทิน ท่านยังยืนยันอีกครั้งว่าสามีมีสิทธิ์ที่จะลงโทษทางวินัย และทุบตีภรรยาโดยไม่ต้องใช้กำลังมากเกินไป หากพวกเธอนอกใจหรือประพฤติตนไม่เหมาะสม ท่านอธิบายว่าภรรยาได้รับความไว้วางใจจากสามี และสมควรได้รับอาหารและเสื้อผ้า หากพวกเธอเชื่อฟัง นั่นเพราะพวกเธอเป็นของขวัญจากพระผู้เป็นเจ้า...
เสียชีวิตและที่ฝังศพ

หลังละหมาดในที่ฝังศพในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 632 มุฮัมมัดประสบกับอาการปวดศีรษะสาหัสจนทำให้ท่านร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด. ท่านยังคงนอนหลับกับภรรยาคืนละคน แต่เป็นลมในกระท่อมของมัยมูนะฮ์ ท่านร้องขอบรรดาภรรยาของท่านอนุญาตให้ท่านอยู่ในกระท่อมอาอิชะฮ์ ท่านเดินโดยให้อะลีกับฟัฎล์ อิบน์ อับบาสพยุง เนื่องจากขาสั่น บรรดาภรรยากับอับบาส ลุงของท่าน ให้ยารักษาอะบิสซีเนียในตอนที่ท่านไม่รู้สึกตัว เมื่อท่านฟื้นก็ถามถึงเรื่องนั้น และพวกเขาอธิบายว่า พวกเขากลัวท่านเป็นเยื่อหุ้มปอดอักเสบ ท่านตอบว่าอัลลอฮ์จะไม่ทรมานท่านด้วยโรคร้ายเช่นนี้ และสั่งให้ผู้หญิงทุกคนรับการรักษาด้วย ข้อมูลหลายแหล่ง ซึ่งรวมถึงเศาะฮีฮ์ อัลบุคอรี ระบุว่า มุฮัมมัดกล่าวว่าท่านรู้สึกว่าเส้นเลือดใหญ่ของท่านขาดเนื่องจากอาหารที่ท่านกินที่ค็อยบัร จากนั้น มุฮัมมัดเสียชีวิต ณ วันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ. 632 ในช่วงวาระสุดท้าย มีรายงานท่านพูดว่า:
โอ้อัลลอฮ์ โปรดให้อภัยและเมตตาข้า และให้ข้าอยู่ร่วมกับสหายที่สูงส่งด้วยเถิด
— มุฮัมมัด
อัลเฟรด ที. เวลช (Alfred T. Welch) นักประวัติศาสตร์ สันนิษฐานว่าการเสียชีวิตของมุฮัมมัดมีสาเหตุจากไข้มะดีนะฮ์ ซี่งมีอาการรุนแรงขึ้นจากความเหนื่อยล้าทางร่างกายและจิตใจ
ร่างของมุฮัมมัดถูกฝังในบ้านของอาอิชะฮ์ ในรัชสมัยอัลวะลีดที่ 1 ของอุมัยยะฮ์ มีการขยายมัสยิดอันนะบะวีจนครอบพื้นที่สุสานมุฮัมมัดโดมเขียวบนสุสานสร้างขึ้นโดยสุลต่านอัลมันศูร เกาะลาวูนแห่งมัมลูกในคริสต์ศตวรรษที่ 13 แม้ว่าสีเขียวบนโดมได้รับการทาสีในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ในรัชสมัยสุลต่านสุลัยมานผู้เกรียงไกรของออตโตมัน สุสานที่ติดกับมุฮัมมัดเป็นของผู้ติดตามของท่าน (เศาะฮาบะฮ์) คือ เคาะลีฟะฮ์สององค์แรก (อะบูบักร์และอุมัร) และห้องว่างที่มุสลิมเชื่อว่าจะมีการฝังอีซาตรงนี้
เมื่อซะอูด อิบน์ อับดุลอะซีซยึดครองมะดีนะฮ์ใน ค.ศ. 1805 เพชรและทองที่ประดับอยู่หน้าสุสานถูกนำออกไป ผู้ที่นับถือนิกายวะฮาบีย์ทำลายโดมสุสานในมะดีนะฮ์เกือบทั้งหมดเพื่อหลีกเลี่ยงการเลื่อมใสในสุสาน และมีรายงานว่าสุสานของมุฮัมมัดรอดได้อย่างหวุดหวิด และเหตุการณ์ที่คล้ายกันเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1925 เมื่อกองกำลังติดอาวุธซาอุดียึดเมืองอีกครั้ง ในการตีความอิสลามแบบวะฮาบีย์ การฝังศพควรจัดในหลุมศพที่ไม่มีเครื่องหมาย กระนั้น ผู้แสวงบุญหลายคนยังคงทำการซิยาเราะฮ์—เยี่ยมชมเชิงพิธี—ที่สุสานอยู่ดี แม้ว่าทางฝั่งซาอุดีจะไม่ยอมรับสิ่งนี้
หลังมุฮัมมัดเสียชีวิต

หลังมุฮัมมัดเสียชีวิต มีความขัดแย้งในเรื่องที่ใครจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของท่านอุมัร เศาะฮาบะฮ์ที่มีชื่อเสียง เลือกอะบูบักร์ เพื่อนและผู้มีส่วนร่วมกับมุฮัมมัด อะบูบักร์ได้รับการยืนยันเป็นเคาะลีฟะฮ์องค์แรกพร้อมเสียงสนับสนุน การเลือกครั้งนี้ถูกโต้แย้งจากเศาะฮาบะฮ์บางส่วนที่ยกให้อะลี ลูกเขยและลูกพี่ลูกน้องของท่าน ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอดของมุฮัมมัดที่ฆอดิรคุมม์ อะบูบักร์สั่งให้โจมตีกองทัพไบแซนไทน์ (หรือจักรวรรดิโรมันตะวันออก) ทันทีเนื่องจากความพ่ายแพ้ช่วงก่อนหน้า แม้ว่าในตอนแรกท่านจะกำจัดกบฏชนเผ่าอาหรับในเหตุการณ์ที่นักประวัติศาสตร์มุสลิมยุคหลังระบุเป็นสงครามริดดะฮ์ หรือ "สงครามต่อผู้ละทิ้งศาสนา"
ตะวันออกกลางยุคก่อนอิสลามมีจักรวรรดิไบแซนไทน์และซาเซเนียนที่เป็นใหญ่ สงครามโรมัน–เปอร์เซียสร้างความเสียหายให้กับภูมิภาคนี้ ทำให้จักรวรรดิทั้งสองไม่เป็นที่นิยมในชนเผ่าท้องถิ่น ที่มากไปกว่านั้น ในดินแดนที่จะถูกฝ่ายมุสลิมพิชิต ชาวคริสต์หลายคน (เนสตอเรียน, Monophysite, Jacobites และคอปต์) ไม่พอใจต่อคริสต์จักรอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ที่มองพวกตนเป็นพวกนอกรีต กองทัพมุสลิมเข้าพิชิตเมโสโปเตเมีย ซีเรีย อียิปต์ของไบแซนไทน์ พื้นที่ส่วนใหญ่ของเปอร์เซียภายในทศวรรษ และสถาปนารัฐเคาะลีฟะฮ์รอชิดูน
ครัวเรือน

ชีวิตของท่านแบ่งออกเป็นสองช่วง คือ: ก่อนฮิจเราะห์ (อพยพ) ในมักกะฮ์ (ตั้งแต่ ค.ศ. 570 ถึง 622) และหลังฮิจเราะห์ในมะดีนะฮ์ (ตั้งแต่ ค.ศ. 622 ถึง 632) กล่าวกันว่าท่านมีภรรยาถึง 13 คน (ถึงแม้ว่าอีกสองคน คือ ร็อยฮานะฮ์ บินต์ ซัยด์กับมาริยะฮ์ อัลกิบฏียะฮ์ มีรายงานที่กำกวมว่าเป็นภรรยาหรือผู้ที่อยู่กินด้วยกันโดยไม่ได้สมรส)
ตอนอายุ 25 ปี มุฮัมมัดแต่งงานกับเคาะดีญะฮ์ บินต์ คุวัยลิดที่มีอายุ 40 ปี โดยอยู่กินด้วยกันเป็นเวลา 25 ปี และถือเป็นการแต่งงานที่มีความสุข หลังการแต่งงานในครั้งนั้น ท่านไม่ได้แต่งงานกับใครอีกเลย หลังจากเคาะดีญะฮ์เสียชีวิต เคาละฮ์ บินต์ ฮากิมได้แนะนำให้ท่านแต่งงานกับเซาดะฮ์ บินต์ ซัมอะฮ์ หญิงมุสลิมหม้าย หรืออาอิชะฮ์ ลูกสาวของอุมมุรูมานกับอะบูบักร์ กล่าวกันว่าท่านขอการจัดเตรียมการแต่งงานกับทั้งคู่ ข้อมูลสมัยคลาสสิกระบุว่า มุฮัมมัดแต่งงานกับอาอิชะฮ์ตอนที่เธออายุ 6–7 ขวบ โดยมีการจัดพิธีแต่งงานโดยสมบูรณ์ในภายหลังตอนที่เธอมีอายุ 9 ขวบ และท่านมีอายุ 53 ปี
มุฮัมมัดทำงานบ้านต่าง ๆ เช่น เตรียมอาหาร เย็บเสื้อ และซ่อมรองเท้า ท่านได้ให้ภรรยาคุ้นเคยต่อการพูด ท่านฟังคำแนะนำของพวกเธอ และภรรยาของท่านได้ถกเถียงและแม้แต่โต้แย้งกับท่าน
เคาะดีญะฮ์มีลูกสาว 4 คนกับมุฮัมมัด (รุก็อยยะฮ์ บินต์ มุฮัมมัด, อุมมุกุลษูม บินต์ มุฮัมมัด, ซัยนับ บินต์ มุฮัมมัด, ฟาฏิมะฮ์) และลูกชาย 2 คน (อับดุลลอฮ์ อิบน์ มุฮัมมัด กับกอซิม อิบน์ มุฮัมมัด ทั้งคู่เสียชีวิตตั้งแต่วัยเด็ก) ลูกทุกคนเสียชีวิตก่อนหน้าท่าน ยกเว้นฟาฏิมะฮ์ ลูกสาวคนเดียว นักวิชาการชีอะฮ์บางคนโต้แย้งว่าฟาฏิมะฮ์เป็นลูกสาวคนเดียวของมุฮัมมัดมาริยะฮ์ อัลกิบฏียะฮ์ ให้กำเนิดลูกชายคนเดียวชื่ออิบรอฮีม อิบน์ มุฮัมมัด ซึ่งเสียชีวิตตอนอายุ 2 ขวบ
ภรรยา 9 คนของท่านยังมีชีวิตต่อหลังจากที่ท่านเสียชีวิต อาอิชะฮ์ ผู้กลายเป็นที่รู้จักในฐานะภรรยาคนโปรดของมุฮัมมักในธรรมเนียมซุนนี มีชีวิตอยู่หลังจากท่านหลายทศวรรษ และช่วยรายงานฮะดีษของศาสดามุฮัมมัดในนิกายซุนนี
ซัยด์ อิบน์ ฮาริษะฮ์เป็นทาสที่เคาะดีญะฮ์ให้มุฮัมมัด เขาถูกซื้อตัวจากฮะกีม อิบน์ ฮิซาม หลานชายของเธอ ที่ตลาดอุกาซ จากนั้น ซัยด์กลายเป็นบุตรบุญธรรมของทั้งคู่ แต่ภายหลังปฎิเสธสถานะนี้เมื่อมุฮัมมัดจะแต่งงานกับซัยนับ บินต์ ญะฮช์ อดีตภรรยาของซัยด์ ผลสรุปของบีบีซีรายงานไว้ว่า "ศาสดามุฮัมมัดไม่ได้ต้องการเลิกทาส และซื้อ ขาย จับ และครองทาสด้วยตนเอง แต่ท่านได้ยืนหยัดว่านายทาสควรดูแลทาสให้ดีและเน้นถึงผลบุญของการปล่อยทาส มุฮัมมัดได้ดูแลทาสเหมือนกับมนุษย์ทั่ว ๆ ไป..."
สิ่งสืบทอด
ธรรมเนียมของมุสลิม
หลังจากประกาศความเป็นเอกะของพระเจ้า ความเชื่อเรื่องการเป็นศาสนทูตของมุฮัมมัดเป็นมุมมองหลักในความเชื่ออิสลาม มุสลิมทุกคนกล่าวชะฮาดะฮ์ว่า: "ข้าขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และข้าขอปฏิญาณว่ามุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์" ชะฮาดะฮ์นี้เป็นหลักความเชื่อพื้นฐานของศาสนาอิสลาม ชะฮาดะฮ์เป็นคำแรกที่ทารกแรกเกิดจะได้ยิน เด็ก ๆ จะได้รับการสอนทันทีและจะท่องจำจนกระทั่งเสียชีวิต มุสลิมจะกล่าวชะฮาดะฮ์ซ้ำในอะซานและเวลาละหมาด คนที่ไม่ใช่มุสลิมที่หวังเข้ารับอิสลามจะต้องกล่าวคำปฏิญาณนี้ก่อน

ในศาสนาอิสลามเชื่อว่ามุฮัมมัดเป็นศาสดาคนสุดท้ายที่พระเจ้าส่งลงมาอัลกุรอานยืนยันว่าปาฏิหารย์เดียวที่พระเจ้าประทานให้มุฮัมมัดคือตัวอัลกุรอานเอง และให้เหตุผลหลายประการว่าทำไมท่านแสดงปาฏิหารย์อื่น ๆ ในตอนที่ศัตรูของท่านร้องขอไม่ได้ อย่างไรก็ตาม งานเขียนยุคหลังอย่างฮะดีษและซีเราะฮ์อ้างถึงปาฏิหาริย์หรือเหตุการณ์เหนือธรรมชาติหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับมุฮัมมัด หลังจากที่ท่านเสียชีวิต หนึ่งในนั้นคือการแยกดวงจันทร์ที่อิบน์ อับบาส ลูกพี่ลูกน้องของมุฮัมมัดรายงานไว้ ที่จริงคือจันทรุปราคา แต่เหตุการณ์นี้กลับกลายเป็นการแยกตัวของดวงจันทร์แบบตามตัวอักษรในการตีความภายหลัง
ซุนนะฮ์ คือการกระทำ และคำพูดของมุฮัมมัด (บันทึกไว้ในฮะดีษ) ซึ่งครอบคลุมไปถึงกิจกรรมและความเชื่อตั้งแต่พิธีกรรมทางศาสนา สุขอนามัยส่วนบุคคล และการฝังศพผู้เสียชีวิต จนถึงคำถามเกี่ยวกับความรักระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสืบทอดของวัฒนธรรมมุสลิม ในการทักทายที่ศาสดามุฮัมมัดได้กล่าวให้มุสลิมกล่าวเมื่อเจอกันว่า "ขอความสันติสุข จงมีแด่ท่าน" (อาหรับ: อัสสลามุอะลัยกุม) ซึ่งชาวมุสลิมทั่วโลกใช้งานกัน พิธีกรรมสำคัญของอิสลามส่วนใหญ่อย่างการละหมาด 5 เวลาทุกวัน ถือศีลอด และทำพิธีฮัจญ์ พบเฉพาะในฮะดีษ และไม่มีในอัลกุรอาน

มุสลิมมีการกล่าวถึงความรักและความเลื่อมใสต่อมุฮัมมัด ชีวประวัติของมุฮัมมัด การอธิษฐานและปาฏิหาริย์ของท่านมักถูกกล่าวเป็นบทกวี ในกุรอานกล่าวถึงมุฮัมมัดว่าเป็น "ผู้มีเมตตา (เราะฮ์มัต) แก่มนุษยชาติ"วันเกิดของมุฮัมมัดได้รับการฉลองกันทั่วโลกอิสลาม ยกเว้นพวกวะฮาบีย์ที่ถือว่าเป็นบิดอะฮ์ เมื่อมุสลิมคนใดกล่าวหรือเขียนชื่อของมุฮัมมัด ส่วนใหญ่มักตามดามด้วยคำว่า ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม (ขอความโปรดปรานแห่งอัลลอฮฺ และความสันติจงมีแด่ท่าน) ในการเขียนปกติ บางครั้งถูกย่อเป็น ศ็อลฯ (ภาษาอาหรับ) ส่วนในเอกสารใช้อักษรวิจิตรขนาดเล็ก (ﷺ)
รูปลักษณ์และการพรรณา
แหล่งข้อมูลต่าง ๆ นำเสนอรายละเอียดของมุฮัมมัดในช่วงรุ่งโรจน์ของชีวิตที่น่าจะเป็นไปได้ ท่านสูงกว่าความสูงโดยเฉลี่ยเล็กน้อย มีรูปร่างแข็งแรงและหน้าอกกว้าง คอยาว มีศีรษะใหญ่และมีหน้าผากกว้าง ดวงตาได้รับการอธิบายว่ามืดมนและเข้มข้น เน้นด้วยขนตายาวสีเข้ม ผมมีสีดำและไม่หยิกจนเกินไป ยาวห้อยคล้องหู หนวดเคราที่ยาวและหนาของท่านโดดเด่นตัดกับหนวดที่ขลิบอย่างเรียบร้อย จมูกยาวงุ้มและมีปลายแหลม ฟันเว้นระยะห่างกันดี ใบหน้าได้รับการอธิบายว่าดูเปรื่องปราด และผิวใสของท่านมีขนตั้งแต่คอจนถึงสะดือ แม้จะโน้มตัวเล็กน้อย แต่ก้าวย่างของท่านก็รวดเร็วและมีจุดมุ่งหมาย ริมฝีปากและแก้มของท่านถูกหนังสติ๊กยิงจนฉีกขาดในช่วงยุทธการที่อุฮุด ภายหลังมีการการจี้แผลนั้น ทิ้งแผลเป็นบนใบหน้า
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากฮะดีษห้ามวาดภาพสิ่งมีชีวิต ศิลปะทางศาสนาอิสลามส่วนใหญ่เน้นไปที่คำศัพท์ ชาวมุสลิมโดยทั่วไปจึงเลี่ยงการวาดภาพมุฮัมมัด และมัสยิดได้รับการตกแต่งด้วยอักษรวิจิตร โองการอัลกุรอาน หรือรูปทรงเรขาคณิต ปัจจุบัน ข้อห้ามการวาดภาพมุฮัมมัดที่มีจุดประสงค์หลีกเลี่ยงการสักการะมุฮัมมัดแทนอัลลอฮ์ พบเห็นในมุสลิมนิกายซุนนี (85%–90% ของมุสลิมทั้งหมด) และอะห์มะดียะฮ์ (1%) เคร่งครัดในเรื่องเหล่านี้มากกว่าในบรรดาชีอะฮ์ (10%–15%) ในขณะที่ทั้งซุนนีและชีอะฮ์เคยวาดภาพมุฮัมมัดในอดีต ภาพวาดมุฮัมมัดนั้นหายาก ส่วนใหญ่จำกัดอยู่เพียงภาพขนาดเล็กในสื่อส่วนตัวและสื่อชั้นนำเท่านั้น และนับจากนั้นมีภาพประมาณ 1500 ภาพที่ส่วนใหญ่แสดงมุฮัมมัดคลุมหน้า หรือแสดงรูปเปลวเพลิงเป็นสัญลักษณ์

ปัจจุบัน มีการทำสำเนาประวัติศาสตร์และรูปภาพสมัยใหม่หลายล้านภาพในประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม โดยเฉพาะในประเทศตุรกีและอิหร่าน ทั้งบนโปสเตอร์ ไปรษณียบัตร และแม้แต่ในหนังสือโต๊ะกาแฟ แต่ไม่เป็นที่รู้จักในส่วนอื่น ๆ ของโลกอิสลาม และเมื่อมุสลิมจากประเทศอื่น ๆ พบสิ่งนี้ ก็อาจทำให้เกิดความตกตะลึงและขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก
การปฏิรูปสังคมอิสลาม
วิลเลียม มอนต์โกเมอรี วัตต์รายงานว่า ศาสนาสำหรับมุฮัมมัดไม่ได้ไม่ใช่เป็นเรื่องส่วนตัวและส่วนบุคคล แต่เป็น "การตอบสนองโดยรวมถึงบุคลิกภาพของท่านต่อสถานการณ์ทั้งหมดที่ท่านพบด้วยตัวเอง ท่านตอบสนอง [ไม่เพียงแต่]... ในด้านศาสนาและความรู้ของสถานการณ์ แต่ยังรวมถึงแรงกดดันทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่ตัวเมืองมักกะฮ์ร่วมสมัยต้องเผชิญ"เบอร์นาร์ด ลูอิสกล่าวว่ามีธรรมเนียมทางการเมืองที่สำคัญสองประการในศาสนาอิสลาม—มุฮัมมัดในฐานะรัฐบุรุษในมะดีนะฮ์ และมุฮัมมัดในฐานะกบฏในมักกะฮ์ ในมุมมองของเขา อิสลามคือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อมีการแนะนำในสังคมใหม่ คล้ายกับการปฏิวัติ
นักประวัติศาสตร์โดยทั่วไปยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงสังคมของอิสลามในขอบเขตอย่างหลักประกันสังคม โครงสร้างครอบครัว ความเป็นทาส และสิทธิสตรีกับเด็กดีกว่าสถานะเดิมของสังคมอาหรับ เช่น ลูอิสรายงานว่า อิสลาม "ขั้นแรกประณามสิทธิพิเศษชนชั้นสูง ปฏิเสธลำดับชั้น และได้นำสูตรอาชีพที่เปิดรับผู้มีความสามารถเข้ามาใช้" ถ้่อยคำของมุฮัมมัดเปลี่ยนแปลงสังคมและระเบียบศีลธรรมของชีวิตในคาบสมุทรอาหรับ สังคมมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงการรับรู้อัตลักษณ์ โลกทัศน์ และลำดับขั้นของคุณค่า[ต้องการเลขหน้า] การปฏิรูปเศรษฐกิจกล่าวถึงชะตากรรมของคนยากจนที่เคยเป็นปัญหาในมักกะฮ์ยุคก่อนอิสลาม อัลกุรอานกำหนดให้ต้องชำระภาษีบริจาคทาน (ซะกาต) เพื่อประโยชน์ของคนยากจน เมื่ออำนาจของมุฮัมมัดเพิ่มมากขึ้น ท่านจึงเรียกร้องให้ชนเผ่าที่ประสงค์จะเป็นพันธมิตรกับท่านปฏิบัติซะกาตเป็นการเฉพาะ
การยกย่องของชาวยุโรป

กีโยม ปงแตล (Guillaume Postel) เป็นหนึ่งในบุคคลแรกที่แสดงมุมมองของมุฮัมมัดในแง่บวก เมื่อเขาโต้แย้งว่าชาวคริสต์ควรยกย่องมุฮัมมัดเป็นศาสดาที่ถูกต้องก็อทฟรีท ไลบ์นิทซ์ชื่นชมมุฮัมมัดเนื่องจาก "ท่านไม่ได้หันเหจากศาสนาธรรมชาติ"อ็องรี เดอ บูแล็งวีลเยร์ (Henri de Boulainvilliers) กล่าวในหนังสือ Vie de Mahomed ของตนเองที่ตีพิมพ์หลังเสียชีวิตใน ค.ศ. 1730 ระบุถึงมุฮัมมัดเป็นผู้นำทางการเมืองที่มีพรสวรรค์ และผู้ร่างกฎหมายที่ยุติธรรม เขาเสนอท่านเป็นศาสดาที่พระเจ้าส่งมาเพื่อทำให้ชาวคริสเตียนตะวันออกที่ทะเลาะวิวาทเกิดความสับสน และปลดปล่อยชาวตะวันออกจากการปกครองแบบเผด็จการของโรมันและเปอร์เซีย และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับความเป็นเอกภาพของพระเจ้าจากอินเดียถึงสเปน วอลแตร์มีความเห็นต่อมุฮัมมัดผสมกัน: ในบทละคร Le fanatisme, ou Mahomet le Prophète เขาทำให้มุฮัมมัดเป็นตัวร้ายเป็นที่สัญลักษณ์ของความคลั่งไคล้ และในเรียงความ ค.ศ. 1748 เขาเรียกท่านว่า "คนหลอกลวงผู้ประเสริฐและร่าเริง" แต่ในการสำรวจทางประวัติศาสตร์ Essai sur les mœurs ของวอลแตร์ เขาเสนอมุฮัมมัดเป็นผู้บัญญัติกฎหมายและผู้พิชิต และเรียกท่านว่า "ผู้กระตือรือร้น"ฌ็อง-ฌัก รูโซกล่าวไว้ในหนังสือ โซเชียลคอนแทร็กต์ (1762) ว่า "ปัดตำนานอันโหดร้ายของมุฮัมมัดในฐานะผู้หลอกลวงและคนโกงทิ้งไปเสีย จงนำเสนอท่านในฐานะปราชญ์ผู้บัญญัติกฎหมายที่รวมอำนาจทางศาสนาและการเมืองอย่างชาญฉลาด"โกลด-แอมานุแอล เดอ ปัสโตเรต์ (Claude-Emmanuel de Pastoret) กล่าวไว้ในหนังสือ โซโรอัสเตอร์ ขงจื๊อ และมุฮัมมัด ใน ค.ศ. 1787 ซึ่งเขาเสนอชีวิต "ชายผู้ยิ่งใหญ่" ทั้งสามคนเป็น "ผู้บัญญัติกฎหมายที่ดีที่สุดของจักรวาล" และเปรียบเทียบอาชีพทั้งสามเป็นผู้ปฏิรูปศาสนากับผู้ร่างกฎหมายนโปเลียน โบนาปาร์ตชื่นชมมุฮัมมัดและอิสลาม และกล่าวถึงท่านเป็นต้นแบบผู้ร่างกฎหมายและผู้พิชิตทอมัส คาร์ไลล์กล่าวถึง "มาโฮเหม็ด" ไว้ในหนังสือ ออนฮีโรส์ ฮีโร-เวอร์ชิพ แอนด์เดอะฮีโรอิกอินฮิสทรี (1840) ว่าเป็น "ดวงวิญญาณอันยิ่งใหญ่ที่เงียบสงบ; ท่านเป็นหนึ่งในบุคคลที่ไม่สามารถพูด แต่ อย่างจริงจังได้" นักวิชาการมุสลิมหลายคนอ้างอิงการตีความของคาร์ไลล์อย่างกว้างขวางว่าเป็นการแสดงให้เห็นถึงนักวิชาการฝั่งตะวันตกยืนยันสถานะของมุฮัมมัดในฐานะบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์
คำวิจารณ์
คำวิจารณ์ต่อมุฮัมมัดปรากฏขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7 เมื่อมุฮัมมัดถูกประณามจากชาวอาหรับที่ไม่นับศาสนาอิสลามร่วมสมัยว่าสอนหลักเอกเทวนิยม และชนเผ่ายิวในอาระเบียจากการรับรู้ถึงการถือครองรายงานและบุคคลจากพระคัมภีร์ และการประกาศตนเองเป็น "คอตะมุนนะบียีน" ในสมัยกลาง โลกตะวันตกและไบแซนไทน์ตราหน้าท่านเป็นศาสดาเทียม ศัตรูของพระคริสต์ หรือวาดเป็นพวกนอกรีตดังที่ปรากฏในโลกคริสเตียนเป็นบ่อยครั้ง ข้อวิจารณ์ร่วมสมัยมักเกี่ยวข้องกับการตั้งคำถามถึงความชอบธรรมของมุฮัมหมัดในฐานะศาสนทูต ความประพฤติทางศีลธรรม การแต่งงาน การเป็นเจ้าของทาส การดูแลศัตรู แนวทางเรื่องหลักคำสอน และสุขภาพจิต
ทัศนะของศาสนาอื่น
ศาสนาบาไฮ
พระบะฮาอุลลอฮ์ ศาสดาของศาสนาบาไฮ กล่าวถึงนบีมุฮัมมัดว่าเป็นผู้เผยพระวจนะที่พระเป็นเจ้าทรงส่งมาเพื่อทำหน้าที่นำพาและให้ความรู้แก่มนุษย์ในยุคสมัยหนึ่ง เช่นเดียวกับผู้เผยพระวจนะท่านอื่น ๆ คือ พระกฤษณะ โมเสส ซาราธุสตรา พระพุทธเจ้า พระเยซู พระบาบ โดยบาฮาอุลลอฮ์อ้างว่าตนเองคือผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าส่งมาในยุคปัจจุบัน เป็นนบีอีซาผู้กลับมาบนโลกอีกครั้งตามที่นบีมุฮัมมัดทำนายไว้ในคัมภีร์หะดีษ นอกจากนี้ยังอ้างว่าตนเองคือฮุซัยน์ อิบน์ อะลี ผู้กลับมาตามที่ชาวชีอะฮ์รอคอย
ลัทธิอนุตตรธรรม
ลัทธิอนุตตรธรรมถือว่าอนุตตรธรรมเป็นรากเหง้าของทุกศาสนารวมทั้งศาสนาอิสลาม โดยนบีมุฮัมมัดเป็นศาสดาองค์หนึ่งที่พระแม่องค์ธรรมทรงส่งมาเพื่อโปรดเวไนยในช่วงธรรมกาลยุคแดง เช่นเดียวกับพระโคตมพุทธเจ้าและพระเยซู และยุคแดงได้สิ้นสุดไปแล้วตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) ปัจจุบันจึงเป็นธรรมกาลยุคขาวซึ่งมีลู่ จงอี เป็นผู้ปกครอง
พระโอวาทพระอนุตตรธรรมมารดาสิบบัญญัติ (จีน: 皇母訓子十誡) ซึ่งเป็นคัมภีร์เล่มหนึ่งของลัทธิอนุตตรธรรม อ้างว่านบีมุฮัมมัดได้มาประทับทรงในกระบะทราย แล้วประกาศว่าการไปละหมาดที่มัสยิดนั้นเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า เพราะไม่ได้ช่วยให้เข้าถึงสัจธรรม การปฏิบัติตามอัลกุรอานก็ไม่อาจช่วยให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ แต่ต้องเข้ารับธรรมะจากวิสุทธิอาจารย์ (จีน: 明師) เท่านั้นจึงจะพบหนทางกลับสวรรค์
ดูเพิ่ม
- ชนเผ่าอาหรับที่มีปฏิสัมพันธ์กับมุฮัมมัด
- สหายของศาสดา (เศาะฮาบะฮ์)
- อาชีพทางการทูตของมุฮัมมัด
- อภิธานศัพท์ศาสนาอิสลาม
- รายชื่อชีวประวัติของมุฮัมมัด
- รายชื่อผู้ก่อตั้งศาสนา
- อาชีพทางการทหารของมุฮัมมัด
- มุฮัมมัดในคำภีร์ไบเบิล
- มุฮัมมัดในภาพยนตร์
- มุฮัมมัดในมุมมองของศาสนาคริสต์
- ภรรยาของมุฮัมมัด
- เรลิกของมุฮัมมัด
หมายเหตุ
- มีการเรียกชื่อท่านหลายแบบ เช่น มุฮัมมัด อิบน์ อับดุลลอฮ์, ศาสนทูตของอัลลอฮ์, ศาสดามุฮัมมัด, ศาสดาคนสุดท้ายของศาสนาอิสลาม ฯลฯ; และยังมีรูปสะกดหลายแบบ เช่น โมฮาเหม็ด, มะฮะหมัด, มูฮาหมัด, มุหัมมัด หรือ พระมะหะหมัด, ฯลฯ
- Goldman 1995, p. 63 ระบุวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ. 632 ธรรมเนียมก่อนหน้าหลายแห่ง (โดยหลักไม่ใช่อิสลาม) กล่าวถึงท่านว่ายังคงมีชีวิตในช่วงที่มุสลิมพิชิตปาเลสไตน์
- รายงานจาก Welch, Moussalli & Newby 2009 เขียนไว้ให้กับสารานุกรมออกซ์ฟอร์ดแห่งโลกอิสลาม (Oxford Encyclopedia of the Islamic World): "ศาสดาแห่งศาสนาอิสลามคือนักปฏิรูปทางศาสนา การเมือง และสังคม ผู้ให้กำเนิดอารยธรรมอันยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลก มุฮัมมัดคือผู้ก่อตั้งศาสนาอิสลามจากมุมมองทางประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ท่านคือศาสนทูตของพระเจ้า (เราะซูลุลลอฮ์) จากมุมมองของศาสนาอิสลาม ผู้ได้รับการเรียกขานเป็น 'ผู้ตักเตือน' แก่ชาวอาหรับเป็นอย่างแรก และถึงมนุษยชาติทั้งหมด"
- อ้างอิงแรกเกี่ยวกับมักกะฮ์ไม่ได้ใช้คำแสดงตำแหน่ง ยกเว้นพงศาวดารไบแซนไทน์-อาหรับ หรือ พงศาวดาร ค.ศ. 741 แม้ว่าผู้เขียนวางภูมิภาคนี้ไว้ในเมโสโปเตเมีย ("กึ่งกลางระหว่างอูร์กับฮัรราน") แทนที่จะเป็นฮิญาซ
- See also อัลกุรอาน 43:31 cited in EoI; Muhammad.
- The aforementioned Islamic histories recount that as Muhammad was reciting Sūra Al-Najm (Q.53), as revealed to him by the archangel Gabriel, Satan tempted him to utter the following lines after verses 19 and 20: "Have you thought of Allāt and al-'Uzzā and Manāt the third, the other; These are the exalted Gharaniq, whose intercession is hoped for." (Allāt, al-'Uzzā and Manāt were three goddesses worshiped by the Meccans). cf Ibn Ishaq, A. Guillaume p. 166.
- "Apart from this one-day lapse, which was excised from the text, the Quran is simply unrelenting, unaccommodating and outright despising of paganism." (The Cambridge Companion to Muhammad, Jonathan E. Brockopp, p. 35).
- ดู:
- Holt, Lambton & Lewis 1977, p. 57.
- Hourani & Ruthven 2003, p. 22.
- Lapidus 2002, p. 32.
- Esposito 1998, p. 36.
- See for example Marco Schöller, Banu Qurayza, Encyclopedia of the Quran mentioning the differing accounts of the status of Rayhana
- ดู:
- Nagel 2020, p. 301
- Kloppenborg & Hanegraaff 2018, p. 89
- Rodinson 2021, pp. 150–1
- Forward 1997, pp. 88–9
- Peterson 2007, pp. 96–7
- Brown 2011, pp. 76–7
- Phipps 2016, p. 142
- Morgan 2009, p. 134
- El-Azhari 2019, pp. 24–5
- Anthony 2020, p. 115
- ดู:
- Watt 1974, p. 234 .
- Robinson 2004, p. 21.
- Esposito 1998, p. 98.
- R. Walzer, Ak̲h̲lāḳ, Encyclopaedia of Islam Online.
อ้างอิง
- Conrad 1987.
- ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, ราชบัณฑิตยสถาน, 2548, หน้า 267
- Howarth, Stephen. Knights Templar. 1985. ISBN 978-0-8264-8034-7 p. 199.
- Muhammad Mustafa Al-A'zami (2003), The History of The Qur'anic Text: From Revelation to Compilation: A Comparative Study with the Old and New Testaments, pp. 26–27. UK Islamic Academy. ISBN 978-1-872531-65-6.
- Ahmad 2009.
- ดู:
- Welch, Moussalli & Newby 2009
- Esposito 1998, pp. 9, 12
- Esposito 2002, pp. 4–5
- Peters 2003, p. 9
- Buhl & Welch 1993
- Reeves 2003, pp. 6–7.
- Watt 1953, p. xi.
- John Burton: Bulletin of the Society of Oriental and African Studies, vol. 53 (1990), p. 328, cited in Ibn Warraq, บ.ก. (2000). "2. Origins of Islam: A Critical Look at the Sources". The Quest for the Historical Muhammad. Prometheus. pp. 91. ISBN 9781573927871.
- Abbott, Nabia (1967). Studies in Arabic Literary Papyri: Qur'anic Commentary and Tradition. Vol. 2. Chicago, USA: University of Chicago Press.
- They do not seem, however, to have been more prone to fabrications than other scholars of the early period. This deduction stems from the over-whelmingly positive reputation of the quṣṣāṣ in the early period.DOI: https://doi.org/10.1163/9789004335523_008
- Most Islamic history was transmitted orally until after the rise of the Abbasid Caliphate.Vansina (1985)
- Donner 2010, p. 628.
- The earliest sources we have on the life of Muḥammad are the maghāzī, but they are far from being a consistent literary genre because they encompass a mix of different types of texts: lists of martyrs, poetry, Qurʾānic explanations, anecdotes resembling those found in the Bible, and of course accounts of military expeditions.https://doi.org/10.1163/9789004466739_005
- Raven, Wim (2006). "Sīra and the Qurʾān". Encyclopaedia of the Qurʾān. Brill Academic Publishers. pp. 29–49
- Crone, Patricia (1987). Meccan Trade and the Rise of Islam. Oxford University Press. p. 223. ISBN 9780691054803.
If one storyteller should happen to mention a raid, the next storyteller would know the date of this raid, while the third would know everything that an audience might wish to hear about.
- Lecker, Michael (2010), Brockopp, Jonathan E. (บ.ก.), "Glimpses of Muḥammad's Medinan decade", The Cambridge Companion to Muhammad, Cambridge University Press, pp. 61–80, doi:10.1017/ccol9780521886079.004, ISBN 978-0-521-88607-9
- Nigosian 2004, p. 6.
- Donner 1998, p. 132.
- Holland, Tom (2012). In the Shadow of the Sword. Doubleday. p. 42. ISBN 978-0-7481-1951-6.
Things which it is disgraceful to discuss; matters which would distress certain people; and such reports as I have been told are not to be accepted as trustworthy – all these things have I omitted. [Ibn Hashim, p. 691.]
- Armstrong 2013, p. 3, Introduction.
- Çakmak, Cenap (2017). Islam: a worldwide encyclopedia. Santa Barbara, CA: ABC-CLIO. p. 1634. ISBN 978-1610692175.
- Watt 1953, p. xv.
- Hoyland, Robert (2007). "Writing the Biography of the Prophet Muhammad: Problems and Solutions". History Compass. 5 (2): 581–602. doi:10.1111/j.1478-0542.2007.00395.x. ISSN 1478-0542.
- Lewis, Bernard (1993). Islam and the West. Oxford University Press. pp. 33–34. ISBN 978-0195090611.
- Jonathan, A. C. Brown (2007). The Canonization of al-Bukhārī and Muslim: The Formation and Function of the Sunnī Ḥadīth Canon. Brill. p. 9. ISBN 978-90-04-15839-9.
We can discern three strata of the Sunni ḥadīth canon. The perennial core has been the Ṣaḥīḥayn. Beyond these two foundational classics, some fourth-/tenth-century scholars refer to a four-book selection that adds the two Sunans of Abū Dāwūd (d. 275/889) and al-Nāsaʾī (d. 303/915). The Five Book canon, which is first noted in the sixth/twelfth century, incorporates the Jāmiʿ of al-Tirmidhī (d. 279/892). Finally, the Six Book canon, which hails from the same period, adds either the Sunan of Ibn Mājah (d. 273/887), the Sunan of al-Dāraquṭnī (d. 385/995) or the Muwaṭṭaʾ of Mālik b. Anas (d. 179/796). Later ḥadīth compendia often included other collections as well. None of these books, however, has enjoyed the esteem of al-Bukhārīʼs and Muslimʼs works.
- Ardic 2012, p. 99.
- Görke, Andreas (2020). Brown, Daniel W. (บ.ก.). The Wiley Blackwell Concise Companion to the Hadith. Wiley. pp. 75–90. doi:10.1002/9781118638477.ch4. ISBN 978-1-118-63851-4.
- Brown, Daniel W. (2020). "Western Hadith Studies". ใน Brown, Daniel W. (บ.ก.). The Wiley Blackwell Concise Companion to the Hadith. Wiley. pp. 39–56. doi:10.1002/9781118638477.ch2. ISBN 978-1-118-63851-4.
- Madelung 1997, pp. xi, 19–20.
- Nasr, Seyyed Hossein (2007). "Qurʾān". Encyclopædia Britannica. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 May 2015. สืบค้นเมื่อ 24 September 2013.
- Living Religions: An Encyclopaedia of the World's Faiths, Mary Pat Fisher, 1997, p. 338, I. B. Tauris.
- อัลกุรอาน 17:106
- Bennett 1998, pp. 18–19.
- Peters 1994, p. 261.
- Watt, William Montgomery; Sinai, Nicolai (2024). "Muhammad". Encyclopædia Britannica. สืบค้นเมื่อ 4 February 2023.
- The ancient history of the holy city of Mecca (Makkah) has been wiped out, and Makkah has been attacked as a city without a pre-Islamic history, due to the lack of archaeological evidence. See here.
- Holland, Tom (2012). "III.6. Hijra: More questions than answers". In the Shadow of the Sword: The Birth of Islam and the Rise of the Global Arab Empire. Doubleday. p. 471. ISBN 0385531362. สืบค้นเมื่อ 18 July 2025. Republished in the US from original UK edition of the same year published by Little, Brown.
- Muhammad เก็บถาวร 9 กุมภาพันธ์ 2017 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Encyclopedia Britannica. Retrieved 15 February 2017.
- Rodinson 2002, p. 38.
- Esposito 2003.
- Robin 2012, pp. 286–287.
- Buhl & Welch 1993.
- Turner, Colin (2005). Islam: The Basics. Vol. 1. Routledge. p. 16. ISBN 9780415341066.
- Jacobs, Louis (1995). The Jewish Religion: A Companion. Oxford University Press. p. 272. ISBN 9780198264637.
- Jean-Louis Déclais, Names of the Prophet, Encyclopedia of the Quran.
- Esposito 1998, p. 6.
- Buhl & Welch 1993, p. 361.
- Rodinson 2021, p. 51.
- Marr J. S., Hubbard E., Cathey J. T. 2014: The Year of the Elephant. doi:10.6084/m9.figshare.1186833 Retrieved 21 October 2014 (GMT).
- ดู:
- Conrad 1987
- Reynolds 2023, p. 16
- Johnson 2015, p. 286
- Peters 2010, p. 61
- Muesse 2018, p. 213
- Buhl & Welch 1993, p. 361
- Reynolds 2023, p. 16.
- Gibb et al. 1986, p. 102.
- Johnson 2015, p. 286.
- Meri, Josef W. (2004). Medieval Islamic civilization. Vol. 1. Routledge. p. 525. ISBN 978-0-415-96690-0. สืบค้นเมื่อ 3 January 2013.
- Watt 1971.
- Watt 1960.
- Rodinson 2021, pp. 38, 41–43.
- Watt 1961, p. 7.
- Armstrong 2013, p. 18, Chapter One: Mecca.
- Watt 1961, p. 8.
- Roggema 2008, pp. 38–46.
- Roggema 2008, p. 46.
- ดู:
- Roggema 2008, p. 52
- Gabriel 2007, p. 56
- Watt 1961, p. 9
- Buhl & Welch 1993, p. 362
- Anthony 2020, p. 73
- Anthony 2020, p. 73.
- Rodinson 2021, p. 49.
- Brown 2011, p. 100.
- Armstrong 2013, p. 20, Chapter One: Mecca.
- Rodinson 2021, pp. 50, 55.
- Buhl & Welch 1993, p. 362.
- Ali, Wijdan (August 1999). "From the Literal to the Spiritual: The Development of the Prophet Muhammad's Portrayal from 13th Century Ilkhanid Miniatures to 17th Century Ottoman Art" (PDF). Proceedings of the 11th International Congress of Turkish Art (7): 3. ISSN 0928-6802. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 3 December 2004.
- Glubb 2001, pp. 79–81.
- Wensinck & Jomier 1990, p. 319.
- Rodgers 2012, p. 35.
- Netton 2013, p. 235.
- Peterson 2007, p. 51.
- Klein 1906, p. 7.
- Wensinck & Rippen 2002.
- Rosenwein 2018, p. 148.
- Armstrong 2013, p. 30, Chapter One: Mecca.
- Brown 2003, p. 73.
- Armstrong 2013, p. 31, Chapter One: Mecca.
- Ibn Ishaq, Sirat Rasul Allah, 154, in Guillaume, Life of Muhammad
- Phipps 2016, p. 37.
- Rosenwein 2018, p. 146.
- Buhl & Welch 1993, p. 363.
- Peterson 2007, pp. 53–54.
- ดู:
- Wensinck & Rippen 2002
- Emory C. Bogle 1998, p. 7.
- Rodinson 2002, p. 71
- Murray 2011, p. 552.
- Rāshid 2015, p. 11.
- Holt, Lambton & Lewis 1977, p. 31.
- Brockopp 2010, pp. 40–42.
- Armstrong 2013, p. 32, Chapter One: Mecca.
- Armstrong 2013, p. 1, Chapter Two: Jahiliyyah.
- Watt 1953, p. 86.
- Armstrong 2013, p. 2, Chapter Two: Jahiliyyah.
- อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อAlAzami2003
- Ramadan 2007, pp. 37–39.
- Armstrong 2007, pp. 4, 46, Introduction.
- Armstrong 2013, p. 14, Chapter Two: Jahiliyyah.
- Armstrong 2013, p. 15, Chapter Two: Jahiliyyah.
- Buhl & Welch 1993, p. 364.
- Lewis 2002, pp. 35–36.
- Muranyi 1998, p. 102.
- Gordon 2005, pp. 120–121.
- Phipps 2016, p. 40.
- Brockopp 2010, pp. 45–46.
- Glubb 2001, pp. 113–114.
- Deming 2014, p. 68.
- Ibn Kathir & Gassick 2000, pp. 342–343.
- Holt, Lambton & Lewis 1977, p. 36.
- Hazleton 2014, p. 125.
- Armstrong 2013, p. 26, Chapter Two: Jahiliyyah.
- Hazleton 2014, pp. 125–126.
- Ibn Kathir & Gassick 2000, p. 344.
- Hazleton 2014, pp. 125–127.
- Ibn Kathir & Gassick 2000, pp. 344–345.
- Ṣallābī 2005, pp. 460–461.
- Peterson 2007, p. 75.
- Peterson 2007, pp. 75–76.
- Beeston 1983, p. 210.
- ดู:
- Phipps 2016, p. 114
- Schroeder 2002, p. 86
- Rodinson 2021, pp. 167–168
- Margoliouth 2010, p. 135
- Cheikh 2015, p. 32.
- Peters 1994, pp. 173–174.
- Buhl & Welch 1993, p. 365.
- Ahmed, Shahab (1998). "Ibn Taymiyyah and the Satanic Verses". Studia Islamica. Maisonneuve & Larose. 87 (87): 67–124. doi:10.2307/1595926. ISSN 0585-5292. JSTOR 1595926.
- The Cambridge Companion to Muhammad 2010, p. 35.
- Al-Tabari 1987, pp. 107–112.
- Ahmed 2017, pp. 256–257.
- Armstrong 2013, p. 36, Chapter Two: Jahiliyyah.
- Watt 1961, p. 77.
- Glubb 2001, p. 126.
- Glubb 2001, p. 129.
- Lapidus 2012, p. 184.
- Rodinson 2021, p. 134.
- Brown 2011, p. 22.
- Rodinson 2021, p. 135.
- Holt, Lambton & Lewis 1977, p. 39
- Towghi 1991, p. 572.
- Adil 2002, p. 145.
- Adil 2002, pp. 145–146.
- Adil 2002, p. 146.
- Armstrong 2013, pp. 3–4, Chapter Three: Hijrah.
- Muhammad ibn Ishaq, Sirat Rasul Allah, 280, in A. Guillaume, trans. and ed., The Life of Muhammad London, 1955, p. 193.
- Watt, William Montgomery (1988). The History of al-Ṭabarī. Vol. 6: Muhammad at Mecca. State University of New York Press. pp. 116–117. ISBN 978-1-4384-2340-1.
- Adil 2002, p. 148.
- Jonathan M. Bloom; Sheila Blair (2009). The Grove encyclopedia of Islamic art and architecture. Oxford University Press. p. 76. ISBN 978-0-19-530991-1. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 June 2013. สืบค้นเมื่อ 26 December 2011.
- Buhl & Welch 1993, p. 366.
- Sells, Michael. Ascension, Encyclopedia of the Quran, vol.1, p.176.
- Watt, The Cambridge History of Islam, p. 39
- Esposito (1998), p. 17
- Moojan Momen (1985), p. 5
- Rodgers 2012, p. 56–7.
- Humphreys 1991, p. 92.
- Arjomand 2022, p. 111.
- Rubin 2022, p. 8.
- Watt 1956, p. 227.
- Fazlur Rahman (1979), p. 21
- John Kelsay (1993), p. 21
- William Montgomery Watt (7 February 1974). Muhammad: Prophet and Statesman. Oxford University Press. pp. 112–14. ISBN 978-0-19-881078-0. สืบค้นเมื่อ 29 December 2011.
{{cite book}}
: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - Rodinson (2002), p. 164
- Watt, The Cambridge History of Islam, p. 45
- Glubb (2002), pp. 179–86
- Lewis (2002), p. 41.
- Watt (1961), p. 123
- Rodinson (2002), pp. 168–69
- Lewis (2002), p. 44
- Zeitlin, Irving M. (2007). The Historical Muhammad. John Wiley and Sons. p. 148. ISBN 978-0-7456-5488-1.
- Faizer, Rizwi (2010). The Life of Muhammad: Al-Waqidi's Kitab al-Maghazi. Routledge. p. 79. ISBN 978-1-136-92113-1.
- Watt (1961), p. 132.
- Watt (1961), p. 134
- Lewis (1960), p. 45
- C.F. Robinson, Uhud, Encyclopedia of Islam
- Watt (1964), p. 137
- Watt (1974), p. 137
- David Cook (2007), p. 24
- See:
- Watt (1981), p. 432
- Watt (1964), p. 144
- Watt (1956), p. 30.
- Watt (1956), p. 34
- Watt (1956), p. 18
- Rubin, Uri (1990). "The Assassination of Kaʿb b. al-Ashraf". Oriens. 32 (1): 65–71. doi:10.2307/1580625. JSTOR 1580625.
- Watt (1956), pp. 220–21
- Watt (1956), p. 35
- Buhl & Welch 1993, p. 370.
- Rodgers 2012, p. 142.
- Gabriel 2014, p. 132.
- Rodgers 2012, p. 143.
- Rodinson 2021, p. 209.
- Gabriel 2014, p. 136.
- Rodgers 2012, p. 145.
- Rodgers 2012, p. 148.
- Gabriel 2007, p. 138.
- Peters 2003b, p. 88.
- Glubb 2001, p. 265–6.
- Glubb 2001, p. 267.
- Rodinson 2021, p. 251–2.
- Khan (1998), p. 274
- Lings (1987), p. 291
- Khan (1998), pp. 274–75
- Lings (1987), p. 292
- Watt (1956), p. 66.
- The Message by Ayatullah Ja'far Subhani, chapter 48 เก็บถาวร 2 พฤษภาคม 2012 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน referencing Sirah by Ibn Hisham, vol. II, page 409.
- Rodinson (2002), p. 261.
- Harold Wayne Ballard, Donald N. Penny, W. Glenn Jonas (2002), p. 163
- F.E. Peters (2003), p. 240
- Guillaume, Alfred (1955). The Life of Muhammad. A translation of Ishaq's "Sirat Rasul Allah". Oxford University Press. p. 552. ISBN 978-0-19-636033-1. สืบค้นเมื่อ 8 December 2011.
Quraysh had put pictures in the Ka'ba including two of Jesus son of Mary and Mary (on both of whom be peace!). ... The apostle ordered that the pictures should be erased except those of Jesus and Mary.
- อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อRubin
- อัลกุรอาน 110:1
- Glubb 2001, p. 320–1.
- Glubb 2001, p. 321.
- Gabriel 2007, p. 181.
- Gabriel 2007, p. 182.
- Gabriel 2007, p. 186.
- Glubb 2001, p. 325.
- Rodgers 2012, p. 225.
- Rodinson 2021, p. 263–4.
- Glubb 2001, p. 326.
- Rodinson 2021, p. 264.
- Glubb 2001, p. 327.
- Glubb 2001, p. 328.
- Gabriel 2014, p. 189.
- Rodinson 2021, p. 274.
- Gabriel 2014, p. 191.
- Gabriel 2014, p. 192–4.
- Rodinson 2021, p. 274–5.
- Gabriel 2014, p. 192–3.
- M.A. al-Bakhit, Tabuk, Encyclopaedia of Islam.
- Rodgers 2012, p. 230.
- Gabriel 2007, p. 188.
- Rodgers 2012, p. 226.
- Rodinson 2021, p. 269.
- Gabriel 2007, p. 189.
- Glubb 2001, p. 344–5, 359.
- Gabriel 2014, p. 200.
- Glubb 2001, p. 358.
- Rodinson 2021, p. 285–6.
- Phipps 2016, p. 140.
- Gabriel 2014, p. 203.
- Rodinson 2021, p. 286.
วิกิพีเดีย, วิกิ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, มือถือ, โทรศัพท์, แอนดรอยด์, ไอโอเอส, แอปเปิ้ล, สมาร์ทโฟน, พีซี, เว็บ, คอมพิวเตอร์, ข้อมูลเกี่ยวกับ มุฮัมมัด, มุฮัมมัด คืออะไร? มุฮัมมัด หมายความว่าอะไร?
ฝากคำตอบ
ต้องการเข้าร่วมการสนทนาหรือไม่?คุณสามารถร่วมเขียนได้!