นบีมุฮัมมัด

มุฮัมมัด (อาหรับ: مُحَمَّد, อักษรโรมัน: Muḥammad; ป. ค.ศ. 570 – 8 มิถุนายน ค.ศ. 632) เป็นผู้นำทางศาสนา สังคม และการเมืองชาวอาหรับ และผู้ก่อตั้งศาสนาอิสลามหลักคำสอนอิสลามระบุว่าท่านเป็นศาสดาที่ได้รับพระวจนะเพื่อสั่งสอนและยืนยันความเป็นเอกภาพที่ถูกสอนมาตั้งแต่อาดัม, อิบรอฮีม, มูซา, อีซา และนบีท่านอื่น มุสลิมเชื่อกันว่าท่านเป็นคอตะมุนนะบียีน โดยมีอัลกุรอานและหลักคำสอนกับหลักปฏิบัติเป็นรากฐานในความเชื่อของศาสนาอิสลาม

มุฮัมมัด
مُحَمَّد
image
"มุฮัมมัด ศาสนทูตของอัลลอฮ์"
ภาพถ่ายที่ประตูมัสยิดอันนะบะวีในเมืองมะดีนะฮ์
ชื่ออื่นเราะซูลุลลอฮ์ (แปลตรงตัว'ศาสนทูตของอัลลอฮ์')
ดูชื่อและสมญานามของมุฮัมมัด
ส่วนบุคคล
เกิดป. ค.ศ. 570 (53 ปีก่อน ฮ.ศ.)
มักกะฮ์ ฮิญาซ อาระเบีย
(ปัจจุบัน ประเทศซาอุดีอาระเบีย)
เสียชีวิต8 มิถุนายน ค.ศ. 632 (ฮ.ศ. 11; 61–62 ปี)
มะดีนะฮ์ รัฐอิสลามแห่งแรก
ที่ฝังศพ
โดมเขียวที่มัสยิดอันนะบะวี มะดีนะฮ์ อาระเบีย

24°28′03″N 39°36′41″E / 24.46750°N 39.61139°E / 24.46750; 39.61139 (โดมเขียว)
คู่สมรสดูภรรยาของมุฮัมมัด
บุตรดูลูกของมุฮัมมัด
บุพการี
  • อับดุลลอฮ์ อิบน์ อับดุลมุฏฏอลิบ (บิดา)
  • อามินะฮ์ บินต์ วะฮบ์ (มารดา)
รู้จักจากผู้ก่อตั้งศาสนาอิสลาม
ชื่ออื่นเราะซูลุลลอฮ์ (แปลตรงตัว'ศาสนทูตของอัลลอฮ์')
ดูชื่อและสมญานามของมุฮัมมัด
ญาติอะฮ์ลุลบัยต์
ดูพงศาวลีของมุฮัมมัด

ตามข้อมูลนักเขียนอัสซีเราะตุนนะบะวียะฮ์ มุฮัมมัดถือกำเนิดที่มักกะฮ์จากตระกูลบะนูฮาชิมอันเป็นอภิชนของเผ่ากุร็อยช์ ท่านเป็นบุตรของอับดุลลอฮ์ อิบน์ อับดุลมุฏฏอลิบกับอามินะฮ์ บินต์ วะฮบ์ อับดุลลอฮ์ บิดาผู้เป็นบุตรของอับดุลมุฏฏอลิบ หัวหน้าเผ่า เสียชีวิตประมาณช่วงที่มุฮัมมัดถือกำเนิด ส่วนอามินะฮ์เสียชีวิตตอนท่านอายุ 6 ขวบ ทำให้ท่านกลายเป็นเด็กกำพร้า ท่านได้รับเลี้ยงจากอับดุลมุฏฏอลิบ ปู่ของท่าน และอะบูฏอลิบ ลุงฝ่ายพ่อ ในช่วงปีหลัง ๆ ท่านเก็บตัวอยู่ในถ้ำบนภูเขาฮิรออ์เป็นเวลาหลายคืน จนกระทั่งตอนอายุ 40 ปีเมื่อ ประมาณ ค.ศ. 610 ท่านพบกับทูตสวรรค์ญิบรีลในถ้ำ และได้รับโองการแรกจากพระเจ้า ต่อมาใน ค.ศ. 613 มุฮัมมัดจึงเริ่มเผยแผ่คำสอนอย่างเปิดเผย โดยประกาศว่า "พระเจ้ามีเพียงองค์เดียว" และ "การจำนน" (อิสลาม) ต่อพระเจ้า (อัลลอฮ์) อย่างสมบูรณ์คือวิถีชีวิตที่ถูกต้อง (ดีน) และท่านเป็นศาสดาและศาสนทูตของอัลลอฮ์คล้ายกับนบีในศาสนาอิสลามท่านอื่น ๆ

ในช่วงแรก ผู้ติดตามของมุฮัมมัดมีจำนวนน้อย และประสบกับการกดขี่จากชาวมักกะฮ์ที่นับถือพระเจ้าหลายองค์เป็นเวลา 13 ปี เพื่อหลีกเลี่ยงการกดขี่ที่ยังคงมีอยู่ ท่านจึงส่งผู้ติดตามบางส่วนไปยังอะบิสซิเนียใน ค.ศ. 615 ก่อนที่ท่านกับผู้ติดตามอพยพจากมักกะฮ์ไปยังมะดีนะฮ์ (ในเวลานั้นมีชื่อว่า ยัษริบ) ใน ค.ศ. 622 เหตุการณ์นี้ (ฮิจเราะห์) ถือเป็นจุดเริ่มต้นของปฏิทินอิสลาม ซึ่งมีอีกชื่อว่า ปฏิทินฮิจเราะห์ ในมะดีนะฮ์ มุฮัมมัดรวมชนเผ่าต่าง ๆ ภายใต้รัฐธรรมนูญมะดีนะฮ์ ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 629 หลังสู้รบกับชนเผ่ามักกะฮ์เป็นระยะ ๆ ถึง 8 ปี มุฮัมมัดจึงรวบรวมกองทัพที่มีมุสลิม 10,000 คนและเดินทัพไปมักกะฮ์ การพิชิตครั้งนี้ส่วนใหญ่ไม่มีผู้โต้แย้ง และมุฮัมมัดก็ยึดเมืองนี้ได้โดยมีการนองเลือดเพียงเล็กน้อย ท้ายที่สุดใน ค.ศ. 632 หลังกลับจากฮัจญ์อำลาเพียงไม่กี่เดือน ท่านจึงล้มป่วยและเสียชีวิต ในช่วงที่เสียชีวิตนั้น ผู้คนในคาบสมุทรอาหรับส่วนใหญ่หันมาเข้ารับอิสลามแล้ว

วิวรณ์ (อายะฮ์) ที่มุฮัมมัดได้รับจนกระทั่งเสียชีวิตได้รับการรวมรวมเป็นโองการจากอัลกุรอาน ซึ่งมุสลิมถือว่าเป็น "พระดำรัสของพระเจ้า" แบบคำต่อคำ นอกจากอัลกุรอานแล้ว หลักคำสอนและหลักปฏิบัติของมุฮัมมัด (ซุนนะฮ์) ที่พบในสายรายงาน (ฮะดีษ) และในชีวประวัติ (ซีเราะฮ์) ยังยึดถือและใช้เป็นแหล่งที่มาของกฎหมายอิสลาม นอกจากศาสนาอิสลามแล้ว ท่านยังได้รับคำชื่นชมในศาสนาซิกข์เป็นบุคคลที่สร้างแรงบันดาลใจ ความเชื่อดรูซมองเป็นหนึ่งในเจ็ดศาสดาหลัก และในศาสนาบาไฮมองเป็นการสำแดงของพระเจ้า

แหล่งที่มาของข้อมูลชีวประวัติ

การประเมินแหล่งข้อมูลอย่างมีวิจารณญาณมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเปิดเผยการมีตัวตนทางประวัติศาสตร์ของมุฮัมมัดนอกเหนือจากตำนาน แหล่งข้อมูลยุคแรกเกี่ยวกับชีวประวัติมุฮัมมัดคือนักเขียนในช่วงฮิจเราะห์ศตวรรษที่ 2 ถึง 3 (คริสต์ศตวรรษที่ 8 ถึง 9) ซึ่งผลงานของพวกเขาได้รวบรวมข้อมูลชีวประวัติหลักเกี่ยวกับประเพณีของชาวมุสลิมในด้านชีวิตของท่าน แต่ความน่าเชื่อถือของข้อมูลนี้เป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากในแวดวงวิชาการ เนื่องจากช่องว่างระหว่างบันทึกชีวประวัติมุฮัมมัดกับช่วงเวลาที่งานเขียนเหล่านี้เริ่มปรากฏในแหล่งข้อมูล จอห์น เบอร์ตันสรุปข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่มีอยู่มากมายจากมุมมองของนักประวัติศาสตร์ ดังนี้:

ในการตัดสินเนื้อหา นักวิชาการใช้เพียงปทัฏฐานของความเป็นไปได้เป็นเครื่องมือพิจารณา และจะต้องกล่าวถึงซ้ำอีกครั้งตามพื้นฐานนี้ แทบไม่มีข้อมูลใด ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อนักประวัติศาสตร์เลยจากบันทึกอันน้อยนิดเกี่ยวกับชีวิตช่วงแรกของผู้ก่อตั้งศาสนาที่ยิ่งใหญ่ล่าสุดของโลก ... ดังนั้น ไม่ว่าเราพยายามย้อนกลับไปในธรรมเนียมชาวมุสลิมในปัจจุบันไกลแค่ไหน ก็ไม่สามารถกู้คืนข้อมูลที่เป็นประโยชน์จริงในการสร้างประวัติศาสตร์มนุษยชาติของมุฮัมมัดแม้แต่น้อย นอกเหนือจากข้อเท็จจริงที่ว่าครั้งหนึ่งท่านเคยมีตัวตนอยู่

ชีวประวัติยุคแรก

image
เอกสารตัวเขียนยุคแรกจากอัสซีเราะตุนนะบะวียะฮ์ของอิบน์ ฮิชาม เชื่อว่าได้รับการถ่ายทอดโดยลูกศิษย์ของเขาหลังจากที่เขาเสียชีวิตเพียงไม่นานใน ค.ศ. 833: 61 

ข้อมูลที่ใช้ในประวัติศาสตร์อิสลามยุคแรกเกิดขึ้นจากผลงานที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวของนักเล่าเรื่อง ซึ่งในขณะนั้นถือเป็นอาชีพค่อนข้างมีชื่อเสียง โดยไม่มีรายละเอียด ในขณะเดียวกัน การศึกษาประวัติศาสตร์อิสลามช่วงแรกสุดก็ทำได้ยากเนื่องจากขาดแหล่งข้อมูล ในขณะที่เรื่องเล่าในช่วงแรกอยู่ในรูปแบบของมหากาพย์วีรบุรุษที่เรียกว่า magāzī รายละเอียดต่าง ๆ ได้ถูกเพิ่มเข้ามาในภายหลัง แก้ไข และแปลงเป็นการรวบรวมซีเราะฮ์ นักประวัติศาสตร์ตะวันตกอธิบายจุดประสงค์ของชีวประวัติยุคแรกเหล่านี้ว่าส่วนใหญ่คือการถ่ายทอดข้อความ มากกว่าที่จะบันทึกประวัติศาสตร์อย่างเคร่งครัดและแม่นยำ

ซีเราะฮ์ (ชีวประวัติของมุฮัมมัดและคำพูดที่ระบุว่ามาจากท่าน) รูปเขียนแรกสุดคือ ชีวิตศาสนทูตของอัลลอฮ์ ของอิบน์ อิสฮาก เขียน ประมาณ ค.ศ. 767 (ฮ.ศ. 150) แม้ว่าผลงานต้นฉบับสูญหาย ซีเราะฮ์นี้ยังคงหลงเหลือเป็นข้อความที่ตัดตอนมาอย่างกว้างขวางในผลงานของอิบน์ ฮิชาม และของอัฏเฏาะบะรีในขอบเขตน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม อิบน์ ฮิชามเขียนคำนำในชีวประวัติมุฮัมมัดของตนเองว่า เขาได้ละเว้นเรื่องราวจากชีวประวัติของอิบน์ อิสฮากที่ "จะทำให้บางคนไม่สบายใจ" ข้อมูลประวัติศาสตร์ยุคแรกอีกอันคือประวัติการทัพของมุฮัมมัดโดยอัลวากิดี (เสียชีวิตใน ฮ.ศ. 207) และผลงานของอิบน์ ซะอด์ อัลบัฆดาดี (เสียชีวิตใน ฮ.ศ. 230) เลขานุการของอัลวากิดี ด้วยความพยายามรวบรวมข้อมูลชีวประวัติในช่วงต้น ทำให้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับมุฮัมมัดมากกว่าผู้ก่อตั้งศาสนาหลัก ๆ เกือบทั้งหมด นักวิชาการหลายคนยอมรับว่าชีวประวัติในยุคแรกเหล่านี้เป็นเรื่องจริง อย่างไรก็ตาม ชีวประวัติของอัลวากิดีถูกวิจารณ์จากนักวิชาการอิสลามอย่างแพร่หลายสำหรับวิธีการของเขา โดยเฉพาะการตัดสินใจละเว้นแหล่งที่มาของเขา การศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ทำให้นักวิชาการแยกแยะระหว่างธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องกฎหมาย และเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ล้วน ๆ โดยในกลุ่มกฎหมายอาจมีการประดิษฐ์ธรรมเนียมขึ้น ในขณะที่เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ อาจอยู่ภายใต้ "การกำหนดรูปแบบแนวโน้ม" เท่านั้น นอกเหนือจากกรณีพิเศษ นักวิชาการคนอื่น ๆ วิจารณ์ถึงความน่าเชื่อถือของวิธีการนี้ โดยชี้ให้เห็นว่าไม่สามารถแบ่งธรรมเนียมออกเป็นหมวดหมู่ทางกฎหมายและประวัติศาสตร์อย่างเฉพาะเจาะจงได้

ฮะดีษ

แหล่งข้อมูลสำคัญอีกแห่งได้แก่ชุดสะสมฮะดีษ รายงานคำสอนและธรรมเนียมทางวาจาและทางกายที่เชื่อกันว่าเป็นของมุฮัมมัด มุสลิมรวบรวมฮะดีษเป็นเวลาหลายรุ่นหลังหลังท่านเสียชีวิต เช่น มุฮัมมัด อัลบุคอรี, มุสลิม อิบน์ อัลฮัจญาจญ์, มุฮัมมัด อิบน์ อีซา อัตติรมิษี, อับดุรเราะห์มาน อันนะซาอี, อะบูดาวูด, อิบน์ มาญะฮ์, มาลิก อิบน์ อะนัส, อัดดาเราะกุฏนี

นักวิชาการมุสลิมโดยทั่วไปให้ความสำคัญกับฮะดีษมากกว่าวรรณกรรมชีวประวัติ เนื่องจากหะดีษมีสายรายงานส่งต่อแบบดั้งเดิม (อิสนาด) ในสายตาของพวกเขา การไม่มีสายรายงานดังกล่าวสำหรับวรรณกรรมชีวประวัติทำให้ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ฮะดีษโดยทั่วไปนำเสนอทัศนคติในอุดมคติของศาสดามุฮัมมัด นักวิชาการตะวันตกแสดงความกังขาเกี่ยวกับความสามารถในการพิสูจน์ยืนยันสายรายงานถ่ายทอดเหล่านี้ นักวิชาการตะวันตกเชื่อกันอย่างกว้างขวางว่ามีการกุเรื่องฮะดีษขึ้นอย่างกว้างขวางในช่วงศตวรรษต้น ๆ ของศาสนาอิสลาม เพื่อสนับสนุนจุดยืนทางเทววิทยาและกฎหมายบางประการ และมีข้อเสนอแนะว่า "มีความเป็นไปได้อย่างมากที่ฮะดีษจำนวนมากที่พบในชุดสะสมฮะดีษไม่ได้มีที่มาจากท่านศาสดา" นอกจากนี้ ความหมายของฮะดีษอาจคลาดเคลื่อนไปจากคำบอกเล่าดั้งเดิมจนถึงตอนที่บันทึกลงในที่สุด แม้ว่าสายรายงานถ่ายทอดจะเป็นของแท้ก็ตาม โดยรวมแล้ว นักวิชาการตะวันตกบางคนมองชุดฮะดีษเหล่านี้อย่างระมัดระวังว่าเป็นแหล่งข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง ในขณะที่ "กระบวนทัศน์หลัก" ในงานวิชาการตะวันตกคือการพิจารณาว่าความน่าเชื่อถือของชุดฮะดีษนั้นน่าสงสัย นักวิชาการอย่าง Wilferd Madelung ไม่ได้ปฏิเสธฮะดีษที่รวบรวมขึ้นในยุคหลัง แต่ตัดสินโดยพิจารณาจากบริบททางประวัติศาสตร์

อัลกุรอาน

อัลกุรอานเป็นคัมภีร์หลักอันเป็นรากฐานของศาสนาอิสลาม ซึ่งเชื่อว่าเป็นพระดำรัสของพระเจ้าที่เปิดเผยผ่านทูตสวรรค์ญิบรีลแก่มุฮัมมัด อัลกุรอานกล่าวถึง"ศาสนทูตของอัลลออฮ์"เพียงคนเดียวเป็นหลัก นั่นคือ มุฮัมมัด ซึ่งต่างกันตรงที่มีการอ้างอิงถึงเรื่องราวของศาสดาในอัลกุรอานหลายร้อยครั้ง เช่น มูซา (โมเสส) และอีซา (พระเยซู) แต่กลับให้ข้อมูลเกี่ยวกับมุฮัมมัดเศาะฮาบะฮ์ หรือผู้ร่วมสมัยท่านอยู่น้อยมาก บุคคลที่ได้รับการกล่าวถึงในข้อโต้แย้งในอัลกุรอานและบริบทที่ถูกนำมาใช้นั้น เป็นเพียงบันทึกที่เขียนขึ้นในอรรถาธิบายที่เขียนขึ้นในศตวรรษต่อมา ยกเว้นเพียงซัยด์ ทาส/บุตรบุญธรรมของท่านที่มีการกล่าวถึงชื่อของเขาในโองการต่าง ๆ (อัลอะฮ์ซาบ; 37) ในบริบทภรรยาที่หย่าร้างของเขาถูกนำไปใช้ในการสมรสของมุฮัมมัด

เรื่องราวชีวประวัติของมุฮัมมัดในคัมภีร์อัลกุรอานที่ชัดเจนที่สุดน่าจะเป็นการกล่าวถึงการตั้งถิ่นฐานในยัษริบของผู้ติดตามของท่านอย่างสั้น ๆ หลังจากที่ถูกพวกกุร็อยช์ขับไล่ออกไป และการเผชิญหน้าทางทหาร เช่น ชัยชนะของมุสลิมที่บัดร์ อย่างไรก็ตาม มักกะฮ์ในฐานะแหล่งกำเนิดศาสนาอิสลามขาดข้อมูลทางโบราณคดีที่สนับสนุนเรื่องราวดั้งเดิม และบันทึกที่เก่าแก่ที่สุดชี้ให้เห็นถึงภูมิภาคทางภูมิศาสตร์แบบอื่น ทำให้พื้นที่นี้กลายเป็นสถานที่ต้องสงสัยสำหรับนักวิจัยสมัยใหม่ว่าเป็นต้นกำเนิดของศาสนาอิสลาม

ช่วงปีในมักกะฮ์

ชีวิตช่วงต้น

image
การกำเนิดของมุฮัมมัดใน Siyer-i Nebi คริสต์ศตวรรษที่ 16

มุฮัมมัด อิบน์ อับดุลลอฮ์ อิบน์ อับดุลมุฏฏอลิบ อิบน์ ฮาชิมเกิดที่มักกะฮ์เมื่อประมาณ ค.ศ. 570 และเชื่อกันว่าวันเกิดอยู่ในเดือนเราะบีอุลเอาวัล ท่านอยู่ในตระกูลบะนูฮาชิมจากเผ่ากุร็อยช์ ซึ่งเป็นกองกำลังที่มีอำนาจเหนือในอาระเบียตะวันตก แม้ว่าตระกูลของท่านเป็นหนึ่งในตระกูลที่มีความโดดเด่นอีกตระกูลหนึ่งจากชนเผ่า ดูเหมือนว่าในช่วงแรกดูขาดความเจริญรุ่งเรือง ตามธรรมเนียมมุสลิมระบุว่ามุฮัมมัดเป็นฮะนีฟ คือผู้ที่นับถือเอกเทวนิยมในอาระเบียก่อนอิสลาม ท่านยังอ้างว่าเป็นลูกหลานของอิสมาอีลบุตรอิบรอฮีม (อิชมาเอลบุตรอับราฮัม)

ชื่อมุฮัมมัดหมายถึง "ได้รับการสรรเสริญ" ในภาษาอาหรับและปรากฏในอัลกุรอาน 4 ครั้ง ในวัยหนุ่มเป็นที่รู้จักกันในนาม "อัลอะมีน" (แปลตรงตัว'น่าเชื่อถือ') อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์มีความเห็นต่างกันว่า ชื่อนี้ตั้งขึ้นเพื่อสะท้อนถึงนิสัยของท่าน หรือเป็นเพีัยงชื่อตัวจากพ่อแม่ นั่นคือ รูปเพศชายของชื่อแม่ของท่าน ("อามินะฮ์") มุฮัมมัดได้รับกุนยะฮ์ อะบูกอซิม หลังการถือกำเนิดของกอซิม ลูกชายที่เสียชีวิตเมื่อสองปีให้หลัง

ธรรมเนียมอิสลามระบุว่าปีเกิดของมุฮัมมัดใกล้เคียงกับปีช้างที่อับเราะฮะฮ์ อุปราชอาณาจักรอักซุมในอดีตอาณาจักรฮิมยัร ประสบความล้มเหลวในการยึดครองมักกะฮ์ อย่างไรก็ตาม การศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ท้าทายแนวคิดนี้ เนื่องจากมีหลักฐานอื่นชี้ให้เห็นว่า หากเกิดขึ้นจริง เหตุการณ์นี้คงจะเกิดขึ้นเป็นนัยยะสำคัญก่อนที่มุฮัมมัดจะถือกำเนิด นักวิชาการมุสลิมยุคหลังสันนิษฐานว่าเชื่อมโยงชื่ออันโด่งดังของอับเราะฮะฮ์กับเรื่องเล่าการกำเนิดของมุฮัมมัดเพื่ออธิบายข้อความที่ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับ "พวกเจ้าของช้าง" ในคัมภีร์อัลกุรอาน 105:1–5The Oxford Handbook of Late Antiquity จัดให้เรื่องราวการทัพด้วยช้างศึกของอับเราะฮะฮ์เป็นเรื่องปรัมปรา

อับดุลลอฮ์ บิดาของมุฮัมมัด เสียชีวิตก่อนที่ท่านเกิดเกือบ 6 เดือน มุฮัมมัดจึงอาศัยอยู่กับฮะลีมะฮ์ บินต์ อะบีษุอัยบ์ แม่อุปถัมภ์ กับสามีของเธอจนกระทั่งท่านอายุ 2 ขวบ จากนั้นตอนอายุ 6 ขวบ อะมีนะฮ์ บินต์ วะฮับ แม่ของมุฮัมมัด ป่วยแล้วเสียชีวิต ทำให้ท่านกลายเป็นเด็กกำพร้า มุฮัมมัดจึงอยู่ในความคุ้มครองของอับดุลมุฏฏอลิบ ผู้นำเผ่าบนูฮาชิมที่เป็นปู่ของท่าน จนกระทั่งเขาเสียชีวิตตอนท่านอายุ 8 ขวบ แล้วจึงอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของอะบูฏอลิบ ลุงของท่าน ผู้เป็นผู้นำคนใหม่ของบะนูฮาชิม พี่น้องชายของอะบูฏอลิบช่วยสอนมุฮัมมัดในด้านต่าง ๆ โดยฮัมซะฮ์ น้องคนสุดท้อง เป็นผู้ฝึกสอนมุฮัมมัดในวิชาการยิงธนู ศิลปะการใช้ดาบ และศิลปะการต่อสู้ อับบาส ลุงอีกคนหนึ่ง มอบหมายงานให้มุฮัมมัดเป็นหัวหน้ากองคาราวานในเส้นทางตอนเหนือสู่ซีเรีย

image
มุฮัมมัดวัยหนุ่มพบกับบาทหลวงบะฮีรอ จากญาเมียะอ์อัตตะวารีคโดยเราะชีด-อัล-ดิน-ฮามาดานีที่แทบรีซ เปอร์เซีย ประมาณ ค.ศ. 1315

บันทึกประวัติศาสตร์มักกะฮ์ในช่วงต้นของท่านมีน้อยและกระจัดกระจาย ทำให้เป็นการยากที่จะแยกประวัติศาสตร์ออกจากตำนาน เรื่องเล่าในศาสนาอิสลามหลายเรื่องระบุว่า เมื่อครั้งยังเด็ก มุฮัมมัดเคยเดินทางไปค้าขายที่ซีเรียกับอะบูฏอลิบ และได้พบกับบาทหลวงรูปหนึ่งชื่อบะฮีรอ ซึ่งกล่าวกันว่าได้ทำนายไว้ว่าท่านจะเป็นศาสดา มีเรื่องราวหลายฉบับที่มีรายละเอียดขัดแย้งกันเอง เรื่องราวทั้งหมดของบะฮีรอและการพบกันของเขากับมุฮัมมัด นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่ถือเป็นเรื่องแต่งขึ้น รวมถึงนักวิชาการมุสลิมสมัยกลางบางคน เช่น อัษษะฮะบี

ต่อมาในช่วงหนึ่ง มุฮัมมัดได้ขอสมรสกับฟาคิตะฮ์ บินต์ อะบีฏอลิบ ลูกพี่ลูกน้องและรักแรก แต่คงเป็นเพราะความยากจนของท่าน ทำให้การขอสมรสถูกอะบูฏอลิบ พ่อของเธอผู้เลือกชายที่โด่งดังกว่า ปฏิเสธ เมื่อมุฮัมมัดอายุ 25 ปี โชคชะตาพลิกผัน ชื่อเสียงทางธุรกิจของท่านดึงดูดความสนใจจากเคาะดีญะฮ์ ญาติห่าง ๆ วัย 40 ปีที่เป็นนักธุรกิจหญิงผู้มั่งคั่ง ซึ่งประสบความสำเร็จในอาชีพผู้ประกอบการค้าในอุตสาหกรรมการค้าคาราวาน เธอขอให้ท่านนำคาราวานของเธอคันหนึ่งไปซีเรีย หลังจากนั้น เธอประทับใจในความสามารถของท่านจากการเดินทางครั้งนี้มากจนขอแต่งงานกับท่าน มุฮัมมัดยอมรับข้อเสนอของเธอและยังคงรักเดียวใจเดียวจนกระทั่งเธอเสียชีวิต

image
จุลจิตรกรรมจากญาเมียะอ์อัตตะวารีคโดยเราะชีด-อัล-ดิน-ฮามาดานี, ประมาณ ค.ศ. 1315 แสดงเรื่องราวมุฮัมมัดนำหินดำไปติดตั้งใหม่ใน ค.ศ. 605 (ภาพวาดสมัยจักรวรรดิข่านอิล)

ใน ค.ศ. 605 ชาวกุร็อยช์ตัดสินใจมุงหลังคากะอ์บะฮ์ ซึ่งก่อนหน้านี้มีเพียงแค่กำแพง ทำใหต้องสร้างใหม่ทั้งหมดเพื่อรองรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการรบกวนเทพเจ้า ชายคนหนึ่งก้าวออกมาพร้อมจอบและร้องว่า "โอ้เทพี! อย่ากลัวเลย! เรามีเจตนาแต่สิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น" เมื่อพูดจบ เขาก็เริ่มทำลายกำแพง ชาวมักกะฮ์ที่วิตกกังวลต่างรอคอยการลงทัณฑ์จากเทพเจ้าชั่วข้ามคืน แต่การที่เขายังคงดำเนินชีวิตต่อไปโดยปราศจากอันตรายในวันรุ่งขึ้นกลับถูกมองว่าเป็นสัญญาณแห่งการเห็นชอบจากเทพเจ้า ตามรายงานที่อิบน์ อิสฮากรวบรวมไว้ เมื่อถึงช่วงที่มีการตั้งหินดำใหม่ มีการโต้เถียงกันว่าตระกูลใดควรได้รับสิทธิพิเศษนี้ ทำให้มีการตัดสินว่าบุคคลแรกที่เข้ามาในลานกะอ์บะฮ์จะเป็นผู้ชี้ขาด และผู้ที่มาคนแรกคือมุฮัมมัด ท่านจึงขอผ้าคลุมแล้วยกหินตั้งบนนั้น แล้วให้ผู้นำตระกูลต่าง ๆ จับผ้าผืนนั้นพร้อมกัน และท่านจะเป็นคนนำหินตั้งเอง

จุดเริ่มต้นของอัลกุรอาน

image
ถ้ำฮิรออ์บนภูเขาญะบัลนูรที่มุฮัมมัดได้รับโองการแรกตามความเชื่อของมุสลิม

ความมั่นคงทางการเงินที่มุฮัมมัดได้รับจากเคาะดีญะฮ์ ภรรยาผู้มั่งคั่ง ทำให้ท่านมีเวลาว่างมากมายในการใช้เวลาอยู่อย่างสันโดษในถ้ำฮิรออ์ ตามธรรมเนียมอิสลามระบุว่า ใน ค.ศ. 610 เมื่อท่านมีอายุ 40 ปี ทูตสวรรค์ญิบรีลปรากฏตัวต่อหน้าท่านระหว่างเยี่ยมชมถ้ำ ทูตสวรรค์แสดงผ้าที่มีโองการอัลกุรอานให้ดูและสั่งให้ท่านอ่าน เมื่อมุฮัมมัดสารภาพว่าตนไม่รู้หนังสือ ญิบรีลจึงบีบคออย่างแรงจนเกือบทำให้หายใจไม่ออก และสั่งซ้ำอีกครั้ง เมื่อมุฮัมมัดย้ำว่าท่านอ่านหนังสือไม่ออก ญิบรีลก็บีบคอเขาอีกครั้งในลักษณะเดียวกัน ลำดับเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีกครั้งก่อนที่ญิบรีลจะอ่านโองการเหล่านั้นในที่สุด ทำให้มุฮัมมัดสามารถท่องจำโองการเหล่านั้นได้ ต่อมาโองการเหล่านี้ได้บรรจุลงในคัมภีร์อัลกุรอาน 96:1-5

มุฮัมมัดตกใจและไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงรีบเดินโซเซลงจากภูเขาไปหาเคาะดีญะฮ์ ภรรยาของท่าน เมื่อมาถึงตัวเธอ ท่านก็คลานเข่าไปบนตักของเธอ ตัวสั่นเทาอย่างรุนแรงและร้องว่า "คลุมฉันที!" พลางโน้มตัวลงบนตักของเธอ เคาะดีญะฮ์ห่อตัวท่านด้วยเสื้อคลุมและกอดไว้จนกระทั่งความกลัวของท่านจางหายไป เธอไม่สงสัยเลยเกี่ยวกับการเปิดเผยโองการของท่าน โดยยืนยันว่าสิ่งนั้นเป็นของจริง ไม่ใช่ญิน มุฮัมมัดก็ได้รับความมั่นใจจากวะเราะเกาะฮ์ อิบน์ เนาฟัล ลูกพี่ลูกน้องที่นับถือศาสนาคริสต์ของเคาะดีญะฮ์ ผู้อุทานอย่างยินดีว่า "ศักดิ์สิทธิ์จริง! ศักดิ์สิทธิ์จริง! หากท่านได้พูดความจริงแก่ตัวข้า โอ้ เคาะดีญะฮ์ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ได้เสด็จมาหาท่านแล้ว และแท้จริง ท่านคือศาสดาของชนชาติของท่าน" เคาะดีญะฮ์สั่งให้มุฮัมมัดแจ้งให้เธอทราบหากญิบรีลกลับมา เมื่อท่านปรากฏตัวในช่วงเวลาส่วนตัวของทั้งสอง เคาะดีญะฮ์ได้ทำการทดสอบโดยให้มุฮัมมัดนั่งบนต้นขาซ้าย ต้นขาขวา และตักของเธอ แล้วถามมุฮัมมัดว่ายังมีร่างนั้นอยู่หรือไม่ในแต่ละครั้ง หลังจากที่เคาะดีญะฮ์ถอดเสื้อผ้าของเธอออกในขณะที่มุฮัมมัดนั่งอยู่บนตัก ท่านก็รายงานว่าญิบรีลออกไปในขณะนั้น เคาะดีญะฮ์จึงบอกให้ท่านดีใจเมื่อเธอสรุปว่านั่นไม่ใช่ชัยฏอน แต่เป็นทูตสวรรค์ที่มาหาท่าน

กิริยาท่าทางของมุฮัมมัดในช่วงที่มีการดลใจเป็นถี่ ๆ นำไปสู่ข้อกล่าวหาจากคนรุ่นราวคราวเดียวกันว่าท่านอยู่ภายใต้อิทธิพลของญิน นักพยากรณ์ หรือนักมายากล ซึ่งชี้ให้เห็นว่าประสบการณ์ของท่านในระหว่างเหตุการณ์เหล่านี้มีความคล้ายคลึงกับประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลเหล่านี้ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในอาระเบียโบราณ กระนั้น เหตุการณ์ครอบงำอันลึกลับเหล่านี้อาจเป็นหลักฐานโน้มน้าวใจสำหรับผู้ติดตามของท่านในเรื่องต้นกำเนิดอันศักดิ์สิทธิ์ของการเปิดเผยโองการ นักประวัติศาสตร์บางคนตั้งข้อสังเกตว่าคำอธิบายภาพอาการของมุฮัมมัดในกรณีเหล่านี้น่าจะเป็นเรื่องจริง เนื่องจากไม่น่าจะเป็นไปได้ที่มุสลิมรุ่นหลังจะประดิษฐ์เรื่องนี้ขึ้นได้

image
ภาพทูตสวรรค์ญิบรีลพบกับมุฮัมมัดใน Siyer-i Nebi

หลังวะเราะเกาะฮ์เสียชีวิตไม่นาน การประทานวะฮ์ยูนั้นหยุดไปช่วงหนึ่ง ทำให้มุฮัมมัดรู้สึกทุกข์ใจอย่างมากและคิดฆ่าตัวตาย ในช่วงหนึ่ง มีรายงานว่าท่านปีนขึ้นเขาตั้งใจที่จะกระโดดลงไป อย่างไรก็ตาม ก่อนถึงยอดเขา ญิบรีลปรากฏต่อท่านเพื่อยืนยันสถานะศาสนทูตของอัลลอฮ์อย่างแท้จริง การเผชิญหน้าครั้งนี้ทำให้มุฮัมมัดสงบลงแล้วกลับบ้าน ต่อมาเมื่อมีการเว้นช่วงระหว่างการประทานโองการเป็นเวลานานอีก ท่านก็ทำเช่นนี้อีก แต่ญิบรีลก็เข้ามาแทรกแซงในทำนองเดียวกัน ทำให้ท่านสงบลงและกลับบ้าน

มุฮัมมัดมั่นใจว่าสามารถแยกแยะความคิดของตนเองจากข้อความเหล่านี้ได้ การเปิดเผยอัลกุรอานในยุคแรกใช้วิธีการเตือนผู้ไม่ศรัทธาด้วยการลงโทษจากสวรรค์ ขณะเดียวกันก็สัญญาว่าจะให้รางวัลแก่ผู้ศรัทธา พวกเขาถ่ายทอดผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้น เช่น ความอดอยากและการสังหารผู้ที่ปฏิเสธพระเจ้าของมุฮัมมัด และพาดพิงถึงภัยพิบัติทั้งในอดีตและอนาคต โองการในคัมภีร์ยังเน้นย้ำถึงการพิพากษาครั้งสุดท้ายที่ใกล้จะมาถึง และภัยคุกคามจากไฟนรกสำหรับผู้คลางแคลงใจ เนื่องจากความซับซ้อนของประสบการณ์นี้ ในตอนแรกมุฮัมมัดจึงลังเลมากที่จะบอกคนอื่นเกี่ยวกับการเปิดเผยของท่าน ตอนแรก ท่านเล่าเรื่องราวให้เฉพาะสมาชิกครอบครัวและเพื่อนที่คัดมาเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ธรรมเนียมมุสลิมระบุว่า เคาะดีญะฮ์ ภรรยาของท่าน เป็นบุคคลแรกที่เชื่อว่าท่านเป็นศาสดา ตามมาด้วยอะลี อิบน์ อะบี ฏอลิบ ลูกพี่ลูกน้องอายุ 10 ขวบของท่าน อะบูบักร์ เพื่อนใกล้ชิด และซัยด์ บุตรบุญธรรม ขณะที่ข่าวการเปิดเผยของมุฮัมมัดแพร่กระจายไปทั่วครอบครัวที่เหลือของท่าน พวกเขาก็เริ่มมีความคิดเห็นแตกแยกกันเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้น โดยผู้ที่เชื่อในตัวท่านส่วนใหญ่เป็นเยาวชนและสตรี ในขณะที่ผู้ชายส่วนใหญ่ในรุ่นก่อน ๆ คัดค้านอย่างหนักแน่น

การต่อต้านในมักกะฮ์

มุฮัมมัดเริ่มเผยแผ่คำสอนแก่สาธารณชนเมื่อประมาณ ค.ศ. 613 ผู้ติดตามในตอนแรกหลายคนเป็นผู้หญิง เสรีชน บริวาร ทาส และสมาชิกคนอื่น ๆ ในชนชั้นตอนล่างทางสังคม บรรดาผู้เปลี่ยนศาสนาเหล่านี้ต่างเฝ้ารอคอยการเปิดเผยใหม่ ๆ จากมุฮัมมัดอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อท่านอ่านสิ่งเหล่านั้นแล้ว พวกเขาทั้งหมดก็จะอ่านตามท่านและจดจำมันไว้ และผู้ที่รู้หนังสือก็จะบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร มุฮัมมัดยังได้แนะนำพิธีกรรมต่าง ๆ ให้กับกลุ่มของท่าน ซึ่งรวมถึงการสวดมนต์ (ละหมาด) ด้วยท่าทางที่แสดงถึงการยอมจำนนอย่างสมบูรณ์ (อิสลาม) ต่อพระเจ้า และการทำทาน (ซะกาต) เป็นข้อกำหนดของชุมชนมุสลิม (อุมมะฮ์) เมื่อถึงจุดนี้ ขบวนการทางศาสนาของมุฮัมมัดจึงเป็นที่รู้จักในชื่อ ตะซักกา ('การทำให้บริสุทธิ์')

ในตอนแรก ท่านไม่ได้ประสบกับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากพลเมืองมักกะฮ์ที่เฉยเมยต่อกิจกรรมเปลี่ยนศาสนาของท่าน แต่เมื่อท่านเริ่มโจมตีความเชื่อของพวกเขา ความตึงเครียดจึงเกิดขึ้น เผ่ากุร็อยช์ท้าให้ท่านแสดงปาฏิหารย์ เช่น นำตาน้ำพุออกมา แต่ท่านปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่าความสม่ำเสมอของธรรมชาติเป็นข้อพิสูจน์ถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่เพียงพอแล้ว บางคนเยาะเย้ยต่อความล้มเหลวของท่านโดยสงสัยว่าทำไมพระเจ้าไม่ประทานทรัพย์สมบัติให้ท่านเสียที ในขณะที่อีกกลุ่มขอให้ท่านเดินทางไปสวรรค์และกลับมาพร้อมกับม้วนกระดาษอัลกุรอานที่จับต้องได้ แต่มุฮัมมัดยืนยันว่า อัลกุรอานในรูปแบบที่ท่านถ่ายทอดออกมานั้นเป็นข้อพิสูจน์ที่น่ามหัศจรรย์อยู่แล้ว

อัมร์ อิบน์ อัลอาศรายงานว่า ชาวกุร็อยช์บางคนรวมตัวกันที่ฮิจญร์และปรึกษาว่าพวกเขาไม่เคยเจอปัญหาร้ายแรงอย่างที่พวกเขาพบกับมุฮัมมัดมาก่อน พวกเขากล่าวว่าท่านได้เยาะเย้ยวัฒนธรรม ดูหมิ่นบรรพบุรุษ ดูถูกความศรัทธา ทำลายชุมชน และสาปแช่งเทพเจ้าของพวกเขา ต่อมา มุฮัมมัดเดินทางมา จูบหินดำ และทำพิธีเฎาะวาฟ ขณะที่มุฮัมมัดเดินผ่านพวกเขาไป มีรายงานว่าพวกเขาได้กล่าวร้ายต่อท่าน เหตุการณ์เดียวกันนี้เกิดขึ้นเมื่อท่านเดินผ่านพวกเขาเป็นครั้งที่สอง เมื่อผ่านไปเป็นครั้งที่สาม มุฮัมมัดก็หยุดและกล่าวว่า "เจ้าจะฟังข้าไหม โอ กุร็อยช์? ด้วยพระนาม (อัลลอฮ์) ผู้ทรงกุมชีวิตข้าไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ ข้านำการสังหารแก่เจ้า" พวกเขาเงียบและบอกให้ท่านกลับบ้าน โดยกล่าวว่าท่านไม่ใช่คนรุนแรง วันถัดมา ชาวกุร็อยช์จำนวนหนึ่งเข้ามาหาท่านแล้วถามว่าท่านได้พูดสิ่งที่พวกเขาได้ยินจากสหายของพวกเขาหรือไม่ ท่านตอบว่าใช่ และหนึ่งในนั้นได้จับเสื้อคลุมของท่าน อะบูบักร์แทรกขึ้นมาด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า "เจ้าจะฆ่าคนเพียงเพราะเขาพูดว่าอัลลอฮ์คือพระเจ้าของข้าหรือ?" แล้วพวกเขาก็จากท่านไป

พวกกุร็อยช์จึงพยายามหลอกล่อให้มุฮัมมัดหยุดสอนศาสนาด้วยการให้ท่านเข้าสู่วงในของพ่อค้า ตลอดจนการแต่งงานที่ได้เปรียบ แต่ท่านปฏิเสธทั้งสองข้อเสนอ จากนั้นคณะผู้แทนของพวกเขาที่นำโดยผู้นำตระกูลบะนูมัคซูม ซึ่งชาวมุสลิมรู้จักในชื่ออะบูญะฮัล ไปหาอะบูฏอลิบ ลุงของมุฮัมมัดผู้เป็นหัวหน้าตระกูลบะนูฮาชิมและผู้ดูแลมุฮัมมัด พร้อมให้คำขาดแก่เขาที่จะปฏิเสธมุฮัมมัด:

ขอสาบานต่อพระผู้เป็นเจ้า เราไม่สามารถทนต่อการถูกดูหมิ่นเหยียดหยามบรรพบุรุษของเรา เยาะเย้ยค่านิยมดั้งเดิมของเรา และดูหมิ่นพระเจ้าของเราได้อีกต่อไป อะบูฏอลิบ ท่านต้องหยุดมุฮัมมัดด้วยตัวเอง หรือไม่ก็ต้องปล่อยให้เราหยุดเขา ในเมื่อท่านเองก็มีจุดยืนเช่นเดียวกับเรา ขัดแย้งกับสิ่งที่เขาพูด เราจะกำจัดเขาให้พ้นจากท่าน

ตอนแรกอะบูฏอลิบไล่พวกเขาออกไปอย่างสุภาพ เพราะคิดว่าเป็นเพียงการพูดคุยที่ดุเดือด แต่เมื่อมุฮัมมัดเริ่มพูดเสียงดังขึ้น อะบูฏอลิบจึงขอร้องมุฮัมมัดว่าอย่าให้เขาแบกรับภาระหนักเกินกว่าที่เขาจะรับไหว ซึ่งมุฮัมมัดร้องไห้และตอบว่า ท่านจะไม่หยุดแม้พวกเขาจะเอาดวงอาทิตย์ไว้ในมือขวาและดวงจันทร์ไว้ในมือซ้ายก็ตาม เมื่อท่านหันกลับ อะบูฏอลิบก็เรียกท่านและกล่าวว่า "กลับมาเถิดหลานชาย พูดอะไรก็ได้ตามใจชอบ เพราะด้วยพระนามของพระผู้เป็นเจ้า ข้าจะไม่ทอดทิ้งเจ้าไปไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น"

กลุ่มตัวแทนกุร็อยช์ไปที่ยัษริบ

ผู้นำกุร็อยช์ส่งนัฎร์ อิบน์ อัลฮาริษและอุกบะฮ์ อิบน์ อะบี มุอัยฏ์ไปที่ยัษริบเพื่อขอความเห็นเกี่ยวกับมุฮัมมัดจากบรรดารับบีชาวยิว บรรดารับบีแนะนำให้พวกเขาถามมุฮัมมัดสามคำถาม: เล่าเรื่องราวของชายหนุ่มที่ออกเดินทางในยุคแรก; เล่าเรื่องราวของนักเดินทางที่เดินทางไปถึงสุดขอบโลกตะวันออกและตะวันตก; และให้รายละเอียดเกี่ยวกับวิญญาณ พวกเขากล่าวว่า หากมุฮัมมัดตอบถูก ท่านจะเป็นศาสดา หากไม่เช่นนั้นท่านจะเป็นคนโกหก เมื่อพวกเขากลับไปยังมักกะฮ์และถามคำถามเหล่านี้กับมุฮัมมัด ท่านบอกว่าเขาจะให้คำตอบในวันรุ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม 15 วันผ่านไปโดยปราศจากคำตอบจากพระผู้เป็นเจ้าของท่าน ทำให้เกิดการนินทาในหมู่ชาวมักกะฮ์และทำให้มุฮัมมัดเกิดความทุกข์ใจ ต่อมา ทูตสวรรค์ญิบรีลได้มาหามุฮัมมัดและให้คำตอบแก่ท่าน

เพื่อตอบคำถามข้อแรก อัลกุรอานเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับกลุ่มชายที่นอนหลับอยู่ในถ้ำ (อัลกุรอาน 18:9–25) ซึ่งนักวิชาการมักเชื่อมโยงกับตำนานผู้หลับใหลทั้งเจ็ดแห่งเมืองเอเฟซัส สำหรับคำถามข้อที่สอง อัลกุรอานกล่าวถึงซูลก็อรนัยน์ ซึ่งแปลตรงตัวว่า 'เจ้าของสองเขา' (อัลกุรอาน 18:93–99) ซึ่งเป็นเรื่องราวที่นักวิชาการเชื่อมโยงกับ Alexander Romance อย่างกว้างขวาง สำหรับคำถามข้อที่สาม เกี่ยวกับธรรมชาติของวิญญาณ การเปิดเผยในอัลกุรอานยืนยันว่าสิ่งนั้นเกินความเข้าใจของมนุษย์ ทั้งชาวยิวที่คิดคำถามเหล่านี้ขึ้นมาและชาวกุร็อยช์ที่นำคำถามเหล่านี้ไปถามมุฮัมมัดไม่ได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามเมื่อได้รับคำตอบ นัฎร์และอุกบะฮ์ถูกประหารชีวิตตามคำสั่งของมุฮัมมัดภายหลังยุทธการที่บะดัร ส่วนเชลยคนอื่น ๆ ถูกกักขังไว้เพื่อเรียกค่าไถ่ ขณะที่อุกบะฮ์วิงวอนว่า "แล้วใครจะดูแลลูก ๆ ของข้า มุฮัมมัด?" มุฮัมมัดตอบว่า "นรก!"

การอพยพไปยังอะบิสซีเนียและอุบัติการณ์โองการชัยฏอน

ใน ค.ศ. 615 มุฮัมมัดจึงส่งผู้ติดตามบางส่วนอพยพไปที่อาณาจักรอักซุมของอะบิสซีเนียและจัดตั้งอาณานิคมขนาดเล็กภายใต้การคุ้มครองของอันนะญาชี จักรพรรดิเอธิโอเปียที่นับถือศาสนาคริสต์ ในบรรดาผู้อพยพกลุ่มนั้นได้แก่อุมม์ฮะบีบะฮ์ บุตรสาวของอะบูซุฟยาน หนึ่งในหัวหน้าเผ่ากุร็อยช์ และสามีของเธอ ฝ่ายกุร็อยช์จึงส่งตัวชายสองคนให้นำตัวพวกเขากลับมา เนื่องจากงานเครื่องหนังในอะบิสซีเนียสมัยนั้นมีราคาแพงมาก พวกเขาจึงรวบรวมผืนหนังจำนวนมากและขนส่งไปที่นั่นเพื่อแจกจ่ายให้กับนายพลของอาณาจักรแต่ละคน แต่กษัตริย์ทรงปฏิเสธคำร้องขอของพวกเขาอย่างเหนียวแน่น

ในขณะที่อัฏเฏาะบะรีกับอิบน์ ฮิชามกล่าวถึงการอพยพไปอะบิสซีเนียเพียงครั้งเดียว อิบน์ ซะอด์ระบุว่ามีการอพยพถึงสองชุด โดยในสองชุดนั้น ประชากรกลุ่มแรกส่วนใหญ่เดินทางกลับมักกะฮ์ก่อนเหตุการณ์ฮิจเราะห์ ส่วนประชากรส่วนใหญ่ในกลุ่มที่สองยังคงอยู่ที่อะบิสซีเนียและเดินทางไปยังมะดีนะฮ์หลังเหตุการณ์ฮิจเราะห์ บันทึกเหล่านี้ยอมรับว่าการกดขี่มีบทบาทสำคัญต่อการที่มุฮัมมัดส่งพวกเขาไปที่นั่น ในจดหมายของอุรวะฮ์ที่อัฏเฏาะบะรีรักษาไว้ระบุว่า ผู้ที่อพยพเดินทางกลับมาหลังการเข้ารับอิสลามของบุคคลที่มีตำแหน่งหลายคน เช่น อุมัรกับฮัมซะฮ์

อัฏเฏาะบะรีกับคนอื่น ๆ บันทึกว่า มุฮัมมัดสิ้นหวังอย่างยิ่ง โดยหวังว่าจะได้อยู่ร่วมกับชนเผ่าของท่าน ดังนั้น ขณะที่ท่านอยู่ต่อหน้าชาวกุร็อยช์จำนวนหนึ่ง หลังกล่าวโองการที่กล่าวถึงเทพเจ้าที่พวกเขาโปรดปรานสามองค์ (อัลกุรอาน 53:19-20) ชัยฏอนสวมรอยคำพูด (put upon his tongue) กับสองโองการสั้นว่า: "เทพเจ้าเหล่านี้คือผู้เหินเวหา / ผู้ซึ่งการวิงวอนของพวกเธอเป็นที่หวัง" ("These are the high flying ones / whose intercession is to be hoped for.") สิ่งนี้นำไปสู่การคืนดีกันระหว่างมุฮัมมัดและชาวมักกะฮ์โดยทั่วไป และชาวมุสลิมในอะบิสซิเนียก็เริ่มเดินทางกลับบ้าน อย่างไรก็ตาม วันรุ่งขึ้น มุฮัมมัดได้ถอนโองการเหล่านี้ออกตามคำสั่งของญิบรีล โดยอ้างว่าโองการเหล่านี้ถูกชัยฏอนสวมรอยในลิ้นของท่าน และพระผู้เป็นเจ้าทรงยกเลิกโองการเหล่านั้นแล้ว แต่กลับมีข้อความสบประมาทเทพธิดาเหล่านั้นปรากฏขึ้นแทน ทำให้มุสลิมที่เดินทางกลับมาจำต้องทำข้อตกลงขอความคุ้มครองตามตระกูลก่อนที่จะเข้ามักกะฮ์อีกครั้ง

อุบัติการณ์โองการซาตานดังกล่าวได้รับการรายงานเป็นจำนวนมากและบันทึกไว้โดยนักชีวประวัติมุฮัมมัดคนสำคัญเกือบทั้งหมดในสองศตวรรษแรกของศาสนาอิสลาม ซึ่งสำหรับพวกเขาถือว่าสอดคล้องกับอัลกุรอาน 22:52 แต่นับตั้งแต่การก้าวขึ้นมาของขบวนการฮะดีษและเทววิทยาเชิงระบบที่มีหลักคำสอนใหม่ ๆ รวมถึงอิศมะฮ์ ซึ่งอ้างว่าศาสดามุฮัมมัดนั้นไม่มีความผิดพลาด และด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถถูกชัยฏอนหลอกได้ ความทรงจำทางประวัติศาสตร์ของชุมชนยุคแรกจึงได้รับการประเมินใหม่ ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 นักวิชาการมุสลิมได้ปฏิเสธเหตุการณ์นี้อย่างเป็นเอกฉันท์ ในขณะนี้นักชีวประวัติมุฮัมมัดชาวยุโรปส่วนใหญ่ยอมรับความจริงของเหตุการณ์เกี่ยวกับโองการชัยฏอนนี้โดยอาศัยเกณฑ์ของความอับอาย (criterion of embarrassment) Alfred T. Welch นักประวัติศาสตร์ เสนอว่า ช่วงเวลาที่มุฮัมมัดละทิ้งความเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวอย่างเคร่งครัดน่าจะยาวนานกว่านั้นมาก แต่ต่อมาได้สรุปไว้ในเรื่องราวที่ทำให้สั้นลงมาก และกล่าวหาว่าชัยฏอนเป็นผู้ร้าย

ใน ค.ศ. 616 มีการจัดทำข้อตกลงโดยตระกูลอื่น ๆ ในเผ่ากุร็อยช์ทั้งหมดที่บังคับใช้การคว่ำบาตรต่อบะนูฮาชิม ห้ามค้าขายและแต่งงานกับพวกเขา ถึงกระนั้น สมาชิกบะนูฮาชิมยังคงสามารถเดินทางรอบตัวเมืองได้อย่างมีอิสระ แม้ว่ามุฮัมมัดเผชิญกับการดูหมิ่นทางวาจามากขึ้น ท่านยังคงเดินทางและมีส่วนในการโต้วาทีในที่สาธารณะโดยไม่ถูกทำร้ายทางร่างกาย ในช่วงหลัง ฝ่ายกุร็อยช์จำนวนหนึ่งที่เห็นอกเห็นใจต่อบะนูฮาชิมริเริ่มความพยายามยุติการคว่ำบาตร ส่งผลให้เกิดฉันทามติทั่วไปให้ยกเลิกการคว่ำบาตรใน ค.ศ. 619

พยายามจัดตั้งตนเองในอัฏฏออิฟ

ใน ค.ศ. 619 มุฮัมมัดประสบกับช่วงแห่งความโศกเศร้า เนื่องจากเคาะดีญะฮ์ ภรรยาผู้สนับสนุนทางการเงินและอารมณ์ที่สำคัญของท่าน เสียชีวิต และอะบูฏอลิบ ลุงและผู้พิทักษ์ของท่าน ก็เสียชีวิตในปีเดียวกัน แม้ว่ามุฮัมมัดเรียกร้องให้อะบูฏอลิบเข้ารับอิสลามตอนที่เขาอยู่บนเตียงนอนขณะกำลังจะเสียชีวิต แต่เขาก็ยึดติดกับความเชื่อพหุเทวนิยมจนกระทั่งเสียชีวิตอะบูละฮับ ลุงของมุฮัมมัดอีกคนที่ขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าตระกูลบะนูฮาชิมต่อ ในตอนแรกเต็มใจที่จะปกป้องมุฮัมมัด แต่หลังได้ยินจากมุฮัมมัดว่าอะบูฏอลิบกับอับดุลมุฏฏอลิบจะต้องตกนรกเนื่องจากไม่ยอมรับอิสลาม เขาจึงถอนการสนับสนุน

จากนั้นมุฮัมมัดจึงเดินทางไปยังอัฏฏออิฟเพื่อสร้างตัวในเมืองและรับความช่วยเหลือกับการคุ้มครองไปจากชาวมักกะฮ์ แต่กลับมีผู้ตอบมาว่า: "ถ้าแกเป็นศาสดาจริง ๆ ทำไมต้องการความช่วยเหลือจากเราด้วย? ถ้าพระเจ้าส่งแกมาในฐานะศาสนทูต ทำไมพระองค์ไม่ปกป้องแก? และถ้าอัลลอฮ์ประสงค์ที่จะส่งศาสดาลงมา ทำไมพระองค์ไม่พบคนที่ดีไปกว่าแก ไอ้เด็กกำพร้าอ่อนแอไร้พ่อ?" เมื่อพบว่าภารกิจของท่านล้มเหลว มุฮัมมัดจึงขอให้ผู้คนในอัฏฏออิฟเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ด้วยความกลัวว่าสิ่งนี้จะเสริมสร้างความเป็นศัตรูของกุร็อยช์ต่อท่าน แต่ทว่า แทนที่จะตอบรับคำขอ พวกเขากลับขว้างก้อนหินใส่จนทำให้ขาของท่านบาดเจ็บ ในที่สุดท่านก็หลีกหนีความวุ่นวายและการข่มเหงรังแกนี้ด้วยการหลบหนีไปยังสวนของอุตบะฮ์ อิบน์ เราะบีอะฮ์ หัวหน้าเผ่าชาวมักกะฮ์ผู้มีบ้านพักตากอากาศในเมืองฏออิฟ มุฮัมมัดรู้สึกสิ้นหวังจากการถูกปฏิเสธและความเป็นปรปักษ์ที่ไม่คาดคิดในเมือง ณ จุดนี้ ท่านตระหนักได้ว่าท่านไม่มีความมั่นคงหรือความคุ้มครองใด ๆ เลยนอกจากพระผู้เป็นเจ้า ท่านจึงเริ่มละหมาด หลังจากนั้นไม่นาน อัดดาส ทาสคริสเตียนของอุตบะฮ์ ก็แวะมาและถวายองุ่น ซึ่งมุฮัมมัดก็รับไว้ เมื่อการพบปะสิ้นสุดลง อัดดาสรู้สึกท่วมท้นและจูบศีรษะ มือ และเท้าของมุฮัมมัดเพื่อแสดงความยอมรับในความเป็นศาสดาของท่าน

เมื่อมุฮัมมัดเดินทางกลับมักกะฮ์ ข่าวเหตุการณ์ในอัฏฏออิฟถึงหูของอะบูญะฮล์ และเขาตอบว่า "พวกเขาไม่ยอมให้มันเขาอัฏฏออิฟ ดังนั้นเราไม่ให้มันเข้ามักกะฮ์ด้วย" เมื่อรู้ถึสถานการณ์เช่นนีเ มุฮัมมัดจึงถามคนที่ขี่ม้าผ่านมาให้ส่งข้อความไปยังอัลอัคนัส อิบน์ ชุร็อยก์ สมาชิกทางฝั่งตระกูลแม่ เพื่อขอความคุ้มครองให้ท่านเข้าเมืองได้อย่างปลอดภัย แต่อัลอัคนัสปฏิเสธ โดยกล่าวว่าตนเป็นเพียงผู้เกี่ยวข้องกับเผ่ากุร็อยช์เท่านั้น จากนั้นมุฮัมมัดจึงส่งข้อความไปยังซุฮัยล์ อิบน์ อัมร์ที่ปฏิเสธตามหลักชนเผ่าเช่นเดียวกัน ท้ายที่สุด มุฮัมมัดจึงส่งคนไปถามมุฏอิม อิบน์ อะดี หัวหน้าตระกูลบะนูเนาฟัล มุฏอิมยอมรับ แล้วเตรียมตัวและขี่ออกไปตอนเช้าพร้อมบรรดาลูกและหลานชายเพื่อนำมุฮัมมัดเข้าเมือง เมื่ออะบูญะฮล์เห็นเขา เขาถามว่ามุฏอิมแค่ให้การคุ้มครองหรือหันไปเข้ารีตศาสนาของท่านแล้ว มุฏอิมกล่าวว่า "แค่ให้การคุ้มครองเขา" อะบูญะฮล์จึงตอนว่า "เราจะปกป้องใครก็ตามที่เจ้าคุ้มครอง"

อิสรออ์กับเมียะอ์รอจญ์

image
โองการอัลกุรอานบนโดมแห่งศิลา บริเวณนี้เป็นจุดที่มุสลิมเชื่อว่ามุฮัมมัดเดินทางขึ้นสู่สวรรค์

ในช่วงที่ตกต่ำของชีวิตมุฮัมมัดเป็นช่วงที่มีรายงานซีเราะฮ์เกี่ยวกับอิสรออ์กับเมียะอ์รอจญ์ ปัจจุบัน มุสลิมเชื่อว่าอิสรออ์คือการเดินทางของมุฮัมมัดจากมักกะฮ์ไปยังเยรูซาเลม ส่วนเมียะอ์รอจญ์คือการเดินทางจากเยรูซาเลมสู่ชั้นฟ้า ไม่มีหลักฐานที่เป็นรูปธรรมเกี่ยวกับเมียะอ์รอจญ์ในอัลกุรอาน เนื่องจากอัลกุรอานไม่ได้กล่าวถึงสิ่งนี้โดยตรง

ปีที่เกิดเหตุการณ์นี้ก็แตกต่างกันตามรายงาน อิบน์ ซะอด์บันทึกว่าการเมียะอ์รอจญ์เกิดขึ้นก่อนจากพื้นที่ใกล้กะอ์บะฮ์ไปยังชั้นฟ้า ในวันที่ 27 เราะมะฎอน 18 เดือนก่อนฮิจเราะห์ ส่วนการอิสรออ์จากมักกะฮ์ไปยังบัยตุลมักดิส เกิดขึ้นในคืนวันที่ 17 เราะบีอุษษานีก่อนการฮิจเราะห์ เป็นที่ทราบกันดีว่าเรื่องราวทั้งสองเรื่องนี้ถูกนำมารวมกันเป็นหนึ่งในภายหลัง ในบันทึกของอิบน์ ฮิชาม อิสรออ์มาก่อนแล้วตามด้วยเมียะอ์รอจญ์ และเขานำเรื่องราวเหล่านี้มาไว้ก่อนหน้าการเสียชีวิตของเคาะดีญะฮ์และอะบูฏอลิบ ในทางตรงกันข้าม อัฏเฏาะบะรีได้บันทึกเฉพาะเรื่องราวการขึ้นสู่ชั้นฟ้าของมุฮัมมัดจากสถานศักดิ์สิทธิ์ในมักกะฮ์สู่ "สวรรค์บนโลก" (the earthly heaven) เท่านั้น อัฏเฏาะบะรีนำเรื่องราวนี้มาวางไว้ในช่วงเริ่มต้นของการเผยแพร่ศาสนาของมุฮัมมัด ระหว่างบันทึกของเคาะดีญะฮ์ผู้กลายเป็น "บุคคลแรกที่ศรัทธาต่อศาสนทูตของอัลลอฮ์" และบันทึกของ "ชายคนแรกที่ศรัทธาต่อศาสนทูตของอัลลอฮ์"

อพยพไปมะดีนะฮ์

เมื่อการต่อต้านต่อการเผยแผ่ศาสนาของท่านในมักกะฮ์เพิ่มมากขึ้น มุฮัมมัดจึงเริ่มจำกัดความพยายามไว้เฉพาะกับผู้ที่ไม่ใช่ชาวมักกะฮ์ที่เข้าร่วมงานแสดงสินค้าหรือเดินทางแสวงบุญเท่านั้น ในช่วงเวลานี้ มุฮัมมัดพบกับบุคคลหกคนจากเผ่าบะนูค็อซร็อจญ์ บุคคลเหล่านี้มีประวัติการจู่โจมชาวยิวในพื้นที่ของตน ซึ่งต่อมาชาวยิวได้เตือนพวกเขาว่าจะมีศาสดามาลงโทษพวกเขา เมื่อได้ยินสาส์นทางศาสนาของมุฮัมมัด พวกเขาต่างพูดกันว่า "นี่คือศาสดาองค์เดียวกันที่ชาวยิวเตือนเรา อย่าให้พวกนั้นมาถึงก่อนเรา!" เมื่อรับอิสลามแล้ว พวกเขากลับไปยังเมืองมะดีนะฮ์และร่วมแบ่งปันประสบการณ์ โดยหวังว่าการให้เผ่าค็อซร็อจญ์และเผ่าเอาส์ ผู้คนของพวกเขาที่ขัดแย้งกันมานาน ยอมรับอิสลามและรับมุฮัมมัดเป็นผู้นำ จะทำให้ทั้งสองเกิดความสามัคคี

ปีถัดมา ผู้เปลี่ยนศาสนาห้าคนก่อนหน้านี้ได้กลับมาเยี่ยมท่านศาสดามุฮัมมัดอีกครั้ง พร้อมนำผู้มาใหม่เจ็ดคนมาด้วย ซึ่งสามคนมาจากบะนูเอาส์ พวกเขาได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะจงรักภักดีต่อท่านที่อะเกาะบะฮ์ ใกล้มักกะฮ์ จากนั้นศาสดามุฮัมมัดได้มอบหมายให้มุศอับ อิบน์ อุมัยร์ร่วมเดินทางกลับมะดีนะฮ์กับพวกเขาเพื่อเผยแพร่ศาสนาอิสลาม ต่อมาในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 622 ได้มีการจัดการประชุมลับครั้งสำคัญขึ้นอีกครั้งที่อะเกาะบะฮ์ ในการประชุมครั้งนี้ มีบุคคลจากมะดีนะฮ์ (ขณะนั้นคือเมืองยัษริบ) เข้าร่วม 75 คน รวมถึงสตรีสองคน ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้เปลี่ยนศาสนาทั้งหมดในโอเอซิส มุฮัมมัดได้ขอให้พวกเขาปกป้องท่าน เหมือนกับที่พวกเขาจะปกป้องภรรยาและลูกๆ ของพวกเขา พวกเขาเห็นพ้องและสาบานต่อท่าน ซึ่งโดยทั่วไปเรียกว่าการทำสัตยาบันอัลอะเกาะบะฮ์ครั้งที่สอง หรือคำมั่นสัญญาแห่งสงคราม คำสัญญาที่มุฮัมมัดมอบให้พวกเขาเพื่อแลกกับความภักดีคือสวรรค์

ต่อมา มุฮัมมัดได้เรียกร้องให้ชาวมุสลิมในมักกะฮ์ย้ายไปอยู่ที่มะดีนะฮ์ เหตุการณ์นี้รู้จักกันในชื่อ ฮิจเราะห์ ซึ่งมีความหมายตรงตัวว่า 'การอพยพ' การออกไปครั้งนี้กินเวลาราวสามเดือน มุฮัมมัดเลือกที่จะไม่เดินทางต่อ เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินทางมายังมะดีนะฮ์เพียงลำพัง ขณะที่ผู้ติดตามยังคงอยู่ในมักกะฮ์ แต่เลือกที่จะอยู่เฝ้าดูแลและชักชวนผู้ที่ลังเลใจแทน บางคนถูกครอบครัวขัดขวางไม่ให้เดินทางออกไป แต่ท้ายที่สุดก็ไม่เหลือชาวมุสลิมอยู่ในมักกะฺ์อีกต่อไป

ธรรมเนียมอิสลามระบุว่า เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อะบูญะฮัลได้เสนอให้ตัวแทนของแต่ละตระกูลร่วมกันลอบสังหารมุฮัมมัด หลังได้รับแจ้งเรื่องนี้จากทูตสวรรค์ญิบรีล มุฮัมมัดจึงขอให้อะลี ลูกพี่ลูกน้องของท่าน นอนบนเตียงที่คลุมด้วยผ้าคลุมสีเขียว โดยรับรองว่าจะช่วยปกป้องเขา คืนนั้น กลุ่มมือสังหารที่วางแผนไว้ได้เข้ามาใกล้บ้านของมุฮัมมัดเพื่อลงมือโจมตี แต่เปลี่ยนใจเมื่อได้ยินเสียงของเซาดะฮ์และบุตรสาวบางคนของมุฮัมมัด เพราะการฆ่าผู้ชายต่อหน้าผู้หญิงในครอบครัวถือเป็นเรื่องน่าละอาย พวกเขาจึงเลือกที่จะรอจนกว่ามุฮัมมัดจะออกจากบ้านในเช้าวันรุ่งขึ้น ชายคนหนึ่งแอบมองเข้าไปในหน้าต่างและเห็นสิ่งที่เขาเชื่อว่าเป็นมุฮัมมัด (แต่แท้จริงคืออะลีที่สวมผ้าคลุมของมุฮัมมัด) แม้ว่าพวกเขาไม่รู้ว่ามุฮัมมัดได้หลบหนีออกมาจากด้านหลังบ้านไปแล้วก็ตาม เมื่ออะลีออกไปเดินเล่นในเช้าวันรุ่งขึ้น พวกมือสังหารจึงรู้ว่าพวกตนถูกหลอก และชาวกุร็อยช์จึงเสนอค่าตอบแทนเป็นอูฐ 100 ตัวสำหรับการส่งร่างมุฮัมมัดกลับมา ไม่ว่าจะตายหรือยังมีชีวิตอยู่ หลังซ่อนตัวอยู่สามวัน มุฮัมมัดก็ออกเดินทางไปยังมะดีนะฮ์พร้อมกับอะบูบักร์ ซึ่งในขณะนั้นยังคงใช้ชื่อว่ายัษริบ ชายสองคนมาถึงมะดีนะฮ์ในวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 622 ชาวมุสลิมมักกะฮ์ที่อพยพไปนั้นถูกเรียกว่ามุฮาญิรูน ในขณะที่ชาวมุสลิมมะดีนะฮ์ถูกเรียกว่าอันศอร

ช่วงปีในมะดีนะฮ์

การสร้างชุมชนทางศาสนาในมะดีนะฮ์

หลังตั้งรกรากในมะดีนะฮ์ไม่กี่วัน มุฮัมมัดได้เจรจาเพื่อซื้อที่ดินผืนหนึ่ง บนที่ดินผืนนี้ ชาวมุสลิมเริ่มสร้างอาคารที่จะกลายเป็นที่พักอาศัยของมุฮัมมัด รวมถึงเป็นสถานที่รวมตัวของชุมชน (มัสยิด) สำหรับละหมาด ลำต้นถูกนำมาใช้เป็นเสาค้ำยันหลังคา และไม่มีแท่นเทศน์อันวิจิตรบรรจง แต่มุฮัมมัดยืนบนม้านั่งเล็ก ๆ เพื่อกล่าวสุนทรพจน์ต่อผู้เข้าร่วมชุมนุม อาคารหลังนี้สร้างเสร็จภายในเวลาประมาณเจ็ดเดือนในเดือนเมษายน ค.ศ. 623 กลายเป็นอาคารและมัสยิดแห่งแรกของชาวมุสลิม กำแพงด้านเหนือมีหินสลักบอกทิศทางการละหมาด (กิบลัต) ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่เยรูซาเลม มุฮัมมัดใช้อาคารนี้เป็นสถานที่จัดการประชุมสาธารณะและการประชุมทางการเมือง รวมถึงเป็นสถานที่ให้คนยากจนมารวมตัวกันเพื่อรับทาน อาหาร และการดูแล ชาวคริสต์และชาวยิวก็ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมพิธีทางศาสนาของชุมชนที่มัสยิดเช่นกัน เดิมที ศาสนาของมุฮัมมัดไม่มีวิธีการเรียกชุมชนให้มาละหมาดอย่างเป็นระบบ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ มุฮัมมัดได้พิจารณาใช้เขาแกะ (โชฟาร์) เหมือนชาวยิว หรือไม้ตีระฆังเหมือนชาวคริสต์ แต่มุสลิมคนหนึ่งในชุมชนได้ฝันว่ามีชายคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีเขียวบอกเขาว่าควรมีใครสักคนที่เสียงดังกังวานประกาศพิธีด้วยการร้องว่า "อัลลอฮุอักบัร" ('อัลลอฮ์ผู้ทรงยิ่งใหญ่') เพื่อเตือนชาวมุสลิมถึงความสำคัญอันดับแรกของพวกเขา เมื่อมุฮัมมัดได้ยินความฝันนี้ ท่านเห็นด้วยกับความคิดนี้และเลือกบิลาล อดีตทาสชาวอะบิสซิเนียที่ขึ้นชื่อเรื่องเสียงดัง เป็นคนอะษาน

รัฐธรรมนูญมะดีนะฮ์

ข้อความที่นักเขียนอิสลามร่วมสมัยนิยมเรียกว่า รัฐธรรมนูญมะดีนะฮ์ เป็นพันธสัญญาทางกฎหมายหรือคำประกาศที่มุฮัมมัดเขียนขึ้นโดยฝ่ายเดียว อิบน์ อิสฮากหลังบรรยายถึงฮิจเราะห์แล้ว ยืนยันว่ามุฮัมมัดเป็นผู้เขียนข้อความนี้และเปิดเผยเนื้อหาโดยไม่อาศัยระบบการยืนยันของอิสลาม โดยทั่วไปถือเป็นการตั้งชื่อที่ไม่ชัดเจน เนื่องจากข้อความนี้ไม่ได้สถาปนารัฐหรือบัญญัติกฎเกณฑ์อัลกุรอาน แต่กล่าวถึงเรื่องของชนเผ่า แม้ว่านักวิชาการทั้งฝั่งตะวันตกและโลกมุสลิมเห็นพ้องต้องกันถึงความแน่แท้ของข้อความ แต่ยังคงมีความเห็นไม่ตรงกันว่าข้อความดังกล่าวเป็นสนธิสัญญาหรือคำประกาศฝ่ายเดียวของศาสดามุฮัมมัด จำนวนเอกสารที่ประกอบกันขึ้น ฝ่ายหลัก ช่วงเวลาที่สร้างข้อความนั้นโดยเฉพาะ (หรือส่วนประกอบต่าง ๆ) ไม่ว่าจะร่างไว้ก่อนหรือหลังจากศาสดามุฮัมมัดขับไล่ชนเผ่าชาวยิวสามเผ่าหลักแห่งมะดีนะฮ์ออกไป และแนวทางในการแปลที่เหมาะสม

ในข้อความ ชนเผ่าอาหรับและยิวในมะดีนะฮ์ได้ให้คำมั่นว่าจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับชาวมุสลิม และจะไม่ทำสนธิสัญญาแยกต่างหากกับมักกะฮ์ นอกจากนี้ยังรับรองเสรีภาพทางศาสนาของชาวยิวอีกด้วย ในข้อตกลงนี้ ทุกคนภายใต้เขตอำนาจศาลของสนธิสัญญานี้มีหน้าที่ปกป้องและคุ้มครองโอเอซิสหากถูกโจมตี ในทางการเมือง ข้อตกลงนี้ช่วยให้มุฮัมมัดเข้าใจดีขึ้นว่าใครอยู่ฝ่ายท่าน

เริ่มต้นความขัดแย้งทางทหาร

หลังการอพยพ ชาวมักกะฮ์ได้ยึดทรัพย์สินของชาวมุสลิมที่อพยพไปยังมะดีนะฮ์ ภายหลังเกิดสงครามขึ้นระหว่างชาวมักกะฮ์กับมุสลิม มุฮัมมัดกล่าวถึงโองการอัลกุรอานที่อนุญาตให้มุสลิมต่อสู้กับชาวมักกะฮ์ได้ รายงานจากธรรมเนียมมุสลิม ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 624 ขณะละหมาดอยู่ในมัสยิดอัลกิบละตัยน์ที่มะดีนะฮ์ มุฮัมมัดได้รับโองการจากอัลลอฮ์ให้เปลี่ยนกิบลัตจากเยรูซาเลมไปยังมักกะฮ์ขณะละหมาด มุฮัมมัดจึงปรับตัวเข้ากับทิศทางใหม่ และผู้ติดตามของท่านที่ร่วมละหมาดจึงทำตามคำแนะนำของท่าน เป็นการเริ่มต้นธรรมเนียมการหันหน้าไปทางมักกะฮ์ระหว่างการละหมาด

สำหรับบรรดาผู้ (ที่ถูกโจมตีนั้น) ได้รับอนุญาตให้ต่อสู้ได้ เพราะพวกเขาถูกข่มเหง และแท้จริงอัลลอฮ์ทรงสามารถที่จะช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างแน่นอน บรรดาผู้ที่ถูกขับไล่ออกจากบ้านเรือนของพวกเขา โดยปราศจากความยุติธรรม นอกจากพวกเขากล่าวว่า "อัลลอฮ์คือพระเจ้าของเราเท่านั้น" และหากว่าอัลลอฮ์ทรงขัดขวางมิให้มนุษย์ต่อสู้ซึ่งกันและกันแล้ว บรรดาหอสวด และโบสถ์ (ของพวกคริสต์) และสถานที่สวด (ของพวกยิว) และมัสยิดทั้งหลายที่พระนามของอัลลอฮ์ ถูกกล่าวรำลึกอย่างมากมาย ต้องถูกทำลายอย่างแน่นอน และแน่นอนอัลลอฮ์ จะทรงช่วยเหลือผู้ที่สนับสนุนศาสนาของพระองค์ แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงพลัง ผู้ทรงเดชานุภาพอย่างแท้จริง

— อัลกุรอาน (22:39–40)

มุฮัมมัดสั่งการโจมตีเพื่อยึดกองคาราวานชาวมักกะฮ์หลายครั้ง แต่มีเพียงการโจมตีครั้งที่ 8 เท่านั้น (การโจมตีที่นัคละฮ์) ที่ส่งผลให้เกิดการสู้รบและยึดครองทรัพย์สินและนักโทษ ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 624 มุฮัมมัดได้นำนักรบประมาณ 300 นาย ไปโจมตีกองคาราวานของมักกะฮ์ โดยซุ่มอยู่ที่บัดร์ เมื่อทราบถึงแผนการนี้ กองคาราวานมักกะฮ์จึงหลบหนีชาวมุสลิมไปได้ กองกำลังมักกะฮ์จึงถูกส่งไปคุ้มกันกองคาราวาน และได้เผชิญหน้ากับชาวมุสลิมเมื่อได้รับแจ้งว่ากองคาราวานปลอดภัย เนื่องจากพวกมักกะฮ์มีจำนวนมากกว่ามุสลิมอยู่ 3 ต่อ 1 ความกลัวจึงแผ่ไปทั่วค่ายมุสลิม มุฮัมมัดพยายามปลุกขวัญกำลังใจของพวกเขาโดยบอกพวกเขาว่า ท่านฝันว่าอัลลอฮ์ทรงสัญญาว่าจะส่งทูตสวรรค์ 1,000 องค์ไปต่อสู้กับพวกเขา จากมุมมองทางยุทธวิธี มุฮัมมัดวางกองกำลังไว้ด้านหน้าบ่อน้ำทั้งหมดเพื่อให้ชาวกุร็อยช์ต้องต่อสู้เพื่อแย่งน้ำ และจัดวางกองกำลังอื่น ๆ ในลักษณะที่ต้องให้ชาวกุร็อยช์ต่อสู้บนเนินเขาขณะหันหน้าไปทางดวงอาทิตย์ด้วยยุทธการที่บะดัรเกิดขึ้น และฝ่ายมุสลิมชนะสงคราม โดยชาวมักกะฮ์ถูกสังหารไปอย่างน้อย 45 คน และฝ่ายมุสลิมเสียชีวิตไป 14 คน พวกเขายังสามารถสังหารผู้นำมักกะฮ์หลายคน เช่น อะบูญะฮัล มีการจับนักโทษ 70 คน โดยส่วนใหญ่ได้รับค่าไถ่ มุฮัมมัดกับผู้ติดตามเห็นชัยชนะครั้งนี้เป็นการยืนยันความศรัทธา และท่านยกย่องชัยชนะนี้ว่ามาจากการช่วยเหลือของเหล่าทูตสวรรค์ที่มองไม่เห็น คัมภีร์อัลกุรอานในช่วงนี้กล่าวถึงปัญหาในทางปฏิบัติของรัฐบาลและประเด็นต่าง ๆ เช่น การแบ่งทรัพย์ที่ริบมา ต่างจากคัมภีร์ช่วงประทานที่มักกะฮ์

ชัยชนะครั้งนี้ทำให้ตำแหน่งของมุฮัมมัดในมะดีนะฮ์แข็งแกร่งขึ้น และขจัดข้อสงสัยที่เคยมีมาในหมู่ผู้ติดตามของท่าน ส่งผลให้การต่อต้านท่านลดน้อยลง คนนอกศาสนาที่ยังไม่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามรู้สึกขมขื่นอย่างยิ่งต่อความก้าวหน้าของศาสนาอิสลาม อัศมาอ์ บินต์ มัรวานจากเผ่าเอาส์มะนาต และอะบู อะฟักจากเผ่าอัมร์ บิน เอาฟ์ คนนอกศาสนาสองคน ได้แต่งบทกวีสบประมาทและดูหมิ่นชาวมุสลิม ทั้งสองถูกสังหารโดยคนในตระกูลเดียวกันหรือตระกูลที่เกี่ยวข้อง และมุฮัมมัดไม่ได้คัดค้านการสังหารดังกล่าว อย่างไรก็ตาม บางคนมองว่ารายงานนี้เป็นเรื่องแต่งขึ้น สมาชิกส่วนใหญ่ของชนเผ่านั้นเข้ารีตเป็นอิสลาม และมีการต่อต้านจากกลุ่มนอกศาสนาเพียงเล็กน้อย

ความขัดแย้งกับชนเผ่ายิว

เมื่อจัดเตรียมค่าไถ่สำหรับเชลยชาวมักกะฮ์เสร็จสิ้นแล้ว ท่านจึงเริ่มทำปิดล้อมบะนูก็อยนุกออ์ ซึ่งถือเป็นชนเผ่าชาวยิวที่อ่อนแอสุดและร่ำรวยที่สุดจากชาวยิวสามเผ่าหลักของมะดีนะฮ์ แหล่งข้อมูลของมุสลิมให้เหตุผลสำหรับการปิดล้อมครั้งนี้แตกต่างกัน รวมถึงการทะเลาะวิวาทระหว่างฮัมซะฮ์กับอะลีในตลาดบะนูก็อยนุกออ์ และอีกฉบับหนึ่งโดยอิบน์ อิสฮากที่เล่าเรื่องราวมุสลิมะฮ์ที่ถูกช่างทองก็อยนุกออ์กลั่นแกล้ง ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด บะนูก็อยนุกออ์ได้หลบในป้อมปราการของพวกตน ซึ่งมุฮัมมัดได้ปิดกั้นไว้ ตัดขาดการเข้าถึงเสบียงอาหาร บะนูก็อยนุกออ์ได้ขอความช่วยเหลือจากพันธมิตรชาวอาหรับ แต่ชาวอาหรับปฏิเสธเนื่องจากพวกเขาสนับสนุนมุฮัมมัด หลังจากนั้นประมาณสองสัปดาห์ บะนูก็อยนุกออ์จึงยอมจำนนโดยไม่ทำการต่อสู้

หลังการยอมจำนนของก็อยนุกออ์ มุฮัมมัดกำลังเคลื่อนตัวเพื่อประหารชีวิตคนในเผ่า เมื่ออับดุลลอฮ์ อิบน์ อุบัย หัวหน้ามุสลิมเผ่าค็อซร็อจญ์ที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากก็อยนุกออ์ในอดีต กระตุ้นเตือนให้มุฮัมมัดผ่อนปรนโทษ ในเหตุการณ์ที่เล่าขานกัน มุฮัมมัดหันหลังให้อิบน์ อุบัย แต่หัวหน้าเผ่าไม่ย่อท้อ คว้าเสื้อคลุมของมุฮัมมัดไว้ และไม่ยอมปล่อย จนกระทั่งมุฮัมมัดยินยอมผ่อนปรนโทษ แม้จะโกรธแค้นกับเหตุการณ์นี้ แต่มุฮัมมัดก็ไว้ชีวิตบะนูก็อยนุกออ์ โดยกำหนดให้พวกเขาต้องออกจากมะดีนะฮ์ภายในสามวันและมอบทรัพย์สินให้กับชาวมุสลิม ส่วนมุฮัมมัดเก็บไว้หนึ่งส่วนห้า (คุมส์)

กะอบ์ อิบน์ อัลอัชร็อฟ ชายลูกครึ่งยิวผู้มั่งคั่งจากบะนูอันนะฎีรและนักวิจารณ์มุฮัมมัดอย่างแข็งขัน เพิ่งกลับมาจากมักกะฮ์หลังแต่งบทกวีไว้อาลัยต่อการเสียชีวิตของชาวกุร็อยช์ที่บัดร์ และปลุกเร้าให้พวกเขาตอบโต้ เมื่อมุฮัมมัดทราบถึงการยุยงปลุกปั่นต่อมุสลิมนี้ ท่านจึงถามผู้ติดตามของท่านว่า "ใครพร้อมที่จะสังหารกะอบ์ ผู้ได้ทำร้ายอัลลอฮ์และสาวกของพระองค์?"อิบน์ มัสลามะฮ์เสนอตัว โดยอธิบายว่าภารกิจนี้ต้องใช้การหลอกลวง มุฮัมมัดไม่ได้โต้แย้งเรื่องนี้ จากนั้นเขาได้รวบรวมผู้สมรู้ร่วมคิด รวมถึง Abu Naila พี่/น้องชายบุญธรรมของกะอบ์ พวกเขาแสร้งทำเป็นบ่นเกี่ยวกับความยากลำบากหลังเปลี่ยนศาสนา โดยชักชวนกะอบ์ให้ยืมอาหารแก่พวกเขา ในคืนที่พบกับกะอบ์ พวกเขาได้สังหารกะอบ์เมื่อเขาไม่ทันตั้งตัว

การตอบโต้ของมักกะฮ์

image
"ศาสดามุฮัมมัดกับกองทัพมุสลิม ณ ยุทธการที่อุฮุด" จาก Siyer-i Nebi

ใน ค.ศ. 625 ฝ่ายกุร็อยช์ที่เหนื่อยล้าจากการโจมตีกองคาราวานของมุฮัมมัดอย่างต่อเนื่อง ตัดสินใจลงมือปฏิบัติการอย่างเด็ดขาด พวกเขาได้รวบรวมกองทัพเพื่อต่อต้านมุฮัมมัดที่นำโดยอะบูซุฟยาน เมื่อได้รับแจ้งจากหน่วยสอดแนมถึงภัยคุกคามที่กำลังใกล้เข้ามา มุฮัมมัดจึงเรียกประชุมสภาสงคราม ในตอนแรกท่านพิจารณาที่จะป้องกันจากใจกลางเมือง แต่ต่อมาตัดสินใจเผชิญหน้ากับข้าศึกในการต่อสู้แบบเปิดที่เขาอุฮุด ตามคำยืนกรานของผู้ติดตามกลุ่มคนรุ่นหนุ่มของท่าน ขณะที่พวกเขากำลังเตรียมตัวออกเดินทาง พันธมิตรชาวยิวที่เหลืออยู่ของอับดุลลอฮ์ อิบนุ อุบัยย์ได้เสนอความช่วยเหลือ ซุ่งมุฮัมมัดปฏิเสธ แม้จะมีจำนวนน้อยกว่า แต่ชาวมุสลิมก็ยังคงรักษาพื้นที่ไว้ได้ในตอนแรก แต่เสียเปรียบเมื่อพลธนูบางคนฝ่าฝืนคำสั่ง เมื่อข่าวลือเรื่องการเสียชีวิตของมุฮัมมัดแพร่สะพัด ชาวมุสลิมก็เริ่มหลบหนี แต่ท่านได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยและสามารถหลบหนีไปพร้อมกับกลุ่มผู้จงรักภักดี ชาวมักกะฮ์พอใจที่ได้คืนเกียรติยศของตนแล้ว จึงเดินทางกลับมักกะฮ์ ความสูญเสียครั้งใหญ่ที่ชาวมุสลิมต้องเผชิญในยุทธการที่อุฮุด ส่งผลให้ภรรยาและลูกสาวจำนวนมากต้องอยู่โดยไม่มีผู้คุ้มครองที่เป็นชาย ดังนั้นหลังการสู้รบ มุฮัมมัดจึงได้รับการประทานโองการว่าอนุญาตให้ชายมุสลิมสามารถมีภรรยาได้ถึงคนละสี่คน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการมีภรรยาหลายคนในศาสนาอิสลาม

ต่อมา มุฮัมมัดพบว่าตนเองจำเป็นต้องจ่ายเงินเลือด (blood money) ให้กับบะนูอามิร ท่านจึงขอความช่วยเหลือทางการเงินจากชนเผ่ายิวบะนูอันนะฎีร และพวกเขาก็ตกลงตามคำขอของท่าน อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่รออยู่ ท่านได้ออกจากผู้ติดตามและหายตัวไป อิบน์ อิสฮากรายงานว่า เมื่อพวกเขาพบท่านที่บ้าน มุฮัมมัดเปิดเผยว่าท่านได้รับการเปิดเผยจากอัลลอฮ์ (divine revelation) เกี่ยวกับแผนการลอบสังหารตัวท่านโดยชนเผ่าบะนูอันนะฎีร ซึ่งใช้วิธีการทิ้งก้อนหินลงมาจากหลังคา จากนั้นมุฮัมมัดจึงเริ่มการปิดล้อมชนเผ่า ในช่วงเวลานี้ ท่านยังสั่งให้โค่นและเผาสวนปาล์มของพวกเขา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประกาศสงครามในคาบสมุทรอาหรับอย่างชัดเจน หลังจากนั้นประมาณสองสัปดาห์ ชนเผ่าบะนูอันนะฎีรก็ยอมจำนน พวกเขาได้รับคำสั่งให้ย้ายออกจากดินแดนของตนและได้รับอนุญาตให้ขนส่งสินค้าได้เพียงหนึ่งคันอูฐต่อประชากรสามคน จากทรัพย์ที่ได้มา มุฮัมมัดอ้างสิทธิ์ในผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งมีข้าวบาร์เลย์งอกงามท่ามกลางต้นปาล์ม

การโจมตีบะนูมุศเฏาะลิก

เมื่อได้รับรายงานว่าชาวบะนูมุศเฏาะลิกกำลังวางแผนโจมตีมะดีนะฮ์ กองกำลังของมุฮัมมัดจึงโจมตีพวกเขาอย่างกะทันหันที่แหล่งน้ำ ทำให้พวกเขาต้องหลบหนีอย่างรวดเร็ว ในการเผชิญหน้ากัน ชาวมุสลิมสูญเสียกำลังพลไปหนึ่งนาย ขณะที่ศัตรูสูญเสียกำลังพลไปสิบนาย ชาวมุสลิมได้ยึดอูฐ 2,000 ตัว แกะและแพะ 500 ตัว และผู้หญิงจากเผ่า 200 คนเป็นส่วนหนึ่งของชัยชนะ ต่อมา ทูตเดินทางมาถึงมะดีนะฮ์เพื่อเจรจาค่าไถ่สำหรับหญิงและเด็ก แม้จะมีทางเลือก แต่พวกเขาทั้งหมดก็เลือกที่จะกลับประเทศของตนแทนที่จะอยู่ต่อ

ยุทธการสนามเพลาะ

ด้วยความช่วยเหลือจากบะนูอันนะฎีรผู้ถูกเนรเทศ อะบูซุฟยาน ผู้นำทหารของกุร็อยช์ ระดมกำลังพลได้ 10,000 นาย มุฮัมมัดเตรียมกำลังพลไว้ประมาณ 3,000 นาย และนำรูปแบบการป้องกันที่ไม่เคยพบในอาหรับในสมัยนั้นมาใช้ ชาวมุสลิมได้ขุดสนามเพลาะขึ้นทุกจุดในเมืองมะดีนะฮ์ที่เปิดช่องให้ทหารม้าโจมตี แนวคิดนี้มาจากซัลมาน อัลฟาริซี ชาวเปอร์เซียที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม การปิดล้อมมะดีนะฮ์เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 627 และกินเวลานานสองสัปดาห์ กองทหารของอะบูซุฟยานไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับป้อมปราการนี้ และหลังจากการปิดล้อมที่ไม่มีประสิทธิภาพ กองกำลังผสมจึงตัดสินใจกลับบ้าน อัลกุรอานกล่าวถึงยุทธการนี้ในซูเราะฮ์อัลอะห์ซาบ โองการที่ 33:9–27 ในระหว่างสงคราม ชนเผ่ายิวบะนูกุร็อยเซาะฮ์ที่อยู่ทางใต้ของมะดีนะฮ์ ได้เจรจากับกองกำลังมักกะฮ์เพื่อก่อกบฏต่อต้านมุฮัมมัด แม้ว่ากองกำลังมักกะฮ์ถูกโน้มน้าวด้วยกระแสที่ว่ามุฮัมมัดจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน แต่พวกเขาก็ต้องการความมั่นใจในกรณีที่ฝ่ายสหพันธ์ไม่สามารถทำลายท่านได้ การเจรจาที่ยืดเยื้อเป็นเวลานานไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความพยายามก่อวินาศกรรมโดยหน่วยสอดแนมของมุฮัมมัด หลังการล่าถอยของกองกำลังผสม ฝ่ายมุสลิมกล่าวหาบะนูกุร็อยเซาะฮ์ว่าทรยศและปิดล้อมพวกเขาไว้ในป้อมปราการเป็นเวลา 25 วัน ในที่สุดชาวบะนูกุร็อยเซาะฮ์ก็ยอมจำนน อิบน์ อิสฮากรายงานว่า ผู้ชายทั้งหมดถูกตัดศีรษะ ยกเว้นผู้ที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามเพียงไม่กี่คน ขณะที่ผู้หญิงและเด็กกลายเป็นทาส Walid N. Arafat และ Barakat Ahmad ได้โต้แย้งความถูกต้องของเรื่องเล่าของอิบน์ อิสฮาก Arafat เชื่อว่าแหล่งข้อมูลชาวยิวของอิบน์ อิสฮากที่กล่าวถึงหลังเกิดเหตุการณ์นี้กว่า 100 ปี ได้เชื่อมโยงเรื่องราวนี้เข้ากับความทรงจำเกี่ยวกับการสังหารหมู่ครั้งก่อน ๆ ในประวัติศาสตร์ชาวยิว เขาตั้งข้อสังเกตว่ามาลิก อิบน์ อะนัส ผู้อยู่ร่วมสมัย มองว่าอิบน์ อิสฮากเป็นนักประวัติศาสตร์ที่เชื่อถือไม่ได้ และภายหลังอิบน์ ฮะญัรมองตัวอิบน์ อิสฮากเป็นผู้ถ่ายทอด "เรื่องเล่าประหลาด" Ahmad โต้แย้งว่ามีเพียงสมาชิกชนเผ่าบางส่วนเท่านั้นที่ถูกสังหาร ในขณะที่นักรบบางส่วนก็ถูกจับเป็นทาส Watt พบว่าข้อโต้แย้งของ Arafat "ไม่น่าเชื่อถือทั้งหมด" ในขณะที่ Meir J. Kister ได้หักล้างข้อโต้แย้งของ Arafat และ Ahmad

ในการล้อมเมืองมะดีนะฮ์ ชาวมักกะฮ์ได้ใช้กำลังที่มีอยู่เพื่อทำลายชุมชนมุสลิม ความล้มเหลวนี้ส่งผลให้สูญเสียชื่อเสียงศักดิ์ศรีอย่างมาก การค้าขายกับซีเรียของพวกเขาก็สูญสิ้นไป หลังจากยุทธการที่สนามเพลาะ มุฮัมมัดได้เดินทัพไปทางเหนือสองครั้ง ซึ่งทั้งสองครั้งสิ้นสุดลงโดยไม่มีการสู้รบ ขณะเดินทางกลับจากการเดินทางครั้งหนึ่ง (หรือหลายปีก่อนหน้านั้น ตามบันทึกอื่น ๆ ในยุคแรก) ได้มีการกล่าวหาว่าอาอิชะฮ์ ภรรยาของมุฮัมมัด ว่ามีชู้ อาอิชะฮ์พ้นผิดจากข้อกล่าวหาเมื่อมุฮัมมัดประกาศว่าท่านได้รับโองการที่ยืนยันความบริสุทธิ์ของอาอิชะฮ์ และสั่งให้พยานสี่คนสนับสนุนข้อกล่าวหาเรื่องการชู้ (ซูเราะฮ์ที่ 24 อันนูร)

การสังหารหมู่บะนูกุร็อยเซาะฮ์

ในวันที่กองกำลังกุร็อยช์และพันธมิตรถอนทัพ ทูตสวรรค์ญิบรีลเยี่ยมเยียนมุฮัมมัดขณะกำลังอาบน้ำที่บ้านภรรยาของท่าน โดยสั่งให้ท่านโจมตีชนเผ่ายิวแห่งบะนูกุร็อยเซาะฮ์ แหล่งข้อมูลอิสลามระบุว่าระหว่างการปิดล้อมจากมักกะฮ์ครั้งก่อน อะบูซุฟยาน ผู้นำกุร็อยช์ ได้ยุยงให้บะนูกุร็อยเซาะฮ์โจมตีชาวมุสลิมจากบริเวณที่พักของพวกเขา แต่บะนูกุร็อยเซาะฮ์เรียกร้องให้ฝ่ายกุร็อยช์จัดหาตัวประกัน 70 คนจากกลุ่มเดียวกัน เพื่อยืนยันความแน่ชัดว่าแผนการของพวกเขาตามที่นุอัยม์ อิบน์ มัสอูด สายลับของมุฮัมมัดเสนอไว้ อะบูซุฟยานปฏิเสธข้อเรียกร้องดังกล่าว อย่างไรก็ตาม บันทึกในภายหลังอ้างว่าชาวยิว 11 คนจากบะนูกุร็อยเซาะฮ์ได้ก่อความวุ่นวายและลงมือต่อต้านมุฮัมมัด แม้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวอาจถูกทำให้เกินความเป็นจริงภายในธรรมเนียมก็ตาม

มุฮัมมัดอ้างถึงการวางแผนชั่วร้ายของบะนูกุร็อยเซาะฮ์ จึงได้ปิดล้อมเผ่านี้ แม้ว่าทางเผ่าปฏิเสธข้อกล่าวหาก็ตาม อย่างไรก็ตาม มีแหล่งข้อมูลที่ระบุว่าฝ่ายบะนูกุร็อยเซาะฮ์ละเมิดสนธิสัญญากับมุฮัมมัดและช่วยเหลือศัตรูของชาวมุสลิมระหว่างยุทธการที่สนามเพลาะ เมื่อสถานการณ์กลับตาลปัตรต่อบะนูกุร็อยเซาะฮ์ ชนเผ่าจึงเสนอที่จะออกจากดินแดนของตนโดยนำอูฐบรรทุกสัมภาระคนละหนึ่งตัว แต่มุฮัมมัดปฏิเสธ พวกเขาจึงเสนอที่จะออกไปโดยไม่เอาอะไรติดตัวไปด้วย แต่ข้อเสนอนี้ก็ถูกปฏิเสธเช่นกัน โดยมุฮัมหมัดยืนกรานให้พวกเขายอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไข ต่อมาบะนูกุร็อยเซาะฮ์ได้ขอหารือกับเอาส์ พันธมิตรกลุ่มหนึ่งของพวกเขาที่เข้ารับอิสลาม นำไปสู่การมาถึงของอะบู ลุบาบะฮ์ เมื่อถูกถามถึงเจตนาของมุฮัมมัด เขาชี้ไปที่ลำคอ แสดงถึงการสังหารหมู่ที่ใกล้จะเกิดขึ้น เขารู้สึกเสียใจในความประมาทของตนทันที และผูกตัวเองไว้กับเสาต้นหนึ่งของมัสยิดเพื่อเป็นการชดใช้ความผิด

หลังล้อมเป็นเวลา 25 วัน ฝ่ายบะนูกุร็อยเซาะฮ์ยอมจำนน มุสลิมจากบะนูเอาส์ได้วิงวอนขอความเมตตาจากมุฮัมมัด ทำให้ท่านเสนอให้คนของพวกเขาคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษา ซึ่งพวกเขายอมรับ มุฮัมมัดได้มอบหมายหน้าที่นี้ให้กับซะอด์ อิบน์ มุอาษ ชายผู้ใกล้เสียชีวิตจากการติดเชื้อที่บาดแผลจากการปิดล้อมครั้งก่อน เขาประกาศว่าชายทุกคนควรถูกประหารชีวิต ทรัพย์สินของพวกเขาควรถูกแบ่งให้กับชาวมุสลิม และสตรีและเด็กของพวกเขาควรถูกจับเป็นเชลย มุฮัมมัดเห็นด้วยกับคำประกาศนี้โดยกล่าวว่าสอดคล้องกับการพิพากษาของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ ชายชาวบะนูกุร็อยเซาะฮ์ 600–900 คนจึงถูกประหารชีวิต ผู้หญิงและเด็กถูกนำไปเป็นทาส และบางส่วนถูกนำตัวไปขายที่นัจญด์ รายได้ทั้งหมดถูกนำไปใช้ซื้ออาวุธและม้าให้กับชาวมุสลิม

อุบัติการณ์กับบะนูฟะซาเราะฮ์

หลังความขัดแย้งกับบะนูกุร็อยเซาะฮ์ไม่กี่เดือน มุฮัมมัดจัดคาราวานเพื่อทำการค้าขายในซีเรีย ซัยด์ อิบน์ ฮาริษะฮ์ได้รับมอบหมายให้ดูแลขบวนคาราวาน เมื่อพวกเขาเดินทางผ่านดินแดนของบะนูฟะซาเราะฮ์ที่ซัยด์เคยโจมตีมาก่อน ชนเผ่าได้ฉวยโอกาสแก้แค้นด้วยการโจมตีกองคาราวานและทำร้ายเขา เมื่อกลับมาถึงมะดีนะฮ์ มุฮัมมัดได้สั่งให้ซัยด์ทำปฏิบัติการลงโทษบะนูฟะซาเราะฮ์ ซึ่งอุมมุลกิรฟะฮ์ สตรีหัวหน้าเผ่าของพวกเขา ถูกจับและประหารชีวิตอย่างโหดร้าย

สนธิสัญญาฮุดัยบิยะฮ์

image
กะอ์บะฮ์ในมักกะฮ์เป็นจุดศูนย์กลางทางเศรษฐกิจกับศาสนาของพื้นที่มาอย่างยาวนาน หลังจากมุฮัมมัดมาถึงมะดีนะฮ์ 17 เดือน สถานที่นี้จึงได้กลายเป็นกิบลัตสำหรับละหมาดของชาวมุสลิม ตัวกะอ์บะฮ์มีการสร้างใหม่หลายรอบ โดยอาคารหลังปัจจุบันสร้างขึ้นใน ค.ศ. 1629 ซึ่งเป็นการสร้างทับอาคารหลังเก่าที่มีอายุถึง 683

ในช่วงต้น ค.ศ. 628 หลังความฝันที่จะไปแสวงบุญที่มักกะฮ์โดยไร้อุปสรรค มุฮัมมัดจึงเริ่มต้นการเดินทาง โดยแต่งกายด้วยชุดแสวงบุญตามธรรมเนียมและมีผู้ติดตามกลุ่มหนึ่งติดตามไปด้วย เมื่อถึงฮุดัยบิยะฮ์ พวกเขาเผชิญหน้ากับกับตัวแทนของชาวกุร็อยช์ที่ตั้งคำถามถึงความตั้งใจของพวกเขา มุฮัมมัดอธิบายว่าพวกเขามาเพื่อแสดงความเคารพต่อกะอ์บะฮ์ ไม่ใช่สู้รบ จากนั้นท่านจึงส่งอุษมาน ลูกของลูกพี่ลูกน้องของอะบูซุฟยาน ไปเจรจากับพวกกุร็อยช์ ขณะที่การเจรจายืดเยื้อ เริ่มมีการจุดข่าวลือเรื่องการเสียชีวิตของอุษมาน ซึ่งกระตุ้นให้มุฮัมมัดเรียกผู้ติดตามให้ต่ออายุคำสาบานแห่งความจงรักภักดี อุษมานกลับมาพร้อมกับข่าวการเจรจาที่หยุดชะงัก มุฮัมมัดยังคงยืนหยัดต่อ ท้ายที่สุด ฝ่ายกุร็อยช์จึงส่งตัวซุฮัยล์ อิบน์ อัมร์ ทูตที่มีอำนาจต่อรองเต็มที่ หลังจากหารือกันอย่างยาวนาน ก็มีการประกาศใช้สนธิสัญญานี้ โดยมีเงื่อนไข ดังนี้:

  1. สัญญาสงบศึกระหว่างสองฝ่ายเป็นเวลา 10 ปี
  2. ถ้าชาวกุร็อยช์เขามาหาฝ่ายมุฮัมมัดโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้คุ้มครอง เขาจะต้องถูกส่งกลับไป แต่ถ้ามุสลิมมาหาชาวกุร็อยช์ เขาจะไม่ต้องถูกส่งกลับไปหามุฮัมมัด
  3. ชนเผ่าใดก็ตามที่สนใจสร้างพันธมิตรกับมุฮัมมัดหรือกุร็อยช์มีอิสระที่จะทำเช่นนั้นได้ พันธมิตรเหล่านี้ยังได้รับการคุ้มครองผ่านสัญญาสงบศึกสิบปี
  4. ฝ่ายมุสลิมต้องเดินทางกลับมะดีนะฮ์ กระนั้น พวกเขาได้รับอนุญาตให้ทำอุมเราะฮ์ในปีถัดไป

การรุกรานค็อยบัร

ประมาณสิบสัปดาห์หลังกลับจากฮุดัยบิยะฮ์ มุฮัมมัดได้แสดงแผนการที่จะบุกค็อยบัร โอเอซิสอันเฟื่องฟูที่อยู่ห่างจากมะดีนะฮ์ไปทางเหนือประมาณ 75 ไมล์ (121 กิโลเมตร) เมืองนี้มีชาวยิวอาศัยอยู่ รวมถึงชาวยิวจากบะนูอันนะฎีรที่ถูกมุฮัมมัดขับไล่ออกจากมะดีนะฮ์ไปก่อนหน้านี้ ด้วยความหวังที่จะได้ทรัพย์สินมากมายจากภารกิจนี้ อาสาสมัครจำนวนมากจึงตอบรับคำเรียกร้องของท่าน เพื่อปกปิดการเคลื่อนไหวของพวกเขา กองทัพมุสลิมจึงเลือกที่จะเดินทัพในเวลากลางคืน เมื่อรุ่งสางมาถึงและชาวเมืองก้าวออกจากป้อมปราการเพื่อเก็บเกี่ยวอินทผลัม พวกเขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นกองกำลังมุสลิมที่กำลังรุกคืบเข้ามา มุฮัมมัดร้องออกมาว่า "อัลลอฮุอักบัร! ค็อยบัรถูกทำลายแล้ว เพราะเมื่อเราเข้าใกล้ดินแดนของชนชาติใด เช้าอันเลวร้ายจะรอคอยผู้ที่ได้รับคำเตือน" หลังการสู้รบอันทรหดนานกว่าหนึ่งเดือน ชาวมุสลิมก็สามารถยึดเมืองได้สำเร็จ

ทรัพย์สมบัติที่ปล้นมาได้ รวมถึงภรรยาของนักรบที่ถูกสังหาร ถูกนำไปแบ่งปันให้แก่ชาวมุสลิมกินานะฮ์ อิบน์ อัรเราะเบียะอ์ หัวหน้าชาวยิวผู้ได้รับมอบทรัพย์สมบัติของบะนูอันนะฎีร ปฏิเสธว่าไม่รู้ที่อยู่ทรัพย์สมบัตินั้น หลังชาวยิวคนหนึ่งเปิดเผยถึงการปรากฏตัวตามปกติของเขารอบ ๆ ซากปรักหักพังแห่งหนึ่ง มุฮัมมัดจึงสั่งให้ขุดค้น และค้นพบสมบัติ เมื่อถูกซักถามถึงทรัพย์สมบัติที่เหลืออยู่ กินานะฮ์ปฏิเสธที่จะเปิดเผย เขาถูกทรมานตามคำสั่งของมุฮัมมัด และต่อมามุฮัมมัด อิบน์ มัสละมะฮ์ตัดศีรษะเขาเพื่อแก้แค้นแก่พี่/น้องชายของเขา มุฮัมมัดรับเศาะฟียะฮ์ บินต์ ฮุยัย ภรรยาของกินานะฮ์ เป็นทาสของตนเอง และต่อมาแนะนำให้เธอเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม เธอยอมรับและตกลงที่จะเป็นภรรยาของมุฮัมมัด

หลังพ่ายแพ้ต่อชาวมุสลิม ชาวยิวบางคนได้เสนอให้มุฮัมมัดอยู่ต่อและทำงานเป็นผู้เช่าไร่นา เนื่องจากชาวมุสลิมขาดความเชี่ยวชาญและแรงงานในการปลูกอินทผลัม พวกเขาตกลงที่จะแบ่งผลผลิตประจำปีครึ่งหนึ่งให้กับชาวมุสลิม มุฮัมมัดยินยอมตามข้อตกลงนี้ โดยมีข้อแม้ว่าท่านสามารถย้ายพวกเขาออกไปได้ทุกเมื่อ แม้ว่าพวกเขาจะได้รับอนุญาตให้ทำไร่นา ท่านก็เรียกร้องให้ส่งมอบทองคำและเงินทั้งหมด และประหารชีวิตผู้ที่ซ่อนทรัพย์สมบัติของพวกเขา ชาวยิวในฟะดักได้รับอิทธิพลจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค็อยบัร จึงส่งทูตไปหามุฮัมมัดทันที และตกลงตามเงื่อนไขเดียวกัน คือสละผลผลิตประจำปีร้อยละ 50 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไม่มีการสู้รบเกิดขึ้น เหล่าทหารชั้นผู้น้อยจึงไม่มีสิทธิ์ครอบครองทรัพย์สินที่ปล้นมาได้บางส่วน ด้วยเหตุนี้ ทรัพย์สมบัติทั้งหมดจึงตกเป็นของมุฮัมมัดแต่เพียงผู้เดียว

ในงานเลี้ยงหลังการสู้รบ มีรายงานว่าอาหารที่เสิร์ฟให้มุฮัมมัดถูกวางยาพิษ บิชร์ สหายของท่าน เสียชีวิตหลังกินมันเข้าไป ขณะที่มุฮัมมัดเองอาเจียนออกมาหลังชิมมัน ผู้ก่อเหตุคือซัยนับ บินต์ อัลฮาริษ สตรีชาวยิวที่บิดา ลุง และสามีถูกฝ่ายมุสลิมสังหาร เมื่อถามว่าทำไมถึงทำเช่นนั้น เธอตอบว่า "เจ้าก็รู้นี่ว่าเจ้าทำอะไรกับคนของข้า... ข้าพูดกับตัวเองว่า ถ้าเขาเป็นศาสดาจริง เขาจะต้องรู้เรื่องพิษนั้น ถ้าเขาเป็นเพียงกษัตริย์ ข้าจะกำจัดเขาให้สิ้นซาก" มุฮัมมัดป่วยอยู่ระยะหนึ่งเพราะพิษที่กินเข้าไป และต้องทนทุกข์ทรมานจากพิษนั้นเป็นระยะจนกระทั่งเสียชีวิต

ช่วงปีสุดท้าย

การพิชิตมักกะฮ์

image
ภาพวาดมุฮัมมัด (คนที่คลุมใบหน้า) เดินทัพไปมักกะฮ์ จาก Siyer-i Nebi ในนี้ยังแสดงทูตสวรรค์ญิบรีล, มีกาอีล, อิสรอฟีล และอิซรออีลด้วย

สนธิสัญญาฮุดัยบิยะฮ์มีผลเพียงสองปี เผ่าบะนูคุซาอะฮ์มีความสัมพันธ์ที่ดีกับมุฮัมมัด ในขณะที่ศัตรูของพวกเขาซึ่งเป็นเผ่าบะนูบักร์ได้เป็นพันธมิตรกับมักกะฮ์ ตระกกูลในบะนูบักร์ได้โจมตีเผ่าคุซาอะฮ์ในเวลากลางคืน และฆ่าไปบางคน ชาวมักกะฮ์ได้ช่วยเหลือบะนูบักร์อย่างดี และในบางรายงานกล่าวว่ามีฝ่ายมักกะฮ์บางคนเข้าร่วมการสู้รบด้วย หลังเหตุการณ์นั้น มุฮัมมัดได้ส่งจดหมายแก่ชาวมักกะฮ์ โดยมีสามเงื่อนไข และต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ: ฝ่ายมักกะฮ์อาจต้องจ่ายด้วยเลือดสำหรับการฆ่าคนจากเผ่าบะนูคุซาอะฮ์, ประกาศปฏิเสธการกระทำของพวกบะนูบักร์ หรือประกาศให้สนธิสัญญาฮุดัยบิยะฮ์เป็นโมฆะ

ชาวมักกะฮ์ตอบว่าพวกตนเลือกเงื่อนไขสุดท้าย จากนั้นพวกเขาจึงรู้ถึงความผิดพลาดและส่งอะบูซุฟยานไปเพื่อทำสัญญาใหม่ แต่มุฮัมมัดปฏิเสธ

image
ศาสดามุฮัมมัดที่กะอ์บะฮ์ในมักกะฮ์ จาก Siyer-i Nebi

มุฮัมมัดเรื่มเตรียมตัวสำหรับการพิชิต ใน ค.ศ. 630 มุฮัมมัดเดินทางไปมักกะฮ์พร้อมกับมุสลิม 10,000 คน แล้วเข้ายึดครองมักกะฮ์ได้ โดยมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเพียงเล็กน้อย ท่านประกาศนิรโทษกรรมแก่ทุกคน ยกเว้นชาย 10 คนและหญิงที่ "มีความผิดจากการฆ่าคนหรือความผิดอื่น หรือก่อสงครามและทำลายสันติภาพ" บางคนในกลุ่มนั้นได้รับอภัยในภายหลัง ชาวมักกะฮ์ส่วนใหญ่เข้ารับอิสลาม และมุฮัมมัดเริ่มดำเนินการทำลายรูปปั้นบรรดาเทพเจ้าอาระเบียทั้งหมดทั้งในและรอบกะอ์บะฮ์ ตามรายงานที่รวบรวมโดยอิบน์ อิสฮากและอัลอัซเราะกี มุฮัมมัดงดเว้นภาพวาดหรือเฟรสโกของพระแม่มารีย์กับพระเยซู แต่ในรายงานอื่นกล่าวว่า ภาพทั้งหมดถูกลบหมด อัลกุรอานได้กล่าวถึงเหตุการณ์พิชิตมักกะฮ์

ปราบฮะวาซินและษะกีฟกับการเดินทางไปที่ตะบูก

image
การพิชิตของมุฮัมมัด (เส้นเขียว) และเคาะลีฟะฮ์รอชิดูน (เส้นดำ) พร้อมจักรวรรดิไบแซนไทน์ (เหนือและตะวันตก) กับจักรวรรดิซาเซเนียน (ตะวันออกเฉียงเหนือ)

หลังได้ยินว่ามักกะฮ์ตกเป็นของมุสลิมแล้ว บะนูฮะวาซินจึงรวบรวมทั้งเผ่าและครอบครัวให้ต่อสู้ ประมาณการว่ามีนักรบประมาณ 4,000 นาย มุฮัมมัดนำทัพ 12,000 นายไปโจมตี แต่พวกเขากลัับจู่โจมท่านที่วาดีฮุนัยน์ ฝ่ายมุสลิมเอาชนะพวกเขาและยึดบรรดาผู้หญิง เด็ก ๆ และสัตว์หลายตัวไป จากนั้นมุฮัมมัดหันความสนใจไปที่อัฏฏออิฟ เมืองที่มีชื่อเสียงด้านไร่องุ่นและสวน ท่านสั่งให้สวนเหล่านี้ต้องถูกทำลายและล้อมเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบ หลังประสบความล้มเหลวในการทำลายฝ่ายป้องกันเป็นเวลา 15–20 วัน ท่านจึงละทิ้งความพยายามดังกล่าว

เมื่อท่านแบ่งทรัพย์ที่ปล้นจำนวนมากมาจากฮุนัยน์ให้แก่เหล่าทหาร เผ่าฮะวาซินที่เหลือหันไปเข้ารับอิสลาม และวิงวอนมุฮัมมัดให้ปล่อยตัวเด็กและผู้หญิงของพวกเขา โดยเตือนให้ท่านรำลึกว่าเคยได้รับการดูแลจากผู้หญิงบางคนเมื่อตอนยังเป็นทารก ท่านปฏิบัติตามแต่ยังคงยึดส่วนปล้นที่เหลือไว้ คนของท่านบางคนคัดค้านการแบ่งส่วนของตน ดังนั้นท่านจึงชดเชยแต่ละคนด้วยด้วยอูฐหกตัวจากการโจมตีในครั้งหลัง มุฮัมมัดแบ่งทรัพย์ที่ยึดได้ในสงครามจำนวนมากให้แก่ผู้ที่หันมานับถือศาสนาใหม่จากเผ่ากุร็อยช์ อะบูซุฟยานกับบุตรชาย 2 คน มุอาวิยะฮ์กับยะซีด แต่ละคนได้รับอูฐ 100 ตัวชาวอันศอรที่เข้าสู้รบอย่างกล้าหาญในยุทธการนี้ แต่แทบไม่ได้รับรางวัลใด รู้สึกไม่พอใจต่อสิ่งนี้

ประมาณ 10 เดือนหลังยึดครองมักกะฮ์ มุฮัมมัดนำกองทัพไปโจมตีมณฑลชายแดนซีเรียของไบแซนไทน์ที่ร่ำรวย โดยมีการเสนอแรงจูงใจหลายประการ ซึ่งรวมถึงการแก้แค้นความพ่ายแพ้ที่มุอ์ตะฮ์และรับของที่ถูกปล้นจำนวนมาก เนื่องจากความแห้งแล้งและความร้อนแรงในขณะนั้น มุสลิมบางส่วนจึงไม่เข้าร่วมสงคราม สิ่งนี้นำไปสู่การประทานโองการอัลกุรอาน 9:38 ที่ตำหนิคนเกียจคร้านเหล่านั้น เมื่อมุฮัมมัดและกองทัพของท่านเดินทางถึงตะบูก กลับไม่มีกองกำลังศัตรูอยู่เลย อย่างไรก็ตาม ท่านสามารถบังคับให้หัวหน้าเผ่าท้องถิ่นบางคนยอมรับการปกครองของท่านและจ่ายญิซยะฮ์ กองทัพภายใต้การนำของคอลิด อิบน์ อัลวะลีดที่ท่านส่งไปโจมตี ก็ได้รับสินทรัพย์สงครามบางส่วน ซึ่งรวมถึงอูฐ 2,000 ตัวกับโค 800 ตัว

การเข้ารับอิสลามของฮะวาซินทำให้อัฏฏออิฟสูญเสียพันธมิตรหลักสุดท้าย หลังจากอดกลั้นต่อการโจรกรรมและการโจมตีด้วยความหวาดกลัวอย่างไม่หยุดยั้งจากฝ่ายมุสลิมหลังการปิดล้อมนานถึงหนึ่งปี ท้ายที่สุด ชาวอัฏฏออิฟที่รู้จักกันในชื่อบะนูษะกีฟ เข้าถึงจุดเปลี่ยน และยอมรับว่าการเข้ารับอิสลามเป็นเส้นทางที่สมเหตุสมผลที่สุดสำหรับพวกตน

ฮัจญ์อำลา

image
ภาพวาดใน The Remaining Signs of Past Centuries ของอัลบิรูนีที่วาดโดยผู้ไม่ประสงค์นาม แสดงมุฮัมมัดสั่งห้ามนะซีอ์ในช่วงฮัจญ์อำลา ฉบับสำเนาออตโตมันในคริสต์ศตวรรษที่ 17 จากเอกสารตัวเขียน (Edinburgh codex) คริสต์ศตวรรษที่ 14 (จักรวรรดิข่านอิล)

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 631 มุฮัมมัดได้รับโองการที่ให้พวกบูชารูปปั้นได้รับความเมตตาเป็นเวลาสี่เดือน หลังจากนั้นชาวมุสลิมจะโจมตี สังหาร และปล้นพวกเขาไม่ว่าจะพบกันที่ไหนก็ตาม

ในช่วงพิธีฮัจญ์ ค.ศ. 632 มุฮัมมัดเป็นผู้นำพิธีและให้โอวาทด้วยตนเอง บรรดาประเด็นสำคัญได้แก่ ห้ามกินดอกเบี้ยกับความอาฆาตพยาบาทที่เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมในอดีตจากยุคก่อนอิสลาม ความเป็นภราดรภาพของมุสลิมทุกคน และการใช้เดือนจันทรคติสิบสองเดือนโดยไม่มีการทดปฏิทิน

เสียชีวิต

image
การเสียชีวิตของมุฮัมมัด ภาพจาก Siyer-i Nebi

หลังละหมาดในที่ฝังศพในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 632 มุฮัมมัดประสบกับอาการปวดศีรษะสาหัสจนทำให้ท่านร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ท่านยังคงใช้เวลาทั้งคืนกับภรรยาคืนละคน แต่เป็นลมในกระท่อมของมัยมูนะฮ์ ท่านร้องขอบรรดาภรรยาของท่านอนุญาตให้ท่านอยู่ในกระท่อมอาอิชะฮ์ ท่านเดินโดยให้อะลีกับฟัฎล์ อิบน์ อับบาสพยุง เนื่องจากขาสั่น บรรดาภรรยากับอับบาส ลุงของท่าน ให้ยารักษาอะบิสซีเนียในตอนที่ท่านไม่รู้สึกตัว เมื่อท่านฟื้นก็ถามถึงเรื่องนั้น และพวกเขาอธิบายว่า พวกเขากลัวว่าไข้รุนแรงเช่นนี้เป็นผลมาจากเยื่อหุ้มปอดอักเสบ ท่านตอบว่าอัลลอฮ์จะไม่ทรมานท่านด้วยโรคร้ายเช่นนี้ และสั่งให้ผู้หญิงทุกคนรับการรักษาด้วย ข้อมูลหลายแหล่ง ซึ่งรวมถึงเศาะฮีฮ์ อัลบุคอรี ระบุว่า มุฮัมมัดกล่าวว่าท่านรู้สึกว่าเส้นเลือดใหญ่ของท่านขาดเนื่องจากอาหารที่ท่านกินที่ค็อยบัร มุฮัมมัดเสียชีวิต ณ วันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ. 632 ในช่วงวาระสุดท้าย มีรายงานท่านพูดว่า:

โอ้อัลลอฮ์ โปรดให้อภัยและเมตตาข้า และให้ข้าอยู่ร่วมกับสหายที่สูงส่งด้วยเถิด

— มุฮัมมัด

อัลเฟรด ที. เวลช (Alfred T. Welch) นักประวัติศาสตร์ สันนิษฐานว่าโรคนี้เป็นเพียงไข้มะดีนะฮ์ธรรมดา โดยการเสียชีวิตต้องมีภาวะแทรกซ้อนในระดับอันตราย แต่กลับจำกัดการคาดการณ์ของท่านไว้เพียงว่าเกิดจากความเหนื่อยล้าทางร่างกายและจิตใจเท่านั้น

ที่ฝังศพ

image
มัสยิดอันนะบะวี ("มัสยิดของท่านศาสดา") ในมะดีนะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย มีโดมเขียวที่สร้างเหนือสุสานมุฮัมมัดอยู่ตรงกลางภาพ

มุฮัมมัดถูกฝังในบ้านของอาอิชะฮ์ ในรัชสมัยเคาะลีฟะฮ์อัลวะลีดที่ 1 แห่งอุมัยยะฮ์ มีการขยายมัสยิดอันนะบะวีจนครอบพื้นที่สุสานมุฮัมมัดโดมเขียวบนสุสานสร้างขึ้นโดยสุลต่านอัลมันศูร เกาะลาวูนแห่งมัมลูกในคริสต์ศตวรรษที่ 13 แม้ว่าสีเขียวบนโดมได้รับการทาสีในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ในรัชสมัยสุลต่านสุลัยมานผู้เกรียงไกรของออตโตมัน สุสานที่ติดกับมุฮัมมัดเป็นของผู้ติดตามของท่าน (เศาะฮาบะฮ์) คือ เคาะลีฟะฮ์สององค์แรก (อะบูบักร์และอุมัร) และห้องว่างที่มุสลิมเชื่อว่าจะเป็นที่ฝังอีซา

เมื่อซะอูด อิบน์ อับดุลอะซีซยึดครองมะดีนะฮ์ใน ค.ศ. 1805 เพชรและทองที่ประดับอยู่หน้าสุสานถูกนำออกไป ผู้ที่นับถือนิกายวะฮาบีย์ทำลายโดมสุสานในมะดีนะฮ์เกือบทั้งหมดเพื่อหลีกเลี่ยงการเลื่อมใสในสุสาน และมีรายงานว่าโดมสุสานของมุฮัมมัดรอดได้อย่างหวุดหวิด เหตุการณ์ที่คล้ายกันเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1925 เมื่อกองกำลังติดอาวุธซาอุดียึดเมืองอีกครั้ง ครั้งนี้สามารถยึดได้ถาวร ในการตีความอิสลามแบบวะฮาบีย์ การฝังศพควรจัดในหลุมศพที่ไม่มีเครื่องหมาย กระนั้น ผู้แสวงบุญหลายคนยังคงทำการซิยาเราะฮ์—เยี่ยมชมเชิงพิธี—ที่สุสานอยู่ดี แม้ว่าทางฝั่งซาอุดีไม่พอใจต่อสิ่งนี้

ผู้สืบทอด

image
การขยายตัวของรัฐเคาะลีฟะฮ์ ค.ศ. 622–750:
  มุฮัมมัด ค.ศ. 622–632
  รัฐเคาะลีฟะฮ์รอชิดูน ค.ศ. 632–661
  รัฐเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์ ค.ศ. 661–750

หลังมุฮัมมัดเสียชีวิต มีความขัดแย้งในเรื่องที่ใครจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของท่านอุมัร เศาะฮาบะฮ์ที่มีชื่อเสียง เลือกอะบูบักร์ เพื่อนและผู้มีส่วนร่วมกับมุฮัมมัด อะบูบักร์ได้รับการยืนยันเป็นเคาะลีฟะฮ์องค์แรกพร้อมเสียงสนับสนุน การเลือกครั้งนี้ถูกโต้แย้งจากเศาะฮาบะฮ์บางส่วนที่ยกให้อะลี ลูกเขยและลูกพี่ลูกน้องของท่าน ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอดของมุฮัมมัดที่ฆอดิรคุมม์ อะบูบักร์สั่งให้โจมตีกองทัพไบแซนไทน์ (หรือจักรวรรดิโรมันตะวันออก) ทันทีเนื่องจากความพ่ายแพ้ช่วงก่อนหน้า แม้ว่าในตอนแรกท่านจะกำจัดกบฏชนเผ่าอาหรับในเหตุการณ์ที่นักประวัติศาสตร์มุสลิมยุคหลังระบุเป็นสงครามริดดะฮ์ หรือ "สงครามต่อผู้ละทิ้งศาสนา"

ตะวันออกกลางยุคก่อนอิสลามมีจักรวรรดิไบแซนไทน์และซาเซเนียนที่เป็นใหญ่ สงครามโรมัน–เปอร์เซียสร้างความเสียหายให้กับภูมิภาคนี้ ทำให้จักรวรรดิทั้งสองไม่เป็นที่นิยมในชนเผ่าท้องถิ่น ที่มากไปกว่านั้น ในดินแดนที่จะถูกฝ่ายมุสลิมพิชิต ชาวคริสต์หลายคน (เนสตอเรียน, Monophysite, Jacobites และคอปต์) ไม่พอใจต่อคริสต์จักรอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ที่มองพวกตนเป็นพวกนอกรีต กองทัพมุสลิมเข้าพิชิตเมโสโปเตเมีย ซีเรีย อียิปต์ของไบแซนไทน์ พื้นที่ส่วนใหญ่ของเปอร์เซียภายในทศวรรษ และสถาปนารัฐเคาะลีฟะฮ์รอชิดูน

ครัวเรือน

image
สุสานของมุฮัมมัดเคยตั้งอยู่ในบ้านของอาอิชะฮ์ ภรรยาคนที่สาม (มัสยิดอันนะบะวี มะดีนะฮ์)

ชีวิตของท่านแบ่งออกเป็นสองช่วง คือ: ก่อนฮิจเราะห์ (อพยพ) ในมักกะฮ์ (ตั้งแต่ ค.ศ. 570 ถึง 622) และหลังฮิจเราะห์ในมะดีนะฮ์ (ตั้งแต่ ค.ศ. 622 ถึง 632) กล่าวกันว่าท่านมีภรรยาถึง 13 คน (ถึงแม้ว่าอีกสองคน คือ ร็อยฮานะฮ์ บินต์ ซัยด์กับมาริยะฮ์ อัลกิบฏียะฮ์ มีรายงานที่กำกวมว่าเป็นภรรยาหรือผู้ที่อยู่กินด้วยกันโดยไม่ได้สมรส)

ตอนอายุ 25 ปี มุฮัมมัดแต่งงานกับเคาะดีญะฮ์ บินต์ คุวัยลิดที่มีอายุ 40 ปี โดยอยู่กินด้วยกันเป็นเวลา 25 ปี และถือเป็นการแต่งงานที่มีความสุข หลังการแต่งงานในครั้งนั้น ท่านไม่ได้แต่งงานกับใครอีกเลย หลังเคาะดีญะฮ์เสียชีวิต เคาละฮ์ บินต์ ฮากิมได้แนะนำให้ท่านแต่งงานกับเซาดะฮ์ บินต์ ซัมอะฮ์ หญิงมุสลิมหม้าย หรืออาอิชะฮ์ ลูกสาวของอุมมุรูมานกับอะบูบักร์ กล่าวกันว่าท่านขอการจัดเตรียมการแต่งงานกับทั้งคู่ ข้อมูลสมัยคลาสสิกระบุว่า มุฮัมมัดแต่งงานกับอาอิชะฮ์ตอนที่เธออายุ 6–7 ขวบ โดยมีการจัดพิธีแต่งงานโดยสมบูรณ์ในภายหลังตอนที่เธอมีอายุ 9 ขวบ และท่านมีอายุ 53 ปี

มุฮัมมัดทำงานบ้านต่าง ๆ เช่น เตรียมอาหาร เย็บเสื้อ และซ่อมรองเท้า ท่านได้ให้ภรรยาคุ้นเคยต่อการพูด ท่านฟังคำแนะนำของพวกเธอ และภรรยาของท่านได้ถกเถียงและแม้แต่โต้แย้งกับท่าน

เคาะดีญะฮ์มีลูกสาว 4 คนกับมุฮัมมัด (รุก็อยยะฮ์ บินต์ มุฮัมมัด, อุมมุกุลษูม บินต์ มุฮัมมัด, ซัยนับ บินต์ มุฮัมมัด, ฟาฏิมะฮ์) และลูกชาย 2 คน (อับดุลลอฮ์ อิบน์ มุฮัมมัด กับกอซิม อิบน์ มุฮัมมัด ทั้งคู่เสียชีวิตตั้งแต่วัยเด็ก) ลูกทุกคนเสียชีวิตก่อนหน้าท่าน ยกเว้นฟาฏิมะฮ์ ลูกสาวคนเดียว นักวิชาการชีอะฮ์บางคนโต้แย้งว่าฟาฏิมะฮ์เป็นลูกสาวคนเดียวของมุฮัมมัดมาริยะฮ์ อัลกิบฏียะฮ์ ให้กำเนิดลูกชายคนเดียวชื่ออิบรอฮีม อิบน์ มุฮัมมัด ซึ่งเสียชีวิตตอนอายุ 2 ขวบ

ภรรยา 9 คนของท่านยังมีชีวิตต่อหลังจากที่ท่านเสียชีวิต อาอิชะฮ์ ผู้กลายเป็นที่รู้จักในฐานะภรรยาคนโปรดของมุฮัมมักในธรรมเนียมซุนนี มีชีวิตอยู่หลังจากท่านหลายทศวรรษ และช่วยรายงานฮะดีษของศาสดามุฮัมมัดในนิกายซุนนี

ซัยด์ อิบน์ ฮาริษะฮ์เป็นทาสที่เคาะดีญะฮ์ให้มุฮัมมัด เขาถูกซื้อตัวจากฮะกีม อิบน์ ฮิซาม หลานชายของเธอ ที่ตลาดอุกาซ จากนั้น ซัยด์กลายเป็นบุตรบุญธรรมของทั้งคู่ แต่ภายหลังปฎิเสธสถานะนี้เมื่อมุฮัมมัดจะแต่งงานกับซัยนับ บินต์ ญะฮช์ อดีตภรรยาของซัยด์ ผลสรุปของบีบีซีรายงานไว้ว่า "ศาสดามุฮัมมัดไม่ได้ต้องการเลิกทาส และซื้อ ขาย จับ และครองทาสด้วยตนเอง แต่ท่านได้ยืนหยัดว่านายทาสควรดูแลทาสให้ดีและเน้นถึงผลบุญของการปล่อยทาส มุฮัมมัดได้ดูแลทาสเหมือนกับมนุษย์ทั่ว ๆ ไป..."

สิ่งสืบทอด

ธรรมเนียมของมุสลิม

หลังการประกาศความเป็นเอกะของพระเจ้า ความเชื่อเรื่องการเป็นศาสนทูตของมุฮัมมัดเป็นมุมมองหลักในความเชื่ออิสลาม มุสลิมทุกคนกล่าวชะฮาดะฮ์ว่า: "ข้าขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และข้าขอปฏิญาณว่ามุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์" ชะฮาดะฮ์เป็นหลักความเชื่อพื้นฐานของศาสนาอิสลาม ตามความเชื่อของศาสนาอิสลาม ชะฮาดะฮ์เป็นคำแรกที่ทารกแรกเกิดจะได้ยิน เด็ก ๆ จะได้รับการสอนทันทีและจะท่องจำจนกระทั่งเสียชีวิต มุสลิมจะกล่าวชะฮาดะฮ์ซ้ำในอะซานและเวลาละหมาด คนที่ไม่ใช่มุสลิมที่หวังเข้ารับอิสลามจะต้องกล่าวคำปฏิญาณนี้ก่อน

image
อักษรวิจิตรที่แปลว่า "ขอความโปรดปรานแห่งอัลลอฮ์ และความสันติจงมีแด่ท่าน" มักใช้ต่อหลังจากชื่อของศาสดามุฮัมมัด ตัวอักษรนี้ได้รับการระบุรหัสเป็นตัวแฝดในยูนิโคดจุดที่ U+FDFA

ในความเชื่ออิสลาม มุฮัมมัดเป็นศาสดาคนสุดท้ายที่พระเจ้าส่งลงมา งานเขียนอย่างฮะดีษและซีเราะฮ์อ้างถึงปาฏิหาริย์หรือเหตุการณ์เหนือธรรมชาติหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับมุฮัมมัด หนึ่งในนั้นคือการแยกดวงจันทร์ ซึ่งตามการรวบรวมตัฟซีรเก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีอยู่ ถือเป็นการแยกส่วนของดวงจันทร์อย่างแท้จริง

ซุนนะฮ์คือการกระทำและคำพูดของมุฮัมมัดที่บันทึกไว้ในฮะดีษ ซึ่งครอบคลุมไปถึงกิจกรรมและความเชื่อตั้งแต่พิธีกรรมทางศาสนา สุขอนามัยส่วนบุคคล และการฝังศพผู้เสียชีวิต จนถึงคำถามเกี่ยวกับความรักระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า ซุนนะฮ์ถือเป็นแบบอย่างของชาวมุสลิมที่เคร่งศาสนาและมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมของชาวมุสลิมเป็นอย่างมาก รายละเอียดพิธีกรรมสำคัญของอิสลามหลายส่วนอย่างการละหมาดห้าเวลาทุกวัน ถือศีลอด และทำพิธีฮัจญ์ พบเฉพาะในซุนนะฮ์ และไม่มีในอัลกุรอาน

image
ป้ายชะฮาดะฮ์ในพระราชวังโทพคาปึ อิสตันบูล ประเทศตุรกี

ชาวมุสลิมแสดงความรักและความนับถือต่อศาสดามุฮัมมัดมาโดยตลอด ชีวประวัติของมุฮัมมัด การอธิษฐานและปาฏิหาริย์ของท่านได้แทรกซึมเข้าสู่ความคิดและบทกวีของชาวมุสลิมที่นิยมกัน (นะอัต) ในบรรดาบทกวีภาษาอาหรับที่อุทิศแด่ศาสดามุฮัมมัด บทกวี เกาะศีดะฮ์อัลบุรดะฮ์ ("บทกวีแห่งเสื้อคลุม") โดยอัลบุศีรี (ค.ศ. 1211–1294) ศูฟีชาวอียิปต์ เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี และเชื่อกันอย่างกว้างขวางว่ามีพลังรักษาและจิตวิญญาณ กุรอานกล่าวถึงมุฮัมมัดว่าเป็น "ความเมตตา (เราะฮ์มัต) แก่ประชาชาติ" การเชื่อมโยงระหว่างฝนและความเมตตาในประเทศแถบตะวันออกทำให้จินตนาการถึงศาสดามุฮัมมัดในฐานะเมฆฝนที่ประทานพรและแผ่ขยายไปทั่วแผ่นดิน ชุบชีวิตจิตใจที่ตายไปแล้ว เช่นเดียวกับที่ฝนชุบชีวิตแผ่นดินที่ดูเหมือนจะตายไปแล้ววันเกิดของมุฮัมมัดได้รับการฉลองกันเป็นเทศกาลสำคัญทั่วโลกอิสลาม ยกเว้นซาอุดีอาระเบียที่ปกครองโดยกลุ่มวะฮาบีย์ ซึ่งไม่สนับสนุนการเฉลิมฉลองในที่สาธารณะเช่นนี้ เมื่อมุสลิมคนใดกล่าวหรือเขียนชื่อของมุฮัมมัด ส่วนใหญ่มักตามดามด้วยคำว่า ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม (ขอความโปรดปรานแห่งอัลลอฮฺ และความสันติจงมีแด่ท่าน) หรือวลีภาษาอังกฤษว่า peace be upon him ในการเขียนทั่วไป มักใช้ตัวย่อว่า ศ็อลฯ, SAW (สำหรับวลีภาษาอาหรับ) หรือ PBUH (สำหรับวลีภาษาอังกฤษ) ส่วนในสื่อสิ่งพิมพ์ มักใช้อักษรวิจิตรขนาดเล็ก ()

รูปลักษณ์และการพรรณา

แหล่งข้อมูลต่าง ๆ นำเสนอรายละเอียดของมุฮัมมัดในช่วงรุ่งโรจน์ของชีวิตที่น่าจะเป็นไปได้ ท่านสูงกว่าความสูงโดยเฉลี่ยเล็กน้อย มีรูปร่างแข็งแรงและหน้าอกกว้าง คอยาว มีศีรษะใหญ่และมีหน้าผากกว้าง ดวงตาได้รับการอธิบายว่ามืดมนและเข้มข้น เน้นด้วยขนตายาวสีเข้ม ผมมีสีดำและไม่หยิกจนเกินไป ยาวห้อยคล้องหู หนวดเคราที่ยาวและหนาของท่านโดดเด่นตัดกับหนวดที่ขลิบอย่างเรียบร้อย จมูกยาวงุ้มและมีปลายแหลม ฟันเว้นระยะห่างกันดี ใบหน้าได้รับการอธิบายว่าดูเปรื่องปราด และผิวใสของท่านมีขนตั้งแต่คอจนถึงสะดือ แม้จะโน้มตัวเล็กน้อย แต่ก้าวย่างของท่านก็รวดเร็วและมีจุดมุ่งหมาย ริมฝีปากและแก้มของท่านถูกหนังสติ๊กยิงจนฉีกขาดในช่วงยุทธการที่อุฮุด ภายหลังมีการการจี้แผลนั้น ทิ้งแผลเป็นบนใบหน้า

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากฮะดีษห้ามวาดภาพสิ่งมีชีวิต ศิลปะทางศาสนาอิสลามส่วนใหญ่เน้นไปที่คำศัพท์ ชาวมุสลิมโดยทั่วไปจึงเลี่ยงการวาดภาพมุฮัมมัด และมัสยิดได้รับการตกแต่งด้วยอักษรวิจิตร โองการอัลกุรอาน หรือรูปทรงเรขาคณิต ปัจจุบัน ข้อห้ามต่อภาพมุฮัมมัดที่มีจุดประสงค์หลีกเลี่ยงการสักการะมุฮัมมัดแทนอัลลอฮ์ พบเห็นในมุสลิมนิกายซุนนี (85%–90% ของมุสลิมทั้งหมด) และอะห์มะดียะฮ์ (1%) เคร่งครัดในเรื่องเหล่านี้มากกว่าในบรรดาชีอะฮ์ (10%–15%) ในขณะที่ทั้งซุนนีและชีอะฮ์เคยวาดภาพมุฮัมมัดในอดีต ภาพวาดมุฮัมมัดแบบอิสลามนั้นหายาก ส่วนใหญ่จำกัดอยู่เพียงจุลจิตรกรรมในสื่อส่วนตัวและสื่อชั้นนำเท่านั้น และเนื่องจากมีภาพประมาณ 1,500 ภาพที่ส่วนใหญ่แสดงมุฮัมมัดคลุมหน้า หรือแสดงรูปเปลวเพลิงเป็นสัญลักษณ์

image
การเข้ามักกะฮ์ของมุฮัมมัดและการทำลายรูปปั้น ในเอกสารตัวเขียนนี้ มุฮัมมัดแสดงเป็นรูปเปลวเพลิง พบใน Hamla-i Haydari ของ Bazil, ชัมมูและกัศมีร์ ประเทศอินเดีย ค.ศ. 1808

ภาพวาดที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่มาจากจุลจิตรกรรมเปอร์เซียสมัยเซลจุกอานาโตเลียและจักรวรรดิข่านอิลเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 13 โดยทั่วไปจะอยู่ในประเภทวรรณกรรมที่บรรยายถึงชีวิตและการกระทำของมุฮัมมัด ในสมัยข่านอิล เมื่อผู้ปกครองมองโกลแห่งเปอร์เซียหันมานับถือศาสนาอิสลาม กลุ่มซุนนีและชีอะฮ์ต่างแข่งขันกันใช้ภาพ รวมถึงภาพของศาสดามุฮัมมัด เพื่อส่งเสริมการตีความเหตุการณ์สำคัญของศาสนาอิสลามในแบบเฉพาะของตน นวัตกรรมนี้ได้รับอิทธิพลจากประเพณีศิลปะทางศาสนาแบบแสดงภาพของศาสนาพุทธก่อนการเปลี่ยนมานับถือของชนชั้นนำชาวมองโกล นับเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโลกอิสลาม และมาพร้อมกับ "การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวัฒนธรรมศิลปะอิสลามจากนามธรรมไปสู่การแสดงภาพ" ใน "มัสยิด บนพรมทอ ผ้าไหม เซรามิก และบนแก้วและโลหะ" นอกเหนือจากหนังสือ ในดินแดนเปอร์เซีย ธรรมเนียมการแสดงภาพที่เหมือนจริงนี้ดำเนินมาผ่านราชวงศ์เตมือร์ จนกระทั่งราชวงศ์ซาฟาวิดขึ้นสู่อำนาจในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 ราชวงศ์ซาฟาวิดผู้สถาปนาศาสนาอิสลามนิกายชีอะฮ์เป็นศาสนาประจำชาติ ริเริ่มการละทิ้งรูปแบบศิลปะแบบข่านอิลและเตมือร์ดั้งเดิมด้วยการคลุมหน้าของมุฮัมมัดเพื่อบดบังใบหน้า และในขณะเดียวกันก็เป็นตัวแทนของแก่นแท้อันเจิดจรัสของท่าน ในเวลาเดียวกัน ภาพที่เปิดเผยบางส่วนจากยุคก่อน ๆ ก็ถูกทำให้เสียโฉม ภาพในยุคหลัง ๆ ถูกผลิตขึ้นในตุรกีออตโตมันและที่อื่น ๆ แต่มัสยิดไม่เคยตกแต่งด้วยภาพของมุฮัมมัดเลย ภาพประกอบบันทึกการเดินทางยามค่ำคืน (เมียะอ์รอจญ์) ได้รับความนิยมอย่างมากตั้งแต่ยุคข่านอิลจนถึงยุคซาฟาวิด ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 อิหร่านได้เห็นการเฟื่องฟูของหนังสือเมียะอ์รอจญ์แบบพิมพ์และภาพประกอบที่คลุมหน้าศาสดามุฮัมมัด โดยมุ่งเป้าไปที่ผู้ที่ไม่รู้หนังสือและเด็ก ๆ ในลักษณะเดียวกับนวนิยายภาพ เมื่อพิมพ์ซ้ำโดยใช้เทคนิคภาพพิมพ์หิน สิ่งเหล่านี้ก็ถือเป็น "เอกสารตัวเขียนที่ตีพิมพ์" เป็นหลัก ปัจจุบันมีสำเนาประวัติศาสตร์และรูปภาพสมัยใหม่หลายล้านภาพในประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม โดยเฉพาะในประเทศตุรกีและอิหร่าน ทั้งบนโปสเตอร์ ไปรษณียบัตร และแม้แต่ในหนังสือโต๊ะกาแฟ แต่ไม่เป็นที่รู้จักในส่วนอื่น ๆ ของโลกอิสลาม และเมื่อมุสลิมจากประเทศอื่น ๆ พบสิ่งนี้ ก็อาจทำให้เกิดความตกตะลึงและขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก

การปฏิรูปสังคมอิสลาม

วิลเลียม มอนต์โกเมอรี วัตต์รายงานว่า ศาสนาสำหรับมุฮัมมัดไม่ได้ไม่ใช่เป็นเรื่องส่วนตัวและส่วนบุคคล แต่เป็น "การตอบสนองโดยรวมถึงบุคลิกภาพของท่านต่อสถานการณ์ทั้งหมดที่ท่านพบด้วยตัวเอง ท่านตอบสนอง [ไม่เพียงแต่]... ในด้านศาสนาและความรู้ของสถานการณ์ แต่ยังรวมถึงแรงกดดันทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่ตัวเมืองมักกะฮ์ร่วมสมัยต้องเผชิญ"เบอร์นาร์ด ลูอิสกล่าวว่ามีธรรมเนียมทางการเมืองที่สำคัญสองประการในศาสนาอิสลาม—มุฮัมมัดในฐานะรัฐบุรุษในมะดีนะฮ์ และมุฮัมมัดในฐานะกบฏในมักกะฮ์ ในมุมมองของเขา อิสลามคือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อมีการแนะนำในสังคมใหม่ คล้ายกับการปฏิวัติ

นักประวัติศาสตร์โดยทั่วไปยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงสังคมของอิสลามในขอบเขตอย่างหลักประกันสังคม โครงสร้างครอบครัว ความเป็นทาส และสิทธิสตรีกับเด็กดีกว่าสถานะเดิมของสังคมอาหรับ เช่น ลูอิสรายงานว่า อิสลาม "ขั้นแรกประณามสิทธิพิเศษชนชั้นสูง ปฏิเสธลำดับชั้น และได้นำสูตรอาชีพที่เปิดรับผู้มีความสามารถเข้ามาใช้" ถ้่อยคำของมุฮัมมัดเปลี่ยนแปลงสังคมและระเบียบศีลธรรมของชีวิตในคาบสมุทรอาหรับ สังคมมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงการรับรู้อัตลักษณ์ โลกทัศน์ และลำดับขั้นของคุณค่า[ต้องการเลขหน้า] การปฏิรูปเศรษฐกิจกล่าวถึงชะตากรรมของคนยากจนที่เคยเป็นปัญหาในมักกะฮ์ยุคก่อนอิสลาม อัลกุรอานกำหนดให้ต้องชำระภาษีบริจาคทาน (ซะกาต) เพื่อประโยชน์ของคนยากจน เมื่ออำนาจของมุฮัมมัดเพิ่มมากขึ้น ท่านจึงเรียกร้องให้ชนเผ่าที่ประสงค์จะเป็นพันธมิตรกับท่านปฏิบัติซะกาตเป็นการเฉพาะ

การยกย่องของชาวยุโรป

image
มุฮัมมัดใน La vie de Mahomet โดย M. Prideaux (1699) ท่านถือดาบและจันทร์เสี้ยวขณะเหยียบบนลูกโลก ไม้กางเขน และบัญญัติ 10 ประการ

กีโยม ปงแตล (Guillaume Postel) เป็นหนึ่งในบุคคลแรกที่แสดงมุมมองของมุฮัมมัดในแง่บวก เมื่อเขาโต้แย้งว่าชาวคริสต์ควรยกย่องมุฮัมมัดเป็นศาสดาที่ถูกต้องก็อทฟรีท ไลบ์นิทซ์ชื่นชมมุฮัมมัดเนื่องจาก "ท่านไม่ได้หันเหจากศาสนาธรรมชาติ"อ็องรี เดอ บูแล็งวีลเยร์ (Henri de Boulainvilliers) กล่าวไว้ใน Vie de Mahomed ที่ตีพิมพ์หลังเสียชีวิตใน ค.ศ. 1730 ระบุมุฮัมมัดเป็นผู้นำทางการเมืองที่มีพรสวรรค์ และผู้ร่างกฎหมายที่ยุติธรรม เขาเสนอท่านเป็นศาสดาที่พระเจ้าส่งมาเพื่อทำให้ชาวคริสเตียนตะวันออกที่ทะเลาะวิวาทเกิดความสับสน และปลดปล่อยชาวตะวันออกจากการปกครองแบบเผด็จการของชาวโรมันและเปอร์เซีย และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับความเป็นเอกภาพของพระเจ้าจากอินเดียถึงสเปน วอลแตร์มีความเห็นต่อมุฮัมมัดผสมกัน: ในบทละคร Le fanatisme, ou Mahomet le Prophète เขาทำให้มุฮัมมัดเป็นตัวร้ายผู้เป็นสัญลักษณ์ความคลั่งไคล้ และในเรียงความ ค.ศ. 1748 เขาเรียกท่านว่า "นักต้มตุ๋นผู้ประเสริฐและร่าเริง" แต่ในการสำรวจทางประวัติศาสตร์ Essai sur les mœurs ของวอลแตร์ เขาเสนอมุฮัมมัดเป็นผู้บัญญัติกฎหมายและผู้พิชิต และเรียกท่านว่า "ผู้กระตือรือร้น"ฌ็อง-ฌัก รูโซกล่าวไว้ในหนังสือ โซเชียลคอนแทร็กต์ (1762) ว่า "ปัดตำนานอันโหดร้ายของมุฮัมมัดในฐานะนักต้มตุ๋นและผู้แอบอ้างไปเสีย จงนำเสนอท่านในฐานะปราชญ์ผู้บัญญัติกฎหมายที่รวมอำนาจทางศาสนาและการเมืองอย่างชาญฉลาด"โกลด-แอมานุแอล เดอ ปัสโตเรต์ (Claude-Emmanuel de Pastoret) กล่าวไว้ในหนังสือ โซโรอัสเตอร์ ขงจื๊อ และมุฮัมมัด ใน ค.ศ. 1787 ซึ่งเขาเสนอชีวิต "บุคคลผู้ยิ่งใหญ่" ทั้งสามคนเป็น "ผู้บัญญัติกฎหมายที่ดีที่สุดของจักรวาล" และเปรียบเทียบอาชีพทั้งสามเป็นผู้ปฏิรูปศาสนากับผู้ร่างกฎหมาย ปัสโตเรต์ปฏิเสธมุมมองทั่วไปที่ว่ามุฮัมมัดเป็นผู้หลอกลวง และโต้แย้งว่าอัลกุรอานนำเสนอ "ความจริงอันสูงส่งที่สุดของลัทธิและศีลธรรม" อัลกุรอานนิยามความเป็นเอกภาพของพระเจ้าด้วย "ความกระชับที่น่าชื่นชม" ปัสโตเรต์เขียนว่าข้อกล่าวหาทั่วไปเกี่ยวกับความผิดศีลธรรมของท่านนั้นไม่มีมูล ในทางตรงกันข้าม กฎหมายของท่านบัญญัติให้ผู้ติดตามของท่านมีสติสัมปชัญญะ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และความเมตตากรุณา "ผู้บัญญัติกฎหมายแห่งอาระเบีย" เป็น "บุคคลผู้ยิ่งใหญ่"นโปเลียน โบนาปาร์ตชื่นชมมุฮัมมัดและอิสลาม และกล่าวถึงท่านเป็นต้นแบบผู้ร่างกฎหมายและผู้พิชิตทอมัส คาร์ไลล์กล่าวถึง "มาโฮเหม็ด" ไว้ในหนังสือ ออนฮีโรส์ ฮีโร-เวอร์ชิพ แอนด์เดอะฮีโรอิกอินฮิสทรี (1841) ว่าเป็น "ดวงวิญญาณอันยิ่งใหญ่ที่เงียบสงบ; ท่านเป็นหนึ่งในบุคคลที่ไม่สามารถ แต่เอาจริงเอาจัง" นักวิชาการมุสลิมหลายคนอ้างอิงการตีความของคาร์ไลล์อย่างกว้างขวางว่าเป็นการแสดงให้เห็นถึงนักวิชาการฝั่งตะวันตกยืนยันสถานะของมุฮัมมัดในฐานะบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์

นักเขียนสมัยล่าสุดอย่างวิลเลียม มอนต์โกเมอรี วัตต์และริชาร์ด เบลล์ปฏิเสธความคิดที่ว่ามุฮัมมัดจงใจหลอกลวงผู้ติดตามของตน โดยโต้แย้งว่ามุฮัมมัด "มีความจริงใจอย่างยิ่งและกระทำด้วยความสุจริตใจอย่างสมบูรณ์" และความเต็มใจของมุฮัมมัดที่จะอดทนต่อความยากลำบากเพื่อจุดมุ่งหมายของท่าน ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะให้ความหวัง แสดงให้เห็นถึงความจริงใจของท่าน อย่างไรก็ตาม วัตต์กล่าวว่าความจริงใจไม่ได้หมายความถึงความถูกต้องโดยตรง ในแง่ของยุคสมัย มุฮัมมัดอาจเข้าใจผิดว่าจิตใต้สำนึกของท่านคือการเปิดเผยจากพระเจ้า วัตต์และเบอร์นาร์ด ลูอิสโต้แย้งว่า การมองว่าศาสดามุฮัมมัดเป็นผู้หลอกลวงที่เห็นแก่ตัวทำให้ไม่สามารถเข้าใจถึงพัฒนาการของศาสนาอิสลามได้อัลฟอร์ด ที. เวลช์ยึดมั่นว่ามุฮัมมัดสามารถมีอิทธิพลและประสบความสำเร็จได้เพราะความเชื่อมั่นอันมั่นคงในอาชีพของท่าน

คำวิจารณ์

คำวิจารณ์ต่อมุฮัมมัดปรากฏขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7 เมื่อมุฮัมมัดถูกประณามจากชาวอาหรับที่ไม่นับศาสนาอิสลามร่วมสมัยจากการสอนหลักเอกเทวนิยม และชนเผ่ายิวในอาระเบียจากการรับรู้ถึงรายงานและบุคคลจากพระคัมภีร์ และการประกาศตนเองเป็น "คอตะมุนนะบียีน" ในสมัยกลาง ชาวตะวันตกและชาวคริสต์ไบแซนไทน์ตราหน้าท่านเป็นศาสดาเทียมเท็จ ศัตรูของพระคริสต์ หรือวาดเป็นพวกนอกรีต ข้อวิจารณ์ร่วมสมัยมักเกี่ยวข้องกับการตั้งคำถามถึงความชอบธรรมของมุฮัมหมัดในฐานะศาสนทูต ความประพฤติทางศีลธรรม การสมรส การเป็นเจ้าของทาส การดูแลศัตรู แนวทางเรื่องหลักคำสอน และสุขภาพจิต

ทัศนะของศาสนาอื่น

ชาวซิกข์ยกย่องมุฮัมมัด สาหิพเป็นหนึ่งในผู้ส่งสารจากพระเจ้าแก่มนุษยชาติ ร่วมกับโมเสส พระเยซู และคนอื่น ๆ คุรุครันถสาหิพ คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของศาสนาซิกข์ ระบุว่ามุสลิมที่แท้จริงซึ่งปฏิบัติตามความศรัทธาของศาสดามุฮัมมัด จะต้องละทิ้ง "ความหลงผิดในเรื่องความตายและชีวิต"คุรุนานัก ผู้ก่อตั้งศาสนาซิกข์ กล่าวเป็นการเฉพาะว่าได้ยกย่องศาสดามุฮัมมัดว่าเป็นแหล่งที่มาประสบการณ์อันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีอิทธิพลส่วนตัวต่อชีวิตของท่าน ดังที่ระบุไว้ใน janamsakhi ของ Bhai Bala

ธรรมเนียมดรูซยกย่อง "ผู้ให้คำปรึกษา" และ "ผู้เผยพระวจนะ" หลายคน และมุฮัมมัดถือเป็นผู้เผยพระวจนะคนสำคัญในศาสนาดรูซ โดยเป็นหนึ่งในบรรดาผู้เผยพระวจนะทั้งเจ็ดที่ปรากฏตัวในช่วงประวัติศาสตร์ต่าง ๆ

ศาสนาบาไฮ

พระบะฮาอุลลอฮ์ ศาสดาของศาสนาบาไฮ กล่าวถึงนบีมุฮัมมัดว่าเป็นผู้เผยพระวจนะที่พระเป็นเจ้าทรงส่งมาเพื่อทำหน้าที่นำพาและให้ความรู้แก่มนุษย์ในยุคสมัยหนึ่ง เช่นเดียวกับผู้เผยพระวจนะท่านอื่น ๆ คือ พระกฤษณะ โมเสส ซาราธุสตรา พระพุทธเจ้า พระเยซู พระบาบ โดยบาฮาอุลลอฮ์อ้างว่าตนเองคือผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าส่งมาในยุคปัจจุบัน เป็นนบีอีซาผู้กลับมาบนโลกอีกครั้งตามที่นบีมุฮัมมัดทำนายไว้ในคัมภีร์หะดีษ นอกจากนี้ยังอ้างว่าตนเองคือฮุซัยน์ อิบน์ อะลี ผู้กลับมาตามที่ชาวชีอะฮ์รอคอย

ลัทธิอนุตตรธรรม

ลัทธิอนุตตรธรรมถือว่าอนุตตรธรรมเป็นรากเหง้าของทุกศาสนารวมทั้งศาสนาอิสลาม โดยนบีมุฮัมมัดเป็นศาสดาองค์หนึ่งที่พระแม่องค์ธรรมทรงส่งมาเพื่อโปรดเวไนยในช่วงธรรมกาลยุคแดง เช่นเดียวกับพระโคตมพุทธเจ้าและพระเยซู และยุคแดงได้สิ้นสุดไปแล้วตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) ปัจจุบันจึงเป็นธรรมกาลยุคขาวซึ่งมีลู่ จงอี เป็นผู้ปกครอง

พระโอวาทพระอนุตตรธรรมมารดาสิบบัญญัติ (จีน: 皇母訓子十誡‏) ซึ่งเป็นคัมภีร์เล่มหนึ่งของลัทธิอนุตตรธรรม อ้างว่านบีมุฮัมมัดได้มาประทับทรงในกระบะทราย แล้วประกาศว่าการไปละหมาดที่มัสยิดนั้นเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า เพราะไม่ได้ช่วยให้เข้าถึงสัจธรรม การปฏิบัติตามอัลกุรอานก็ไม่อาจช่วยให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ แต่ต้องเข้ารับธรรมะจากวิสุทธิอาจารย์ (จีน: 明師) เท่านั้นจึงจะพบหนทางกลับสวรรค์

ดูเพิ่ม

  • ชนเผ่าอาหรับที่มีปฏิสัมพันธ์กับมุฮัมมัด
  • สหายของศาสดา (เศาะฮาบะฮ์)
  • อาชีพทางการทูตของมุฮัมมัด
  • อภิธานศัพท์ศาสนาอิสลาม
  • รายชื่อชีวประวัติของมุฮัมมัด
  • รายชื่อผู้ก่อตั้งศาสนา
  • อาชีพทางการทหารของมุฮัมมัด
  • มุฮัมมัดในคำภีร์ไบเบิล
  • มุฮัมมัดในภาพยนตร์
  • มุฮัมมัดในมุมมองของศาสนาคริสต์
  • ภรรยาของมุฮัมมัด
  • เรลิกของมุฮัมมัด

หมายเหตุ

  1. มีการเรียกชื่อท่านหลายแบบ เช่น มุฮัมมัด อิบน์ อับดุลลอฮ์, ศาสนทูตของอัลลอฮ์, ศาสดามุฮัมมัด, ศาสดาคนสุดท้ายของศาสนาอิสลาม ฯลฯ; และยังมีรูปสะกดหลายแบบ เช่น โมฮาเหม็ด, มะฮะหมัด, มูฮาหมัด, มุหัมมัด หรือ พระมะหะหมัด, ฯลฯ
  2. Goldman 1995, p. 63 ระบุวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ. 632 ธรรมเนียมก่อนหน้าหลายแห่ง (โดยหลักไม่ใช่อิสลาม) กล่าวถึงท่านว่ายังคงมีชีวิตในช่วงที่มุสลิมพิชิตปาเลสไตน์
  3. รายงานจาก Welch, Moussalli & Newby 2009 เขียนไว้ให้กับสารานุกรมออกซ์ฟอร์ดแห่งโลกอิสลาม (Oxford Encyclopedia of the Islamic World): "ศาสดาแห่งศาสนาอิสลามคือนักปฏิรูปทางศาสนา การเมือง และสังคม ผู้ให้กำเนิดอารยธรรมอันยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลก มุฮัมมัดคือผู้ก่อตั้งศาสนาอิสลามจากมุมมองทางประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ท่านคือศาสนทูตของพระเจ้า (เราะซูลุลลอฮ์) จากมุมมองของศาสนาอิสลาม ผู้ได้รับการเรียกขานเป็น 'ผู้ตักเตือน' แก่ชาวอาหรับเป็นอย่างแรก และถึงมนุษยชาติทั้งหมด"
  4. อ้างอิงแรกเกี่ยวกับมักกะฮ์ไม่ได้ใช้คำแสดงตำแหน่ง ยกเว้นพงศาวดารไบแซนไทน์-อาหรับ หรือ พงศาวดาร ค.ศ. 741 แม้ว่าผู้เขียนวางภูมิภาคนี้ไว้ในเมโสโปเตเมีย ("กึ่งกลางระหว่างอูร์กับฮัรราน") แทนที่จะเป็นฮิญาซ
  5. See also อัลกุรอาน 43:31 cited in EoI; Muhammad.
  6. The aforementioned Islamic histories recount that as Muhammad was reciting Sūra Al-Najm (Q.53), as revealed to him by the archangel Gabriel, Satan tempted him to utter the following lines after verses 19 and 20: "Have you thought of Allāt and al-'Uzzā and Manāt the third, the other; These are the exalted Gharaniq, whose intercession is hoped for." (Allāt, al-'Uzzā and Manāt were three goddesses worshiped by the Meccans). cf Ibn Ishaq, A. Guillaume p. 166.
  7. "Apart from this one-day lapse, which was excised from the text, the Quran is simply unrelenting, unaccommodating and outright despising of paganism." (The Cambridge Companion to Muhammad, Jonathan E. Brockopp, p. 35).
  8. Quote:"The document is not a treaty in the European sense, but rather a unilateral proclamation, its purpose was purely practical and administrative and reveals the cautious, careful character of the Prophet.".
  9. ดูตัวอย่าง Marco Schöller, Banu Qurayza, Encyclopedia of the Quran กล่าวถึงรายงานที่ต่างกันเกี่ยวกับสถานะของร็อยฮานะฮ์
  10. ดูตัวอย่างกวีสินธ์ของ Shah ʿAbd al-Latif

อ้างอิง

  1. Conrad 1987.
  2. ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, ราชบัณฑิตยสถาน, 2548, หน้า 267
  3. Howarth, Stephen. Knights Templar. 1985. ISBN 978-0-8264-8034-7 p. 199.
  4. Muhammad Mustafa Al-A'zami (2003), The History of The Qur'anic Text: From Revelation to Compilation: A Comparative Study with the Old and New Testaments, pp. 26–27. UK Islamic Academy. ISBN 978-1-872531-65-6.
  5. Ahmad 2009.
  6. ดู:
  7. Reeves 2003, pp. 6–7.
  8. Watt 1953, p. xi.
  9. John Burton: Bulletin of the Society of Oriental and African Studies, vol. 53 (1990), p. 328, cited in Ibn Warraq, บ.ก. (2000). "2. Origins of Islam: A Critical Look at the Sources". The Quest for the Historical Muhammad. Prometheus. pp. 91. ISBN 9781573927871.
  10. Abbott, Nabia (1967). Studies in Arabic Literary Papyri: Qur'anic Commentary and Tradition. Vol. 2. Chicago, USA: University of Chicago Press.
  11. They do not seem, however, to have been more prone to fabrications than other scholars of the early period. This deduction stems from the over-whelmingly positive reputation of the quṣṣāṣ in the early period.DOI: https://doi.org/10.1163/9789004335523_008
  12. Most Islamic history was transmitted orally until after the rise of the Abbasid Caliphate.Vansina (1985)
  13. Donner 2010, p. 628.
  14. The earliest sources we have on the life of Muḥammad are the maghāzī, but they are far from being a consistent literary genre because they encompass a mix of different types of texts: lists of martyrs, poetry, Qurʾānic explanations, anecdotes resembling those found in the Bible, and of course accounts of military expeditions.https://doi.org/10.1163/9789004466739_005
  15. Raven, Wim (2006). "Sīra and the Qurʾān". Encyclopaedia of the Qurʾān. Brill Academic Publishers. pp. 29–49
  16. Crone, Patricia (1987).

วิกิพีเดีย, วิกิ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, มือถือ, โทรศัพท์, แอนดรอยด์, ไอโอเอส, แอปเปิ้ล, สมาร์ทโฟน, พีซี, เว็บ, คอมพิวเตอร์, ข้อมูลเกี่ยวกับ นบีมุฮัมมัด, นบีมุฮัมมัด คืออะไร? นบีมุฮัมมัด หมายความว่าอะไร?

0 ตอบกลับ

ฝากคำตอบ

ต้องการเข้าร่วมการสนทนาหรือไม่?
คุณสามารถร่วมเขียนได้!

เขียนคำตอบ

ช่องที่จำเป็นถูกทำเครื่องหมายด้วยดาว *