ภาพยนตร์ไทย
ภาพยนตร์ไทย หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ หนังไทย คือภาพยนตร์ที่มีการใช้ภาษาไทยหรือภาษาท้องถิ่นในประเทศไทยเป็นหลัก โดยทุนสร้างและลิขสิทธิ์ของภาพยนตร์เป็นของบริษัทหรือบุคคลที่มีสัญชาติไทย รวมถึงเรื่องราวและสถานที่ตามท้องเรื่องเกิดขึ้นมีฉากหลังหรือเกี่ยวข้องกับประเทศไทย ซึ่งภาพยนตร์ไทยนั้นมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน
ภาพยนตร์ไทย | |
---|---|
![]() | |
No. of screens | 757 |
ผู้จัดจำหน่ายหลัก |
|
รายได้รวมจากบ็อกซ์ออฟฟิศ (2555) | |
ทั้งหมด | 4,300 ล้านบาท |
ย้อนกลับไปในยุคแรกของการสร้างภาพยนตร์ เมื่อการเสด็จประพาสกรุงแบร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. 2440 ได้รับการบันทึกโดย François-Henri Lavancy-Clarke จากนั้นฟิล์มภาพยนตร์ชุดนี้ได้ถูกนำมาฉายที่กรุงเทพมหานคร เกิดเป็นกระแสความสนใจในภาพยนตร์เพิ่มมากขึ้น โดยพระราชวงศ์ไทยได้แก่ พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าทองแถมถวัลยวงศ์ กรมหมื่นสรรพสาตรศุภกิจ และบรรดานักธุรกิจในท้องถิ่นได้นำอุปกรณ์การสร้างภาพยนตร์จากต่างประเทศเข้ามาจัดแสดง ในช่วงทศวรรษที่ 1920 อุตสาหกรรมภาพยนตร์ท้องถิ่นได้เริ่มต้นขึ้น และในช่วงทศวรรษที่ 1930 อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยก็เข้าสู่ "ยุคทอง" ครั้งแรก โดยมีสตูดิโอผลิตภาพยนตร์เกิดขึ้นจำนวนมาก
ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง อุตสาหกรรมภาพยนตร์เริ่มฟื้นตัว โดยใช้ฟิล์ม 16 มม. ถ่ายทำภาพยนตร์หลายร้อยเรื่อง ซึ่งหลายเรื่องเป็นภาพยนตร์แอ็คชั่น ผู้กำกับภาพยนตร์แนวแอ็คชั่นที่โดดเด่นที่สุดในช่วงทศวรรษที่ 1970 คือฉลอง ภักดีวิจิตร รู้จักกันในระดับนานาชาติในชื่อ พี. ฉลอง หรือ ฟิลิป ฉลอง ผู้กำกับชาวไทยคนแรกที่สามารถบุกเบิกตลาดต่างประเทศได้สำเร็จและทำกำไรจากภาพยนตร์แอ็คชั่นสุดมันส์เรื่อง "ทอง" เมื่อปี พ.ศ. 2516
การแข่งขันจากฮอลลีวูดทำให้วงการภาพยนตร์ไทยตกต่ำลงในช่วงทศวรรษที่ 1980 และ 1990 แต่ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 ประเทศไทยก็เกิด "ผู้กำกับคลื่นลูกใหม่" โดยมีผู้กำกับอย่างนนทรีย์ นิมิบุตร, เป็นเอก รัตนเรือง และอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล รวมทั้งพระเอกหนังแอ็คชั่นอย่างโทนี่ จา ซึ่งได้รับการยกย่องในเทศกาลภาพยนตร์ทั่วโลก
ประวัติ
ภาพยนตร์ไทยเรื่องแรก
Auguste และ Louis Lumière ได้จัดทัวร์นิทรรศการภาพยนตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี พ.ศ. 2437 และในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2440 "The Wonderful Parisian Cinematographer" ก็ได้เข้าฉายในกรุงเทพมหานคร และถือเป็นการฉายภาพยนตร์ครั้งแรกในประเทศไทย
ในปีเดียวกันนั้น ภาพยนตร์เกี่ยวกับการเสด็จประพาสยุโรปของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ถูกนำมากลับมาฉายที่ประเทศไทย พร้อมด้วยกล้องถ่ายภาพที่พระอนุชาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวคือ พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าทองแถมถวัลยวงศ์ กรมหมื่นสรรพสาตรศุภกิจ ทรงจัดซื้อเข้ามา กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ ได้รับการยกย่องเป็น “พระบิดาแห่งวงการภาพยนตร์ไทย”
นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นเปิดโรงภาพยนตร์ถาวรแห่งแรกคือโรงภาพยนตร์ญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2448 ภาพยนตร์ญี่ปุ่นได้รับความนิยมมากจนคำว่า "หนังญี่ปุ่น" กลายมาเป็นคำทั่วไปที่ใช้เรียกภาพเคลื่อนไหวทุกประเภท ขณะที่ภาพยนตร์จากยุโรปและอเมริกาเรียกว่า "หนังฝรั่ง"
ภายใต้การนำของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ซึ่งเป็นพระราชวงศ์องค์สำคัญอีกพระองค์หนึ่ง ได้จัดตั้ง “กองภาพยนตร์เผยแผ่ข่าว” ขึ้นในกรมรถไฟหลวง หน่วยงานนี้ผลิตภาพยนตร์สารคดีมากมายให้กรมรถไฟหลวงและหน่วยงานราชการอื่น ๆ และกลายมาเป็นสถานที่ฝึกฝนที่สำคัญสำหรับผู้สร้างภาพยนตร์หลาย ๆ คนในเวลาต่อมา

ภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกคือ นางสาวสุวรรณ (2466) ซึ่งเป็นผลงานร่วมสร้างระหว่างฮอลลีวูดกับกองภาพยนตร์เผยแผ่ข่าวที่กำกับและเขียนบทโดยเฮนรี แม็กเร ฉายรอบปฐมทัศน์เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2466 ณ โรงภาพยนตร์พัฒนากร ปัจจุบันฟิล์มต้นฉบับของภาพยนตร์เรื่องนางสาวสุวรรณได้หายสาบสูญไป เหลือเพียงภาพนิ่งไม่กี่ภาพเท่านั้น
ความรุ่งโรจน์ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ยุคบุกเบิก (2470 - 2489)
บริษัทกรุงเทพภาพยนตร์สร้างหนังเรื่องแรกเสร็จ ให้ชื่อเรื่องว่า โชคสองชั้น เนื้อเรื่องแต่งโดย หลวงบุณยมานพพานิช (อรุณ บุณยมานพ) กำกับการแสดงโดย หลวงอนุรักษ์รถการ (เปล่ง สุขวิริยะ) ถ่ายภาพโดย หลวงกลการเจนจิต ผู้แสดงเป็นพระเอกคือ มานพ ประภารักษ์ ซึ่งคัดมาจากผู้สมัครทางหน้าหนังสือพิมพ์ ม.ล. สุดจิตร์ อิศรางกูร นางเอกละครร้องและละครรำมีชื่ออยู่ในขณะนั้น หลวงภรตกรรมโกศล ตัวโกงจากเรื่อง นางสาวสุวรรณ แสดงเป็นผู้ร้าย ภาพยนตร์ออกฉายเป็นครั้งแรกที่โรงภาพยนตร์พัฒนากร เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2470 ได้รับการตอบรับจากประชาชนจำนวนมาก อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นับว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องแรก ที่มีมหาชนไปดูกันมากที่สุด ได้การยอมรับให้เป็นภาพยนตร์ประเภทเรื่องแสดงเพื่อการค้าเรื่องแรกที่สร้างโดยคนไทย อีกเดือนเศษต่อมา บริษัทถ่ายภาพยนตร์ไทย จึงสร้างหนังของตนเรื่อง ไม่คิดเลย สำเร็จออกฉายในเดือนกันยายนปีนั้น
วิดีโอหลายคลิปจากแหล่งข้อมูลภายนอก | |
---|---|
![]() |
มีภาพยนตร์สร้างขึ้นทั้งหมด 17 เรื่องระหว่างปี พ.ศ. 2470 ถึง พ.ศ. 2475 แต่หลงเหลือเพียงฉากไล่ล่าความยาวหนึ่งนาทีจากเรื่อง โชคสองชั้น หรือฉากการแข่งขันชกมวยความยาวสองถึงสามนาทีจากภาพยนตร์เรื่อง ใครดีใครได้
ภาพยนตร์เสียงเรื่องแรก โดยพี่น้องวสุวัต ประเดิมถ่ายทำได้แก่ภาพยนตร์ข่าว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี เสด็จนิวัตพระนคร เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2474 ต่อมา ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ออกฉาย สู่สาธารณะที่ โรงภาพยนตร์พัฒนากร ในวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2474 ได้รับความชื่นชม ต่อมา พี่น้องวสุวัต ซึ่งขณะนั้นเรียกชื่อ กิจการสร้างภาพยนตร์ของพวกตน เป็นทางการว่าบริษัทภาพยนตร์เสียงศรีกรุง
ภาพยนตร์เสียงเรื่อง หลงทาง ถือเป็นภาพยนตร์เสียงเรื่องแรก ฉายในช่วงวันขึ้นปีใหม่ เดือนเมษายน พ.ศ. 2475 ซึ่งพิเศษกว่าทุกปีเพราะเป็นปีที่รัฐบาลจัดงานเฉลิมฉลองสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 150 ปี ประชาชนจากทั่วทุกสารทิศจะเดินทางเข้ามาในเมืองหลวงมากกว่าปรกติ ภาพยนตร์เสียงเรื่อง หลงทาง จึงประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง

ยุคนี้จัดว่าเป็นยุคทองยุคหนึ่งของวงการหนังไทย เพราะบริษัทเสียงศรีกรุงสร้างหนังตามที่เห็นว่าเหมาะสม และยังได้พัฒนาการสร้างหนังอยู่ตลอดเวลา หนังของบริษัทนี้ได้รับการต้อนรับในทุกแห่ง ยังเป็นที่กำเนิดของดาราคู่แรกของ วงการภาพยนตร์ไทย คือ จำรัส สุวคนธ์ และ มานี สุมนนัฎ และยังเกิดบริษัทคู่แข่งอย่าง บริษัทไทยฟิล์ม ของ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล, พจน์ สารสิน, หลวงสุขุมนัยประดิษฐ์, ประสาท สุขุม และ ชาญ บุนนาค
วิดีโอหลายคลิปจากแหล่งข้อมูลภายนอก | |
---|---|
![]() | |
![]() |
ภาพยนตร์เงียบค่อย ๆ เสื่อมความนิยมลงไปและถูกแทนที่โดยภาพยนตร์เสียง ภาพยนตร์นำเข้าหลายเรื่องไม่มีบรรยายไทยจึงจำเป็นต้องพากย์เสียงบรรยาย นักพากย์ที่มีชื่อเสียง คือ ทิดเขียว (สิน สีบุญเรือง)
ต่อมา ทิดเขียวก็ได้ผันตัวเองไปเป็นนักพากย์หนังพูดด้วย โดยภาพยนตร์เรื่องแรกที่ทิดเขียวทดลองพากย์เป็นภาพยนตร์อินเดีย เรื่อง อาบูหะซัน ด้วยความคึกคักของกิจการภาพยนตร์ต่างประเทศพากย์ไทย ทำให้ผู้สร้างภาพยนตร์ไทยบางรายซึ่งไม่มีทุนรอนมากนักเริ่มมองเห็นทางที่จะสร้างภาพยนตร์ให้ประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องลงทุนมากมายวิธีดังกล่าวคือ ลงมือถ่ายทำโดยไม่บันทึกเสียงเช่นเดียวกับภาพยนตร์เงียบ หลังจากนั้น จึงเชิญนักพากย์ฝีมือดีมาบรรเลงเพลงพากย์ในภายหลัง ผู้ที่เริ่มบุกเบิกวิธีดังกล่าว คือ บริษัทสร้างภาพยนตร์ 2 ราย ได้แก่ บริษัทบูรพาภาพยนตร์ และบริษัทหัสดินทร์ภาพยนตร์ ซึ่งได้ทดลองสร้างหนังเรื่อง อำนาจความรัก และ สาวเครือฟ้า ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้ชมอย่างดียิ่ง จึงทำให้เกิดผู้สร้างรายเล็กรายใหญ่ตามมาหลายราย
ในช่วงปี พ.ศ. 2483 เกิดสงครามโลกครั้งที่สองในยุโรป ได้ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนฟิล์มถ่ายภาพยนตร์ขนาด 35 มม. ผู้สร้างหนังในประเทศไทยจึงหันมาใช้ฟิล์มขนาด 16 มม. แทนฟิล์มขนาด 35 มม. กิจการหนังพากย์สามารถยืนหยัดจนผ่านพ้นวิกฤตการณ์ไปได้ด้วยการหันมาใช้ฟิล์ม 16 มม. ซึ่งยังพอหาได้จากท้องตลาด ดังนั้น ตลอดเวลาที่เกิดสงครามจึงมีหนังพากย์ 16 มม. ออกฉายโดยตลอดแม้จะไม่ต่อเนื่องก็ตาม
ในช่วงสงครามนั้นมีผู้สร้างหนังหลายรายสามารถสร้างหนังออกมาได้เรื่อย ๆ เช่น ภาพยนตร์ 35 มิลลิเมตรเรื่อง พระเจ้าช้างเผือก (2484) ภาพยนตร์ไทยพูดภาษาอังกฤษที่สร้างขึ้นเพื่อเผยแพร่แนวคิดเรื่องสันติภาพให้แก่นานาประเทศในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง อำนวยการสร้างและเขียนเรื่องโดย ปรีดี พนมยงค์ หรือ ภาพยนตร์เรื่อง บ้านไร่นาเรา (2485) ภาพยนตร์ที่สร้างโดยรัฐบาลเพื่อเป็นสื่อในการโฆษณาประชาสัมพันธ์นโยบายของรัฐบาลในขณะนั้น เป็นต้น
แต่การสร้างหนังต้องหยุดชะงักลงในช่วงปลาย ๆ สงคราม ทั้งนี้เพราะในช่วงเวลานั้น กรุงเทพถูกทิ้งระเบิดอย่างหนักหน่วงทั้งกลางวันกลางคืน ทำให้ไฟฟ้าดับอยู่เสมอ โรงหนังหลายโรงจึงต้องปิดกิจการชั่วคราว
ภาพยนตร์ไทยในยุค 16 มม. (2490 - 2515)
ผู้สร้างหนังไทยหันมานิยมสร้างด้วยฟิล์ม 16 มิลลิเมตร แทน 35 มิลลิเมตร ที่เคยสร้าง ภาพยนตร์ 16 มิลลิเมตรเรื่อง สุภาพบุรุษเสือไทย ประสบความสำเร็จอย่างมากมาย หนังเรื่องนี้นำแสดงโดย สุรสิทธิ์ สัตยวงศ์ ละออ ทิพยวงศ์ สอางค์ ทิพยทัศน์ ประชุม จุลละภมร และเกื้อกูล อารีมิตร ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จทั้งในด้านรายได้และคำชมเชย


การสร้างภาพยนตร์ไทยในระบบ 16 มม. ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แม้ว่าภาพยนตร์ที่ถ่ายทำด้วยฟิล์ม 16 มม. จะไม่จัดว่าได้มาตรฐาน แต่การถ่ายทำสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว สามารถล้างฟิล์มแล้วนำออกฉายได้เลยแล้ว อีกทั้งต้นทุนต่ำกว่าการถ่ายทำภาพยนตร์ในระบบ 35 มม. และสามารถกอบโกยกำไรได้อย่างงดงาม จึงเป็นแรงจูงใจให้มีนักสร้างภาพยนตร์มือสมัครเล่น กระโดดเข้ามาเป็นผู้อำนวยการสร้างกันมาก โดยเฉพาะในช่วงปี พ.ศ. 2500-2515 ช่วงเวลา 15 ปีเต็มอันเป็นช่วงรุ่งเรือง ของภาพยนตร์ไทยในระบบ 16 มม. นี้ แต่ก็เป็นในเชิงปริมาณมากกว่าคุณภาพ และในบางครั้งภาพยนตร์เหล่านี้มีลักษณะหลายประการที่คล้ายคลึงกันจนดูเป็นสูตรสำเร็จ ที่เน้นความเพลิดเพลินเพื่อนำคนดูออกจากโลกแห่งความจริงเป็นสำคัญ โดยส่วนใหญ่จะต้องมีครบรสทั้งตลก ชีวิตเศร้าเคล้าน้ำตา บู๊ล้างผลาญรวมไปถึงโป๊บ้างในบางฉาก เรื่องราวมักเป็นแบบสุขนาฏกรรมและจบลงด้วยธรรมะชนะอธรรมเสมอ
ในวงการหนังไทยก็ยังมีผู้สร้างหนังบางรายยืนหยัดสร้างภาพยนตร์ในระบบ 35 มม. เสียงในฟิล์ม เช่น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล แห่งอัศวินภาพยนตร์, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ แห่งละโว้ภาพยนตร์ และ รัตน์ เปสตันยี แห่งหนุมานภาพยนตร์
ปัจจัยสำคัญของภาพยนตร์ยุคนี้ คือ ดาราในยุคนั้น มิตร ชัยบัญชาได้เล่นหนังเป็นพระเอกมาแล้วถึง 300 เรื่อง ส่วนฝ่ายหญิงก็จะมีดาราหญิงอยู่กลุ่มหนึ่งผลัดเปลี่ยนกันขึ้นอันดับดารายอดนิยม นับตั้งแต่ วิไลวรรณ วัฒนพานิช, อมรา อัศวนนท์ และ รัตนาภรณ์ อินทรกำแหง ทั้งนี้ ก่อนปี พ.ศ. 2502 คู่พระ-คู่นางที่ผูกขาดวงการภาพยนตร์ไทยก็ยังไม่ปรากฏ มีเพียงกลุ่มนักแสดงชั้นนำที่คนดูให้การยอมรับหรือชื่นชมเท่านั้น จนมาในปี พ.ศ. 2505-2513 พระเอก-นางเอก ของวงการภาพยนตร์ไทยจึงได้ถูกผูกขาดโดย 'มิตร-เพชรา'
ระบบการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยส่วนใหญ่ยุคนั้น ตัวแสดงพูดไปตามบทโดยไม่มีการบันทึกเสียง นักพากย์จึงกลายเป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้ภาพยนตร์เหล่านั้นสามารถสื่อสารกับคนดูได้ ก็เป็นแม่เหล็กสำคัญในการดึงให้ผู้ชมมาชมภาพยนตร์ ในช่วงเวลานั้นนักพากย์ที่คนส่วนใหญ่รู้จัก ได้แก่ รุจิรา-มารศรี, พันคำ (พร้อมสิน สีบุญเรือง), เสน่ห์ โกมารชุน, จุรี โอศิริ, สีเทา, สมพงษ์ วงศ์รักไทย ฯลฯ
ในบรรดาภาพยนตร์ที่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ระหว่างปี พ.ศ. 2500-2509 มีภาพยนตร์ที่สร้างด้วยระบบฟิล์ม 35 มม. เพียงแค่ 21 เรื่องเท่านั้น ที่เหลือเป็นภาพยนตร์ที่สร้างด้วยฟิล์ม 16 มม. และในปี พ.ศ. 2515 เป็นปีสุดท้ายที่มีภาพยนตร์ไทยในระบบ 16 มม. เข้าฉายในโรงภาพยนตร์
ภาพยนตร์ไทยกับการสะท้อนภาพสังคม (2516 - 2529)
ในภาวะที่บ้านเมืองเข้าสู่ภาวะคับขันไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 และ 6 ตุลา 19 เป็นต้นมาจนถึงราวปี พ.ศ. 2529 มีภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องได้แสดงบทบาทของตนในฐานะกระจกสะท้อนปัญหาการเมือง และสังคม ในช่วงเวลาระหว่างปี พ.ศ. 2516-2529 โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2521-2525 นั้น เป็นช่วงที่หนังสะท้อนสังคมโดดเด่นที่สุด จนอาจกล่าวได้ว่า นี่คือยุคทองของหนังสะท้อนสังคม
เมื่อ มิตร ชัยบัญชา เสียชีวิตลงในปี พ.ศ. 2513 และส่งผลให้หนัง 16 มม. ถึงจุดจบตามไปด้วย เป็นช่วงเวลาที่กิจการสร้างหนังไทยกำลังเปลี่ยนทั้งระบบ จากการสร้างภาพยนตร์ 16 มิลลิเมตร พากย์สด ไปเป็นการสร้างภาพยนตร์ 35 มิลลิเมตร เสียงในฟิล์ม อันเป็นผลจากการตั้งเงื่อนไขในการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยของรัฐบาล

ในช่วงนั้นได้มีผู้กำกับหัวก้าวหน้าอย่าง เปี๊ยก โปสเตอร์ ที่สร้าง โทน ด้วยระบบ 35 มม. แม้ว่าเนื้อหาจะเน้นความบันเทิงเป็นหลัก ทว่าแฝงแรงบันดาลใจให้คนหลายคน โดยเฉพาะ ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล หรือ ท่านมุ้ย และ สักกะ จารุจินดา ทำหนังเชิงวิพากษ์สังคมก่อนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา 16
ภาพยนตร์เรื่อง เขาชื่อกานต์ มีปัญหากับเซ็นเซอร์ตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะเป็นหนังเรื่องแรกที่สร้างขึ้นมาพูดถึงระบบการฉ้อราษฎร์บังหลวงโดยตรง ซึ่งในสมัยนั้นไม่มีใครกล้าแตะต้อง ในระยะไล่เลี่ยกัน สักกะ จารุจินดา ได้นำ ตลาดพรหมจารี ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการยอมรับจากทั้งนักวิจารณ์และคนดู
ในภาพยนตร์เรื่อง เทพธิดาโรงแรม ได้มีภาพส่วนหนึ่งเป็นภาพเหตุการณ์จริงในการเดินขบวน เมื่อเข้าฉายในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2517 เทพธิดาโรงแรม ประสบความสำเร็จอย่างมากมาย หลังจากนั้น ท่านมุ้ยได้สร้างหนังออกมาอีกหลายเรื่อง ทั้งที่เป็นหนังรักและหนังวิพากษ์สังคม อย่างเช่น เทวดาเดินดิน เป็นหนังอีกเรื่องที่เรียกได้ว่าสร้างขึ้นมาด้วยเจตจำนงที่จะวิพากษ์วิจารณ์สังคมเมื่อประชาธิปไตยเบ่งบานจนเฟ้อ หลังจากโศกนาฏกรรมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ผ่านไป บ้านเมืองกลับเข้าสู่ยุคมืดอีกครั้ง เมื่อ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี บ้านเมืองไม่ผิดแผกจากยุคเผด็จการทหาร คนทำหนังส่วนใหญ่จึงต้องตกอยู่ในภาวะจำยอม ผู้สร้างหนังจำต้องยุติบทบาททางการเมืองของตนเองลงโดยปริยาย หนังที่ผลิตออกมาในช่วงนี้กลับสู่ความบันเทิงเต็มรูปแบบอีกครั้ง ส่วนใหญ่เป็นหนังตลกที่ครองตลาด ไม่ว่าจะเป็น รักอุตลุด หรือ เทพบุตรต๊ะติ๊งโหน่ง ของสมพงษ์ ตรีบุปผา
ในสมัยรัฐบาลธานินทร์ มีมาตรการขึ้นภาษีการนำเข้าภาพยนตร์ต่างประเทศ จากเมตรละ 2.20 บาท เป็นเมตรละ 30 บาท ส่งผลทำให้ผู้สั่งหนังเทศต้องชะลอการสั่งหนังลงชั่วคราว ในทางตรงกันข้ามกลุ่มผู้สร้างหนังไทยได้รับความคึกคักขึ้น ในช่วงเวลานี้เองมีการผลิตหนังไทยเพิ่มถึงปีละ 160 เรื่อง
ปี พ.ศ. 2521-2523 หนังสะท้อนสังคมโดยกลุ่มผู้สร้างที่เป็นคลื่นลูกใหม่ได้เข้าสู่วงการภาพยนตร์อย่างมากมาย อาทิ ครูบ้านนอก, เทพธิดาบาร์ 21, น้ำค้างหยดเดียว, เมืองขอทาน ฯลฯ ในจำนวนนี้ ครูบ้านนอก ถือว่าประสบความสำเร็จสูงสุด แม้กลุ่มนักแสดงจะเป็นคนหน้าใหม่แทบทั้งสิ้น
ภาพยนตร์ไทยในทศวรรษ (2530 - 2539)
ในช่วงต้นทศวรรษ วัยรุ่นเป็นกลุ่มเป้าหมายใหม่ของคนทำหนังไทยตั้งแต่ราวปี พ.ศ. 2531-2532 หลังความสำเร็จของ ซึมน้อยหน่อยกะล่อนมากหน่อย, ปลื้ม, ฉลุย และ บุญชูผู้น่ารัก (พ.ศ. 2531) เรื่องหลังเป็นงานที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงของ บัณฑิต ฤทธิ์ถกล ผู้กำกับรุ่นเดียวกับยุทธนา มุกดาสนิท ซึ่งหลังจากหนังเรื่องนี้ บัณฑิตก็กลายเป็นคนทำหนังร่วมสมัยที่มีหนังทำเงินและหนังคุณภาพมากที่สุด ระหว่างปี 2531-2538 บัณฑิตทำหนังชุดบุญชูถึง 6 เรื่อง และในปี พ.ศ. 2534 ไทเอนเตอร์เทนเมนท์ ประสบความสำเร็จกับภาพยนตร์เรื่อง กลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้
ในช่วงปี พ.ศ. 2530-2538 ได้มีนักแสดงที่ถูกจับคู่แสดงร่วมกันมากที่สุดในยุคนั้นคือ สันติสุข พรหมศิริ และ จินตหรา สุขพัฒน์ โดยเฉพาะในภาพยนตร์ที่สร้างโดยค่ายไฟว์สตาร์โปรดักชั่นและประสบความสำเร็จอย่างสูง ทำให้พวกเขามีบทบาทสำคัญในฐานะ "พระเอก-นางเอกคู่ขวัญ" ที่ขับเคลื่อนวงการภาพยนตร์ไทยในช่วงเวลานั้น
นอกจากหนังประเภทวัยรุ่นแล้ว หนังผี และหนังบู๊ รวมทั้งหนังโป๊ (เป็นแนวพิเศษที่แยกออกมาจากหนังชีวิต นิยมสร้างกันในช่วงปี พ.ศ. 2532-2535 โดยมีตลาดวิดีโอเป็นเป้าหมายหลัก) ส่วนใหญ่เป็นหนังเกรดบี หรือ หนังลงทุนต่ำของผู้สร้างรายเล็ก ๆ หนังที่โดดเด่นในบรรดาหนังเกรดบี คือ หนังผีในชุด บ้านผีปอบ ซึ่งสร้างติดต่อกันมากว่า 10 ภาคในระหว่างปี พ.ศ. 2532-2537 เหตุเพราะเป็นหนังลงทุนต่ำที่ทำกำไรดี โดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัด
ในช่วงปลายทศวรรษ คนทำหนังไทยได้ปรับปรุงคุณภาพของงานสร้าง จนกระทั่งหนังไทยชั้นดีมีรูปลักษณ์ไม่ห่างจากหนังระดับมาตรฐานของฮ่องกงหรือฮอลลีวูด แต่จำนวนการสร้างหนังก็ลดลง จากที่เคยออกฉายมากกว่า 100 เรื่อง ในปี พ.ศ. 2533 ลดลงเหลือเพียงราว 30 เรื่องในปี พ.ศ. 2539 ทางด้านรายได้ จากเพดานรายได้ จากระดับ 20-30 ล้านบาท (ต่อเรื่อง) ในระหว่างปี 2531-2534 สู่ระดับ 50- 70 ล้านบาท ในระหว่างปี 2537-2540 แต่ยังห่างจากความสำเร็จของหนังฮอลลีวูดที่พุ่งผ่าน 100 ล้านบาทเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2539
การเปลี่ยนแปลงของวงการภาพยนตร์ไทยนั้น มีผลจากการเติบโตของตลาดวิดีโอ และการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของหนังฮอลลีวูดและการปรับเปลี่ยนรูปแบบโรงหนังในกรุงเทพฯ สู่ระบบมัลติเพล็กซ์ ซึ่งเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2537 โรงหนังขนาดย่อยในห้างที่มีระบบเสียงและระบบการฉายทันสมัยเหล่านี้ นอกจากจะถูกสร้างให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตแบบใหม่ของคนเมืองแล้ว ยังมุ่งรองรับหนังฮอลลีวูดเป็นหลัก ทำให้หนังไทยถูกลดจำนวนลงไปเรื่อย ๆ
ภาพยนตร์ไทยยุคหลังวิกฤติเศรษฐกิจ (2540 - 2549)
เมื่อเริ่มต้นทศวรรษในปี พ.ศ. 2540 ก็มีปรากฏการณ์ที่สร้างความตื่นตัวให้แก่วงการหนังไทยอีกครั้ง นั่นคือความสำเร็จชนิดทำลายสถิติหนังไทยทุกเรื่อง ด้วยรายได้มากกว่า 75 ล้านบาทจากหนังของไทเอ็นเตอร์เทนเมนท์ เรื่อง 2499 อันธพาลครองเมือง ที่กำกับโดย นนทรีย์ นิมิบุตร ซึ่งช่วยฟื้นฟูให้อุตสาหกรรมหนังไทยเข้าถึงกลุ่มคนดูยุคใหม่ ๆ มากขึ้น หลังจากที่หนังไทยอยู่ในภาวะตกต่ำมาเป็นเวลานาน



ปี พ.ศ. 2540 เกิดวิกฤตการณ์การเงินที่เรียกว่า "วิกฤตต้มยำกุ้ง" อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยกำลังเข้าไปสู่ยุคการแข่งขันที่รุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นั่นเป็นเพราะกระแสโลกที่เป็นตัวกำหนดรสนิยมของการดูภาพยนตร์ของคนไทยเริ่มเปลี่ยนไป พร้อม ๆ กับการเข้ามาของกลุ่มผู้กำกับฯ คลื่นลูกใหม่ เช่น กลุ่มผู้กำกับที่มาจากวงการกำกับภาพยนตร์โฆษณา ที่มีศิลปะในการจัดการทางด้านธุรกิจ และการใช้สื่อโฆษณาทุกรูปแบบกระตุ้นผู้บริโภค
แนวภาพยนตร์ มีทั้งแนวอิงประวัติศาสตร์ ภาพยนตร์ตลก ภาพยนตร์สยองขวัญ ภาพยนตร์ที่สร้างให้เกิดกระแสสังคม ภาพยนตร์ที่สะท้อนอุดมคติของความเป็นไทย ภายหลังการล่มสลายทางเศรษฐกิจ ผู้คนเริ่มหันกลับมาค้นหาคุณค่าของความเป็นไทยด้วยความรู้สึกชาตินิยมจึงถูกปลุกขึ้นมาในช่วงนี้
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540-2548 ทางด้านการทำรายได้มีการสร้างสถิติอย่างต่อเนื่อง ภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล 20 อันดับแรกล้วนอยู่ในช่วง ปี 2540 – 2548 มีภาพยนตร์ไทย 9 เรื่องสามารถทำรายได้มากกว่า 100 ล้านบาท โดยภาพยนตร์เรื่อง สุริโยไท (2544) รายได้ภายในประเทศกว่า 550 ล้านบาท เป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุด นางนาก ที่ออกฉายต้นปี 2542 กวาดรายได้ไปถึง 149.6 ล้านบาท, บางระจัน ของ ธนิตย์ จิตต์นุกูล กวาดรายได้ 151 ล้านบาท, มือปืน/โลก/พระ/จัน ของผู้กำกับฯ ยุทธเลิศ สิปปภาค 123 ล้านบาท และ สตรีเหล็ก ของ ยงยุทธ ทองกองทุน 98.7 ล้านบาท ในปี 2544 ถือเป็นปีทองที่น่าจดจำของวงการภาพยนตร์ไทย
นอกจากนี้ ภาพยนตร์ไทยยังได้การยอมรับในต่างประเทศ ภาพยนตร์เรื่อง ต้มยำกุ้ง หรือ The Protector ถือเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกในประวัติศาสตร์ที่สามารถขึ้นไปอยู่บนตารางบ็อกซ์ออฟฟิส ภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องได้ตีตลาดต่างประเทศ อย่างภาพยนตร์เรื่อง Goal Club เกมล้มโต๊ะ, สุริโยไท, จัน ดารา, บางระจัน, ขวัญเรียม, นางนาก, สตรีเหล็ก, ฟ้าทะลายโจร, บางกอกแดนเจอรัส และ 14 ตุลา สงครามประชาชน และมีภาพยนตร์ไทยหลายเรื่องที่เป็นที่ยอมรับในเทศกาลภาพยนตร์อย่าง บางกอกแดนเจอรัส (2543) ไปเปิดตัวที่งานเทศกาลหนังที่โทรอนโต หรือ เรื่องรักน้อยนิดมหาศาล ของเป็นเอก รัตนเรือง
ในปี พ.ศ. 2546 จีเอ็มเอ็ม พิคเจอร์ หับโห้หิ้น ฟิล์ม (ในเครือแกรมมี่) ของ จิระ มะลิกุล และไท เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ร่วมกันสร้างภาพยนตร์เรื่อง แฟนฉัน ที่กำกับโดยผู้กำกับในนามกลุ่ม 365 ฟิล์ม ได้ประสบความสำเร็จทั้งด้านกระแสตอบรับและรายได้เป็นอย่างสูง และด้วยความสำเร็จนั้นทำให้บริษัททั้งสามได้ยุบตัวแล้วรวมตัวกันเป็นบริษัทใหม่ในชื่อ จีเอ็มเอ็ม ไท หับ หรือ จีทีเอช ในปี พ.ศ. 2547
ทั้งนี้ ก่อนปี พ.ศ. 2550 จีทีเอชมีผลงานภาพยนตร์ที่โดดเด่น อาทิ ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ (2547) สามารถทำเงินในประเทศไทยรวม 109.98 ล้านบาท และยังขายลิขสิทธิ์ได้ใน 30 ประเทศทั่วโลก, มหา'ลัย เหมืองแร่ (2548) ภาพยนตร์ที่สามารถคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมถึง 3 สถาบันจากรางวัลสุพรรณหงส์ ชมรมวิจารณ์บันเทิง และคมชัดลึก อวอร์ด ในปี พ.ศ. 2548, เพื่อนสนิท (2548) ทำรายได้รวม 81.3 ล้านบาท เป็นต้น
ภาพยนตร์ไทยในปัจจุบัน
ทศวรรษ 2550
ในปี พ.ศ. 2551 ได้มีการก่อตั้งสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์แห่งประเทศไทย โดยมีจุดประสงค์ในการส่งเสริมและสนับสนุนศิลปะการสร้างภาพยนตร์ไทย มีการจัดรางวัลภาพยนตร์ประจำปี คือ รางวัลสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย (Thai Film Director Award) เพื่อมอบรางวัลให้กับบุคคลที่สร้างผลงานภาพยนตร์ได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งเริ่มจัดในปี พ.ศ. 2553 มาจนถึงปัจจุบัน
แนวโน้มการทำเงินสูงของภาพยนตร์ไทยในช่วงปี พ.ศ. 2550-2559 เป็นภาพยนตร์แนวตลกและภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์เป็นส่วนใหญ่ ในบรรดาภาพยนตร์ไทยที่ทำเงินสูงสุดห้าสิบอันดับแรก (เฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และเชียงใหม่) ประกอบไปด้วยภาพยนตร์ที่สร้างและจัดจำหน่ายโดย สหมงคลฟิล์ม มีจำนวนหกเรื่องมาจากผลงานภาพยนตร์ชุดอิงประวัติศาสตร์ของหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (2550-2558) และอีกสองเรื่องมาจากผลงานภาพยนตร์ของเพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา เรื่อง บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม 2 (2550) และ วงษ์คำเหลา (2552)

ขณะที่ภาพยนตร์จากค่ายจีทีเอช บริษัทที่เกิดจากการร่วมทุนของ 3 บริษัท ที่มีผลงานภาพยนตร์ที่หลากหลาย ทำเงินติดอันดับเข้ามามากที่สุดจำนวน 9 เรื่อง อาทิ ห้าแพร่ง (รายได้ 114 ล้านบาท), รถไฟฟ้า มาหานะเธอ (รายได้ 147 ล้านบาท), กวน มึน โฮ (รายได้ 125 ล้านบาท), ลัดดาแลนด์ (รายได้ 117 ล้านบาท), ATM เออรัก..เออเร่อ (รายได้ 152.5 ล้านบาท), คิดถึงวิทยา (รายได้ 101 ล้านบาท), ไอฟาย..แต๊งกิ้ว..เลิฟยู้ (รายได้ 335 ล้านบาท) และ ฟรีแลนซ์..ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ (รายได้ 86.7 ล้านบาท)
โดยเฉพาะในช่วงกลางทศวรรษนี้ ได้เกิดภาพยนตร์ที่ทลายทุกสถิติรายได้ของวงการหนังไทย และกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ คือภาพยนตร์เรื่อง พี่มาก..พระโขนง จากค่ายจีทีเอช ที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2556 กลายเป็นภาพยนตร์ไทยที่ทำเงินสูงสุดในประเทศไทย หลังทำเงินเฉพาะเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และเชียงใหม่ 568.55 ล้านบาท แซงหน้าภาพยนตร์ สุริโยไท โดยใช้เวลาเพียงสิบห้าวัน และคาดว่าทำเงินประมาณการรวมทั่วประเทศไปกว่า 1 พันล้านบาท จากการเข้าฉายนานกว่าสิบสัปดาห์ รวมทั้งเคยสร้างสถิติเป็นภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดในประเทศไทย (นับรวมภาพยนตร์ต่างประเทศแล้ว) นานกว่าหกปี นับว่าช่วงนี้จีทีเอชได้ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดและกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลเบ็ดเสร็จในการกำหนดทิศทางรสนิยมของผู้ชมหนังไทยในวงกว้าง
นอกเหนือจากค่ายจีทีเอชและสหมงคลฟิล์มแล้ว ยังมีภาพยนตร์ตลกจากค่ายอื่นๆ ซึ่งได้รับความนิยมชมชอบและสามารถทำรายได้มากกว่า 100 ล้านบาท อาทิ สุดเขตสเลดเป็ด (รายได้ 125.03 ล้านบาท) โดยผู้กำกับ ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร์ และ หลวงพี่แจ๊ส 4G (รายได้ 166.53 ล้านบาท) โดยผู้กำกับ พจน์ อานนท์ เป็นต้น
ทศวรรษนี้ยังมีภาพยนตร์จากผู้กำกับท่านอื่นๆ ที่สร้างความหลากหลายและประสบความสำเร็จอย่างสูง เช่น รักแห่งสยาม (2550) โดยผู้กำกับ ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล, ลุงบุญมีระลึกชาติ (2553) โดยผู้กำกับ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล, ซักซี้ด ห่วยขั้นเทพ (2554) โดยผู้กำกับ ชยนพ บุญประกอบ, อาปัติ (2558) โดยผู้กำกับ ขนิษฐา ขวัญอยู่ เป็นต้น



ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 ได้มีนักแสดงนำหลายท่านที่มีผลงานภาพยนตร์อย่างต่อเนื่องและโดดเด่นที่สุด เช่น อนันดา เอเวอริ่งแฮม, อารักษ์ อมรศุภศิริ, มาริโอ้ เมาเร่อ, ฉันทวิชช์ ธนะเสวี, อภิญญา สกุลเจริญสุข, ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์, จิรายุ ละอองมณี ฯลฯ และยังเป็นยุคที่แจ้งเกิดผู้กำกับหนังคนสำคัญอีกหลายคน อาทิ ผู้กำกับหนังอิสระ เช่น นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์, อโนชา สุวิชากรพงศ์, อุรุพงศ์ รักษาสัตย์, อาทิตย์ อัสสรัตน์, นนทวัฒน์ นำเบญจพล ฯลฯ ผู้กำกับจากค่ายจีทีเอช เช่น โสภณ ศักดาพิศิษฏ์, เมษ ธราธร, ชยนพ บุญประกอบ, นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ฯลฯ
ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ได้มีการประกาศยุติการดำเนินงานของบริษัทจีทีเอชอย่างเป็นทางการ เนื่องจากวิสัยทัศน์ที่ไม่ตรงกันของกลุ่มผู้ก่อตั้ง โดยทางจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ และหับ โห้ หิ้น ได้แยกกันมาเปิดบริษัทใหม่ภายใต้ชื่อ จีดีเอช ห้าห้าเก้า ซึ่งได้เปิดตัวชื่อเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม ปีเดียวกัน และผลิตภาพยนตร์เรื่องแรก เรื่อง แฟนเดย์..แฟนกันแค่วันเดียว (2559) ภาพยนตร์ได้รับการตอบรับอย่างดี ทำรายได้รวม 110.91 ล้านบาท
ทศวรรษ 2560
เมื่อเริ่มต้นทศวรรษใหม่ในปี พ.ศ. 2560 จีดีเอชยังได้ผลิตภาพยนตร์ต่อเนื่องและประสบความสำเร็จในระดับโลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อาทิ ภาพยนตร์เรื่อง ฉลาดเกมส์โกง (2560) ได้รับการตอบรับอย่างดี เป็นภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้สูงสุดในต่างประเทศ ทำลายสถิติภาพยนตร์ไทยเรื่อง องค์บาก ที่ทำรายได้ในต่างประเทศ 515 ล้านบาท และ ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ ที่ทำรายได้ในต่างประเทศ 231 ล้านบาท เมื่อปี พ.ศ. 2547 และสร้างสถิติเป็นภาพยนตร์ไทยที่สามารถคว้ารางวัลได้มากที่สุดบนเวทีรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ จำนวนทั้งสิ้น 12 รางวัล จากการถูกเสนอชื่อเข้าชิง 16 รางวัล (15 สาขา) และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภาพยนตร์ของชาติจากหอภาพยนตร์
ภาพยนตร์สยองขวัญเรื่อง ร่างทรง (2564) เป็นภาพยนตร์ร่วมทุนระหว่างจีดีเอชและโชว์บอกซ์ โดยโปรดิวเซอร์ นา ฮง-จิน จากประเทศเกาหลีใต้ กำกับโดย บรรจง ปิสัญธนะกูล ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Best of Bucheon) ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติพูช็อน ครั้งที่ 25 ด้วยมติเป็นเอกฉันท์จากคณะกรรมการ พร้อมทั้งเป็นภาพยนตร์ทำเงินลำดับที่ 15 ของบอกซ์ออฟฟิศเกาหลีใต้ประจำปี พ.ศ. 2564 ด้วยยอดรายได้ 7.35 ล้านเหรียญสหรัฐ และยอดผู้ชม 831,126 คน
ภาพยนตร์เรื่อง หลานม่า (2567) ได้รับคำวิจารณ์เชิงบวกอย่างล้นหลาม และสร้างประวัติศาสตร์เป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกและเรื่องเดียวที่ผ่านเข้ารอบ 15 เรื่องสุดท้าย (shortlist) ในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 97 หลังจากประเทศไทยส่งภาพยนตร์เข้าร่วมการประกวดรางวัลออสการ์ สาขานี้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527
ในปี พ.ศ. 2568 ได้มีการก่อตั้งสมาคมนักแสดงแห่งประเทศไทย (Thai On-Screen Actor Association) โดยมี ณัฏฐ์ กิจจริต เป็นนายกสมาคมคนแรก
ประเภทของภาพยนตร์ไทย
หนังบู๊-หนังต่อสู้
ภาพยนตร์แนวต่อสู้หรือ หนังบู๊แอคชั่น เป็นภาพยนตร์แนวที่โดดเด่นที่สุดแนวหนึ่งในบรรดาภาพยนตร์ไทย เมื่อมิตร ชัยบัญชาและสมบัติ เมทะนีได้แสดงเป็นพระเอกในภาพยนตร์แนวนี้อยู่หลายร้อยเรื่อง ซึ่งในยุคนี้จะมีสูตรสำเร็จประการหนึ่ง ที่ได้รับการขนานนามว่า "ระเบิดภูเขา เผากระท่อม" เช่น ผลงานของฉลอง ภักดีวิจิตร ในปัจจุบัน มีนักแสดงภาพยนตร์แอคชั่นอย่าง ทัชชกร ยีรัมย์ โด่งดังถึงขนาดถูกยกเปรียบเทียบกับนักแสดงภาพยนตร์แอคชั่นระดับโลก เช่น “บรู๊ซ ลี” และ “เฉินหลง” จากบทบาทความความสำเร็จใน “องค์บาก” มาสู่ “ต้มยำกุ้ง” การแสดงของทัชชกร ไม่ใช้สลิง และไม่ใช้ตัวแสดงแทน ภาพยนตร์ของทัชชกร ได้รับการยอมรับในวงการภาพยนตร์ต่างประเทศ ขณะเดียวกัน เกิดมาลุย ภาพยนตร์แอคชั่นในการกำกับการแสดงของ พันนา ฤทธิไกร ซึ่งการต่อสู้ได้รูปแบบมาจากกังฟู ซึ่งเป็นที่รู้จักในวงการการต่อสู้ระดับโลก และได้เพิ่มเอกลักษณ์ของความเป็นไทย อย่างมวยไทยลงไปด้วย
ยังมีภาพยนตร์ต่อสู้ที่สอดแทรกความตลกขบขันอย่างภาพยนตร์เรื่อง มือปืนโลก/พระ/จัน ในปี พ.ศ. 2544 กำกับโดย ยุทธเลิศ สิปปภาค ฯลฯ
ภาพยนตร์การ์ตูน
ภาพยนตร์การ์ตูนไทย เกิดขึ้นครั้งแรกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 บุคคลที่ถือว่ามีบทบาทต่อวงการการ์ตูนไทย คือ ปยุต เงากระจ่าง ภาพยนตร์การ์ตูนไทยสำเร็จเรื่องแรก ชื่อ เหตุมหัศจรรย์ เป็นภาพยนตร์การ์ตูน ขนาดสั้น ความยาว 12 นาที นำออกฉายเป็นรายการพิเศษสำหรับสื่อมวลชนและผู้ชมเฉพาะ ที่โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมไทย ต่อมาในปี พ.ศ. 2500 จึงได้รับการนำออกฉายสู่สาธารณชน ประกอบในรายการฉาย ภาพยนตร์เรื่อง ทุรบุรุษทุย ต่อมา ปยุตได้สร้างภาพยนตร์การ์ตูน 20 นาที อีก 2 เรื่อง ได้แก่ หนุมานเผชิญภัย (ครั้งใหม่) (2500) ของสำนักข่าวสารอเมริกัน และ เด็กกับหมี (2503) ขององค์การ สปอ. และภาพยนตร์การ์ตูนขนาดยาว เรื่องแรกของประเทศไทย เรื่อง "สุดสาคร" ใช้เวลาการทำงานร่วม 2 ปี สุดสาครภาพยนตร์การ์ตูน ขนาดยาวเรื่องแรกฉาย ในเดือน เมษายน พ.ศ. 2522
ในปี พ.ศ. 2549 ภาพยนตร์เรื่องก้านกล้วย ใช้ทุนสร้างกว่า 150 ล้านบาท โดยการจับมือของสองบริษัทใหญ่ คือ บริษัท สหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และ บริษัท กันตนาแอนนิเมชั่น จำกัด ก้านกล้วย เป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นสามมิติ (3D) โดยทีมงาน คมภิญญ์ เข็มกำเนิด ซึ่งเคยสร้างผลงานในการ์ตูนแอนิเมชั่นชื่อดังของ วอลต์ ดิสนีย์ และ บลูสกาย สตูดิโอ อย่าง Tarzan, Ice Age และ Atlantis ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ 98 ล้านบาท
ตลก

ไม่ว่าภาพยนตร์ประเภทไหนของหนังไทย ไม่ว่าจะเป็น แอคชั่น สยองขวัญ หรือหนังรัก ก็จะสอดแทรกความตลกเป็นส่วนประกอบด้วย
หนังตลกในอดีตที่โด่งดัง เช่นเรื่อง เงิน เงิน เงิน ในปี พ.ศ. 2508 พระเอกนางเอกมิตร-เพชราเรียกแฟนถล่มทลาย ทำรายได้มากเป็นประวัติการณ์ ส่วนดาราตลกที่มีชื่อเสียง อย่าง ล้อต๊อก ได้รับรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี “ตุ๊กตาทอง” 2 เรื่อง คือ จากเรื่อง โกฮับ และเรื่อง หลวงตา นอกจากนั้น ยังได้รับรางวัลสุพรรณหงส์ทองคำจากเรื่อง เงิน เงิน เงิน(สร้างครั้งที่ 2 พ.ศ. 2526)
ภาพยนตร์เรื่องราวที่นำเสนอเรื่องราวชีวิตนักศึกษา นักเรียนที่มีเนื้อหาสนุกสนาน เฮฮา ก็ได้รับความนิยม อย่างภาพยนตร์เรื่องบุญชู หรือ กลิ่นสีและกาวแป้ง สร้างขึ้นในปี 2531 ส่วนหนังตลกในปัจจุบันมีมากมายและสามารถทำรายได้ดี ไม่ว่าจะเป็น มือปืนโลก/ พระ/ จัน, หลวงพี่เท่ง, สตรีเหล็ก, บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม, พยัคฆ์ร้ายส่ายหน้า และ ATM เออรัก เออเร่อ เป็นต้น
ในปี พ.ศ. 2556 ภาพยนตร์เรื่อง พี่มาก..พระโขนง ภาพยนตร์ที่นำเสนอเรื่องราวของแม่นากพระโขนง ผีพื้นบ้านไทย ทีมีเนื้อหาผี รักใคร่ และตลก สร้างโดย จีทีเอช ถือได้ว่าประสบความสำเร็จ สามารถทำรายได้ถึง 568.55 ล้านบาท มีรายได้สะสมมากกว่าภาพยนตร์เรื่อง ATM เออรัก เออเร่อ (150.11 ล้านบาท) ซึ่งเป็นภาพยนตร์ค่ายเดียวกัน จึงนับเป็นภาพยนตร์ที่สร้างรายได้มากที่สุดของจีทีเอช และเป็นภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้ในประเทศสูงสุด
อิงประวัติศาสตร์
เป็นอีกประเภทของภาพยนตร์ไทย ภาพยนตร์เรื่องสุริโยไท ภาพยนตร์ที่ใช้ทุนสร้างสูงถึง 400 ล้านบาท ใช้เวลาการถ่ายทำ 2 ปี เป็นภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ ที่เสนอเรื่องราวของประเทศไทยสมัยอยุธยา ช่วง พ.ศ. 2069 – 2092 ภาพยนตร์เรื่อง บางระจัน เรื่องราวเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2308 ณ หมู่บ้านบางระจัน กำกับภาพยนตร์โดย ธนิตย์ จิตนุกูล ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้สูงสุดในปี พ.ศ. 2543
โหมโรง เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับแรงบัลดาลใจจาก หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) บรมครูด้านดนตรีไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร โดยตัวละครจะดำเนินเรื่องในยุคสมัยดังกล่าว อีกภาพยนตร์ทุนสร้างสูงของหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล คือ ภาพยนตร์สัปตภาคเรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ใช้เวลาค้นคว้าในสถานที่จริงกว่า 6 ปี รวมการถ่ายทำอีกกว่า 3 ปี
รักร่วมเพศ
เกย์และกะเทยมักมีบทบาทในภาพยนตร์ไทยอยู่หลายครั้ง และได้พัฒนามาเป็นตัวละครหลักของภาพยนตร์ ในปี พ.ศ. 2529 ภาพยนตร์เรื่อง ฉันผู้ชายนะยะ ภาพยนตร์ที่สร้างมาจากละครเวทีของ อาจารย์เสรี วงศ์มณฑา สะท้อนถึงกาลเวลาที่สังคมไทยยอมรับการเปิดเผยเรื่องลักเพศอย่างตรงไปตรงมา เป็นภาพยนตร์ชีวิต และภาพยนตร์ที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของภาพยนตร์ประเภทนี้ คือ เพลงสุดท้าย โดยผู้กำกับ พิศาล อัครเศรณี ภาคที่ 1 และภาคที่ 2 ในปี พ.ศ. 2528 และปี พ.ศ. 2529 ตามลำดับ เป็นภาพยนตร์ที่ได้นำเรื่องราวของสาวประเภทสองคณะโชว์คาบาเร่ต์ เมืองพัทยามาสร้างเป็นภาพยนตร์ และต่อมาในปี พ.ศ. 2549 ก็ถูกนำมาสร้างใหม่อีกครั้ง
จนกระทั่งปี 2543 ภาพยนตร์โดยผู้กำกับ ยงยุทธ ทองกองทุน เรื่องสตรีเหล็ก ซึ่งสร้างจากเรื่องจริงของทีมวอลเลย์บอลชาย จากลำปาง ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จด้วยรายได้ 98.7 ล้านบาท และได้สร้างภาคต่อในภาคสองก็ทำรายได้อีก 71.2 ล้านบาท
สตรีเหล็กได้นำทางให้กับหนังประเภทนี้ตามกันมาอย่าง พรางชมพู กะเทยประจัญบาน, ปล้นนะยะ, ว้ายบึ้ม เชียร์กระหึ่มโลก, บิวตี้ฟูล บ๊อกเซอร์, Go Six: โกหก ปลิ้นปล้อน กระล่อน ตอแหล, หอแต๋วแตก เป็นต้น
ในปี 2550 ภาพยนตร์ในรูปแบบชายรักชายเรื่อง เพื่อน...กูรักมึงว่ะ โดยผู้กำกับ พจน์ อานนท์ คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากการประกวดในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติที่ประเทศเบลเยียมมาได้
สยองขวัญ

บ้านผีปอบ ภาพยนตร์ที่ถูกสร้างภาคต่อเกือบ 20 เรื่องแล้ว และยังมีในชื่ออื่น ๆ ซึ่งเนื้อหาคล้ายกันอีกเกือบ 10 เรื่อง ในปี 2542 ภาพยนตร์เรื่อง นางนาก ของ นนทรีย์ นิมิบุตร ทำรายได้ 149.6 ล้านบาท และได้สร้างกระแสให้กับหนังประเภทนี้ ซึ่งต่อมาได้ก่อให้เกิดหนังประเภทนี้ตามมาอีกมากมาย เฉพาะในปี 2549 มีภาพยนตร์ประเภทนี้ถึง 14 เรื่อง จาก 42 เรื่องของทั้งปี
ภาพยนตร์เรื่อง ผีสามบาท นับเป็นภาพยนตร์ไทยแนวสยองขวัญเรื่องแรกที่แบ่งเนื้อหาในเรื่องออกเป็นตอน ๆ ซึ่งต่อมาในภายหลังได้มีภาพยนตร์ไทยในแนวเดียวกันนี้อีกหลายเรื่อง อาทิ อารมณ์ อาถรรพณ์ อาฆาต (พ.ศ. 2545), หลอน (พ.ศ. 2546), สี่แพร่ง (พ.ศ. 2551), ห้าแพร่ง (พ.ศ. 2552), ตายโหง (พ.ศ. 2553) เป็นต้น
มีภาพยนตร์สยองขวัญหลายเรื่องที่สอดแทรกความตลก ขำขันไว้ เช่น ภาพยนตร์เรื่อง บุปผาราตรี โดยยุทธเลิศ สิปปภาค ที่ออกฉายในเทศกาลหนังนานาชาติที่โทรอนโต และภาพยนตร์เรื่อง กระสือวาเลนไทน์ เป็นต้น รวมถึงภาพยนตร์เรื่อง พี่มาก..พระโขนง ที่ดัดแปลงจากผีพื้นบ้านไทยเรื่อง แม่นากพระโขนง
ภาพยนตร์เพลง
ปี พ.ศ. 2513 ภาพยนตร์เรื่อง มนต์รักลูกทุ่ง ของ "ครูรังสี ทัศนพยัคฆ์" ที่นำแสดงโดย มิตร ชัยบัญชา และเพชรา เชาวราษฎร์ เป็นภาพยนตร์เพลงลูกทุ่งที่สมบูรณ์ และโด่งดังมากในสมัยนั้น ร่วมเพลงลูกทุ่งถึง 14 เพลง เช่น เพลง มนต์รักลูกทุ่ง, รักร้าวน้องช้ำ, แม่ร้อยใจ, สิบหมื่น โดยมีนักร้องลูกทุ่งร่วมแสดงหลายคนด้วยกัน อาทิ ไพรวัลย์ ลูกเพชร, บรรจบ เจริญพร, ศรีไพร ใจพระ และบุปผา สายชล และพรไพร เพชรดำเนิน ภาพยนตร์ทำรายได้ 6 ล้านกว่าบาทในสมัยนั้น และยังยืนโรงฉายได้นานกว่า 6 เดือน
ภาพยนตร์ของดอกดิน กัญญามาลย์ในปี พ.ศ. 2514 เรื่องไอ้ทุย นำแสดงโดยสมบัติ เมทะนี และ เพชรา เชาวราษฏร์ ก็เป็นภาพยนตร์เพลงจากกระแสเพลงลูกทุ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้น
ในปี 2544 ภาพยนตร์เรื่อง มนต์รักทรานซิสเตอร์ กำกับโดย เป็นเอก รัตนเรือง เป็นภาพยนตร์เพลงที่ไปคว้ารางวัลเทรดวินส์ อวอร์ดจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติซีแอตเติล ครั้งที่ 28 ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ปีถัดมา ก็ได้มีภาพยนตร์ทำนองนี้ในเรื่อง มนต์เพลงลูกทุ่งเอฟเอ็ม (พ.ศ. 2545)
ภาพยนตร์ชีวิต
ในปี 2520 ภาพยนตร์ที่ได้สร้างความซาบซึ้งตรึงใจให้กับผู้ชม ภาพยนตร์เรื่อง แผลเก่า ของ เชิด ทรงศรี ที่สร้างขึ้นจากบทประพันธ์ของ ไม้ เมืองเดิม ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สร้างสถิติทางด้านรายได้ ยอดคนดู ระยะเวลาที่ยืนโรงฉาย ฯลฯ ด้วยสโลแกนที่วางคู่มากับตัวหนังว่า 'เราจักสำแดงความเป็นไทยต่อโลก' และยังได้รับรางวัลจากต่างประเทศอีกด้วย
พ.ศ. 2522 บ้านทรายทอง ภาพยนตร์ที่สร้างจากวรรณกรรมจากปลายปากกาของ ก.สุรางคนางค์ เป็นเรื่องราวของ "พจมาน" เด็กสาวผู้มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีและชาติกำเนิดของตน แม้จะเป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดาก็ตาม ได้ไปอาศัยอยู่กับครอบครัวหม่อมพรรณราย วรรณกรรมเรื่องนี้ถูกสร้างเป็นละครโทรทัศน์และภาพยนตร์อยู่หลายครั้ง และเมื่อออกฉายในปี พ.ศ. 2522 นำแสดงโดย จารุณี สุขสวัสดิ์ ก็สามารถทำรายได้ประมาณ 20 ล้านบาท ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับค่าเงินในสมัยนี้ก็คงอยู่ราว ๆ 200 ล้านบาท
พ.ศ. 2546 ภาพยนตร์เรื่อง แฟนฉัน เป็นภาพยนตร์ที่เล่าถึงความทรงจำในวัยเด็กของตัวละครเอก ได้สร้างความประทับใจให้กับกลุ่มคนดูทุกรุ่น ตั้งแต่เด็กไปจนถึงกลุ่มคนวัยทำงาน และผู้ใหญ่ ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ด้วยสถิติ 137 ล้านบาท จาก งบการสร้าง 30 ล้าน
ภาพยนตร์ชีวิตเรื่อง รักแห่งสยาม ภาพยนตร์ในปี พ.ศ. 2550 กำกับโดยชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ความยาวกว่าสองชั่วโมงครึ่ง เป็นหนังรักหลายรูปแบบที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับครอบครัวที่มีปัญหาหนัก ซึ่งหนังเรื่องนี้หลังออกฉายได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางทั้งตามเว็บบอร์ด รวมถึงกลยุทธ์ในการประชาสัมพันธ์ที่ก่อให้เกิดการถกเถียงทั้งแง่บวกและแง่ลบ
วัยรุ่น
ภาพยนตร์วัยรุ่นเรื่องแรก ๆ ที่ประสบความสำเร็จ คือ ภาพยนตร์เรื่อง วัยอลวน ที่สร้างในปี พ.ศ. 2519 ของผู้กำกับภาพยนตร์เปี๊ยก โปสเตอร์ นำแสดงโดยไพโรจน์ สังวริบุตร และ ลลนา สุลาวัลย์ ทำรายได้ร่วม ทำเงินมากมาย 6-7 ล้านบาท และสร้างภาคต่อ ภาค 2 (รักอุตลุด) และภาค 3 (ชื่นชุลมุน) และ ภาคที่ 4 (ตั้ม-โอ๋ รีเทิร์น) ในปี พ.ศ. 2548
กลางปี พ.ศ. 2534 กลิ้งไว้ก่อนพ่อสอนไว้ ผลงานกำกับภาพยนตร์ของ คิง-สมจริง ศรีสุภาพ นำแสดงโดย มอส ปฏิภาณ ปฐวีกานต์ และ ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง เป็นภาพยนตร์วัยรุ่นที่โด่งดังมาก สร้างสถิติภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้สูงที่สุดในประวัติศาตร์ในเวลานั้น โดยเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่ทำรายได้เกิน 25 ล้านบาท และยังเป็นผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของ มอส ปฏิภาณ และ ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง ซึ่งแจ้งเกิดพวกเขาในวงการบันเทิง และปลุกกระแสภาพยนตร์วัยรุ่นให้กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง
ในระยะปี พ.ศ. 2535 ภาพยนตร์ไทยประเภทวัยรุ่น ได้รับการต้อนรับจากแฟนภาพยนตร์วัยรุ่น ทำให้เกิดกระแสผลิตภาพยนตร์วัยรุ่นต่อเนื่องกันอยู่หลายปี ผู้ชมภาพยนตร์ไทยมีแต่เด็กวัยรุ่นระดับนักเรียน เช่น โจ๋ไม่โจ๋หัวใจให้โจ๋ รองต๊ะแล่บแปล๊บ สะแด่วแห้ว เป็นต้น ซึ่งในยุคนี้ภาพยนตร์ไทยในแนวนี้ได้รับการวิจารณ์ว่า ทำให้ภาษาไทยเสื่อมเสียเพราะมักจะตั้งชื่อที่เป็นศัพท์สแลงหรือภาษาเฉพาะวัยรุ่นไม่มีในหลักการใช้ภาษา
ในปี พ.ศ. 2549 ภาพยนตร์เรื่อง Seasons Change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เป็นภาพยนตร์วัยรุ่น กำกับโดย นิธิวัฒน์ ธราธร มีกระแสตอบรับที่ดี ทั้งรายได้และรางวัล โดยกวาดรายได้ไปประมาณ 70 ล้านบาท และอีก 3 รางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี รวมถึงสาขารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
วิทยาศาสตร์
ภาพยนตร์ไทยในแนววิทยาศาสตร์หรือที่นิยมเรียกว่าไซไฟนั้น เมื่อเทียบกับในแนวอื่น ๆ นั้นจัดว่ามีอยู่ไม่มากนัก สำหรับแรกเรื่อง ๆ ของภาพยนตร์ไทยที่นับได้ว่าอยู่ในแนวนี้ ได้แก่ มันมากับความมืด ในปี พ.ศ. 2514 ซึ่งเป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องแรก ของ ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล และเป็นบทบาทการแสดงนำครั้งแรกของ สรพงษ์ ชาตรี นักแสดงคู่บารมีของ ม.จ.ชาตรีเฉลิม ที่ภายหลังได้เป็นศิลปินแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2551 ด้วย
สำหรับเรื่องอื่น ๆ ในแนววิทยาศาสตร์ ก็ได้แก่ กาเหว่าที่บางเพลง ในปี พ.ศ. 2538 ที่สร้างจากบทประพันธ์ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช, โคลนนิ่ง คนก๊อปปี้คน ในปี พ.ศ. 2542, ปักษาวายุ, สุริยะฆาต และ อมนุษย์ ในปี พ.ศ. 2547
ในปี พ.ศ. 2552 2022 สึนามิ วันโลกสังหาร จากการอำนวยการสร้างและกำกับของ ทรนง ศรีเชื้อ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับคลื่นสึนามิที่ถล่มกรุงเทพมหานครในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งใช้เงินทุนสร้างถึง 160 ล้านบาท แต่ทว่าเมื่อเข้าฉายแล้วไม่ประสบความสำเร็จเลยทั้งทางรายได้ โดยทำรายได้ไปเพียงแค่ 3.7 ล้านบาทเท่านั้น และคำวิจารณ์ส่วนใหญ่ก็เป็นไปในทางลบแทบทั้งสิ้น
ฟิล์มนัวร์
ภาพยนตร์ในแบบฟิล์มนัวร์ คือ ภาพยนตร์ที่มีการจัดแสงในโทนต่ำ เนื้อหากล่าวถึงอาชญากรรมและสะท้อนถึงด้านมืดในตัวมนุษย์ โดยมากแล้วจะมีในภาพยนตร์ต่างประเทศ แต่สำหรับภาพยนตร์ไทยแล้ว มีภาพยนตร์ประเภทนี้น้อยมาก โดยเรื่องแรกที่อาจเรียกได้ว่ามีลักษณะของฟิล์มนัวร์ได้ คือ กะโหลกบางตายช้า กะโหลกหนาตายก่อน ในปี พ.ศ. 2534 จากการกำกับของ มานพ อุดมเดช ซึ่งถือได้ว่าเป็นปรากฏการณ์แปลกใหม่ของวงการภาพยนตร์ไทย แม้จะไม่ประสบความสำเร็จทางรายได้ จากนั้นจึงทิ้งช่วงไปหลายปี จึงมี ดอกไม้ในทางปืน ในปี พ.ศ. 2542 จากผู้กำกับคนเดียวกัน
ส่วนผลงานเรื่องอื่น ๆ ได้แก่ ห้องน้ำ ซึ่งเป็นภาพยนตร์ซีดี จากการผลิตของ อาร์.เอส.ฟิล์ม, จอมขมังเวทย์ ในปี พ.ศ. 2548, เฉือน ในปี พ.ศ. 2552 และ นาคปรก ในปี พ.ศ. 2553 เป็นต้น
ภาพยนตร์นอกกระแส
ภาพยนตร์นอกกระแส (อินดี้) ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์สั้นหรือภาพยนตร์ยาว ส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสเข้าฉายตามโรงใหญ่ในรอบฉายปรกติเหมือนภาพยนตร์ทั่วไป ด้วยเหตุที่สั้นเกินไป หรือไม่มีจุดขายเพียงพอ แต่มักถูกเรียกว่า หนังที่มีคุณค่ากว่า
ปี พ.ศ. 2527 ผลงานของ ยุทธนา มุกดาสนิท ผีเสื้อและดอกไม้ ก็คว้ารางวัลชนะเลิศในเทศกาลภาพยนตร์ที่ฮาวาย สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการประกวดในระดับเอเชียแปซิฟิก

หนังนอกกระแสอย่าง สุดเสน่หา หรือ Blissfully Your ของ อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ในปี พ.ศ. 2544 เป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่ได้รับรางวัลในงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ รางวัล “Un Certain Regard Award” เป็นรางวัลในประเภท "น่าจับตามอง" และ ในปี พ.ศ. 2545 สัตว์ประหลาด เป็นภาพยนตร์ไทยที่ได้รางวัลจูรีไพรซ์ ในสายการเข้าประกวดชิงรางวัลปาล์มทองคำ นับเป็นที่ 3 รองจากรางวัลสูงสุด
ในปี พ.ศ. 2550 ภาพยนตร์เรื่อง แสงศตวรรษ โดยอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล คว้ารางวัล 4 รางวัลจากเทศกาลหนัง ทั้งรางวัลลำดับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากฮ่องกงฟิล์มอวอร์ด รางวัลภาพยนตร์ที่น่าจับตามองจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และออสเตรเลีย และรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากประเทศฝรั่งเศส ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 2553 อภิชาติพงศ์ ได้รับรางวัลปาล์มทองคำ จากงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ครั้งที่ 63 จากภาพยนตร์เรื่อง ลุงบุญมีระลึกชาติ นับเป็นภาพยนตร์จากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เรื่องแรกที่ได้รับรางวัลนี้
ในส่วนของภาพยนตร์สั้น มีการประกวดภาพยนตร์สั้นของมูลนิธิหนังไทยเปิดกว้างมากกว่า โดยเป็นการประกวดซึ่งเปิดโอกาสให้กับคนทั่วไปหรือนักเรียนหนังนำผลงานของตนเองส่งเข้าประกวด ไม่จำกัดหัวข้อ และรับผลงานที่เป็นวิดีโอด้วย ซึ่งทำให้ง่ายในขั้นตอนการผลิต มีอิสระทางความคิดและไม่ต้องลงทุนมาก การจัดการประกวดครั้งแรกในปี พ.ศ. 2540
จนถึงปัจจุบัน มีหน่วยงานต่าง ๆ ให้ความสนใจจัดฉายหรือประกวดภาพยนตร์สั้นขึ้นมากมาย เช่น งานส่งฝันสู่ฟิล์ม โดยนิตยสารซีนีแมก, ประกวดภาพยนตร์สั้นในเทศกาลภาพยนตร์กรุงเทพ, ประกวดหัวข้อคนไทยกับสายน้ำในเทศกาลภาพยนตร์เอเชีย, ประกวดหนังทดลองในเทศกาลหนังทดลองกรุงเทพ, งานซิตี้ออนเดอะมูฟ, ประกวดหัวข้อ กิน ในงานกินอ่านในย่านแพร่ง, งาน Best 2000 โดยกรมส่งเสริมการส่งออก เป็นต้น
เทศกาลภาพยนตร์และการแจกรางวัล
เทศกาลภาพยนตร์
เทศกาลภาพยนตร์กรุงเทพ (Bangkok Film Festival) เป็นเทศกาลภาพยนตร์แรกที่เกิดขึ้นตั้งแต่ริเริ่มในปี พ.ศ. 2541 จัดเป็นประจำทุกปี โดยรวมภาพยนตร์จากนานาชาติและภาพยนตร์ไทย และมีการประกวดภาพยนตร์ของนักทำหนังรุ่นใหม่ ส่วนเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพ (Bangkok International Film Festival) เริ่มจัดเมื่อปี 2545 จุดเด่นของเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพนี้ คือ มีการแจกรางวัลต่าง ๆ
นอกจากนี้ ยังมีเทศกาลภาพยนตร์โลกแห่งกรุงเทพ (The World Film Festival of Bangkok) จัดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2546 โดยจะจัดในช่วงเดือนตุลาคม ดำเนินการโดยหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น โดยได้รับความร่วมมือจากสถานเอกอัครราชทูตต่าง ๆ
การแจกรางวัลภาพยนตร์
ในประเทศไทยได้มีการมอบรางวัลให้แก่บุคคลในวงการผลิตภาพยนตร์ไทย ที่มีผลงานดีเด่นที่สุดในสาขาต่าง ๆ ในแต่ละปี การจัดประกวดรางวัลเพื่อมอบให้แก่บุคคลในวงการภาพยนตร์ไทยเริ่มขึ้นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2500 สมาคมหอการค้ากรุงเทพ จึงได้จัดการประกวดรางวัลภาพยนตร์ไทยยอดเยี่ยมขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์ไทย โดยได้ตั้งรูปลักษณ์รางวัลไว้ 2 ประเภท คือ รางวัลสำเภาทอง มอบให้แก่ผู้ที่ได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม และรางวัลตุ๊กตาทองรูปนางรำ ต่อมามีการออกแบบรางวัลขึ้นใหม่เป็นรูปพระสุรัสวดี จึงเปลี่ยนชื่อเรียกเป็น รางวัลพระสุรัสวดี จัดได้อยู่ 8 ครั้งแล้วหยุดไป ต่อมาได้รื้อฟื้นขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 2517 โดยสมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทย
ในปี พ.ศ. 2522 รางวัลสุพรรณหงส์ทองคำ จัดโดยสมาคมผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ไทย จุดประสงค์ก็ไม่ต่างจากรางวัลแรกอย่างพระสุรัสวดีเท่าใดนัก จนกระทั่งต้องงดจัดไปในปี 2531 หลังจากนั้น รัฐบาลได้เล็งเห็นคุณค่าของภาพยนตร์ที่มีต่อสังคมไทย และเพื่อกระตุ้นให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยมีการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่องโดยอยู่ภายใต้การดูแลของสำนักนายกรัฐมนตรี และมีสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งชาติเข้ามาเป็นผู้จัดการประกวด โดยใช้ชื่อว่า "รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ" ต่อมาถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์"
และในปี พ.ศ. 2533 ได้เกิดรางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิงโดยมี นคร วีระประวัติ (บรรณาธิการฟลิกส์) เป็นประธานชมรมฯ มาจนถึงปัจจุบัน ด้วยความร่วมมือของเหล่านักวิจารณ์บันเทิงไทย โดยรางวัลพระสุรัสวดี (รางวัลตุ๊กตาทอง), รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ และรางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง ถือเป็นรางวัลสำคัญหลัก 3 รางวัลที่มีการจัดขึ้นในประเทศไทยในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ยังมีรางวัลอื่น ๆ อีกหลายรางวัลที่ริเริ่มจัดแจกในภายหลัง โดยมากมักเป็นรางวัลที่สำนักพิมพ์-นิตยสารภาพยนตร์ต่าง ๆ ตั้งคณะกรรมการของตนขึ้นเพื่อพิจารณารางวัลแก่ภาพยนตร์ไทย หรือเป็นรางวัลที่เกิดจากการการออกเสียงของผู้ชมภาพยนตร์เลือกมอบรางวัลแก่ภาพยนตร์ไทยโดยมีผู้จัดงานเป็นนิตยสารภาพยนตร์หรือเว็บไซต์-เว็บบอร์ดเกี่ยวกับภาพยนตร์ ได้แก่ สตาร์ เอนเตอร์เทนเม้นท์ อวอร์ดส์ (Star Entertainment Awards) ที่เริ่มจัดในปี พ.ศ. 2545, คมชัดลึก อวอร์ด ที่เริ่มจัดในปี พ.ศ. 2546, ไบโอสโคป อวอร์ด (Bioscope Awards) ที่เริ่มจัดในปี พ.ศ. 2546 โดยนิตยสารไบโอสโคป, สตาร์พิคส์ อวอร์ด (Starpics Thai Film Awards) ที่เริ่มจัดในปี พ.ศ. 2546 โดยนิตยสารสตาร์พิกส์, เฉลิมไทย อวอร์ด (Chalermthai Awards) ที่เริ่มจัดในปี พ.ศ. 2546 โดยการออกเสียงของสมาชิกเว็บไซต์พันทิป (www.pantip.com) , รางวัลสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย (Thai Film Director Award) ที่เริ่มจัดในปี พ.ศ. 2553 จัดโดยสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ฯลฯ
และยังมีรางวัลเชิดชูเกียรติที่มอบให้กับศิลปินที่ทำงานในวงการภาพยนตร์อย่าง รางวัลศิลปาธร ในสาขาภาพยนตร์ และศิลปินแห่งชาติ ในสาขาศิลปะการแสดง
การอนุรักษ์ภาพยนตร์ไทย
100 ภาพยนตร์ไทยที่คนไทยควรดู
มีหลายหน่วยงาน จัดตั้งอนุรักษ์ภาพยนตร์ไทย เช่น หอภาพยนตร์แห่งชาติ ริเริ่มโครงการ โครงการ 100 ภาพยนตร์ไทยที่คนไทยควรดู เป็นบัญชีภาพยนตร์ที่คนไทยควรดู เพื่อให้เข้าใจตัวเอง เข้าใจสังคมไทย เข้าใจหนังไทย และชื่นชมหนังไทย ในรอบหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา
มรดกภาพยนตร์ของชาติ
หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ได้จัดทำโครงการขึ้นทะเบียนมรดกภาพยนตร์ของชาติ ซึ่งเป็นเสมือนการทำบัญชีภาพยนตร์ไทยที่สำคัญและที่เสี่ยงต่อการสูญเสียของชาติ เพื่อดำเนินการอนุรักษ์ได้ทันการ โครงการนี้จะทำต่อเนื่องไปทุกปี โดยกำหนดให้มีการประกาศในวันที่ 4 ตุลาคม ของทุกปี เพื่อเป็นการรำลึกถึงวันประวัติศาสตร์และเป็นการสืบทอดและเชิดชูเจตนารมณ์ของที่ประชุมครั้งนั้น โดยได้จัดทำโครงการขึ้นทะเบียนมรดกภาพยนตร์ของชาติขึ้นครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2554 เป็นต้นมา กระทรวงวัฒนธรรมได้ขึ้นทะเบียนภาพยนตร์ไทย 25 เรื่องให้เป็นมรดกของชาติ ซึ่งเป็นภาพยนตร์ทั้งที่เป็นสารคดีและภาพยนตร์การแสดง โดยพิจารณาจากการที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ มีคุณค่าทางศิลปะภาพยนตร์ มีความเสี่ยงต่อการสูญเสียหรือยากแก่การหามาทดแทน มีความโดดเด่น มีเอกลักษณ์ มีความสมบูรณ์ครบถ้วนตรงตามต้นฉบับ หรือเป็นภาพยนตร์ที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนและสังคม
และมีการประกาศรายชื่อภาพยนตร์ไทยในทุกปี ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับคัดเลือกจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายสาขาอาชีพ โดยนำรายชื่อจากที่ได้รับการเสนอจากประชาชนรวมกับรายชื่อในคลังอนุรักษ์ของหอภาพยนตร์ มาคัดเลือกเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภาพยนตร์ของชาติ และเป็นหลักประกันว่าภาพยนตร์เหล่านี้จะได้รับการอนุรักษ์อย่างดีเพื่อส่งต่อให้ชนรุ่นหลังต่อไป
การเซ็นเซอร์ในภาพยนตร์ไทย
การเซ็นเซอร์ภาพยนตร์ในประเทศไทย เกี่ยวข้องกับหน่วยงานคณะกรรมการตรวจพิจารณาภาพยนตร์ หรือ กองเซ็นเซอร์ ซึ่งได้ยึดเอาพระราชบัญญัติภาพยนตร์ พ.ศ. 2473 เป็นบรรทัดฐาน ในมาตรา 4 ระบุไว้ชัดเจนว่า “ห้ามมิให้ทำ หรือฉาย หรือแสดง ณ สถานที่มหรสพ ซึ่งภาพยนตร์หรือประกาศกอปรด้วยลักษณะฝ่าฝืน หรืออาจฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี ถึงแม้เพียงว่าการทำหรือฉาย หรือการแสดงภาพยนตร์ หรือประกาศนั้น ๆ น่าจะมีผลเช่นว่านั้น ก็ห้ามดุจกัน”
ในยุคสมัยของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้รับเอาแนวคิดต่อต้านคอมมิวนิสต์จากสหรัฐอเมริกาเข้ามา ก่อให้เกิดการเข้มงวดกวดขันในทุกรูปแบบ รวมทั้งในวงการภาพยนตร์ด้วย เมื่อเข้าสู่ยุคเผด็จการสฤษดิ์-ถนอม-ประภาส ความหวาดระแวงภัยคอมมิวนิสต์ยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก ภาพยนตร์เรื่องใดที่เข้าข่ายวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลก็จะถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ เช่นภาพยนตร์เรื่อง เขาชื่อกานต์ โดยการกำกับของ ม.จ. ชาตรีเฉลิม ยุคล ถูกเชิญให้เข้าชี้แจงต่อจอมพล ถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ว่ามีเจตนาทำลายเสถียรภาพรัฐหรือไม่ อีกทั้งตลาดพรหมจารี ของสักกะ จารุจินดา, เทพธิดาโรงแรม ที่มีฉากหนึ่งจากเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 ต่อมา เมื่อเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ผ่านพ้น ประชาชนตระหนักในสิทธิเสรีภาพของตน ขณะเดียวกันสื่อภาพยนตร์ก็สนองตอบต่อบรรยากาศทางสังคมขณะนั้นด้วย โดยสะท้อนออกมาในภาพยนตร์ว่าด้วยเสรีภาพในเรื่องเซ็กซ์อย่างเต็มที่ อาทิ ภาพยนตร์เรื่อง รสสวาท, ตลาดพรหมจารี และ เทพธิดาโรงแรม
การเติบโตของเทคโนโลยีสื่อขนานใหญ่และยากแก่การควบคุมขึ้นเรื่อย ๆ จึงได้มีการตรา “พระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พุทธศักราช 2530” ที่รวมเอาสื่อวีซีดี ดีวีดี วิดีโอเกม เลเซอร์ดิสก์ และซีดีรอมไว้ด้วย ภายใต้คำแถลงของผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรมขณะนั้นที่ว่า “แม้จะได้รับอนุญาตจากกองเซ็นเซอร์ให้สามารถเผยแพร่ได้ ก็ยังมีสิทธิ์ติดคุก หากมีผู้ร้องทุกข์จนเป็นคดีในศาล ว่า ภาพที่ปรากฏเป็นภาพลามกตามกฎหมายอาญา 287“ เป็นผลทำให้ภาพยนตร์หลายเรื่อง “เซ็นเซอร์ตัวเอง” (Self-censorship) ตัวอย่างเช่นในภาพยนตร์ วีซีดี ดีวีดี และโทรทัศน์ เหล่าผู้ประกอบการจำต้องร่วมเซ็นเซอร์ตัวเองเพราะหวั่นทางเรื่องกฎหมาย
นอกจากการเซ็นเซอร์จะสะท้อนบรรยากาศแห่งยุคสมัยแล้ว ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเรายังได้เห็นการเซ็นเซอร์ในรูปแบบต่าง ๆ มากมาย เป็นต้นว่า สั่งให้เปลี่ยนชื่อเรื่อง (อาจารย์ใหญ่ ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น ศพ) ให้ถ่ายทำบางฉากใหม่ (องคุลีมาล, หมากเตะรีเทิร์นส) ขึ้นคำเตือน (Invisible waves / ฉากสูบบุหรี่, มนุษย์เหล็กไหล / ฉากเล่นไพ่) ตัดบางฉากออกไป (สุดเสน่หา / ตัดฉากเลิฟซีนของคู่รักวัยทอง) ฯลฯ
5 มีนาคม พ.ศ. 2551 พระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา โดยเนื้อหาโดยรวม ภาครัฐยังคงให้อำนาจ เข้ามาควบคุมจัดการสื่อภาพยนตร์ไม่ต่างจาก พ.ร.บ.ภาพยนตร์ฉบับเดิมที่ใช้กันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2473 ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการเรียกร้องของคนในอุตสาหกรรมหนังไทย และวิพากษ์วิจารณ์ตลอดปี 2550 ไม่ประสบผลสำเร็จ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติเป็นผู้รับผิดชอบในการเซ็นเซอร์จัดเรทภาพยนตร์ที่จะเข้าฉายในประเทศไทย และภาพยนตร์ทุกเรื่องที่จะเข้าฉายจะต้องถูกจัดเรท เพื่อความเหมาะสมกับกลุ่มอายุผู้ชม 7 เรท คือ ภาพยนตร์ที่ส่งเสริมการเรียนรู้และควรส่งเสริมให้มีการดู ,ภาพยนตร์ที่เหมาะสมกับผู้ชมทั่วไป ,ภาพยนตร์ที่เหมาะสมกับผู้ชมอายุ 13 ปีขึ้นไป ,ภาพยนตร์ที่เหมาะสมกับกลุ่มอายุ 15 ปีขึ้นไป ,ภาพยนตร์ที่เหมาะสมกับกลุ่มอายุ 18 ปีขึ้นไป ,ภาพยนตร์ที่ห้ามผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีดู และ ภาพยนตร์ที่ห้ามเผยแพร่ในราชอาณาจักรไทย โดยการกำหนดประเภทภาพยนตร์นี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ดูเพิ่ม
- รายชื่อภาพยนตร์ไทย
- รายชื่อภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดในประเทศไทย
- รายชื่อละครโทรทัศน์ไทย
- ละครโทรทัศน์ไทย
- รายชื่อภาพยนตร์ไทยที่เสนอเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยม
อ้างอิง
- "Table 8: Cinema Infrastructure - Capacity". UNESCO Institute for Statistics. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 December 2018. สืบค้นเมื่อ 5 November 2013.
- "International Box Office: 13 Hot Emerging Markets". The Hollywood Reporter. 9 May 2013. สืบค้นเมื่อ 9 November 2013.
- นิยามภาพยนตร์ไทย - สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย
- Antithawat, Suthakorn. "The Wild Bunch: A Brief Overview Of Thai Action Films". www.fareastfilm.com (ภาษาอิตาลี). สืบค้นเมื่อ 24 December 2020.
- Anchalee Chaiworaporn, The Birth of Film Screening in Thailand เก็บถาวร 2007-11-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Thai film foundation
- Prince Sanbassart (Prince Thongthamthawanwong) - The Father of Thai Filmmaking. เก็บถาวร 2007-11-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Thai film foundation
- (ในภาษาไทย) History of Thai film (ประวัติภาพยนตร์ไทย) เก็บถาวร 2007-09-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน ,Rimping foundation
- Edmondson, Ray (September 2003). "East of the Sun, West of Moon: A Region in Memory" (PDF). Introductory essay for the “Memory of the World” film series, as published in the catalogue of the Giornate del Cinema Muto, Sacile, Italy. South East Asia Pacific Audio Visual Archive. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2007-08-29. สืบค้นเมื่อ 2007-08-25.
- Kong Rithdee, Historical inspiration Thai film foundation
- ประวัติภาพยนตร์ไทย ตอนที่ 3 เก็บถาวร 2007-09-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน เว็บไซต์ rimpingfunds.com
- "ความรุ่งโรจน์ ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ยุคบุคเบิก เก็บถาวร 2007-09-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน" เว็บไซต์ thaifilm.com
- The one-minute fragment was exhibited in 2006 in Paris during the "Tout a Fait Thai 2006: The Thai Culture Festival in France" (Rithdee, Kong. October 13, 2006. "Screen test", Bangkok Post, Real Time, Page R1.
- ประวัติภาพยนตร์ไทย ตอนที่ 4เว็บไซต์ rimpingfunds.com เก็บถาวร 2007-06-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ประวัติของ พรานบูรพ์ (2) เก็บถาวร 2012-11-13 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน โดย คีตา พญาไท 22 มีนาคม 2547 18:39 น.
- “พระเจ้าช้างเผือก” หนังกู้ชาติ ช่วยไทยไม่ตกเป็นผู้แพ้สงคราม! ประชาสัมพันธ์ผู้นำไทยใฝ่สันติภาพ!!
- เมื่อรัฐบาลใช้งบประมาณแผ่นดินสร้างหนังไทย!! “เลือดทหารไทย” “บ้านไร่นาเรา”!
- ประวัติภาพยนตร์ไทย ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เก็บถาวร 2007-06-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน เว็บไซต์ rimpingfunds.com
- ประวัติภาพยนตร์ไทย หน้า 10 เก็บถาวร 2008-02-24 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน thainationalfilm.com
- วิมลรัตน์ อรุณโรจน์สุริยะ, ภาพยนตร์ไทยในยุค 16 มม. เก็บถาวร 2007-09-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน เว็บไซต์ thaifilm.com
- จดหมายข่าวหอภาพยนตร์ ฉบับที่ 44
- จดหมายข่าวหอภาพยนตร์ ฉบับที่ 41
- ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ฉบับวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2513
- อัญชลี ชัยวรพร, หนังไทยกับการสะท้อนภาพสังคม (2516 - 2529) เก็บถาวร 2007-09-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- 2 ทศวรรษ (หนัง) การเมือง 'ต้องห้าม'!? เก็บถาวร 2011-11-09 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน โดย ผู้จัดการรายวัน 3 มีนาคม 2549 09:03 น.
- อนุสรณ์ ศรีแก้ว, ปัญหาสังคมในภาพยนตร์ของม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล, คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2534
- สุทธากร สันติธวัช, หนังไทยในทศวรรษ 2530 - 2540 เก็บถาวร 2007-09-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- 36 ปี ตำนานคู่ขวัญแห่งจอเงินของไทย สันติสุข - จินตหรา : Once Upon A Good Time ที่ยูทูบ
- HITSTORY x 2499 อันธพาลครองเมือง ภาพยนตร์แก๊งจิ๊กโก๋ 27 ปี ยังฮิต ที่ยูทูบ
- พัฒนาการของภาพยนตร์ไทยในช่วง พ.ศ. 2540-2548 สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
- พันทิวา อ่วมเจิม, 2544 : ปีทองของ “หนังไทย” จากซบเซาสู่รุ่งเรือง เก็บถาวร 2007-09-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- วิเคราะห์สถานการณ์ภาพยนตร์ไทยจากอดีตจนถึงปัจจุบัน เว็บไซต์ siamzone.com
- "ปรากฏการณ์"ต้มยำกุ้ง"สร้างประวัติศาสตร์ หนังไทยเรื่องแรก ถล่มBOX-OOFICE ฮอลลีวู้ดกระจุย 3 วันครองอันดับ 4 หนังทำเงินสูงสุดกวาดรายได้กว่า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-09-27. สืบค้นเมื่อ 2007-06-11.
- หนังไทยโกอินเตอร์ Positioning Magazine สิงหาคม 2548
- ผลรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ประจำปี 2548
- ประวัติความเป็นมา - สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย
- 10 อันดับหนังทำเงินจาก GTH รายได้ทะลุ 100 ล้าน
- พี่มาก..พระโขนง PEE MAK – มรดกภาพยนตร์ของชาติ
- ""จีทีเอช" จัดงานฉลองรายได้ "พี่มาก..พระโขนง"10 ล้านคนดู 1000 ล้านรายได้ 10000 ล้านคำขอบคุณอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา แขกร่วมงานมากมาย". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-11-29. สืบค้นเมื่อ 2014-04-06.
- ช็อกวงการบันเทิง! สั่งยุบ GTH ผู้บริหารขัดแย้ง แยกย้ายเปิดค่ายใหม่, ไทยรัฐ, 13 พฤศจิกายน 2558.
- GDH 559 บริษัททำหนังน้องใหม่ ที่แปลงร่างมาจาก GTH, สนุก.คอม, 29 ธันวาคม 2558
- รายได้หนังประจำสัปดาห์ที่ 29 ก.ย. - 5 ต.ค. 2559
- Thai exam-cheating thriller wins audiences across asia
- ฉลาดเกมส์โกง กวาด 12 รางวัล “สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 27”
- เปิดรายชื่อ! หนังไทย 20 เรื่อง ขึ้นทะเบียน "มรดกภาพยนตร์ของชาติ"
- "KOBIS (Korean Box Office Information System) All the films of Year 2021". KOFIC. สืบค้นเมื่อ September 26, 2021.
- ""หลานม่า" ภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกในประวัติศาสตร์ เข้าสู่รอบ 15 เรื่องสุดท้ายออสการ์ สาขาภาพยนตร์นานาชาติได้สำเร็จ". mpc.or.th. 2024-12-18. สืบค้นเมื่อ 2025-02-06.
- กลุ่มนักแสดงไทย ก่อตั้งสมาคมอย่างเป็นทางการ ได้ ณัฏฐ์ นั่งนายก โอ อนุชิต-ทราย เจริญปุระ โฆษก
- The Standard (2025-02-24). "สมาคมนักแสดงแห่งประเทศไทย ประกาศรายชื่อคณะก่อตั้ง ณัฏฐ์ กิจจริต เป็นนายกสมาคม, นนกุล และ อัด อวัช เป็นรองนายก". The Standard.
- Thai Actors thaiworldview.com
- "ระเบิดภูเขา...เผากระท่อม..." คำพูดสูตรสำเร็จของคนทำหนังสมัยก่อนเค้าพูดกัน...ประโยคเต็มๆใครพอทราบบ้างครับ? จากพันทิปดอตคอม
- ฟรานซิส นันตะสุคนธ์, แรงดัง พลังฮีโร่...โทนี่ จา Positioning Magazine สิงหาคม 2548
- อรวรรณ บัณฑิตกุล, "พ่อมด" เบื้องหลังแผ่นฟิล์ม เก็บถาวร 2007-09-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน นิตยสารผู้จัดการ เมษายน 2546
- Killer Tattoo imdb.com
- "ปยุต เงากระจ่าง นักวาดการ์ตูนเคลื่อนไหวมือหนึ่งของไทย". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2002-12-12. สืบค้นเมื่อ 2002-12-12.
- "ปยุต เงากระจ่าง (นักวาดการ์ตูนเคลื่อนไหวมือหนึ่งของไทย)". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-03-23. สืบค้นเมื่อ 2007-06-12.
- ข้อมูลเรื่องก้านกล้วย เว็บไซต์ pantip.com
- “วิสูตร” ยันเสียงแข็ง “ปีนี้ปีดี จีทีเอช” เตรียมโปรเจกต์ใหม่รับปีหน้า เก็บถาวร 2007-10-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน เว็บไซต์ siamrath.co.th
- คอลัมน์รู้ไปโม้ด มิตร ชัยบัญชา
- ศิลปินแห่งชาติ เก็บถาวร 2007-09-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน เว็บไซต์ art.culture.go.th
- หลากชีวิตในกลิ่นสีและกาวแป้ง เก็บถาวร 2007-09-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน เว็บไซต์ tkpark.or.th
- จับกระแสหนังไทยไม่เซ็กซ์ ไม่ผี ไม่จี้ ไม่บู๊ - ไม่มีคนดูซะงั้น เก็บถาวร 2005-12-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 8 กันยายน 2548 18:15 น.
- Thailand Yearly Box Office www.boxofficemojo.com
- ALL-TIME THAILAND BOX OFFICE www.boxofficemojo.com
- "ข่าวอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-10-30. สืบค้นเมื่อ 2007-06-12.
- ข้อมูลภาพยนตร์บางระจัน เว็บไซต์ pantip.com
- ฟิล์มบางกอก เก็บถาวร 2007-06-18 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน bectero.com
- กว่าจะมาเป็นภาพยนตร์เรื่อง “โหมโรง” sanook.com
- ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตำนานสมเด็จพระนเรศวร เก็บถาวร 2007-06-16 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน thaicinema.org
- กลุ่มผู้รักร่วมเพศกับยุคสื่อมวลชนไทยเบ่งบาน กระทู้ในพันทิป.คอม
- ฟรานซิส นันตะสุคนธ์, มองผ่านโลกเกย์ยุคใหม่จาก “ภาพยนตร์” Positioning Magazine เมษายน 2548
- ""พจน์ อานนท์"เป็นปลื้ม"เพื่อน...กูรักมึงว่ะ"คว้ารางวัล"หนังยอดเยี่ยม"ที่เบลเยี่ยม". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-11-01. สืบค้นเมื่อ 2007-12-09.
- ปอบ หวีด สยอง (Body Jumper) โดย เดียวดายใต้เงาจันทร์
- เผยโฉม“ผู้กำกับ”ผู้ทรงอิทธิพลวงการหนังไทยปี49 เก็บถาวร 2007-09-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน เว็บไซต์ daradaily.co.th
- ธุรกิจสาระ-บันเทิงปี 50 : ปรับโมเดลธุรกิจ...จับกระแสมือถือ-อินเทอร์เน็ต positioningmag.com
- พรไพร เพชรดำเนิน ข้อมูลจาก ลูกทุ่งดอตคอม
- รังสี ทัศนพยัคฆ์ ตำนานแห่ง "มนต์รักลูกทุ่ง" และ "แม่นาคพระโขนง" เก็บถาวร 2007-09-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน deedeejang.com
- "ทีเค ปาร์ค ท้าขนหัวลุกกับภาพยนตร์สั้นผี 84 นาที พร้อมอมยิ้มไปกับหนังใหญ่ ไอ้ทุย!". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-09-27. สืบค้นเมื่อ 2007-06-12.
- ข่าววันที่ 25 มิถุนายน 2545 ผู้จัดการออนไลน์
- ณัชชา/กิ่งสุรางค์ สกู๊ปประจำฉบับ: เปิดตำนาน "บ้านทรายทอง" กระทบไหล่ พจมาน สว่างวงศ์ เก็บถาวร 2007-03-12 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- GTH แฟนฉัน Model เก็บถาวร 2007-06-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน brandage.com
- นิตยสารไบโอสโคป ฉบับเดือนธันวาคม พ.ศ. 2550
- เปิดใจจูบแรกของ “พิช” กับผู้ชาย เจ้าตัวย้ำผมไม่ใช่เกย์ เก็บถาวร 2011-08-09 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน โดย ผู้จัดการออนไลน์ 3 ธันวาคม 2550 21:11 น.
- ข้อมูลภาพยนตร์เรื่องวัยอลวน 4 เว็บไซต์ Pantip.com
- รายการดารามหาชน - คำถามเกี่ยวกับมอสปฏิภาณ ออกอากาศเมื่อ 25 พ.ย.2548
- สรุปอันดับภาพยนตร์จากสถิติของสยามโซน.คอม ปี 2549
- ""สรพงศ์" ยึดซื่อสัตย์เป็นแนวทาง ปลื้มได้เป็นศิลปินแห่งชาติ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-01-23. สืบค้นเมื่อ 2010-10-10.
- รวมหนังไทยแนว Sci-Fi
- 13-04-2022 สึนามิ วันโลกสังหาร - วิจารณ์ จากสยามโซน
- ภาพยนตร์ : ความสัมพันธ์กับประวัติศาสตร์และบริบทศึกษากรณี ฟิล์ม นัวร์ (Film Noir) โดย กฤษดา เกิดดี : วารสารนิเทศศาสตร์ปริทัศน์ ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (มกราคม 2541) โดย คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
- อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล nangdee.com
- เจ้ย'เซ็งระบบเผด็จการ' รู้เหตุหนังไทยไม่พัฒนา komchadluek.net
- ""ลุงบุญมีระลึกชาติ"ของ"เจ้ย"คว้าปาล์มทองคำ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-05-25. สืบค้นเมื่อ 2010-05-27.
- หนังไทยนอกระบบ กับ ความตื่นตัวของยุคสมัย เก็บถาวร 2008-01-20 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน โดยธัญสก พันสิทธิวรกุล
- เทศกาลภาพยนตร์กรุงเทพ sanook.com
- ททท.จัดงานบางกอกฟิล์มต้อนรับศักราชใหม่[ลิงก์เสีย] โดย ผู้จัดการออนไลน์ 9 ธันวาคม 2547 18:31 น.
- เทศกาลภาพยนตร์โลกแห่งกรุงเทพฯ ครั้งที่สอง (World Film Festival of Bangkok) เก็บถาวร 2007-09-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน thaifilm.com
- "วารสารหนัง : ไทย ปีที่ 3 ฉบับที่ 10 (เมษายน-มิถุนายน 2544)". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-09-29. สืบค้นเมื่อ 2007-06-12.
- ประวัติย่อรางวัลหนังไทย เก็บถาวร 2007-09-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน deknang.com
- งานแถลงข่าว“ศิลปาธร” รางวัลแห่งเกียรติยศ ของผู้สร้างสรรค์ผลงานศิลปะร่วมสมัย สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม
- 100 ภาพยนตร์ไทยที่คนไทยควรดู ฉายตลอดปี เก็บถาวร 2016-03-06 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน มูลนิธิหนังไทย
- [1]เก็บถาวร 2012-11-13 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน 25 หนังไทยขึ้นทะเบียนมรดกชาติ เปิดโรงหนังดูฟรี จากผู้จัดการออนไลน์
- สูจิบัตรทะเบียนมรดกภาพยนตร์ของชาติ ครั้งที่ 1
- กำหนดให้วันที่ 4 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันอนุรักษ์ภาพยนตร์ไทย
- "พระราชบัญญัติภาพยนตร์ พ.ศ. 2473". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-08-13. สืบค้นเมื่อ 2007-06-26.
- 2 ทศวรรษ (หนัง) การเมือง 'ต้องห้าม'!? เก็บถาวร 2011-11-09 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน โดย ผู้จัดการรายวัน 3 มีนาคม 2549 09:03 น.
- ข่าวที่ 04/02-1[ลิงก์เสีย] สรุปผลการประชุมคณะรัฐมนตรี
- รพีพรรณ สายัณห์ตระกูล ตัด-เบลอ-ดูด-เตือน-เฉือน-ระงับ เก็บถาวร 2007-09-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน sarakadee.com
- "พระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 ประกาศใช้แล้ว!". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-03-10. สืบค้นเมื่อ 2008-03-26.
- เรตติ้งภาพยนตร์บังคับใช้จริง 12 ส.ค.นี้ dailynews.co.th
แหล่งข้อมูลอื่น

- สมาคมสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งชาติ
- รายชื่อภาพยนตร์ไทย ทางเว็บไซต์ สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย
- รายชื่อภาพยนตร์ไทย ทางเว็บไซต์ คอนเทนท์ ไทยแลนด์ (กระทรวงวัฒนธรรม)
- กองกิจการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ต่างประเทศ กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
- หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน)
วิกิพีเดีย, วิกิ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, มือถือ, โทรศัพท์, แอนดรอยด์, ไอโอเอส, แอปเปิ้ล, สมาร์ทโฟน, พีซี, เว็บ, คอมพิวเตอร์, ข้อมูลเกี่ยวกับ ภาพยนตร์ไทย, ภาพยนตร์ไทย คืออะไร? ภาพยนตร์ไทย หมายความว่าอะไร?
ฝากคำตอบ
ต้องการเข้าร่วมการสนทนาหรือไม่?คุณสามารถร่วมเขียนได้!