ไสยศาสตร์
บทความนี้ได้รับแจ้งให้ปรับปรุงหลายข้อ กรุณาช่วยปรับปรุงบทความ หรืออภิปรายปัญหาที่หน้าอภิปราย
|
ไสยศาสตร์ หมายถึง วิชาทางไสย อันเป็นลัทธิเกี่ยวกับเวทมนตร์คาถาที่เชื่อว่ามาจากศาสนาพราหมณ์ โดยเฉพาะจากคัมภีร์อถรรพเวท การทำสมาธิ บริกรรมคาถา สวดท่องมนต์ การลงอักขระเลขยันต์ การปลุกเสกเครื่องรางของขลัง วัตุมงคล ที่มีการประกอบพิธีกรรมเพื่อให้เกิดสิริมงคลไว้ป้องกันอันตรายต่อตนเองหรือทำอันตรายต่อผู้อื่น

“ไสยศาสตร์” เป็นความรู้เกี่ยวกับเวทมนต์คาถา และวิทยาคม อันมีที่มาจากศาสนาพราหมณ์ ไสยศาสตร์ มีทั้งส่วนที่ให้คุณหรือก่อประโยชน์ คือ ไสยขาว (White Magic) เช่น การใช้เวทมนต์ในการรักษาโรค เป็นต้น การใช้เวทมนต์ในการก่อโทษหรือปองร้ายผู้อื่น คือ ไสยดำ (Black Magic) เช่น การทำคุณไสยใส่ผู้อื่น เพื่อให้ผู้นั้นได้รับความทุกข์ เป็นต้น
คำว่า “ไสยศาสตร์” ในภาษาไทยมีคำเรียกต่าง ๆ กันไป เช่น ไสย, ไสยเวท, ไสยเวทวิทยา, มายาศาสตร์, อาถรรพณ์, วิชาทางเวทมนต์ หรือวิชาที่ว่าด้วยความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ เป็นต้น “ไสยศาสตร์” ความหมายตามรูปศัพท์แปลว่า ความรู้อันประเสริฐ, วิชาอันประเสริฐ หรือศาสตร์อันประเสริฐ
คำว่าในภาษาไทย “ไสย” มาจากภาษาเขมร សៃយ (ไสย) มีที่มาจากภาษาเขมรสมัยหลังพระนคร (เขมรยุคกลาง) សេយ្យ (เสยฺย), សយ្ (สยฺย, “ประเสริฐ, ยอดเยี่ยม”) ที่รับมาจากคำภาษาสันสกฤตว่า “ศรียาส (เศรยาส), ศฺเรยสฺ” (สันสกฤต: श्रेयस्, shreyas, śreyas; บาลี: เสยฺย) ที่แปลว่า ประเสริฐ, ยอดเยี่ยม, ความดีสูงสุด และคำว่า “ศาสตรา, ศาสฺตฺร” (สันสกฤต: शस्त्र, shastra, śāstra) แปลว่า ความรู้, กฎ, หนังสือ หรือตำราที่จัดไว้เป็นระบบ โดยคำนี้ได้ยืมไปใช้ในภาษาไทยและเป็นส่วนประกอบในคำประสมหลายคำ เช่น ประวัติศาสตร์, นาฏยศาสตร์, ศิลปศาสตร์, คณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์ โดยใช้เป็นคำต่อท้ายความรู้ในสาขาวิชาต่างๆ

“ไสยเวท” หรือ “ไสยเวทวิทยา” แปลว่าความรู้อันประเสริฐ เช่นกัน ซึ่งคำว่า “เวท” (สันสกฤต: वेद, Veda) นั้น หมายถึง ความรู้ มาจากคำว่า “วิทฺ” (สันสกฤต: विद् , Vid) แปลว่า 'รู้, ปัญญา, สติปัญญา, เชาวน์, ความรอบรู้, ความเฉลียวฉลาด, หรือไหวพริบ และ “วิทยา” (สันสกฤต: विद्या, Vidyā) แปล่า ความรู้, การศึกษา, การเรียนรู้, วิชา หรือศาสตร์ คัมภีร์ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่รวบรวมความรู้ของชาวอารยัน เรียกว่า “พระเวท” (สันสกฤต: वेद, Vedas) ดังนั้น “ไสยศาสตร์” จึงหมายถึง วิชาอันประเสริฐ หรือศาสตร์อันประเสริฐ
แต่ในศาสนาพุทธตามความเชื่อของไทยมักให้คำอธิบายคำว่า “ไสยศาสตร์” มาจาก “ไสย” หรือ “ไสยา” (บาลี: เสยฺยา; สันสกฤต: ศยฺยา) มีความหมายว่า นอน หรือ การนอน เช่นในคำว่า “ไสยาสน์” ซึ่งมาจาก “ไสย (เสยฺยา)” สนธิกับคำว่า “อาสน์, อาสนะ” ที่หมายถึง ที่นอน ใช้เรียกพระพุทธรูปในท่านอนว่า พระไสยาสน์ หรือ พระพุทธไสยาสน์ จึงให้ความหมายคำว่า "ไสย" แปลว่า นอน หรือ นอนหลับ หรือการหลับ ก็คือ หลับใหล ไม่รู้ตัว ไม่มีสติ
ดังนั้น "ไสยศาสตร์" ในบริบทของพุทธศาสนาของของไทย จึงหมายถึง ศาสตร์หรือวิชาที่ทำให้ผู้เกี่ยวข้องหลงใหล ไร้สติ ขาดความรู้คิดที่จะใช้ปัญญา ไตร่ตรอง คนที่ถูกทำคุณไสย ก็คือคนที่ถูกทำให้ขาดสติ ไม่รู้ตัว หลงใหล ได้ปลื้มตามที่ผู้ทำคุณไสย หรือผู้สั่งทำคุณไสยต้องการให้เป็นไปอย่างนั้น เช่น การทำเสน่ห์ เป็นต้น อันเป็น เดรัจฉานวิชา หมายถึง วิชาที่ไม่เป็นไปเพื่อการพ้นทุกข์ เป็นศาสตร์ที่ขัดขวางการเข้าถึงมรรคผลนิพพาน เช่น การทำเสน่ห์ ทำนายทายทัก การอวดฤทธิ์เดชจากภูตผี หรือการทำให้หลงงมงายในวัตถุ วิชาเหล่านี้ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม มหาศีล ซึ่งเป็นหลักความประพฤติของพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ที่ห้ามปฏิบัติ

ไสยศาสตร์กับวิถีชีวิตและความเชื่อของคนไทย
ไสยศาสตร์มีทั้งไสยศาสตร์ขาว (สายขาว, มนต์ขาว) ซึ่งเป็นวิธีการให้เกิดผลดี โชคลาภ และสิริมงคล เช่น การ รักษาโรคต่าง ๆ มีไสยศาสตร์ดำ (สายดำ, มนต์ดำ) ซึ่งกระทำ เพื่อให้เกิดผลร้ายต่อผู้อื่น เช่น การเสกตะปูเข้าท้อง การทำร้ายด้วยเวทมนตร์คาถา เป็นต้น จะเท็จจริงแค่ไหน เป็นเรื่องที่ผู้คนจำนวนมากยังเชื่อกันอยู่
ในสังคมไทย พุทธศาสนากับไสยศาสตร์ (ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาผี) เป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก ดังคำกล่าวที่ว่า “พุทธกับไสยย่อมอาศัยกัน” ทั้งนี้เพราะก่อนที่คนไทยจะนับถือพระพุทธศาสนาก็นับถือผีมาก่อนแล้ว ซ้ำยังได้รับอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเข้ามาทั้งก่อนและพร้อมกับพระพุทธศาสนา จึงทำให้ผสมผสานองค์ประกอบของความเชื่อทั้งสามไปด้วยกัน
ในสมัยโบราณจะบันทึกความรู้เรื่องไสยศาสตร์ลงใน “สมุดไทย” (สมุดข่อย) อาจเป็นของพระสงฆ์ หมอพื้นบ้าน หรือบุคคลผู้มีความรู้เป็นปราชญ์ประจำชุมชน ได้จดบันทึกหรือคัดลอกความรู้ต่าง ๆ สำหรับใช้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในวิถีชีวิต รูปแบบของตำราไสยศาสตร์มีทั้ง สมุดไทยขาว และสมุดไทยดำ ส่วนวัสดุลักษณะอื่น ๆ ได้แก่ใบลาน มีพบบ้างแต่เป็นส่วนน้อย
ไสยศาสตร์จึงเป็นเรื่องการใช้อำนาจลึกลับ เพื่อผลประโยชน์เฉพาะหน้า ให้ได้สิ่งของต้องประสงค์ ไม่ใช่วิถีปฏิบัติ เพื่อผลระยะยาว ที่ทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข และเพื่อความหลุดพ้น ไสยศาสตร์ยังอยู่ในความโลภ และความปรารถนา สำหรับตน แม้อาจจะแก้ปัญหาระยะสั้นได้ แต่ไม่อาจจะช่วยให้พ้นทุกข์ในระยะยาวได้
ศาสนาสอนให้มีความอ่อนน้อมต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และอำนาจเหนือธรรมชาติ ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อย่างสม่ำเสมอ ไสยศาสตร์ทำให้คนเชื่อว่า ตนเองมีอำนาจในการควบคุมอำนาจลึกลับต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ของตน การปฏิบัติศาสนากลายเป็นเรื่องไสยศาสตร์ไป เมื่อคนปฏิบัติศาสนา โดยคิดแบบไสยศาสตร์ ปฏิบัติเพื่อผลเฉพาะหน้า บนบานขอโชคลาภ เช่น การแขวนพระ น่าจะมีความหมายเพียง เพื่อเตือนสติให้รำลึกถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า คนจำนวนมากแขวนพระ เพื่อเป็นเครื่องรางของขลัง ให้พระคุ้มครองรักษา โดยอาจจะไม่เคยคิดถึงพระธรรม หรือรักษาศีลเลย คนที่คิดเช่นนี้ย่อมสงสัยว่า ทำไมทำดีไม่ได้ดีเสมอไป ทำไมคนชั่วจึงได้ดีมีบ่อยครั้ง คนที่ปฏิบัติศาสนาอย่างถูกต้องจะไม่สงสัยหลักธรรมข้อนี้เลย เพราะเขาทำดีเมื่อใด เขาก็ได้ดีในจิตใจเมื่อนั้น ไม่ได้หวังผลตอบแทนเป็นลาภยศ นอกนั้นชีวิตของเขาที่ประกอบแต่กรรมดี ย่อมเป็นชีวิตที่ดีงามอยู่แล้ว
ทุกศาสนาจะมีปัญหาความสับสนระหว่าง ศาสนากับไสยศาสตร์ เพราะศาสนิกจำนวนหนึ่ง ยังคงยึดติดกับความเชื่อ ที่ผสมผสานกับศาสนา ส่วนใหญ่เป็นความเชื่อท้องถิ่น ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องผีมากที่สุด นอกนั้น ถ้าหากความเชื่อในศาสนาไม่แข็งแกร่งพอ ก็ย่อมยังมีความโลภ และความเห็นแก่ตัว วิธีคิดจึงยังคงเป็นไป เพื่อประโยชน์เฉพาะหน้าของตน มากกว่าที่จะคิดถึงคุณค่า ความดีงาม และความหลุดพ้น
รูปแบบ
ความรู้ในตำราไสยศาสตร์หากพิจารณาที่รูปแบบการใช้งานอาจจัดได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่
1. การใช้เวทมนตร์คาถา
คำว่า “เวทมนตร์” หมายถึง ถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้สวดบริกรรมเพื่อให้สำเร็จตามความประสงค์บางทีใช้คู่กับ “คาถา” เป็น “เวทมนตร์คาถา” ซึ่งมีทั้งที่เป็นภาษาบาลีและภาษาไทย บางครั้งภาษาในมนตร์จะมีลักษณะคล้องจองกัน คล้ายคลึงกับภาษาร่าย อันเป็นรูปแบบวรรณกรรมโบราณสำหรับใช้สื่อสารกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังตัวอย่าง มนตร์บทหนึ่งที่ใช้ทางเสน่ห์ขึ้นต้นว่า
“...โอม ละลวยมหาละลวย งวยงงจงใจรัก เห็นหน้ากูเหมือนช้างรักงา เห็นหน้ากูเหมือนปลารักน้ำ ไม้ในป่าก็ลืมลม ผมในหัวก็ลืมเกล้า ข้าวอยู่ในคอลืมกลืน เห็นหน้ากูให้สะอึกสะอื้นคร่ำครวญ ป่วนใจไห้หากูอยู่ทุกราตรี...”
เวทมนตร์คาถาที่จดบันทึกในตำราไสยศาสตร์ย่อมมีสรรพคุณมากมาย ทั้งทางคุ้มครองป้องกัน บำบัดปัดเป่า อำนวยลาภผล ขจัดสิ่งอัปมงคล ไปจนถึงก่อให้เกิดโทษแก่ผู้อื่น นอกจากนี้เวทมนตร์คาถายังใช้สำหรับปลุกเสก เพื่อให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งกลายเป็นเครื่องรางหรือของศักดิ์สิทธิ์ขึ้น เช่น เสกขมิ้นกินเพื่อให้อยู่ยงคงกระพัน เสกสีผึ้งทาปากเพื่อให้เกิดเป็นเสน่ห์ เสกน้ำให้กลายเป็นน้ำมนต์ เสกน้ำมันหอมหรือน้ำมันงาทาตัวให้คุ้มภัยอันตรายได้
“คาถาคุณไสย” ส่วนมากมักนึกถึงในแง่ลบ หากแต่ยังมีคาถาที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ในยามจำเป็นของชีวิต เพื่อช่วยเหลือยามตกอยู่ในอันตราย ไม่ได้มีไว้เพื่อนำไปใช้ทำร้ายผู้อื่น ซึ่งผู้ที่นำไปใช้นั้นต้องประพฤติตนอยู่ในศีลในธรรมอีกด้วย ซึ่งคนสมัยโบราณในอดีตผู้เรืองอาคมใช้มนต์ดำไปในทางมิชอบ กลายเป็นคาถาขัดแย้งกับผู้เรืองพระเวทย์มนต์ขาว จึงมีการแบ่งประเภทของมนต์ขาว มนต์ดำออกอย่างชัดเจน เสมือนฝ่ายธรรมะกับฝ่ายอธรรม
2. การใช้เลขยันต์

คำว่า “ยันต์” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ให้ความหมายไว้ว่า “ตารางหรือลายเส้นเป็นตัวเลข อักขระ หรือรูปภาพที่เขียนสัก หรือ แกะสลักลงบนแผ่นผ้า ผิวหนัง ไม้ โลหะ เป็นต้น ถือว่าเป็นของขลัง” เนื่องจากยันต์ มีตัวเลขผสมอยู่กับตัวอักษร หรือบางทีก็มีแต่ตัวเลขล้วนจึงเรียกรวมกันว่า “เลขยันต์” ความเชื่อเกี่ยวกับภาพยันต์ทั้งหลาย เมื่อเขียนลงบนวัตถุใด ๆ ก็จะทำให้วัตถุสิ่งน้ันกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา เช่น เมื่อเขียนหรือจารลงแผ่นโลหะ ผ้า หรือกระดาษ ตามกรรมวิธีก็จะทำให้สิ่งเหล่านั้นกลายเป็นเครื่องรางมีอานุภาพตามหน้าที่ หรือสรรพคุณของยันต์นั้น ๆ บางครั้งสิ่งของใช้ประกอบพิธีหรือเครื่องยาต่าง ๆ ก็ต้องลงยันต์กำกับด้วย โดยที่อักขระและตัวเลขในยันต์ล้วนแต่เป็นคาถา หรือกลอักษรที่มีปริศนาแฝงอยู่ทั้งสิ้น

3. การใช้เครื่องรางของขลัง
เครื่องรางที่ประดิษฐ์ขึ้นโดยฝีมือมนุษย์อันเป็นผลิตผลจากความรู้ในวิชาไสยศาสตร์มีมากมายหลายชนิด ส่วนมากแล้วที่นิยมอยู่ในวัฒนธรรมไทย ได้แก่ ตะกรุด ผ้าประเจียด พิสมร แหวนพิรอด ลูกประคำ เชือกคาด เป็นต้น โดยปกติตำราไสยศาสตร์แต่ละเล่มย่อมมีเนื้อหากล่าวถึงการสร้าง วิธีใช้เครื่องรางชนิดต่าง ๆ ไว้ด้วย และสรรพคุณของเครื่องรางเหล่านั้นก็ครอบคลุมปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ เช่น ในยามศึกสงครามย่อมมีการสร้างเครื่องรางเพื่อขวัญกำลังใจ หรือการค้าขาย เครื่องรางในวิชาไสยศาสตร์เปรียบเสมือนยารักษาโรค ผู้ใช้อาจไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในวิชานั้นหรือเคยผ่านการศึกษาวิชาไสยศาสตร์มาก่อนก็สามารถใช้ได้ ต่างจากคาถาอาคมหรือการเขียนเลขยันต์ ซึ่งผู้ใช้งานจำเป็นต้องผ่านการศึกษาฝึกฝนศาสตร์แขนงนี้มาในระดับหนึ่ง
เหตุผลหนึ่งที่ไสยศาสตร์ยังดำรงอยู่ตลอดมาแม้ในโลกปัจจุบันที่สภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตมากแล้วก็ตาม คงเป็นเพราะไสยศาสตร์ยังมีประโยชน์ต่อมนุษย์อย่างน้อยก็ต่อสภาพจิตใจ สามารถแบ่งได้หลายกรณี ดังนี้ เพื่อป้องกันตนเอง การคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายทั้งหลายเป็นเหตุผลหลักในการเล่าเรียนไสยศาสตร์ของคนไทยโบราณ เนื่องจากสภาพแวดล้อมในอดีตมีอันตรายอยู่รอบด้าน ทั้งจากภัยธรรมชาติ โจรผู้ร้าย และการศึกสงคราม ตลอดจนยังมีความหวาดกลัวสิ่งที่มองไม่เห็น ไสยศาสตร์จึงเป็นตัวช่วยบำบัดความหวาดกลัวและสร้างความเชื่อมั่นในยามต้องเผชิญกับสถานการณ์เหล่านั้น
นอกจากการคุ้มครองป้องกันแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็นในอันดับต้น ๆ นั่นคือ ความรู้เพื่อการบำบัดรักษา หมอพื้นบ้านในอดีตมักเป็นผู้รู้ทั้งทางเวชศาสตร์และไสยศาสตร์ควบคู่กันไป การรักษาโรคภัยไข้เจ็บที่ปรากฏในตำราไสยศาสตร์มีหลายวิธีตามลักษณะอาการของโรค ผู้เป็นหมอจะวิเคราะห์ดูว่าอาการของโรคนั้น ๆ สมควรจะบำบัดรักษาโดยวิธีใด นอกจากการใช้ยาสมุนไพรแล้ว บางกรณียังใช้เวทมนตร์คาถาประกอบกันด้วยตำราไสยศาสตร์นอกจากจะกล่าวถึงการรักษาแล้วบางเล่มยังกล่าวถึงการกระทำคุณไสย หรือที่เรียกว่า “กฤตยาคม” (“กฤตยา, กฤติยา” หมายถึง การทำเวทมนตร์ หรือสิ่งที่ทำโดยใช้เวทมนตร์ โดยรากศัพท์มาจากคำว่า "กฤต, กฤติ” แปลว่า การกระทำ, ซึ่งกระทำแล้ว, สมควรแล้ว, ผลแห่งการกระทำ “กฤตยา” ซึ่งมีความหมายว่า การใช้เวทมนตร์ เสน่ห์ อาถรรพณ์" และ “อาคม” ที่แปลว่า เวทมนตร์, ความขลัง, ความศักดิ์สิทธิ์ หรือ การมา การมาถึง) ด้วยเช่นกัน การใช้กฤตยาคมมักเป็นไปในทางทำร้ายผู้อื่นให้มีอันเป็นไป หรือทำเสน่ห์ให้เกิดความรักใคร่หลงใหล ทำให้เกิดความเกลียดชัง ทำให้พ้นภัย หรือมีชัยชนะเมื่อเกิดคดีความ หรือกระทำการสาปแช่งศัตรู เป็นต้น ทั้งหมดนี้อาจเรียกว่า “วิชาอาถรรพ์” ซึ่งเป็นสิ่งที่ในทฤษฎีทางมานุษยวิทยาเรียกว่า “ไสยดำ” (Black Magic) นั่นเอง
ในประวัติศาสตร์ไทย ปรากฏหลักฐานแสดงถึงความรู้สึกหวาดหวั่นต่อคุณไสยกฤตยาคม อันเป็นภัยมืดที่มองไม่เห็น โดยปรากฏชัดใน “พระไอยการลักษณะเบ็ดเสร็จ” ของกฎหมายตราสามดวง ที่กำหนดโทษร้ายแรงถึงแก่ชีวิตแก่ผู้ที่ใช้ความรู้กระทำกฤตยาแก่ผู้อื่น แม้การเล่าเรียนความรู้ประเภทนี้จะมีความผิด แต่วิชาเหล่านี้ก็ไม่เคยสูญหายไปจากสังคมเลย ยังมีการลักลอบกระทำกฤตยาคมอยู่ทั่วไป
นอกจากนี้ ในอดีตวิชาไสยศาสตร์ยังเป็นความรู้เพื่อช่วยในการดำรงชีพ ดังจะเห็นบทบาทความรู้ทางไสยศาสตร์ที่มีความเกี่ยวพันกับชีวิตประจำวัน การตั้งถิ่นฐานบ้านเรือน การค้าขาย และการเกษตรกรรม ซึ่งพบการใช้ความรู้ทางไสยศาสตร์เพื่อการแก้ปัญหา แสดงให้เห็นบทบาทของไสยศาสตร์ในฐานะ “เทคโนโลยี” เนื่องจากเป็นรูปแบบภูมิปัญญาของมนุษย์ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อการดำรงชีพ ในครอบครัว มีการใช้ยันต์ลงในวัตถุต่าง ๆ เพื่อป้องกันไฟไหม้เรือน ป้องกันหนูกัดผ้า ป้องกันเด็กร้องไห้ตอนกลางคืน ป้องกันขโมยวัวควาย ป้องกันเมียไม่ให้มีชู้ และทำให้เด็กเลี้ยงง่าย
การทำมาค้าขายและประกอบอาชีพ มียันต์พกติดตัวทำให้ขุนนางรัก ทำให้เจ้านายเมตตาไม่ใช้งานหนัก เขียนยันต์ใส่กระบุงกระจาด ลงใส่หัวเรือลงใส่ไม้คานทำให้ค้าขายดี ลงยันต์ใส่ถุงเงินทำให้ใช้ไม่หมด ลงไว้กับเรือนทำให้เป็นเศรษฐี เป็นต้น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมความเชื่อเรื่องคุณไสยไม่เคยหมดไปจากสังคมไทย นั่นเพราะเรายังต้องการที่พึ่งทางด้านจิตใจในทุกสถานการณ์ในเอกสารโบราณมักพบไสยศาสตร์เป็นจำนวนมาก เช่น ตำรายันต์ ตำรายาต่าง ๆ เพราะไสยศาสตร์มักเป็นที่พึ่งทางใจแก่คนโบราณ ถ้าจะเปรียบง่าย ๆ ไสยศาสตร์เสมือนมีด ที่ประกอบไปด้วยคุณหรือโทษ ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ใช้ไสยศาสตร์นั่นเอง
ความเชื่อทางไสยศาสตร์ปรากฏอยู่ในงานวรรณกรรมของทุกชาติทุกภาษา ไม่ว่าจะเป็นชาติที่ด้อยความเจริญ หรือในกลุ่มชนชาติที่เจริญแล้ว ทั้งนี้เพราะมีความเชื่อเรื่องนี้มาแต่บรรพกาล และความเชื่อดังกล่าวได้ฝังลึกลงในจิตใจ ตลอดจนความคิดคำนึงของคนในสังคม สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
ไสยศาสตร์เขมร
คำว่า “ไสย” ในคำว่า “ไสยศาสตร์” นั้น พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2554 ของไทย อธิบายว่า “ลัทธิอันเนื่องด้วยเวทมนตร์คาถาซึ่งเชื่อว่าได้มาจากพราหมณ์ เช่น ถูกคุณถูกไสย”
ส่วน พจนานุกรมเขมร ฉบับพุทธศาสนบัณฑิตย์ อธิบายดังนี้ ไสย (บาลี เสยฺย ; สันสกฤต เศรฺยสฺ) ประเสริฐวิเศษ : คัมภีร์ไสย, ตำราไสย คัมภีร์หรือตำราอันประเสริฐวิเศษ (คำเขมรโบราณที่นับถือลัทธิพราหมณ์ เรียกยกย่องลัทธินี้ว่าประเสริฐวิเศษ ; เขมรสมัยปัจจุบันก็ยังเชื่อว่า ไสย เป็นคัมภีร์หรือตำราพราหมณ์ แต่เชื่อว่าไม่ประเสริฐ เพราะเห็นว่า ลัทธิพุทธ ประเสริฐกว่า) ถ้าเรียงนำหน้าคำอื่นอ่านว่า ไส-ยะ เช่น ไสยมนตร์, ไสยเวท, ไสยศาสตร์, ไสยศาศน์, มนต์, วิชา, คัมภีร์, คำสอนอันเป็นลัทธิพราหมณ์หรือเป็นลัทธิอื่นนอกลัทธิพุทธ (ตามความเชื่อของเขมรสมัยปัจจุบัน) ฯลฯ
ที่มาของคำว่า ไสย ในคำว่า ไสยศาสตร์ มีที่มาหลากาหลาย โดยประมวลได้มีด้วยกัน 3 นัย คือ
- มาจากภาษาบาลีว่า “เสยฺย” (สันสกฤต เศรฺยสฺ) แปลว่า “ดีกว่า, ประเสริฐกว่า” เพราะฉะนั้น คำว่า “ไสยศาสตร์” จึงเปลว่า “ความรู้ที่ประเสริฐกว่า, ความรู้ที่ดีกว่า” เพราะคนโบราณได้ใช้คววามรู้เหล่านี้เป็นกำลังใจในการต่อสู้กับภัยอันตราย เวลามีการรบราฆ่าฟันกัน เวลามีโรคภัยไข้เจ็บ หรือเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ไม่สบายใจ เป็นทุกข์กังวลใจ ก้ได้ใช้ศาสตร์เหล่านี้ในการช่วยเหลือ จึงถือว่าเป็นศาสตร์ที่ประเสริฐกว่า ที่ดีกว่าศาสตร์ทั่วไป
- มาจากภาษาบาลีว่า “เสยฺย” หรือ “เสยฺยา” แปลว่า “การหลับ, การนอน” จึงแปลว่า “ศาสตร์แห่งการหลับใหลหรือศาสตร์ของผู้หลับ” ซึ่งตรงข้ามกับ พุทธศาสตร์ ที่แปลว่า “ศาสตร์แห่งผู้ตื่น” เพราะคนที่งมงายอยู่กับไสยศาสตร์จะไม่มีวันพบอมตธรรมทางพระพุทธศาสนาได้เลย
- มาจากคำว่า “ไศว” หมายถึง พระศิวะ (พระอิศวร) ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เพราะเชื่อว่าไสยศาสตร์มีต้นกำเนิดมาจากคัมภีร์อาถรรพเวทในศาสนาพราหมณ์
ในสังคมไทยยังมีคนเชื่อเกี่ยวกับเรื่องไสยศาสตร์อยู่เป็นจำนวนมากตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ดังปรากฏอยู่ในวรรณคดี สมุดข่อย คัมภัร์ใบลาน และการสืยทอดกันในสำนักต่าง ๆ ปัจจุบันเมื่อพูดถึงไสยศาสตร์ คาถาอาคม คนส่วรมากมักนึกถึงไสยศาสตร์เขมร ซึ่งเชื่อว่ามีความขลัง ศักดิ์สิทธิ์กว่าไสยศาสตร์ทั่วไป ที่หมายรวมเอาทั้งไสยศาสตร์เขมรในประเทศกัมพูชา และถิ่นอีสานตอนใต้ของไทยด้วย เพราะมีรูปแบบความเชื่อ หรือประกอบพิธีกรรมคล้าย ๆ กัน
ไสยศาสตร์ของไทย เขมร รวมถึงลาว มีรูปแบบและลักษณะคล้ายคลึงกัน พบว่า คาถา, อาคม ของทั้ง 3 ชาติ ส่วนใหญ่เป็นภาษาบาลีร่วมกับภาษาของชาตินั้นๆ ไม่ค่อยพบการใช้ภาษาสันสกฤต ยกเว้นคำว่า “โอม” ที่มักใช้เริ่มต้นคาถา
ไม่ปรากฏว่ามีจารึกที่กล่าวถึงการใช้ไสยศาสตร์ในสมัยเขมรโบราณโดยตรง แต่ก็มีการกล่าวถึงอยู่ เช่น จารึกสดกกกธม K. 235 กล่าวถึง พราหมณ์หิรัณยทามะ ประกอบพิธีเทวราชเป็นครั้งแรก สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 (พ.ศ.1345-1393) ว่า ปฺราชฺญ สิทฺธฺวิทยา แปลว่า “ผู้เป็นนักปราชญ์ ผู้มีฤทธิ์อำนาจ” และยังเป็นผู้ประกอบพิธีในการ “ประกาศอิสรภาพเขมร” ไม่ให้ตกอยู่ในอำนาจของชวา
สมัยต่อมา เขมรเริ่มมีการใช้ไสยศาสตร์อย่างชัดเจนขึ้น ดังปรากฏอยู่ในวรรณคดีต่าง ๆ เช่น มรณมาตา, สังข์ศิลปชัย, สัพพสิทธิ, กากี ฯลฯ มีการกล่าวถึงคาถา อาคม และเวทมนตร์ต่าง ๆ ทั้งมีการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น
ลักษณะการใช้งาน
คนเขมรใช้ไสยศาสตร์ใน 3 ประการ ด้วยกันคือ รักษา, ป้องกันภัย และการทำลาย
เพื่อการรักษาโรค
ในกรณีที่เป็นการเจ็บจาก “เชื้อโรค” จนร่างกายเจ็บปวด หรือทำงานผิดปกติ ก็ใช้มนต์หรือคาถาควบคู่กับการใช้สมุนไพรต่าง ๆ แต่ถ้าเป็นโรคที่เกิดจากผู้ไม่หวังดีกระทำ หรือเกิดภูติผี ทำให้ร่างกายหรือจิตใจเจ็บป่วย, ผิดเพี้ยนไป ฯลฯ หมออาคมที่รักษาจะเอาวันเดือนปีเกิดตรวจดูชะตาก่อน จึงจะสรุปว่าจะใช้คาถา หรือสมุนไพรใดประกอบการรักษา
เพื่อการป้องกันภัย
จากมนุษย์, ภูตผี ฯลฯ ก็จะใช้คาถาอาคม ส่วนการใช้มีตั้งแต่ท่องคาถาอาคมนั้น, เขียนคาถาอาคมลงบนผิวหนัง (สักยันต์) หรือบนสิ่งของ เช่น เสื้อผ้า (เสื้อยันต์, ผ้ายันต์) วัตถุต่าง ๆ (ตะกรุด) ฯลฯ เพื่อคุ้มครองให้ปลอดภัย แคล้วคลาด
เพื่อการทำลาย
เป็นการใช้ไสยศาสตร์ในการทำ “เรื่องชั่วร้าย” ที่บ้างเรียก “มนต์ดำ” ต่างจาก 2 ข้อที่กล่าวไป การทำลายอาจเกิดจากผู้มีอาคมใช้มันเล่นงานผู้อื่นด้วยการปล่อยของต่าง ๆ เช่น วัวธนู, เสกกรรไกรเงินกรรไกรทองเข้าท้อง, เสกหนังวัวควายเข้าท้อง ฯลฯ หรือถูกอาคมของตนเองย้อนใส่ อนึ่ง ไสยศาสตร์เขมร แม้จะมีขึ้นชื่อว่าขลัง แต่ถ้าใช้ทำร้ายผู้อื่น ก็อาจย้อนกลับใส่ตัวเอง
ไสยศาสตร์เขมรนี้ มีการแบ่งประเภทออกไปอีกเป็น “ไสยขาว” เพื่อการรักษา, ไสยศาสตร์เพื่อการป้องกัน พวกคาถาอาคมคงกระพันที่ใช้ตะกรุด ผ้ายันต์หรือสักยันต์ เป็นต้น และ “ไสยดำหรือมนต์ดำ” คือไสยศาสตร์เพื่อการทำลาย
ซึ่งไสยดำหรือมนต์ดำนี้เป็นความรู้ที่อันตรายพอสมควร ผู้ที่เรียนจะมีชีวิตที่ไม่เจริญรุ่งเรือง นอกจากนี้หากไม่รู้จัก “ปล่อยของ” ออกไปบ้างในระยะเวลาที่กำหนดก็จะเกิดของเข้าตัวได้ ทำให้ตัวเองและครอบครัวได้รับความเดือดร้อนต่าง ๆ
วิญญาณ
ในความเชื่อของชาวเขมร จะมีวิญญาณอยู่สองชนิดที่เกี่ยวข้องกับผู้มีวิชาอาคม คือ “ปอบ” กับ “กระสือ”
ปอบ เกิดจากผู้หญิงที่มีมนต์มหาเสน่ห์แต่มนต์เข้าตัว เวลากลางคืนวิญญาณปอบที่อยู่ในร่างจะออกมาเป็นดวงไฟสีเขียวหรือม่วง อาจมีไส้เจ้าของร่างออกมาด้วยหรือไม่แล้วแต่ความเชื่อ แล้วออกไปหากินลูกกบลูกเขียดหรือของโสโครก วิญญาณปอบจะไม่สามารถแยกออกจากเจ้าของร่างได้ ถ้าตายก็ตายพร้อมกัน แต่ผู้มีอาคมอาจใช้คาถาขับให้ปอบออกจากตัวได้โดยไม่ทำอันตรายเจ้าของร่าง
กระสือ นั้นเกิดจากผู้มีอาคมแก่กล้าที่ควบคุมมนต์คาถาได้แล้วแตก คือไม่สามารถควบคุมวิชาอาคมหรือทำผิดข้อห้าม กลายเป็นกระสือ ลักษณะเป็นดวงไฟคล้ายกับปอบ แต่ไม่ได้กินเหมือนกับปอบ เล่าว่าลอยขึ้นสูงกินขี้เมฆขี้ดาวเป็นอาหาร นอกจากนี้กระสือยังต่างจากปอบตรงที่ไม่ต้องพึ่งพาเจ้าของร่าง แต่เจ้าของสามารถเอาไปใส่ตลับหรือผอบฝังดินไว้แล้ววิญญาณกระสือจะออกหากินเอง
พิธีกรรมทางไสยศาสตร์เขมร
มีตัวอย่างอยู่หลายอย่าง เช่น
- เสกกรรไกรเงิน กรรไกรทอง หรือเสกหนังวัวหนังควายเข้าท้อง ผู้มีอาคมจะเสกให้วัตถุเหล่านี้มีขนาดเล็กแล้วลอยเข้าปากของเป้าหมาย ต่อมาวัตถุจะขยายขนาดขึ้นในท้องสร้างความทุกข์ทรมานอาจถึงแก่ชีวิตได้ จำต้องแก้โดยผู้มีอาคมอีกคน
- ใช้เสี้ยนไม้หรือเข็มทำอันตรายกับหุ่นแล้วจะมีผลกับเป้าหมายจริง คล้ายกับศาสตร์วูดู มีทั้งแบบเสกให้ตายทันทีหรือแฝงเป็น “ระเบิดเวลา” เช่น รอให้เป้าหมายกินหมูก่อนค่อยออกฤทธิ์ เป็นต้น
- เสกวัวควายธนูไปทำอันตรายเป้าหมาย ซึ่งจริง ๆ แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ แบบใช้ดินปั้นรูปวัวเสก กับแบบใช้ธนูอาคม เอาธนูหรือหน้าไม้ยิงลูกใส่หุ่นลงอาคมเป้าหมายให้เกิดอันตรายต่าง ๆ
ปัจจุบันไสยศาสตร์เหล่านี้ค่อย ๆ สูญหายไปเพราะมีผู้สืบทอดน้อยลง และถือกันว่าผู้ที่เรียนคุณไสยมนต์ดำเหล่านี้จะมีชีวิตไม่ราบรื่นนั่นเอง
กระทรวงแพทยาคม
ครั้งหนึ่งประเทศไทยเคยมีกระทรวงเวทมนตร์เป็นของตัวเอง ใช้ในการควบคุมการใช้เวทมนตร์ต่าง ๆ ทั้งของประชาชน และในส่วนงานต่าง ๆ ของประเทศ สังเกตได้ว่าในหนังย้อนยุคย้อนสมัยของไทยมักจะมีการสอดแทรกการใช้เวทมนตร์อาคม การใช้ไสยเวทย์เป็นเรื่องปกติ และใช้ได้โดยทั่วไป จากการใช้เวทมนตร์อาคมที่แพร่หลายจึงไม่น่าแปลกใจที่จะต้องจัดตั้งหน่วยงานเวทมนตร์ขึ้นมาเพื่อควบคุมและตัดสินการใช้งานเวทมนตร์ให้อยู่ในความเหมาะสม
โดยกระทรวงเวทมนตร์ของประเทศไทยนั้นมีชื่อว่า “กระทรวงแพทยาคม” คำว่า “แพทย” มีความหมายว่า แพทย์รักษาโรค ผสมกับคำว่า “อาคม” ที่แปลว่าเวทมนตร์ เมื่อรวมกันแล้วจึงแปลได้ว่า “หมอรักษาโรคเกี่ยวกับเวทมนตร์” แม้จะไม่แน่ชัดว่าจัดตั้งในปีไหนแต่กระทรวงแพทยาคมนี้ถูกกล่าวถึงอยู่บ่อย ๆ ตั้งแต่สมัยอยุธยา
หน้าที่ของกระทรวงแพทยาคมมีหน้าที่พิจารณา ไต่สวนคดีความที่เกี่ยวกับไสยเวท อาคม คุณไสย ต่าง ๆ เช่น เสน่ห์ยาแฝด รีดลูก การทำร้ายคนด้วยผีหรือไสยเวทต่าง ๆ รวมไปถึงการถูกกล่าวหาว่าเป็นกระสือ กระหัง ปอบ เป็นต้น โดยในกระทรวงหรือศาลแพทยาคมจะมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านเวทมนตร์ เรียกว่า “วิทยาคม” คอยเป็นตุลาการพิจารณาคดีในแต่ละคดี และตัดสินการลงโทษกับผู้ที่ใช้ไสยเวทเพื่อทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย
ท้ายที่สุดกระทรวงแพทยาคมก็ถูกลดบทบาทจาก “ศาลกระทรวงแพทยา” เป็น “ศาลกรมแพทยา” ช่วงสมัยรัชกาลที่ 3 ก่อนจะถูกยุบลงในช่วงรัชกาลที่ 5 เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2434 (ค.ศ. 1891) เพราะช่วงสมัยนั้นเป็นช่วงที่ไทยอยากจะพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าทันชาวตะวันตก กระทรวงแพทยาคมจึงถูกมองว่าเป็นเรื่องงมงาย ล้าหลัง
กรมแพทยาหน้า-กรมแพทยาหลัง
2 หน่วยงานสมัยอยุธยา-กรุงรัตนโกสินทร์ ที่ควบตำแหน่งนายแพทย์รักษาคนและพิพากษาคดี “ไสยศาสตร์” เป็นตำแหน่งที่ปรากฏอยู่ในกฎหมายตราสามดวง ในพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือน ซึ่งเป็นกฎหมายว่าด้วยตำแหน่งทางราชการและศักดินาต่าง ๆ ของอยุธยา
ชื่อของตำแหน่งนี้คือ พระศรีมโหสถแพทยาธิบดีศรีองครักษ เจ้ากรมแพทยาหน้า และ พระศรีศักราชแพทยาธิบดีศรีองครักษ เจ้ากรมแพทยาหลัง
ทั้ง 2 ตำแหน่งนี้เกี่ยวกับแพทย์ มีหน้าที่รักษาคนในรั้ววัง รวมถึงเหล่าข้าราชการ ขณะเดียวกันแพทย์เหล่านี้ก็ต้องทำหน้าที่เกี่ยวกับไสยศาสตร์ เนื่องจากสมัยนั้นยังมีการฟ้องร้องเรื่องไสยศาสตร์กันอยู่ อย่างที่กฎมณเฑียรบาลหรือกฎหมายที่ใช้ในวัง ระบุว่า
“อนึ่ง การอายัดพระมหาราชครู พระราชครู พระอาลักษณ พระโหราธิบดี พระศรีมโหสถ พระศรีศักดิ์ ให้ทำกำหนดราชปะเพนีโดยขบวนโบราณ แลให้ถือกำหนดพิทธีโดยดำหรับสาตราเวท มีทวาทโศศกโสฬศกรรมเปนต้น แลปัถมาพิเศก ราชาภิเศก อินทราภิเศก สังครามาภิเศก อาจาริยาภิเศก แลการภิเศกโดยสารทดำหรับทังปวง แลจัดครูพิทธีให้ชอบด้วยสารทบังคับ อันขบวนการโดยการนั้นสมุหปธานทหารพ่อเรือนโดยพนักงาน
แลได้เงีนโดยการนั้นเท่าครูพิทธี ผิ้ให้พระนามโดยการแผ่นดินแลสมเดจ์พระอรรคมเหษีท่าน ลูกเธอหลานเธอเอกโท ได้เสื้อผ้าหมวกเงีน ตามใหญ่น้อยเอกโทให้นามวิเสศทังปวงผู้ได้งาน ให้เท่าตำแหน่งศักดิ์ ผิ้ให้นามมิชอบโดยพยากร จัดครูพิทธีหมีต้องสารท บังคับผู้ชุบโหมเวทมนตร บอกดำหรับผิดพลั้ง โทษพระอาลักษณมัดแขวน โทษพระมหาราชครูพระราชครูพระโหราธิบดีพระศรีมโหสถ พระศรีศักดิ์ประคำใหญ่แขวนฅอ”
จึงทำให้ทราบว่าตำแหน่งพระศรีมโหสถ (เจ้ากรมแพทยาหน้า) และพระศรีศักดิ์ หรือพระศรีศักราชา (เจ้ากรมแพทยาหลัง) เป็นหนึ่งในผู้ประกอบพิธีทางศาสนาด้วยเช่นกัน ทั้งหากสืบรากไปจริง ๆ จะเห็นว่า ผู้ที่มาดำรงตำแหน่งนี้จะมาจากสายตระกูลพราหมณ์ โดยสมัยอยุธยาส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากอินเดียใต้ คดีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องผีหรือไสยศาสตร์ จึงตกมาเป็นหน้าที่ของแพทยาในการพิจารณาด้วย
นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ยังตรัสถึงกรมที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ไว้ใน “พระบรมราชาธิบายแก้ไขการปกครองแผ่นดิน” ว่า
“อนึ่ง กรมหมอนั้น แต่เดิมเป็นหมอสำหรับว่าความพวกหนึ่ง มีเจ้ากรมซ้ายขวาปลัดทูลฉลองซ้ายขวาปลัดนั่งศาลซ้ายขวา อีกพวกหนึ่งเป็นหมอโรงพระโอสถ แต่พวกแรกนั้นเลิกเสียไม่ได้ว่าความตามที่ว่ามาแล้ว แต่ยังคงแบ่งเป็นสองพวกอยู่ พวกหนึ่งเรียกว่าหมอศาลา พวกหนึ่งเรียกว่าหมอโรงใน คำซึ่งเรียกว่าหมอศาลานั้นจะใช้สำหรับหมอพวกที่ว่าความมาแต่เดิมเป็นพวกหมอนั่งศาลฤๅจะเป็นหมอนอกสำหรับจ่ายรักษาพระบรมวงศานุวงศ์ข้าราชการ ตามที่เข้าใจกันอยู่โดยมากก็ไม่ได้ความแน่ แต่หมอโรงในคือโรงพระโอสถนั้นคงเป็นหมอสำหรับพระเจ้าแผ่นดินแน่ แต่ถึงอย่างไรในการที่ใช้อยู่ปัจจุบันนี้ ไม่ได้เลือกว่าหมอศาลาแลโรงพระโอสถ ใช้ปนกันไปหมดตามแต่ที่ต้องการ” (เน้นคำและจัดย่อหน้าใหม่โดยกองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม)
“หมอว่าความ” หรือหมอศาลาที่ว่านั้นก็คือ “พระศรีมโหสถ” และ “พระศรีศักดิ์” หรือเจ้ากรมแพทยหน้า-หลัง (รัชกาลที่ 5 ทรงใช้คำว่าซ้าย-ขวาแทน) หากอ้างอิงตามกฎหมายตราสามดวงนั่นเอง
กรมแพทยาหน้า-กรมแพทยาหลัง จึงเป็น 2 หน่วยงาน ที่นอกจากจะเป็นแพทย์ผู้รักษาชนชั้นนำที่ป่วยไข้ไม่สบายแล้ว ยังทำหน้าที่ขจัดปัดเป่าเรื่องมนต์ดำคุณไสย (ถึงแม้จะไม่มากเท่า) ให้ผู้อื่นอีกด้วย ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร เพราะถ้าหากมองความเชื่อของคนสมัยนั้น การเจ็บป่วยก็ล้วนเกี่ยวข้องกับความไม่ชอบมาพากลจากสิ่งที่มองไม่เห็นทั้งสิ้น
อ้างอิง
- เชิงอรรถ
- พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554, หน้า 1276
- พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554, หน้า 1404
- บรรณานุกรม
ไสยศาสตร์เขมรเบื้องต้น, กังวล คัชชิมา
แนวคิดและการจัดประเภทไสยศาสตร์, คลังปัญญามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
“ไสยศาสตร์เขมร” ที่ใช้ทำร้ายผู้อื่น เรียกว่า “มนต์ดำ”, ศิลปวัฒนธรรม
“กรมแพทยาหน้า-กรมแพทยาหลัง” 2 หน่วยงาน พิพากษาคดีไสยศาสตร์ อยุธยา-รัตนโกสินทร์, ศิลปวัฒนธรรม
- ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. พิมพ์ครั้งที่ ๒, กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, 2556. 1,544 หน้า. ISBN 978-616-7073-80-4
วิกิพีเดีย, วิกิ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, มือถือ, โทรศัพท์, แอนดรอยด์, ไอโอเอส, แอปเปิ้ล, สมาร์ทโฟน, พีซี, เว็บ, คอมพิวเตอร์, ข้อมูลเกี่ยวกับ ไสยศาสตร์, ไสยศาสตร์ คืออะไร? ไสยศาสตร์ หมายความว่าอะไร?
ฝากคำตอบ
ต้องการเข้าร่วมการสนทนาหรือไม่?คุณสามารถร่วมเขียนได้!