วอลแตร์
ฟร็องซัว-มารี อารูเอ (ฝรั่งเศส: François-Marie Arouet) หรือนามปากกาคือ วอลแตร์ (Voltaire) เป็นนักเขียน นักปรัชญา นักเสียดสี และนักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในยุคเรืองปัญญา เขามีชื่อเสียงจากไหวพริบเฉียบแหลมและการวิพากษ์วิจารณ์คริสต์ศาสนาโดยเฉพาะศาสนจักรโรมันคาทอลิก รวมถึงการต่อต้านระบบทาส วอลแตร์เป็นผู้สนับสนุนเสรีภาพทางศาสนา, เสรีภาพในการพูด และผลักดันให้มีการแบ่งแยกศาสนจักรออกจากรัฐ
วอลแตร์ Voltaire | |
---|---|
![]() | |
เกิด | ฟร็องซัว-มารี อารูเอ 21 พฤศจิกายน 1694 ปารีส ราชอาณาจักรฝรั่งเศส |
เสียชีวิต | 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1778 ปารีส ราชอาณาจักรฝรั่งเศส | (83 ปี)
ที่ฝังศพ | ป็องเตอง |
นามปากกา | วอลแตร์ |
อาชีพ | นักเขียน, นักปรัชญา, นักประวัติศาสตร์, นักเขียนบทละคร |
สัญชาติ | ฝรั่งเศส |
จบจาก | วิทยาลัยหลุยส์-เลอ-กรังซ์, มหาวิทยาลัยปารีส |
วอลแตร์เป็นนักเขียนที่มีความสามารถรอบด้านและมีผลงานอย่างล้นหลาม ผลงานของเขาครอบคลุมเกือบทุกประเภทวรรณกรรม ไม่ว่าจะเป็นบทละคร บทกวี นวนิยาย บทความทางวิชาการ งานประวัติศาสตร์ และแม้แต่งานอธิบายทางวิทยาศาสตร์ ตลอดชีวิต เขาเขียนจดหมายมากกว่า 20,000 ฉบับ และหนังสือกับแผ่นพับกว่า 2,000 ชิ้น วอลแตร์นับเป็นหนึ่งในนักเขียนกลุ่มแรก ๆ ที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ในระดับนานาชาติเขาเป็นผู้สนับสนุนสิทธิเสรีภาพพลเมืองอย่างเปิดเผย และมักเผชิญความเสี่ยงจากกฎหมายการเซ็นเซอร์ที่เข้มงวดของราชวงศ์ฝรั่งเศสนิกายคาทอลิก งานโต้เถียงและการเสียดสีของเขามักมุ่งไปที่ความไม่อดทน ความงมงายในศาสนา และสถาบันต่าง ๆ ของฝรั่งเศสในสมัยนั้น
ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือ Candide ซึ่งเป็นนวนิยายขนาดสั้นที่แสดงความเห็น วิพากษ์ และเสียดสีเหตุการณ์และนักปรัชญาร่วมสมัยกับเขา โดยเฉพาะการโต้แย้งต่อแนวคิดของก็อทฟรีท วิลเฮ็ล์ม ไลบ์นิทซ์ ที่เชื่อว่าโลกนี้จำเป็นต้องเป็น “โลกที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
ประวัติช่วงต้น
ฟร็องซัว-มารี อารูเอ เกิดที่กรุงปารีส เป็นบุตรคนสุดท้องจากในห้าคนของนายฟร็องซัว อารูเอ (François Arouet) ข้าราชการชั้นผู้น้อยในกองคลัง กับนางมารี มาร์เกอริต โดมาร์ (Marie Marguerite Daumard) บุตรีตระกูลขุนนางชั้นล่างของฝรั่งเศส แต่มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับวันเกิดของวอลแตร์ เนื่องจากเขาอ้างว่าตนเกิดเมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 1694 เป็นบุตรนอกสมรสของขุนนางนามว่า กูแร็ง เดอ รอชบรูน (Guérin de Rochebrune) ในบรรดาพี่น้องของเขา พี่ชายสองคนได้แก่อาร์ม็องด์-ฟร็องซัว และโรเบร์ เสียชีวิตตั้งแต่วัยทารก ส่วนพี่ชายที่รอดชีวิตชื่ออาร์ม็องด์ และพี่สาวชื่อมาร์เกอริต-กาเทอรีน มีอายุมากกว่าเขาเก้าปีและเจ็ดปีตามลำดับ ครอบครัวตั้งชื่อเล่นให้วอลแตร์ว่า “โซโซ” (Zozo) เขาได้รับพิธีล้างบาปเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 1694
วอลแตร์ได้รับการศึกษาในสังกัดคณะเยซูอิตที่โรงเรียนหลุยส์-เลอ-กร็อง ระหว่างปี 1704–1711 โดยได้เรียนภาษาละติน เทววิทยา และวาทศิลป์ ต่อมาในชีวิต วอลแตร์สามารถพูดภาษาอิตาลี สเปน และอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว เมื่อถึงเวลาที่เขาจบการศึกษา วอลแตร์ก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าอยากเป็นนักเขียน ซึ่งขัดกับความประสงค์ของบิดาที่ต้องการให้เขาเป็นนักกฎหมาย วอลแตร์แสร้งทำทีว่ารับราชการในปารีสในตำแหน่งผู้ช่วยนิติกร แต่แท้จริงแล้วกลับใช้เวลาส่วนใหญ่แต่งบทกวี เมื่อบิดาทราบเรื่องจึงส่งเขาไปเรียนกฎหมายต่อที่ก็องในแคว้นนอร์ม็องดี แต่วอลแตร์ยังคงเขียนผลงานต่อไป ทั้งบทความเชิงปรัชญาและงานประวัติศาสตร์ ทำให้เป็นที่นิยมในหมู่ครอบครัวชนชั้นสูงบางตระกูลที่เขาได้เข้าสังคมด้วย
ในปี 1713 บิดาจัดการให้วอลแตร์เป็นเลขานุการเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสคนใหม่ประจำเนเธอร์แลนด์ ซึ่งก็คือคือมาร์ควิสแห่งชาโตเนิฟ ผู้ซึ่งเป็นพี่ชายของพ่อทูนหัวของวอลแตร์เอง เมื่อเดินทางไปอยู่กรุงเฮก วอลแตร์มีความรักกับกาเทอรีน โอลิมป์ ดูนัวเยร์ (Catherine Olympe Dunoyer) ผู้ลี้ภัยชาวฝรั่งเศสนิกายโปรเตสแตนต์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “ปิมเป็ตต์” (Pimpette) ความสัมพันธ์ครั้งนี้ถูกมองว่าอื้อฉาว และเมื่อชาโตเนิฟล่วงรู้ วอลแตร์จึงถูกบังคับให้กลับฝรั่งเศสภายในสิ้นปีนั้น
ชีวิตช่วงต้นส่วนใหญ่ของวอลแตร์หมุนเวียนอยู่รอบกรุงปารีส ตั้งแต่วัยหนุ่มเขาก็มักมีปัญหากับทางการจากการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ส่งผลให้เขาถูกตัดสินจำคุกสองครั้ง และถูกเนรเทศไปอังกฤษชั่วคราวหนึ่งครั้ง บทกวีเชิงเสียดสีชิ้นหนึ่งซึ่งวอลแตร์กล่าวหาว่าผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน มีความสัมพันธ์ทางเพศกับบุตรสาวของตนเอง ทำให้เขาถูกจองจำที่คุกบัสตีย์เป็นเวลา 11 เดือน ต่อมาในเดือนมกราคม 1717 โรงละครกอมีดี-ฟร็องแซส์ ได้ตกลงจัดแสดงบทละครเรื่อง Oedipus ผลงานเปิดตัวของเขา และละครก็ออกแสดงในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 1718 เพียงเจ็ดเดือนหลังจากที่เขาได้รับการปล่อยตัว ความสำเร็จทั้งในเชิงวิจารณ์และเชิงพาณิชย์ของละครเรื่องนี้ได้สถาปนาชื่อเสียงของเขาขึ้นทันที ทั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินฝรั่งเศสและพระเจ้าจอร์จที่ 1 แห่งบริเตนใหญ่ ทรงมอบเหรียญอิสริยาภรณ์แก่เขาเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความชื่นชม
ผลงาน
ผลงานของวอลแตร์มีจำนวนมากมาย หลากหลายประเภททั้งบทละคร นิยาย นิทานเชิงปรัชญา ประวัติศาสตร์ และบทกวี เขาได้รับยกย่องจากคนร่วมสมัยว่าเป็นนักเขียนบทละครชั้นนำและกวีชั้นนำ แต่ในปัจจุบันเขากลับเป็นที่ยกย่องในฐานะนักเขียนเชิงเสียดสี วิพากษ์วิจารณ์ (Le symbole de l’esprit critique) ผลงานของเขาส่วนใหญ่เป็นการเผยแพร่ความคิดทางปรัชญาไปสู่สาธารณชน เพื่อปลุกความคิดวิพากษ์วิจารณ์ให้แก่ชาวฝรั่งเศส เพื่อต่อต้านความคิดระบบสถาบันแบบเก่า การต่อสู้เพื่อขจัดความอยุติธรรมในสังคม รวมทั้งความเชื่อที่งมงายและความบ้าคลั่งทางศาสนา นอกจากนี้เขายังส่งเสริมเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพและการแสดงความคิดเห็นอีกด้วย
ประวัติศาสตร์

วอลแตร์มีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อพัฒนาการของศาสตร์ประวัติศาสตร์ (historiography) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฝรั่งเศส ผ่านการเสนอวิธีมองอดีตในแง่มุมใหม่ ๆ ผลงานประวัติศาสตร์ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของเขา ได้แก่ ประวัติพระเจ้าคาร์ลที่ 12 (Histoire de Charles XII ,1731), รัชสมัยหลุยส์ที่ 14 (Le Siècle de Louis XIV, 1751) และ ความเรียงว่าด้วยจารีตและจิตวิญญาณประชาชาติ (Essai sur les mœurs et l'esprit des nations, 1756) เขาแหวกออกจากประเพณีการเล่าเรื่องเหตุการณ์ทางการทูตและการทหาร แล้วหันมาเน้นที่จารีต ประวัติศาสตร์สังคม และความก้าวหน้าในศิลปะและวิทยาศาสตร์
ในความเรียงว่าด้วยจารีตฯ วอลแตร์ได้ติดตามความก้าวหน้าของอารยธรรมโลกในบริบทสากล โดยปฏิเสธทั้งลัทธิชาตินิยมและกรอบอ้างอิงแบบคริสต์ศาสนาแบบดั้งเดิม ได้รับอิทธิพลจากงานเขียนของบอสซุเอต์ (Bossuet) เขาเป็นนักวิชาการคนแรกที่พยายามอย่างจริงจังในการเขียนประวัติศาสตร์โลก โดยตัดกรอบเทววิทยาออก และหันมาเน้นเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์การเมือง เขามองยุโรปเป็นองค์รวมมากกว่าการเป็นเพียงกลุ่มประเทศที่แยกจากกัน วอลแตร์ยังเป็นคนแรกที่เน้นให้เห็นว่า วัฒนธรรมยุคกลางของยุโรปเป็นหนี้บุญคุณต่ออารยธรรมตะวันออกกลาง อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังมีความอ่อนด้อยในการศึกษายุคกลางในภาพรวม แม้เขาจะตักเตือนอยู่เสมอว่านักประวัติศาสตร์ไม่ควรปล่อยให้อคติทางการเมืองครอบงำ แต่เขาก็มักใช้โอกาสในการเปิดโปงความไม่อดทนและการหลอกลวงของศาสนจักรตลอดประวัติศาสตร์ วอลแตร์แนะนำให้นักวิชาการถือหลักว่า สิ่งใดที่ขัดกับกระบวนการตามธรรมชาติย่อมไม่น่าเชื่อถือ แม้ว่าเขาเห็นว่าประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยความชั่วร้าย แต่เขายังคงเชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งว่า เหตุผลและการรู้หนังสือที่แพร่หลายจะนำมนุษย์ไปสู่ความก้าวหน้า
วอลแตร์ได้อธิบายมุมมองของตนต่อวิชาประวัติศาสตร์ไว้ในบทความในสารานุกรมของเดอนี ดีเดอโร ว่า “นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่ถูกคาดหวังให้ให้รายละเอียดมากขึ้น ตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แน่ชัดยิ่งขึ้น ระบุวันที่อย่างแม่นยำ และให้ความสำคัญกับจารีต กฎหมาย ศีลธรรม การค้า การเงิน เกษตรกรรม และจำนวนประชากร” งานประวัติศาสตร์ของวอลแตร์สะท้อนค่านิยมแห่งยุคเรืองปัญญาลงไปในการตีความอดีต แต่ในขณะเดียวกัน เขายังช่วยปลดปล่อยศาสตร์ประวัติศาสตร์จากความเป็นนักสะสมโบราณวัตถุ (antiquarianism) การมองโลกในกรอบยุโรปเป็นศูนย์กลาง (Eurocentrism) ความไม่อดทนทางศาสนา และการสนใจเพียงบุคคลสำคัญ การทูต และสงคราม
กวีนิพนธ์
ตั้งแต่วัยเยาว์ วอลแตร์แสดงพรสวรรค์ด้านการประพันธ์บทกวี ผลงานตีพิมพ์ชิ้นแรกของเขาก็คือบทกวี เขาแต่งมหากาพย์สองเล่มยาว ได้แก่ Henriade ซึ่งนับเป็นมหากาพย์เล่มแรกที่เขียนเป็นภาษาฝรั่งเศส และต่อมาคือ สาวพรหมจรรย์แห่งออร์เลอ็องส์ (La Pucelle d'Orléans) นอกจากนี้ยังมีงานกวีชิ้นเล็กอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ผลงานที่ประสบความสำเร็จสูงสุดคือ Henriade ซึ่งเขียนโดยใช้กลอนคู่อเล็กซานดรีน (กลอนภาษาฝรั่งเศสที่แต่ละวรรคมี 12 พยางค์และสัมผัสเป็นคู่) ที่ได้รับการปรับปรุง แต่สำหรับผู้อ่านสมัยใหม่กลับมองว่าน่าเบื่อ อย่างไรก็ตาม มหากาพย์นี้ประสบความสำเร็จอย่างสูงในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีการพิมพ์ถึง 65 ครั้ง และถูกแปลเป็นหลายภาษา เนื้อหาของมหากาพย์ได้ยกพระเจ้าอ็องรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ให้เป็นวีรบุรุษของชาติ จากความพยายามของพระองค์ในการสร้างความอดทนทางศาสนาผ่านพระราชกฤษฎีกาน็องต์ อีกด้านหนึ่ง สาวพรหมจรรย์แห่งออร์เลอ็องส์ กลับเป็นงานเชิงเสียดสีที่ล้อเลียนตำนานของฌานแห่งอาร์ก
โดยทั่วไปแล้ว งานวิจารณ์และงานเขียนเบ็ดเตล็ดของวอลแตร์แสดงให้เห็นรูปแบบเดียวกันกับผลงานอื่นของเขา เกือบทุกผลงานที่มีสาระสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นร้อยกรองหรือร้อยแก้วมักจะมีคำนำอยู่เสมอ ซึ่งคำนำเหล่านี้ถือเป็นตัวอย่างชั้นดีของน้ำเสียงที่ทั้งคมคายและเป็นกันเองของเขา ในบรรดาแผ่นพับและงานเขียนนานาชนิด วอลแตร์ได้แสดงฝีมือการทำงานเชิงวารสารศาสตร์ไว้อย่างชัดเจน ส่วนงานวิจารณ์วรรณกรรมโดยตรง ผลงานสำคัญด้านวรรณกรรมวิจารณ์ของเขาคือ Commentaire sur Corneille อย่างไรก็ตาม เขายังสร้างสรรค์งานลักษณะเดียวกันอีกหลายชิ้น ทั้งที่เขียนอย่างอิสระ เช่น ชีวิตของโมลิแยร์ พร้อมข้อวิจารณ์ข้อสังเกต (Vie de Molière, avec des remarques) และที่รวมอยู่ในชุดผลงาน Siècles
ร้อยแก้ว

งานร้อยแก้วและนวนิยายเชิงเรื่องเล่าหลายชิ้นของวอลแตร์ ซึ่งมักเขียนในรูปแบบแผ่นพับมีเนื้อหาโต้เถียงลัทธิโลกสวย (optimism) ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ Candide ซึ่งเสียดสีความคิดแบบ “โลกนี้คือโลกที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” ของก็อทท์ฟรีด ไลบ์นิซ ผ่านตัวละครแพงกลอส (Pangloss) ที่มักย้ำว่าสิ่งใด ๆ ก็สมบูรณ์แล้วเพราะพระเจ้าเป็นผู้สร้าง นอกจากนี้ยังมี ชายผู้มีสี่สิบเหรียญเงิน (L’Homme aux quarante écus) ที่สะท้อนปัญหาสังคมและการเมืองในสมัยนั้น, Zadig และงานอื่น ๆ ที่ท้าทายแนวคิดศีลธรรมและอภิปรัชญาแบบดั้งเดิม รวมทั้งบางชิ้นที่เขียนขึ้นเพื่อเย้ยหยันพระคัมภีร์ไบเบิล ในงานเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าวอลแตร์ใช้สไตล์ประชดประชันที่หลีกเลี่ยงการกล่าวเกินจริง และเน้นการใช้ถ้อยคำที่เรียบง่ายและเหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน Candide ซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์ที่สุดของสไตล์เขา วอลแตร์ยังมีผลงานที่สะท้อนแนวทางเดียวกับโจนาธาน สวิฟท์ ในการบุกเบิกนิยายวิทยาศาสตร์เชิงปรัชญาแบบเสียดสี อาทิ Micromégas และเรื่องสั้น ฝันของเพลโต (Songe de Platon)
ผลงานของวอลแตร์ โดยเฉพาะจดหมายส่วนตัว มักจะย้ำกับผู้อ่านด้วยคำพูดว่า “จงบดบี้สิ่งอัปรีย์” (écrasez l’infâme) สื่อถึงการกดขี่ด้วยอำนาจของกษัตริย์และศาสนจักร รวมถึงความงมงายและความไม่อดทนที่นักบวชสร้างขึ้น วอลแตร์เองเคยเผชิญเรื่องเหล่านี้ทั้งจากการถูกเนรเทศ หนังสือของเขาถูกเผา รวมถึงการเห็นผู้คนถูกประหัตประหารอย่างโหดร้าย เขายังทิ้งคำกล่าวที่โด่งดังไว้ว่า “ความงมงายสามารถจุดไฟเผาโลกทั้งใบ แต่ปรัชญาคือสิ่งที่ช่วยดับมัน” (La superstition met le monde entier en flammes; la philosophie les éteint)
มุมมองต่อชนชั้นและทาส

วอลแตร์ปฏิเสธเรื่องราวการสร้างโลกตามคัมภีร์ไบเบิลที่กล่าวถึงอาดัมและเอวา และเขายังเป็นผู้สนับสนุนแนวคิดพหุพันธุศาสตร์ (polygenism) ซึ่งเชื่อว่ามนุษย์แต่ละเผ่าพันธุ์มีจุดกำเนิดที่แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิงตามการวิเคราะห์ของศาสตราจารย์วิลเลียม โคเฮน วอลแตร์เช่นเดียวกับนักคิดพหุชาติกำเนิดส่วนใหญ่ เชื่อว่า เนื่องจากมีจุดกำเนิดที่แตกต่างกัน ชาวแอฟริกันผิวดำจึงไม่ได้มีความเป็นมนุษย์โดยธรรมชาติร่วมกับชาวยุโรปผิวขาวอย่างเต็มที่ แต่บางคนชี้ว่าวอลแตร์มักยกประเด็นความแตกต่างทางเชื้อชาติมาใช้เป็นเครื่องมือในการโจมตีหลักความเชื่อทางศาสนาแบบดั้งเดิมและตำนานการสร้างโลกในคัมภีร์ไบเบิล ขณะเดียวกัน นักประวัติศาสตร์บางส่วนเสนอว่า การที่วอลแตร์สนับสนุนแนวคิดพหุพันธุศาสตร์ อาจได้รับแรงจูงใจจากผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เนื่องจากเขามีการลงทุนในบริษัทอินเดียของฝรั่งเศส และกิจการอาณานิคมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการค้าทาส
ประโยคที่มีชื่อเสียงที่สุดของวอลแตร์เกี่ยวกับระบบทาส ปรากฏในนวนิยาย Candide ซึ่งตัวละครเอกรู้สึกสยดสยองเมื่อทราบว่า “เรากินน้ำตาลในยุโรปด้วยราคาที่โหดร้ายเพียงใด” หลังจากพบกับทาสในเฟรนช์เกียนาที่ถูกทำร้ายจนพิการเพราะพยายามหลบหนี ทาสคนนั้นสะท้อนความคิดว่า หากมนุษย์ทุกคนมีจุดกำเนิดร่วมกันตามที่คัมภีร์ไบเบิลสอน นั่นก็หมายความว่าพวกเขาล้วนเป็นญาติกัน ซึ่งไม่มีใครควรปฏิบัติต่อญาติของตนอย่างโหดร้ายเช่นนั้น นอกจากนี้ วอลแตร์ยังเขียนเชิงเสียดสีถึง “ชาวผิวขาวและชาวคริสเตียนที่ซื้อชาวนิโกรมาในราคาถูก เพื่อนำไปขายต่ออย่างแพงในทวีปอเมริกา” อย่างไรก็ดี วอลแตร์ถูกกล่าวหาว่าสนับสนุนการค้าทาสตามจดหมายฉบับหนึ่งที่อ้างว่าเขาเป็นผู้เขียน แต่มีข้อเสนอว่าจดหมายฉบับดังกล่าวอาจเป็นของปลอม เนื่องจากไม่พบหลักฐานที่น่าเชื่อถือยืนยันการมีอยู่ของมัน นอกจากนี้ วอลแตร์ยังแสดงการเห็นด้วยกับบทวิพากษ์วิจารณ์การค้าทาสของมงแต็สกีเยอ เขาเขียนระบุไว้ว่า “มงแต็สกีเยอมักเป็นฝ่ายผิดเมื่อเถียงกับบรรดานักปราชญ์ เพราะเขาไม่ใช่นักปราชญ์ แต่เขาเป็นฝ่ายถูกเสมอเมื่อเจอกับพวกคลั่งศาสนาและพวกสนับสนุนการค้าทาส”
อิทธิพลของวอลแตร์
ผลงานตลอดชีวิตของวอลแตร์ได้ก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “ความคิดวิพากษ์วิจารณ์” (L‘esprit critique) แก่ชาวฝรั่งเศสโดยรวม ความคิดวิพากวิจารณ์นี้ทำให้ชาวฝรั่งเศสตั้งคำถามต่อทุกเรื่องทุกเหตุการณ์ที่ปรากฏในสังคมของตน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านสถาบันการเมืองการปกครอง โดยเขาได้โจมตีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สถาบันกษัตริย์ การใช้อำนาจตามอำเภอใจของกษัตริย์ สถาบันศาสนา โจมตีคำสอนความเชื่อที่งมงาย วอลแตร์ได้นำหลักการใช้เหตุผล (L’esprit scientifique) มาแพร่หลายให้แก่ประชาชน เพื่อมาใช้ในการดำเนินชีวิต โดยการใช้เหตุผลแก้ปัญหา และรู้จักคิดพิจารณาก่อนจะเชื่ออะไรง่าย ๆ เขาใช้ผลงานของเขามาเป็นเครื่องมือในการเผยแพร่แนวความคิดทางปรัชญาและนำไปสู่สาธารณชน เพื่อทำให้ประชาชนได้เห็นได้เข้าใจและตระหนักถึงสิ่งเหล่านั้น ซึ่งแนวคิดและความรู้เหล่านี้จึงเปรียบเสมือนกับแสงสว่างทางปัญญาให้แก่ประชาชน วอลแตร์จึงเป็นผู้ที่มีส่วนทำให้ประชาชนมีเสรีภาพทางความคิดและทำให้ผู้คนสนใจการเมืองการปกครองแบบอังกฤษ
ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าวอลแตร์มีอิทธิพลต่อคริสตวรรษที่ 18 เป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นผลนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและศาสนา ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม “การปฏิวัติฝรั่งเศส พ.ศ. 2332”
อ้างอิง
- "Voltaire Biography |". Biography Online.
- "Pangloss | fictional character | Britannica". Britannica (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 27 June 2023.
- owen.pham (20 August 2021). "The Voltaire–Rousseau Debate and Their Views on Evil". Wondrium Daily (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 June 2023. สืบค้นเมื่อ 27 June 2023.
- Pearson 2005, pp. 9–14.
- Pearson 2005, p. 10.
- Liukkonen, Petri. "Voltaire". Books and Writers (kirjasto.sci.fi). Finland: Kuusankoski Public Library. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 February 2015.
- Pearson 2005, p. 36.
- Pearson 2005, pp. 36–37.
- Pearson 2005, p. 52.
- Sakmann, Paul (1971). "The Problems of Historical Method and of Philosophy of History in Voltaire". History and Theory. 11 (4): 24–59. doi:10.2307/2504245. ISSN 0018-2656. JSTOR 2504245.
- Gay, Peter (1988) Voltaire's Politics
- McCabe, Joseph, A Treatise on Toleration and Other Essays (Amherst: Prometheus Books 1994) ISBN 978-0-87975-881-3 p. viii.
- Geoffrey Parrinder (2000). The Routledge Dictionary of Religious and Spiritual Quotations. Routledge. p. 24. ISBN 978-0-415-23393-4.
- William B. Cohen (2003). The French encounter with Africans: White response to Blacks, 1530–1880. Indiana University Press. p. 86.
- David Allen Harvey (2012). The French Enlightenment and its Others:The Mandarin, the Savage, and the Invention of the Human Sciences. Palgrave Macmillan. pp. 135–46.
- Gliozzi, Giuliano (1979). "Poligenismo e razzismo agli albori del secolo dei lumi". Rivista di Filosofia. 70 (1): 1–31.
- Duchet, Michèle (1971). Anthropologie et histoire au siècle des Lumières: Buffon, Voltaire, Rousseau, Helvétius, Diderot (ภาษาฝรั่งเศส). Paris: F. Maspero. ISBN 978-2-226-07872-8.
- Davis, David Brion, The problem of slavery in Western culture (New York: Oxford University Press 1988) ISBN 978-0-19-505639-6 p. 392
- Stark, Rodney, For the Glory of God: How Monotheism Led to Reformations, Science, Witch-Hunts, and the End of Slavery (2003), p. 359
- Miller, Christopher L., The French Atlantic triangle: literature and culture of the slave trade (2008) pp. x, 7, 73, 77
- Catherine A. Reinhardt (2006). Claims to Memory: Beyond Slavery and Emancipation in the French Caribbean. Berghahn Books. p. 43. ISBN 978-1-84545-079-3.
- Durant & Durant 1980, p. 358.
วิกิพีเดีย, วิกิ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, มือถือ, โทรศัพท์, แอนดรอยด์, ไอโอเอส, แอปเปิ้ล, สมาร์ทโฟน, พีซี, เว็บ, คอมพิวเตอร์, ข้อมูลเกี่ยวกับ วอลแตร์, วอลแตร์ คืออะไร? วอลแตร์ หมายความว่าอะไร?
ฝากคำตอบ
ต้องการเข้าร่วมการสนทนาหรือไม่?คุณสามารถร่วมเขียนได้!