ยาส 39
ซ้าบ JAS 39 กริพเพน (Saab JAS 39 Gripen) เป็นเครื่องบินขับไล่พหุภารกิจความเร็วเหนือเสียงขนาดเบา ใช้เครื่องยนต์เดี่ยว ผลิตโดยบริษัทอุตสาหกรรมการบินและกลาโหมสวีเดนอย่าง Saab AB เครื่องบินรุ่นนี้ใช้ปีกทรงสามเหลี่ยมร่วมกับครีบรีดลม ออกแบบให้มีความเสถียรผ่อนคลาย (relaxed stability) และใช้ระบบควบคุมการบินแบบไฟฟ้า กริพเพนในรุ่นย่อยช่วงหลัง ได้รับการปรับให้สามารถทำงานร่วมกับระบบของ NATO ได้เต็มรูปแบบ โดยในปี 2025 มีกริพเพนทุกรุ่นย่อย A–F ถูกส่งมอบแล้วมากกว่า 280 ลำ
ยาส 39 กริพเพน | |
---|---|
![]() JAS 39 ทอ.สวีเดน ในปี 2019 | |
ข้อมูลทั่วไป | |
บทบาท | เครื่องบินขับไล่พหุภารกิจ |
บริษัทผู้ผลิต | ซ้าบ |
สถานะ | ประจำการอยู่ |
ผู้ใช้งานหลัก | กองทัพอากาศสวีเดน กองทัพอากาศบราซิล กองทัพอากาศฮังการี กองทัพอากาศแอฟริกาใต้ |
จำนวนที่ผลิต | ~300 ลำ (2023) |
ประวัติ | |
สร้างเมื่อ | 1987– ปัจจุบัน |
เริ่มใช้งาน | 9 มิถุนายน 1996 |
เที่ยวบินแรก | 9 ธันวาคม 1988 |
ในปี 1979 รัฐบาลสวีเดนเริ่มโครงการศึกษาเพื่อพัฒนาอากาศยานสำหรับภารกิจขับไล่ โจมตี และลาดตระเวน เพื่อทดแทนเครื่องบิน 35 ดราเคน และ 37 วิกเก้น ของกองทัพอากาศสวีเดน การออกแบบใหม่ของบริษัทได้รับอนุมัติและพัฒนาเป็น JAS 39 โดยขึ้นบินครั้งแรกในปี 1988 และส่งมอบเครื่องผลิตจริงเครื่องแรกในปี 1993 และเข้าประจำการในกองทัพอากาศสวีเดนเมื่อปี 1996 และต่อมาได้มีการส่งมอบรุ่นปรับปรุงที่มีระบบอิเล็กทรอนิกส์การบินทันสมัยขึ้นและรองรับภารกิจที่ยาวนานกว่าในปี 2003
เพื่อทำตลาดในต่างประเทศ Saab ได้สร้างความร่วมมือกับบริษัทการบินนานาชาติหลายแห่ง รุ่นแรก ๆ ของ Gripen ประสบความสำเร็จระดับปานกลางในการขายไปยังประเทศยุโรปกลาง แอฟริกาใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ตาม มีข้อสงสัยเรื่องการติดสินบนในการจัดซื้อบางประเทศ แต่ทางการสวีเดนได้ปิดการสอบสวนในปี 2009
การออกแบบใหม่ครั้งใหญ่ของตระกูลกริพเพนซึ่งเคยถูกเรียกว่า "Gripen NG" ปัจจุบันได้รับการกำหนดชื่อเป็น "JAS 39E/F กริพเพน" ได้เริ่มส่งมอบให้กองทัพอากาศสวีเดนและบราซิลตั้งแต่ปี 2019 ซึ่งในรุ่น E/F มีลำตัวที่ใหญ่ขึ้น เครื่องยนต์ที่ทรงพลังยิ่งกว่า ความสามารถในการบรรทุกอาวุธเพิ่มขึ้น ห้องนักบินและสถาปัตยกรรมอิเล็กทรอนิกส์การบินใหม่ ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ และการปรับปรุงด้านอื่น ๆ อีกหลายประการ
ขีดความสามารถภาพรวม
กริพเพน A/B
กริพเพน A/B ถือเป็นรุ่นแรกที่เข้าประจำการในกองทัพอากาศสวีเดนช่วงกลางทศวรรษ 1990 โดยรุ่น A เป็นเครื่องแบบนั่งเดี่ยว และรุ่น B เป็นแบบสองที่นั่งเพื่อการฝึกบินและภารกิจพิเศษ ตัวเครื่องได้รับการออกแบบเพื่อตอบโจทย์แนวคิดป้องกันประเทศของสวีเดนในยุคสงครามเย็น เน้นการใช้งานจากสนามบินสั้นเพียง 800 เมตรตามระบบ Bas 90 และการกลับขึ้นบินใหม่อย่างรวดเร็ว กริพเพนใช้การจัดวางปีกแบบสามเหลี่ยมและมีครีบรีดลมเพื่อเพิ่มความคล่องตัว และติดตั้งระบบควบคุมการบินแบบดิจิทัล (fly-by-wire) ที่ช่วยให้เครื่องบินคงเสถียรภาพได้แม้จะถูกออกแบบให้ "ไม่เสถียร" ทางอากาศพลศาสตร์เพื่อเพิ่มความคล่องแคล่ว
กริพเพน A/B ใช้ระบบเอวิโอนิกส์ที่บูรณาการผ่านสถาปัตยกรรมดิจิทัล สามารถอัปเดตซอฟต์แวร์ได้ง่ายเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง Saab 37 วิกเก้น ห้องนักบินติดตั้งจอภาพมัลติฟังก์ชัน และเฮดอัพดิสเพลย์ (HUD) เพื่อให้ข้อมูลแก่ผู้ขับได้ครบถ้วนตามแนวคิด sensor fusion คันบังคับแบบ HOTAS ทำให้นักบินสามารถสั่งงานระบบต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องละมือ นอกจากนี้ รุ่น B ที่มีสองที่นั่งยังออกแบบให้ผู้โดยสารด้านหลังสามารถควบคุมระบบบางอย่างได้อิสระ ทำให้เหมาะต่อการฝึกยุทธวิธีขั้นสูงและการควบคุมภารกิจลาดตระเวนหรือสงครามอิเล็กทรอนิกส์
กริพเพน A/B ติดตั้ง ปืนใหญ่อากาศ Mauser BK-27 ขนาด 27 มม. (รุ่นสองที่นั่งไม่มีปืน) และสามารถใช้อาวุธหลากหลายประเภท เช่น มิสไซล์อากาศสู่อากาศพิสัยใกล้ AIM-9 ไซด์ไวน์เดอร์, พิสัยกลาง AIM-120 แอมแรม และมิสไซล์อากาศสู่ผิวพื้น AGM-65 มาเวอร์ริก รวมถึงระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ เครื่องยังสามารถติดตั้งกระเปาะชี้เป้าและกระเปาะลาดตระเวน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการโจมตีและการรวบรวมข่าว ด้วยแรงขับจากเครื่องยนต์ Volvo RM12 (พัฒนาจาก GE F404) กริพเพนสามารถทำความเร็วสูงสุดเกินมัค 2
กริพเพน C/D
กริพเพน C/D ซึ่งเข้าประจำการตั้งแต่ปี 2002 ได้รับการออกแบบใหม่ให้เข้ากับมาตรฐาน NATO อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งระบบสื่อสาร การเข้ารหัสข้อมูล และเดต้าลิงก์ ทำให้สามารถปฏิบัติการร่วมกับพันธมิตรได้สะดวกขึ้น จุดสำคัญอีกอย่างคือการเพิ่ม หัวเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ และติดตั้งระบบผลิตออกซิเจนบนเครื่อง ทำให้ปฏิบัติการได้นานขึ้นและมีพิสัยไกลกว่า A/B ซึ่งพึ่งพาฐานบินมากกว่า ในรุ่น C/D ใช้เรดาร์ PS-05/A รุ่นปรับปรุงที่มีความสามารถในการตรวจจับและติดตามหลายเป้าหมายพร้อมกันได้แม่นยำกว่า เพิ่มประสิทธิภาพทั้งภารกิจอากาศสู่อากาศและอากาศสู่พื้น ห้องนักบินได้รับการอัปเกรดเป็นจอภาพสีมัลติฟังก์ชันขนาดใหญ่ขึ้น และสามารถติดตั้งจอภาพและศูนย์เล็งแบบติดหมวก (HMSD) ที่ช่วยให้นักบินเล็งอาวุธตามแนวสายตาได้โดยตรง ทั้งยังมีการพัฒนา sensor fusion ที่ดีขึ้น ช่วยลดภาระงานนักบิน
กริพเพน C/D รองรับการใช้อาวุธสมัยใหม่มากขึ้นโดยเฉพาะ มิสไซล์พิสัยยิงนอกระยะสายตา Meteor และมิสไซล์พิสัยใกล้ IRIS-T ซึ่งในรุ่น A/B ไม่สามารถใช้ได้ รวมถึงพัฒนาให้สามารถใช้ระเบิดนำวิถีด้วยดาวเทียมหรือเลเซอร์รุ่นใหม่ขึ้น (เช่น Paveway II, JDAM) อีกด้านหนึ่ง ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ EWS-39 ก็ได้รับการอัปเกรดให้มีการก่อกวนเรดาร์และระบบเตือนภัยที่แม่นยำกว่า รวมทั้งสามารถติดตั้งอุปกรณ์เสริมเช่น เป้าลวงแบบใช้แล้วทิ้ง BriteCloud เพื่อเพิ่มโอกาสรอดจากมิสไซล์ข้าศึก
กริพเพน E/F
กริพเพน E/F ซึ่งเข้าประจำการตั้งแต่ปี 2019 ใช้เครื่องยนต์ General Electric F414G ที่ให้แรงขับมากกว่ารุ่น C/D ราว 20% จุดเด่นคือสามารถบินได้ที่ความเร็วมัค 1.1 โดยไม่ต้องใช้สันดาปท้าย แม้บรรทุกอาวุธเต็มอัตรา ตัวลำเครื่องยังได้รับการออกแบบใหม่ให้บรรจุเชื้อเพลิงได้มากขึ้น ส่งผลให้บินได้นานกว่าและปฏิบัติการได้ในพื้นที่กว้างขึ้น ระบบตรวจจับเปลี่ยนเป็นเรดาร์ AESA รุ่น Raven ES-05 ที่มีระยะตรวจจับไกลขึ้น และสามารถกวาดมุมมองได้กว้างกว่า 200 องศา ทำให้ไม่เสียการมองเห็นแม้ขณะเลี้ยวแรง เสริมด้วยระบบค้นหาและติดตามอินฟราเรด Skyward-G ที่ตรวจจับความร้อนจากเป้าหมายโดยไม่แพร่สัญญาณ ทำให้ตรวจพบเครื่องบินที่มีภาคตัดเรดาร์ต่ำได้ง่ายขึ้น ข้อมูลจากทุกแหล่งจะถูกวิเคราะห์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) จัดลำดับความสำคัญของข้อมูล เพื่อให้นักบินเห็นเพียงข้อมูลที่จำเป็นในเวลานั้นบนจอสัมผัสพาโนรามาขนาดใหญ่ ร่วมกับเฮดอัพดิสเพลย์/จอภาพแบบติดหมวก (HUD/HMD) ทำให้นักบินมีภาพยุทธวิธีที่ครบถ้วนและตัดสินใจได้เร็วกว่า
กริพเพน E/F ใช้ระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์รุ่นใหม่ เช่น AREXIS ที่ตรวจจับสัญญาณรอบตัวได้ 360 องศา พร้อมทั้งก่อกวนเรดาร์ข้าศึกและสนับสนุนภารกิจการข่มการป้องกันภัยทางอากาศของข้าศึก (SEAD) นอกจากนี้ยังมีระบบปล่อยเป้าลวง ระบบเตือนภัยมิสไซล์ และอุปกรณ์เสริมอย่างเครื่องก่อกวนแบบใช้แล้วทิ้งหรือเป้าลวงแบบลากจูง (Towed Decoy) นอกจากนี้ คอมพิวเตอร์การบินของ E/F ใช้อัลกอริทึม AI เพื่อประเมินภัยคุกคามและแนะนำการตอบโต้ เช่น การเลือกอาวุธที่เหมาะสม หรือเส้นทางบินเพื่อหลบหลบหลีกมิสไซล์
ความเป็นมา
ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 สวีเดนเริ่มมองหาทางเลือกในการทดแทน Saab 35 ดราเคน และ Saab 37 วิกเก้น ที่กำลังล้าสมัย กองทัพอากาศสวีเดนต้องการเครื่องบินที่สามารถทำความเร็วระดับมัค 2 และมีค่าใช้จ่ายไม่สูง และสามารถปฏิบัติการบนทางวิ่งสั้นเพียง 800 เมตรซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการ Bas 90 สำหรับการกระจายฐานบินในยามสงคราม เครื่องบินใหม่นี้ต้องมีขนาดเล็กกว่าวิกเก้น แต่ยังคงหรือเพิ่มสมรรถนะด้านบรรทุกอาวุธและพิสัยบิน แบบที่ถูกเสนอเบื้องต้นมีทั้งแบบ Saab 38 (B3LA) ซึ่งเป็นเครื่องโจมตีและฝึกบิน และแบบ A 20 ซึ่งเป็นการพัฒนาจากวิกเก้น ให้มีความสามารถหลายบทบาท ขณะเดียวกันยังมีการศึกษาต่างประเทศ เช่น F-16 ไฟทิงฟอลคอน, F/A-18 ฮอร์เน็ท, F-20 ไทเกอร์ชาร์ค และมีราฌ 2000 แต่รัฐบาลสวีเดนตัดสินใจเลือกพัฒนาแบบใหม่เองในประเทศ
ในปี 1979 รัฐบาลเริ่มโครงการศึกษาเพื่อสร้างเครื่องบินพหุภารกิจภายใต้แนวคิด "ยาส" (JAS ซึ่งย่อมาจาก Jakt=ขับไล่, Attack=โจมตี, Spaning=ลาดตระเวน) ซ้าบนำเสนอ “โครงการ 2105” ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็น “โครงการ 2110” และได้รับคำแนะนำโดยสำนักงานจัดหายุทโธปกรณ์ ต่อมาในปี 1980 ได้มีการจัดตั้งกลุ่มอุตสาหกรรม IG JAS ซึ่งประกอบด้วย Saab-Scania, LM Ericsson, Svenska Radioaktiebolaget, Volvo Flygmotor และ Försvarets Fabriksverk

แบบที่ได้รับเลือกคือเครื่องบินขนาดเบา เครื่องยนต์เดี่ยว ใช้ระบบควบคุมบินแบบไฟฟ้า มีครีบรีดลม และออกแบบให้ไม่เสถียรทางอากาศพลศาสตร์ ใช้เครื่องยนต์ Volvo RM12 ซึ่งพัฒนาจาก GE F404 เพื่อลดน้ำหนักและชิ้นส่วน วันที่ 30 มิถุนายน 1982 รัฐสภาสวีเดนอนุมัติงบ 25.7 พันล้านโครนาสวีเดนสำหรับสร้างต้นแบบ 5 ลำและสายการผลิตชุดแรก 30 ลำ ต่อมาในปี 1983 มีการใช้วิกเก้นดัดแปลงเป็นเครื่องทดสอบระบบการบิน และท้ายที่สุดเครื่องบินใหม่ได้รับชื่อว่า “Gripen” (ชื่อในภาษาสวีเดนของกริฟฟอน) จากการประกวดสาธารณะ ซึ่งสอดคล้องกับสัญลักษณ์ตราโลโก้ของซ้าบ
ช่วงทดสอบและการพัฒนา
26 เมษายน 1987 Saab เปิดตัวกริพเพนลำแรกเนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีของบริษัท แม้เดิมกำหนดให้บินครั้งแรกในปีเดียวกัน แต่ต้องล่าช้าไป 18 เดือนเนื่องจากปัญหาระบบควบคุมการบิน ต่อมา 9 ธันวาคม 1988 เครื่องต้นแบบหมายเลข 39-1 บินทดสอบเป็นเวลา 51 นาที นำโดยนักบิน Stig Holmström ซึ่งเกิดความกังวลเกี่ยวกับระบบการบินด้วยไฟฟ้า (fly-by-wire) และการออกแบบที่ไม่เสถียร จนวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1989 เครื่องต้นแบบตกขณะลงจอด นักบิน Lars Rådeström รอดชีวิตแต่บาดเจ็บ หลังเหตุการณ์ดังกล่าว Saab ร่วมกับบริษัท Calspan จากสหรัฐพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ และใช้เครื่อง Lockheed NT-33A ทดสอบการแก้ไข ทำให้กลับมาทดสอบการบินได้อีกครั้ง ต่อมาในปี 1993 เครื่องกริพเพนผลิตจริงลำหนึ่งตกในการแสดงทางอากาศที่สตอกโฮล์ม เนื่องจากตอบสนองรุนแรงเกินไปต่อการบังคับ
หลังบินทดสอบต้นแบบสำเร็จ รัฐสภาสวีเดนอนุมัติคำสั่งซื้อชุดแรกในปี 1982 ครอบคลุมต้นแบบ 5 ลำและเครื่องผลิตจริง 30 ลำแรก ต่อมาในปี 1992 รัฐบาลสวีเดนลงนามสั่งซื้อระยะที่สองจำนวน 110 ลำ (โดยแบ่งเป็น JAS 39A จำนวน 96 ลำและ JAS 39B จำนวน 14 ลำ) รุ่น JAS 39B เป็นแบบสองที่นั่ง ต้องยืดลำตัวยาวขึ้นและตัดปืนใหญ่ออก ชุดที่สามถูกสั่งซื้อในปี 1997 รวม 64 ลำ (JAS 39C/D) โดยพัฒนาให้เข้ากับมาตรฐาน NATO และเพิ่มสมรรถนะหลายด้าน เครื่องชุดนี้เริ่มส่งมอบระหว่างปี 2002–2008 โดยมีจุดเด่นคือสามารถเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศได้ และติดตั้งระบบผลิตออกซิเจนบนเครื่อง ทำให้บินได้นานและปฏิบัติภารกิจได้ยืดหยุ่นกว่าเดิม
ปูทางเพื่อส่งออก
ในปี 1995 บริษัท Saab และ British Aerospace (ปัจจุบันคือ BAE Systems) ได้ก่อตั้งบริษัทร่วมทุน Saab-BAe Gripen AB เพื่อพัฒนา ผลิต ทำการตลาด และสนับสนุนการส่งออกกริพเพนสู่ทั่วโลก โครงการนี้รวมถึงการดัดแปลงเครื่องบินรุ่น A และ B ให้เป็นรุ่นส่งออก C และ D ที่เข้ากันได้กับมาตรฐาน NATO ความร่วมมือนี้ต่อมาได้ขยายเป็นบริษัท Gripen International ในปี 2001 เพื่อผลักดันการขายในตลาดต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ในปี 2004 BAE ลดสัดส่วนการถือหุ้นและ Saab เข้ารับผิดชอบงานการตลาดและการส่งออกเต็มตัว ต่อมาในปี 2011 Saab เปิดเผยว่าพบหลักฐานการทุจริตของ BAE Systems ในการขายเครื่องบินให้แอฟริกาใต้
ในเดือนเมษายน 2007 นอร์เวย์ลงนามข้อตกลงพัฒนา 150 ล้านโครนนอร์เวย์กับ Saab เพื่อร่วมมือพัฒนากริพเพน และนำอุตสาหกรรมนอร์เวย์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการพัฒนารุ่นใหม่ ต่อมา Saab ทำสัญญากับ Thales Norway A/S เพื่อพัฒนาระบบสื่อสาร แม้สหรัฐจะแสดงความกังวลและพยายามกดดันไม่ให้นอร์เวย์จัดซื้อกริพเพนก็ตาม ต่อมาในเดือนธันวาคม 2007 Gripen International ยังทำข้อตกลงกับบริษัท Terma A/S ของเดนมาร์ก ให้เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการด้านอุตสาหกรรมมูลค่ากว่า 10,000 ล้านโครนเดนมาร์ก ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการ 10–15 ปี อย่างไรก็ตาม ภายหลังเดนมาร์กเปลี่ยนใจเลือกจัดหา F-35
การออกแบบ

ระบบเอวิออนิกส์และเซนเซอร์
กริพเพนได้รับการออกแบบให้มีระบบอวิโอนิกส์แบบบูรณาการเต็มรูปแบบ โดยใช้มาตรฐาน MIL-STD-1553B สนธิข้อมูลจากนานาระบบเข้าด้วยกัน หรือที่เรียกว่า sensor fusion สิ่งนี้ทำให้กริพเพนเป็นเครื่องบินที่สามารถ “เขียนโปรแกรมได้” ผ่านการอัปเดตซอฟต์แวร์เพื่อเพิ่มสมรรถนะและรองรับอาวุธใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลา ซอฟต์แวร์เขียนด้วยภาษา Ada และถูกใช้กับระบบควบคุมการบินตั้งแต่เครื่องต้นแบบปี 1996 เป็นต้นมา ข้อมูลการบินทั้งหมดสามารถบันทึกแบบดิจิทัลเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ภายหลัง และยังสามารถส่งข้อมูลภารกิจเข้าเครื่องได้โดยตรง กริพเพนยังเชื่อมต่อกับระบบป้องกันประเทศของสวีเดนผ่านดาต้าลิงก์ที่ Saab ระบุว่าเป็นหนึ่งในเครือข่ายที่ก้าวหน้าที่สุดในโลก ระบบ Ternav ผสานข้อมูลจากคอมพิวเตอร์การบิน เรดาร์อัลติมิเตอร์ และ GPS เพื่อคำนวณตำแหน่งได้อย่างแม่นยำแบบเรียลไทม์
ด้านเซนเซอร์ กริพเพนรุ่นแรกติดตั้งเรดาร์ Ericsson/GEC-Marconi PS-05/A pulse-Doppler X-band ซึ่งพัฒนาต่อยอดจากเรดาร์ Blue Vixen ของเครื่องบินซีแฮร์ริเออร์ และใช้เป็นต้นแบบของเรดาร์ CAPTOR ของเครื่องบินขับไล่ยูโรไฟเตอร์ เรดาร์นี้ตรวจจับเป้าหมายได้ไกล 120 กม. รองรับการติดตามหลายเป้าหมายพร้อมกัน และควบคุมอาวุธปล่อยนอกระยะสายตาหลายลูกได้พร้อมกัน เวอร์ชัน Mark 4 มีระยะตรวจจับเพิ่มขึ้น 150% ที่ระดับสูง ปรับปรุงประสิทธิภาพโหมดต่อต้านอากาศยานในระดับต่ำกว่า 140% และรองรับอาวุธสมัยใหม่ เช่น AIM-120C-7 แอมแรม, AIM-9X ไซด์ไวน์เดอร์ และ MBDA Meteor สำหรับยุคถัดมา กริพเพน E/F ใช้เรดาร์ AESA รุ่นใหม่ Raven ES-05 พร้อมเซนเซอร์อินฟราเรด Skyward-G IRST ที่สามารถตรวจจับความร้อนจากเป้าหมายทางอากาศและภาคพื้นแบบไร้การแพร่คลื่น ทำให้ตรวจจับเครื่องบินที่มีพื้นที่สะท้อนเรดาร์ต่ำ (low RCS) ได้แม้อยู่ไกลนอกระยะสายตา โดยระบบ “best sensor dominates” จะเลือกใช้เซนเซอร์ที่ให้ข้อมูลดีที่สุด ไม่ว่าจะจากเครื่องเองหรือผ่านเดต้าลิงก์ TAU
ห้องนักบิน

กริพเพนถูกออกแบบควบคุมด้วยคันบังคับแบบ HOTAS เป็นหลัก โดยคันบังคับกลางลำไม่เพียงควบคุมการบิน แต่ยังเชื่อมกับระบบแสดงผลและอาวุธด้วย ระบบควบคุมการบินใช้ fly-by-wire แบบดิจิทัลสามชั้น (triplex) พร้อมระบบสำรองเชิงกลสำหรับคันเร่ง(ที่อยู่ทางซ้ายมือ) นักบินยังสามารถเข้าถึงข้อมูลการสื่อสาร การนำร่อง และการตัดสินใจได้ผ่านแผงควบคุมด้านหน้าเหนือจอหลักในห้องนักบิน กริพเพนติดตั้งระบบแสดงผล EP-17 ที่ Saab พัฒนาเพื่อเพิ่มการรับรู้สถานการณ์ ลดภาระงานนักบินผ่านการจัดการข้อมูลอัจฉริยะ โดยอาศัย sensor fusion ที่รวม วิเคราะห์ และคัดกรองข้อมูลจากเซนเซอร์ภายในเครื่อง ก่อนส่งให้ผู้ขับผ่านเฮดอัพดิสเพลย์ มุมมองกว้าง จอมัลติฟังก์ชันสีสามจอ และระบบจอภาพและศูนย์เล็งแบบติดหมวก (HMDS) ที่ติดตั้งเพิ่มเติมได้

หน้าที่ของจอทั้งสามในห้องนักบินแบ่งชัดเจน จอกลางแสดงข้อมูลนำร่องและภารกิจ จอซ้ายบอกสถานะเครื่องและข้อมูลสงครามอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนจอขวาให้ข้อมูลเซนเซอร์และการควบคุมการยิง ในรุ่นสองที่นั่ง จอด้านหลังสามารถทำงานอิสระจากนักบินด้านหน้า เหมาะสำหรับภารกิจสงครามอิเล็กทรอนิกส์และการลาดตระเวน ข้อมูลสามารถสลับแสดงบนจอใดก็ได้เพื่อรองรับกรณีจอล้มเหลว ตั้งแต่ปี 2010 กองทัพอากาศสวีเดนได้ติดตั้งคอมพิวเตอร์และจอใหม่เพื่อยกระดับขีดความสามารถ ด้านระบบจอภาพแบบติดหมวกนั้น Saab และ BAE ได้พัฒนาระบบที่ชื่อว่า “Cobra” จากระบบ Striker HMDS ของยูโรไฟเตอร์ และเริ่มใช้งานจริงตั้งแต่ปี 2008 จอภาพและศูนย์เล็งแบบติดหมวก การแสดงผลเซนเซอร์ และข้อมูลการบินเป็นไปอย่างทันที พร้อมอุปกรณ์เสริมสำหรับการบินกลางคืนและการป้องกันสารเคมี/ชีวภาพ อีกทั้งการเชื่อมต่อทั้งหมดออกแบบให้ถอดได้รวดเร็วเพื่อความปลอดภัยหากต้องสละเครื่อง
เครื่องยนต์

ตั้งแต่ปี 2014 เครื่องบินกริพเพนที่ประจำการทั้งหมดใช้เครื่องยนต์ไอพ่นแบบเทอร์โบแฟน Volvo RM12 ซึ่งพัฒนามาจาก General Electric F404 แต่ได้รับการปรับปรุงให้เหมาะสมกับเครื่องบินขับไล่เครื่องยนต์เดี่ยว โดยเพิ่มความทนทาน ความน่าเชื่อถือ และลดความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุจากการชนกับนก อีกทั้งมีการออกแบบระบบย่อยใหม่เพื่อลดภาระการซ่อมบำรุง ภายในเดือนพฤศจิกายน 2010 กริพเพนสะสมชั่วโมงบินกว่า 143,000 ชั่วโมงโดยไม่เคยมีปัญหาขัดข้องที่เกี่ยวกับเครื่องยนต์เลย ซึ่งถือเป็นสถิติที่โดดเด่นสำหรับอากาศยานเครื่องยนต์เดี่ยว ทั้งนี้ยังมีการเสนอโครงการใช้เครื่องยนต์ Snecma M88-3 ที่มีแรงขับมากขึ้น แต่ไม่ได้ถูกนำมาใช้จริง
สำหรับรุ่นใหม่ JAS 39E/F เลือกติดตั้งเครื่องยนต์ General Electric F414G ซึ่งให้แรงขับมากกว่า RM12 ราว 20% ทำให้กริพเพนสามารถทำความเร็วเหนือเสียงที่มัค 1.1 ได้โดยไม่ต้องใช้สันดาปท้ายแม้บรรทุกอาวุธเต็มอัตรา ในปี 2010 บริษัท Volvo Aero เคยเสนอแนวทางพัฒนา RM12 ให้มีสมรรถนะใกล้เคียง F414G ในต้นทุนที่ถูกกว่า แต่ Saab ตัดสินใจเลือก F414G แทน ก่อนหน้านี้ยังมีการพิจารณาเครื่องยนต์ Eurojet EJ200 ที่มาพร้อมเทคโนโลยีบังคับทิศแรงขับ แต่สุดท้ายไม่ได้รับเลือก การเลือก F414G ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้กริพเพนรุ่น E/F มีสมรรถนะใกล้เคียงกับเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 4.5 รุ่นอื่น
อุปกรณ์และระบบอาวุธ
กริพเพนติดตั้งปืนใหญ่อากาศ Mauser BK-27 ขนาด 27 มม. (ยกเว้นรุ่นสองที่นั่ง) และสามารถใช้อาวุธปล่อยได้หลากหลาย ทั้งอากาศสู่อากาศ อากาศสู่พื้น และอากาศสู่เรือ เช่น AIM-9 ไซด์ไวน์เดอร์, AGM-65 มาเวอร์ริก และ RBS-15 ในปี 2010 กองทัพอากาศสวีเดนได้ปรับปรุงฝูงบินกริพเพนด้วยมาตรการ MS19 ทำให้รองรับอาวุธสมัยใหม่มากขึ้น ได้แก่ มิสไซล์พิสัยไกล Meteor, มิสไซล์พิสัยใกล้ IRIS-T และระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ GBU-49 นอกจากนี้ Saab ยังชูจุดเด่นด้านความยืดหยุ่น โดยลูกค้าต่างประเทศสามารถเลือกแหล่งจัดหาอาวุธจากยุโรป อิสราเอล สหรัฐ หรือประเทศอื่นตามความต้องการ
กริพเพนสามารถบรรทุกอาวุธและอุปกรณ์รวมได้มากถึง 6,500 กิโลกรัม อุปกรณ์เสริมที่นิยมติดตั้ง ได้แก่ กระเปาะชี้เป้า LITENING, กระเปาะลาดตระเวนของ Saab และกระเปาะสำรวจดิจิทัลจาก Thales เครื่องยังมาพร้อมระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ที่ล้ำสมัย ใช้ตรวจจับหรือก่อกวนเรดาร์ฝ่ายตรงข้ามได้ และมีระบบเตือนภัยเมื่อถูกขีปนาวุธล็อกเป้า ในปี 2013 Saab เสนอใช้งาน “BriteCloud” เครื่องก่อกวนสัญญาณแบบใช้แล้วทิ้ง และในปี 2014 ได้ทดสอบกระเปาะป้องกันตนเองเพื่อต้านขีปนาวุธสำเร็จ Saab เรียกกริพเพนว่า “เครื่องบินหลายบทบาท” ที่สามารถสลับภารกิจได้ทันทีเพียงกดปุ่ม ระบบคอมพิวเตอร์จะปรับอินเทอร์เฟซและเครื่องมือให้เหมาะกับสถานการณ์โดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังรองรับการสื่อสารหลายมาตรฐาน เช่น Link-16, ระบบวิทยุเข้ารหัส, ROVER (เครื่องรับวิดีโอจากอากาศสู่พื้นแบบเรียลไทม์) และการเชื่อมต่อดาวเทียม รวมถึงมีหัวเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศและระบบผลิตออกซิเจนบนเครื่อง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติการระยะไกล
การใช้งานและบำรุงรักษา

ในช่วงสงครามเย็น สวีเดนเตรียมพร้อมรับมือการรุกรานที่อาจเกิดขึ้น จึงกำหนดระบบชื่อว่า Bas 90 ซึ่งเป็นมาตรการกระจายกำลังอากาศยาน ไม่รวมอยู่ในฐานบินให้เป็นเป้าขนาดใหญ่ จึงกำหนดให้เครื่องบินรบสามารถปฏิบัติการจากทางวิ่งชั่วคราวที่มีความยาวเพียง 500 เมตรและปกคลุมด้วยหิมะ หนึ่งในเป้าหมายการออกแบบกริพเพนคือความสามารถในการกลับขึ้นบินใหม่ได้อย่างรวดเร็ว โดยสำหรับภารกิจอากาศสู่อากาศใช้เวลาเพียง 10 นาทีในการเติมเชื้อเพลิง บรรทุกอาวุธ และตรวจสอบเครื่องบิน โดยทีมช่าง 1 คนและทหาร 5 คน ส่วนภารกิจโจมตีภาคพื้นดินใช้เวลาเล็กน้อยคือราว 20 นาที สิ่งนี้ทำให้กริพเพนเหมาะสมต่อสงครามป้องกันประเทศที่ต้องการการกระจายกำลังอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
การออกแบบกริพเพนยังเน้นการซ่อมบำรุงที่ง่าย โดยระบบหลายส่วนแทบไม่ต้องดูแลเลย พร้อมติดตั้งระบบตรวจสอบสมรรถนะ (HUMS) ที่รายงานข้อมูลให้ทีมช่าง บริษัทยังดำเนินโครงการปรับปรุงต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ จากข้อมูลของบริษัท กริพเพนมีค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติการต่ำกว่าคู่แข่งถึง 50% ผลการศึกษาในปี 2012 โดยที่ปรึกษาด้านอาวุธอย่าง Jane’s ยืนยันว่ากริพเพนมีค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินถูกที่สุด เพียง 4,700 ดอลลาร์สหรัฐ ต่ำกว่า F-16 Block 40/50 ถึง 49% นอกจากนี้ในปี 2024 ยังมีการเริ่มต้นศึกษาเพิ่มเติมถึงความเป็นไปได้ในการใช้กริพเพนปล่อยดาวเทียมขนาดเล็กสู่วงโคจรใกล้โลก ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพและความยืดหยุ่นที่มากกว่าบทบาทเครื่องบินขับไล่ทั่วไป
ผู้ใช้งาน
- กองทัพอากาศบราซิลมี JAS 39E อยู่ในประจำการ 10 ลำ (ณ 2025) และยังมีคำสั่งซื้อ Gripen E/F อีก 26 ลำที่จะทยอยส่งมอบต่อไป รวมแล้วจะมีกำลังฝูงบินทั้งหมด 36 ลำตามแผนที่วางไว้
- กองทัพอากาศเช็กทำสัญญาเช่า JAS 39 จากสวีเดนจำนวน 14 ลำ (C จำนวน 12 ลำ/D จำนวน 2 ลำ) ต่อมาในปี 2025 รัฐบาลอนุมัติการขยายสัญญาเช่าต่อไปอีกจนถึงปี 2035 โดยลดจำนวนเช่าเหลือ 12 ลำ
ฮังการี
- กองทัพอากาศฮังการีเช่าซื้อ JAS 39 จำนวน 14 ลำ (C จำนวน 12 ลำ/D จำนวน 2 ลำ) ภายใต้สัญญาแบบเช่าซื้อ ต่อมาในปี 2024 ฮังการีได้สั่งซื้อรุ่น C เพิ่มอีก 4 ลำ
แอฟริกาใต้
- กองทัพอากาศแอฟริกาใต้เคยซื้อจำนวน 26 ลำ (C จำนวน 17 ลำ/D จำนวน 9 ลำ) แต่ปัจจุบันใช้งานได้จริงเพียง 2–13 ลำเนื่องจากไม่ได้รับงบประมาณซ่อมบำรุง
- กองทัพอากาศสวีเดนมี JAS 39C จำนวน 74 ลำ, JAS 39D จำนวน 24 ลำ, JAS 39E จำนวน 3 ลำ โดยได้สั่งซื้อ Gripen E เพิ่มอีก 60 ลำและวางแผนจะสั่งเพิ่มอีก 10 ลำจากเดิมที่เคยสั่งรวม 204 ลำ และยังปล่อยเช่า 28 ลำให้เช็กและฮังการี
- กองทัพอากาศไทยเคยซื้อ JAS 39C จำนวน 8 ลำและ JAS 39D จำนวน 4 ลำ ต่อมาประสบเหตุตกหนึ่งลำ เหลือใช้งานรวม 11 ลำ และมีแผนจัดหารุ่น E/F จำนวน 12 ลำ กำหนดทยอยส่งมอบระหว่าง 2029-2034
- โรงเรียนทดสอบนักบินของอังกฤษ (ETPS) ใช้กริพเพนในการฝึกนักบินทดสอบ โดยครูการบินและนักเรียนจะเริ่มจากการฝึกในเครื่องจำลองการบินร่วมกับกองทัพอากาศสวีเดน จากนั้นจึงไปบินจริงกับเครื่องกริพเพนแบบสองที่นั่งที่โรงงานของ Saab ในประเทศสวีเดน ปีละสองช่วง
ข้อมูลจำเพาะ
JAS 39 กริพเพน C/D
ข้อมูลคุณลักษณะ JAS 39 C/D จาก Saab
- ลูกเรือ: 1 นาย (รุ่น C), 2 นาย (รุ่น D)
- ความยาว: 14.1 เมตร (รุ่น C), 15.6 เมตร (รุ่น D)
- ความกว้างช่วงปีก: 8.4 เมตร
- ความสูง: 4.5 เมตร
- พื้นที่ปีก: 30.0 ตร.ม.
- น้ำหนักตัวเปล่า: 6,800 กก.
- น้ำหนักบรรทุกปกติ: 8,500 กก.
- น้ำหนักสูงสุดในการขึ้นบิน: 14,000 กก.
- เครื่องยนต์: เทอร์โบแฟน Volvo RM12 ให้แรงขับ 54 กิโลนิวตันเมื่อขับแห้ง, 80.5 กิโลนิวตันเมื่อสันดาปท้าย
- ความเร็วสูงสุด:
- มัค 2.0 (2,100 กม/ชม.) ที่ระดับห้าหมื่นฟุต
- มัค 1.2 (1,470 กม/ชม.) ที่ระดับน้ำทะเล
- เพดานบิน: 15,240 เมตร (50,000 ฟุต)
- อัตราไต่: 254 เมตร/วินาที
- พิสัยการรบ: 800–1,000 กม. (ขึ้นกับภารกิจและอาวุธ)
- พิสัยบินสูงสุด: 3,200 กม. (พร้อมถังเชื้อเพลิงเสริม)
- ระยะทางวิ่งขึ้นบิน: 400 เมตร
- ระยะทางวิ่งลงจอด: 500 เมตร
- ระบบอาวุธ
- ปืนใหญ่อากาศ: Mauser BK-27 ขนาด 27 มม. จำนวน 1 กระบอก บรรจุ 120 นัด (มีเฉพาะรุ่นที่นั่งเดี่ยว)
- ตำบลติดอาวุธ: 8 จุด บรรทุกได้รวม 5,300 กิโลกรัม (11,700 ปอนด์)
- อาวุธปล่อยอากาศสู่อากาศ: AIM-9 ไซด์ไวน์เดอร์, IRIS-T, AIM-120 แอมแรม, Meteor
- อาวุธปล่อยอากาศสู่ผิวพื้น: AGM-65 มาเวอร์ริก, RBS-15F, KEPD 350,
- ระเบิด: MK-82/83/84, GBU-10/12/24 Paveway, GBU-49, JDAM
- กระเปาะมาตรการต่อต้านทางอิเล็กทรอนิกส์แบบ ALQ-TLS
- กระเปาะระบบกล้องสอดแนมทางยุทธวิธีวงกว้าง
- เป้าลวงแบบใช้แล้วทิ้งแบบ BriteCloud
- เรดาร์: PS-05/A Pulse-Doppler
JAS 39 กริพเพน E/F
ข้อมูลคุณลักษณะ JAS 39 E/F จาก Saab
- ลูกเรือ: 1 นาย (รุ่น E), 2 นาย (รุ่น F)
- ความยาว: 15.2 เมตร
- ความกว้างช่วงปีก: 8.6 เมตร
- ความสูง: 4.5 เมตร
- พื้นที่ปีก: 31.0 ตร.ม.
- น้ำหนักตัวเปล่า: 8,000 กก.
- น้ำหนักบรรทุกปกติ: 10,500 กก.
- น้ำหนักสูงสุดในการขึ้นบิน: 16,500 กก.
- เครื่องยนต์: เทอร์โบแฟน F414-GE-39E ให้แรงขับ 64 กิโลนิวตันเมื่อขับแห้ง, 98 กิโลนิวตันเมื่อสันดาปท้าย
- ความเร็วสูงสุด:
- มัค 2.0 (2,100 กม/ชม.) ที่ระดับห้าหมื่นฟุต
- มัค 1.25 (1,500 กม/ชม.) ที่ระดับน้ำทะเล
- เพดานบิน: 16,000 เมตร (52,000 ฟุต)
- อัตราไต่: 254 เมตร/วินาที
- พิสัยการรบ: 1,500 กม. (ภารกิจโจมตีภาคพื้นดิน)
- พิสัยบินสูงสุด: 4,000 กม. (พร้อมถังเชื้อเพลิงเสริม)
- ระยะทางวิ่งขึ้นบิน: 500 เมตร
- ระยะทางวิ่งลงจอด: 600 เมตร
- ระบบอาวุธ
- ปืนใหญ่อากาศ: Mauser BK-27 ขนาด 27 มม. จำนวน 1 กระบอก บรรจุ 120 นัด (มีเฉพาะรุ่นที่นั่งเดี่ยว)
- ตำบลติดอาวุธ: 10 จุด บรรทุกได้รวม 7,200 กิโลกรัม (15,900 ปอนด์)
- มิสไซล์ที่ใช้ได้เพิ่มเติมจาก C/D ได้แก่ RBS-15 Mk.4 Gungnir, SPEAR 3 และ Brimstone
- ระเบิดที่ใช้ได้เพิ่มเติมจาก C/D ได้แก่ SDB I (GBU-39/B) และ SDB II (GBU-53/B)
- สามารถติดตั้งกระเปาะก่อกวนโจมตีสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์แบบ Saab Arexis EAJP
- เรดาร์: Leonardo PS-05/A Raven (AESA)
ดูเพิ่ม
- เครื่องบินขับไล่ยุคที่สี่
- อากาศยานที่เทียบเท่า
- เจเอฟ-17
- เฉิงตู เจ-10
- ดาโซราฟาล
- ยูโรไฟเตอร์ ไทฟูน
- F-16 ไฟทิงฟอลคอน
- มิตซูบิชิ F-2
- มิโคยัน มิก-29
อ้างอิง
- Roblin, Sebastien. "A Swedish-made fighter jet could tip the scales against Russia in Ukraine, but it might not get there any time soon". Business Insider (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 October 2023. สืบค้นเมื่อ 9 June 2023.
- "Jas Gripen-utredning läggs ned" [Jas Gripen investigation closed down] (ภาษาสวีเดน). The Swedish Prosecution Authority. 16 June 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 June 2009.
- "'Super-Jas' costlier than expected: report". The Local. SE. 27 July 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 January 2014. สืบค้นเมื่อ 13 January 2014.
- Sundin, Jan. ‘‘Swedish Air Power in Transition 1960–2010’’. Stockholm: Swedish Defence Research Agency, 1999.
- Archer, Robin. ‘‘JAS 39 Gripen: Sweden’s 21st Century Multi-role Aircraft’’. London: Air International, 2009.
- ’‘Jane’s All the World’s Aircraft 1993–94’’. Coulsdon: Jane’s Information Group, 1993.
- Forslund, Mikael. ‘‘Saab JAS 39 Gripen’’. Stockholm: Svenskt Militärhistoriskt Bibliotek, 1995.
- BBC News. “BAE sells part of Saab stake.” December 2004.
- Reuters. “Saab says BAE linked to South Africa bribery.” June 2011.
- Flight International. “Norway signs Gripen development deal.” April 2007.
- Flight International. “Gripen: Sweden’s New Fighter.” 1998.
- Defense News. “Saab upgrades Gripen radar.” 2015.
- Defense News. “Saab Selects GE F414 for Gripen E.” 2015.
- Reuters. “Volvo Aero offers upgraded RM12 for Gripen.” 2010.
- ’‘Jane’s Defence Weekly’’. “Gripen satellite launch study.” 2024.
- "Décimo caça supersônico chega a SC e provoca operação especial em Navegantes" [Tenth supersonic fighter arrives at Santa Catarina, entails special operation at Navegantes]. NSC (ภาษาโปรตุเกส). 10 June 2025.
- "Novo caça supersônico da FAB que pode voar a 2,4 mil km/h chega ao Brasil em operação especial" [Brazilian air force’s new supersonic fighter capable of flight at 2.4k km/h arrives to Brazil in a special operation]. G1 (ภาษาโปรตุเกส). 12 June 2025.
- "FAB recebe décima aeronave F-39 Gripen" [Brazilian air force receives tenth F-39 Gripen airplane]. FAB (ภาษาโปรตุเกส). 13 June 2025.
- อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ4 more aircraft 2022
- อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อThisdell-2014
- อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อFG_World_Air_Forces_2016
- อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อFleet_complete
- "Saab receives Gripen order for Hungary". Saab. สืบค้นเมื่อ 23 February 2024.
- อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อgrip_so_far
- "Gripen E Entering Serial Delivery Phase for Brazilian and Swedish Air Forces". Saab. 24 November 2021.
- "Leverans av det första serieproducerade JAS 39E-planet till FMV" (ภาษาสวีเดน). FMV. สืบค้นเมื่อ 20 October 2023.
- อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อSaabBR
- Hoyle, Craig (7 September 2007). "Gripen enhancements escape Swedish cutbacks". FlightGlobal. Reed Business Information. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 December 2013.
- "Saab signs new agreement with UK's test pilots' school" (Press release). Saab. 15 February 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 July 2012.
- "Dimensions", Gripen (PDF) (product sheet), Saab, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 30 October 2013, สืบค้นเมื่อ 14 October 2010.
- "Advanced Weapons Flexibility", Gripen (PDF) (product sheet), Saab, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 30 October 2013, สืบค้นเมื่อ 20 July 2011.
- "Gripen E/F", Gripen fighter system, Saab, สืบค้นเมื่อ 29 August 2019.
- "Gripen E in brief" (PDF). Saab. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 15 June 2016.
บรรณานุกรม
- Frawley, Gerard. The International Directory of Military Aircraft, 2002-2003. London: Aerospace Publications Pty Ltd, 2002. ISBN 1-875671-55-2.
- Griffiths, Dave. "AFM Evaluates the Gripen." Air Forces Monthly, No. 144, March 2000.
- Lake, Jon. "Gripen C/D" (Supplement). Air International. London: Key Publishing Ltd., July 2008.
- Lindqvist, Gunnar and Bo Widfeldt. Rikets flygplanköp - JAS 39 Gripen (สวีเดน). Nässjö, Sweden: Air Historic Research AB, 2003. ISBN 91-973892-5-0.
- Spick, Mike. "Saab JAS 39 Gripen". The Great Book of Modern Warplanes. St. Paul, Minnesota: MBI Publishing Company, 2000. ISBN 0-7603-0893-4.
- Williams, Mel (ed.). Superfighters, The Next Generation of Combat Aircraft. London: AIRtime, 2003. ISBN 1-880588-53-6.
- Winchester, Jim (ed.). "Saab JAS 39 Gripen." Modern Military Aircraft (Aviation Factfile). Rochester, Kent, UK: Grange Books plc, 2004. ISBN 1-84013-640-5.
แหล่งข้อมูลอื่น

- หน้าหลักของกริพเพน (มีภาษาไทยให้เลือก)
- คณะบริหารการป้องกันของสวีเดน - เว็บไซต์ทางการ เก็บถาวร 2008-05-12 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ยาส 39 กริพเพน
- ยาส 39 กริพเพนใน dmoz.org เก็บถาวร 2008-04-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ซ้าบ กริพเพนใน Air Vectors
- กริพเพนในเว็บไซต์กองทัพสวีเดน
วิกิพีเดีย, วิกิ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, มือถือ, โทรศัพท์, แอนดรอยด์, ไอโอเอส, แอปเปิ้ล, สมาร์ทโฟน, พีซี, เว็บ, คอมพิวเตอร์, ข้อมูลเกี่ยวกับ ยาส 39, ยาส 39 คืออะไร? ยาส 39 หมายความว่าอะไร?
ฝากคำตอบ
ต้องการเข้าร่วมการสนทนาหรือไม่?คุณสามารถร่วมเขียนได้!