นาซีเยอรมัน
52°31′N 13°24′E / 52.517°N 13.400°E
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
ไรช์เยอรมัน (ค.ศ. 1933–1943) Deutsches Reich มหาไรช์เยอรมัน (ค.ศ. 1943–1945) Großdeutsches Reich | |||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| ค.ศ. 1933–ค.ศ. 1945 | |||||||||||||||
ธง (1935–1945) ตราแผ่นดิน (1935–1945) | |||||||||||||||
ดินแดนของเยอรมนีในช่วงที่แผ่ไพศาลที่สุด ขยายพื้นที่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง (ปลาย ค.ศ. 1942):
| |||||||||||||||
| เมืองหลวง และเมืองใหญ่สุด | เบอร์ลิน 52°31′N 13°23′E / 52.517°N 13.383°E | ||||||||||||||
| ภาษาทั่วไป | เยอรมัน | ||||||||||||||
| ศาสนา |
| ||||||||||||||
| เดมะนิม | ชาวเยอรมัน | ||||||||||||||
| การปกครอง | รัฐเดี่ยวนาซี รัฐพรรคการเมืองเดียว ลัทธิฟาสซิสต์ ภายใต้ระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จ | ||||||||||||||
| ประมุขแห่งรัฐ | |||||||||||||||
• 1933–1934 | เพาล์ ฟ็อน ฮินเดินบวร์ค[c] | ||||||||||||||
• 1934–1945 | อดอล์ฟ ฮิตเลอร์[d] | ||||||||||||||
• 1945 | คาร์ล เดอนิทซ์[c] | ||||||||||||||
| นายกรัฐมนตรี | |||||||||||||||
• 1933–1945 | อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ | ||||||||||||||
• 1945 (1 วัน) | โยเซ็ฟ เกิบเบิลส์ | ||||||||||||||
• พฤษภาคม ค.ศ. 1945 | ลุทซ์ ฟ็อน โครซิค | ||||||||||||||
| สภานิติบัญญัติ | ไรชส์ทาค | ||||||||||||||
• สภาสูง | ไรชส์ราท (ยุบใน ค.ศ. 1934) | ||||||||||||||
| ยุคประวัติศาสตร์ | ระหว่างสงคราม • สงครามโลกครั้งที่สอง | ||||||||||||||
• ยึดอำนาจ | 30 มกราคม ค.ศ. 1933 | ||||||||||||||
• รัฐบัญญัติมอบอำนาจ | 23 มีนาคม ค.ศ. 1933 | ||||||||||||||
• อันชลุส | 12 มีนาคม ค.ศ. 1938 | ||||||||||||||
• สงครามโลกครั้งที่สอง | 1 กันยายน ค.ศ. 1939 | ||||||||||||||
• ฮิตเลอร์เสียชีวิต | 30 เมษายน ค.ศ. 1945 | ||||||||||||||
• ยอมจำนน | 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 | ||||||||||||||
• การลบล้างครั้งสุดท้าย | 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 | ||||||||||||||
| พื้นที่ | |||||||||||||||
| 1939[e] | 633,786 ตารางกิโลเมตร (244,706 ตารางไมล์) | ||||||||||||||
| สกุลเงิน | ไรชส์มาร์ค (ℛℳ) | ||||||||||||||
| |||||||||||||||
นาซีเยอรมนี (อังกฤษ: Nazi Germany) บ้างเรียก ไรช์ที่สาม (เยอรมัน: Drittes Reich) หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ ไรช์เยอรมัน (เยอรมัน: Deutsches Reich) คือชื่อเรียกประเทศเยอรมนีระหว่างปี 1933 ถึง 1945 อาณาจักรที่สามซึ่งแสดงให้เห็นภาพของนาซีที่มีต่อนาซีเยอรมนีว่าเป็นผู้สืบทอดของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (800-1806) และจักรวรรดิเยอรมันในปี 1871-1918
ประธานาธิบดีเยอรมนี เพาล์ ฟ็อน ฮินเดินบวร์ค แต่งตั้งฮิตเลอร์เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มกราคม 1933 ทำให้พรรคนาซีเริ่มกำจัดคู่แข่งทางการเมืองและรวบอำนาจ หลังจากที่ฮินเดินบวร์คถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 1934 ฮิตเลอร์กลายเป็นผู้นำเผด็จการแห่งเยอรมนีจากการรวมอำนาจและตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดี ในวันที่ 19 สิงหาคม 1934 มีการจัดการลงประชามติทั่วประเทศเพื่อทำให้ฮิตเลอร์เป็นฟือเรอร์ (ผู้นำ) เยอรมนีแต่เพียงผู้เดียว โดยมีอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งหมดรวมอยู่ในมือ และคำสั่งของเขาถือเป็นกฎหมายที่สูงสุด รัฐบาลมิได้เป็นหน่วยงานที่ร่วมมือประสานกัน หากแต่กระจัดกระจายแก่งแย่งอำนาจและความนิยมชมชอบจากฮิตเลอร์ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ นาซีฟื้นฟูเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและยุติการว่างงานขนานใหญ่โดยทุ่มไปกับรายจ่ายทางทหารและเศรษฐกิจแบบผสม[2] มีการดำเนินการนโยบายสาธารณะอย่างกว้างขวาง รวมถึงการก่อสร้างเอาโทบาน และการคืนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจช่วยส่งเสริมความนิยมในระบอบนาซีเพิ่มพูนขึ้น
การเหยียดเชื้อชาติ (อังกฤษ: racism) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การต่อต้านยิว เป็นหัวใจหลักของอุดมการณ์นาซีเยอรมนี โดยถือว่ากลุ่มชนเจอร์แมนิกเป็นเชื้อสายอารยันที่บริสุทธิ์ที่สุด ฉะนั้นจึงเป็นชนชาติปกครอง (master race) การเลือกปฏิบัติและสังหารชาวยิวและชาวโรมานี (ชื่ออื่น: ยิปซี) เริ่มต้นขึ้นหลังจากการยึดครองอำนาจ ค่ายกักกันค่ายแรกสร้างขึ้นในเดือนมีนาคมปี 1933 ชาวยิวและคนกลุ่มอื่นที่ไม่เป็นที่พึงปรารถนาถูกคุมขัง กลุ่มคอมมิวนิสต์ สังคมนิยมและเสรีนิยมต่างถูกสังหาร คุมขัง หรือต้องลี้ภัย โบสถ์ของคริสเตียนและประชาชนที่ต่อต้านการปกครองโดยฮิตเลอร์ถูกกดขี่และแกนนำหลายคนถูกคุมขัง ด้านการศึกษาจะมุ่งเน้นไปที่ชีววิทยาเชื้อชาติ นโยบายประชากร และการเสริมสมรรถภาพทางกายสำหรับราชการทหาร โอกาสในอาชีพและการศึกษาของสตรีถูกลดทอน มีการจัดนันทนาการและการท่องเที่ยวผ่านโครงการความแข็งแรงผ่านความรื่นเริง (Strength Through Joy) มีการใช้โอลิมปิกฤดูร้อน 1936 เพื่อนำเสนอนาซีเยอรมนีในเวทีระหว่างประเทศ รัฐมนตรีโฆษณาการ โยเซฟ เกิบเบิลส์ ได้ใช้ภาพยนตร์ การชุมนุมมวลชน และวาทศิลป์จับจิตของฮิตเลอร์เพื่อควบคุมมติมหาชนอย่างได้ผล[3] รัฐบาลควบคุมการแสดงออกทางศิลปะ โดยสนับสนุนศิลปะบางรูปแบบ แต่ขัดขวางหรือห้ามศิลปะรูปแบบอื่น[4]
เริ่มตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษ 1930 นาซีเยอรมนีเรียกร้องดินแดนอย่างก้าวร้าวมากขึ้นเรื่อย ๆ และขู่ทำสงครามหากข้อเรียกร้องไม่ได้รับการตอบสนอง จนในที่สุดนาซีเข้ายึดออสเตรียและพื้นที่ของเชโกสโลวาเกียเกือบทั้งหมดในปี 1938 และ 1939 หลังจากนั้นฮิตเลอร์ทำสนธิสัญญาไม่รุกรานกับโจเซฟ สตาลิน และบุกครองโปแลนด์ในวันที่ 1 กันยายน 1939 เป็นการเปิดฉากสงครามโลกครั้งที่สองในทวีปยุโรป จนกระทั่งต้นปี 1941 นาซีเยอรมนีได้ควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ในยุโรป ไรชส์ค็อมมิสซารีอาทเข้าไปควบคุมพื้นที่ที่นาซีเยอรมนียึดครอง มีการจัดตั้งรัฐบาลทั่วไปในส่วนที่เหลือของโปแลนด์ ขณะเดียวกันเยอรมนีก็ได้ยึดครองทรัพยากรและแรงงานจากพื้นที่ ๆ เข้าไปครอบครอง
หลังการรุกรานสหภาพโซเวียตในปี 1941 นาซีเยอรมนีก็เริ่มเป็นรอง และปราชัยทางทหารสำคัญหลายครั้งในปี 1943 การทิ้งระเบิดทางอากาศต่อประเทศเยอรมนีทวีขึ้นในปี 1944 และฝ่ายอักษะถอยจากยุโรปตะวันออกและยุโรปใต้ หลังการบุกครองฝรั่งเศสของสัมพันธมิตร ประเทศเยอรมนีถูกโซเวียตจากทิศตะวันออกและฝ่ายสัมพันธมิตรจากทิศตะวันตกพิชิตและยอมจำนนในหนึ่งปี การที่ฮิตเลอร์ปฏิเสธยอมรับความปราชัยนำให้โครงสร้างพื้นฐานของเยอรมนีถูกทำลายล้างขนานใหญ่และการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสงครามเพิ่มในเดือนท้าย ๆ ของสงคราม ฝ่ายสัมพันธมิตรผู้กำชัยเริ่มนโยบายการขจัดนาซีและนำตัวผู้นำนาซีที่เหลือรอดหลายคนมาพิจารณาคดีอาชญากรรมสงครามในการพิจารณาคดีเนือร์นแบร์ค ส่วนนาซีเยอรมนีถูกฝ่ายสัมพันธมิตรยึดครองหลังสงครามเช่นเดียวกับจักรวรรดิญี่ปุ่น
ชื่อ
[]ชื่ออย่างเป็นทางการของรัฐ คือ ดอยท์เชิสไรช์ ("ไรช์เยอรมัน") ตั้งแต่ปี 1933 ถึง 1943 และโกรสดอยท์เชิสไรช์ ("ไรช์เยอรมันใหญ่") ตั้งแต่ปี 1943 ถึง 1945 ในภาษาอังกฤษมักแปลคำว่าดอยท์เชิสไรช์เป็นจักรวรรดิเยอรมัน[5] ซึ่งคำว่า "ไรช์" นี้มีความหมายว่า "แผ่นดิน" อันหมายถึงอาณาจักรของไกเซอร์
ส่วนคำว่า "ไรช์ที่สาม" นั้น พวกนาซีรับมา ใช้ครั้งแรกในนวนิยายเมื่อปี 1923 โดยอาร์ทัวร์ เมิลเลอร์ ฟัน เดน บรุค[6] ซึ่งนับจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในสมัยกลาง (962–1806) เป็นไรช์ที่หนึ่ง และจักรวรรดิเยอรมัน (ค.ศ. 1871–1918) เป็นไรช์ที่สอง ปัจจุบันชาวเยอรมันเรียกสมัยนี้ว่า ไซท์เดสนาซิโยนนัลโซซีอัลอิสมุส หรือย่อเป็น เอ็นเอส-ไซท์ ("สมัยชาติสังคมนิยม") หรือ นาซิโยนนัลโซซีอัลอิสทิสเชอ เกวัลแทร์ชัฟท์ ("ทรราชชาติสังคมนิยม")
ประวัติศาสตร์
[]บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ |
|---|
| ประวัติศาสตร์เยอรมนี |
| ส่วนหนึ่งของชุดบทความเรื่อง |
| ระบอบนาซี |
|---|
|
สมัยสาธารณรัฐไวมาร์
[]เศรษฐกิจเยอรมนีถดถอยอย่างหนักหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งยุติ บางส่วนเนื่องจากการจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามที่กำหนดภายใต้สนธิสัญญาแวร์ซายปี 1919 รัฐบาลพิมพ์เงินเพื่อชำระเงินและจ่ายคืนหนี้สงครามของประเทศ ภาวะเงินเฟ้อเกินที่เกิดตามมานำให้ราคาสินค้าบริโภคแพงขึ้น ความวุ่นวายทางเศรษฐกิจและการจลาจลอาหาร[7] เมื่อรัฐบาลไม่สามารถชำระค่าปฏิกรรมในเดือนมกราคม 1923 ทหารฝรั่งเศสยึดครองพื้นที่อุตสาหกรรมของเยอรมนีในเขตรูร์ เกิดความไม่สงบของประชาชนกว้างขวางตามมา[8]
พรรคกรรมกรชาติสังคมนิยมเยอรมัน (พรรคนาซี) ที่เปลี่ยนชื่อมาจากพรรคกรรมกรเยอรมันซึ่งตั้งขึ้นในปี 1919 เป็นพรรคการเมืองขวาจัดพรรคหนึ่งที่ดำเนินการอยู่ในประเทศเยอรมนีขณะนั้น[9] แนวนโยบายของพรรค ได้แก่ การขจัดสาธารณรัฐไวมาร์ การปฏิเสธเงื่อนไขของสนธิสัญญาแวร์ซาย การต่อต้านยิวอย่างรุนแรง และการต่อต้านบอลเชวิค[10] นาซีสัญญาว่าจะตั้งรัฐบาลกลางที่เข้มแข็ง เพิ่มเลเบินส์เราม์ (พื้นที่อยู่อาศัย) สำหรับชนเจอร์แมนิก การสร้างชุมชนชาติที่ยึดเชื้อชาติ และการทำเชื้อชาติให้บริสุทธิ์โดยการปราบปรามยิวอย่างแข็งขัน ซึ่งชาวยิวจะถูกถอดความเป็นพลเมืองและสิทธิพลเมือง[11] นาซีเสนอการฟื้นฟูชาติและวัฒนธรรมโดยยึดขบวนการเฟิลคิช[12]
ตั้งแต่ปี 1925 ถึงคริสต์ทศวรรษ 1930 รัฐบาลเยอรมันเปลี่ยนจากระบอบประชาธิปไตยเป็นรัฐอำนาจนิยม ชาตินิยมและอนุรักษนิยมภายใต้ประธานาธิบดี เพาล์ ฟ็อน ฮินเดินบวร์ค วีรบุรุษสงคราม ผู้ไม่นิยมระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยมอย่างในสาธารณรัฐไวมาร์[13] ผลการเลือกตั้งสหพันธรัฐในปี 1928 ปรากฏพรรคนาซีได้รับคะแนนเสียงต่ำมาก เพียง 12 ที่นั่ง เนื่องจากความเชื่อมโยงระหว่างฮิตเลอร์กับกบฏโรงเบียร์[14] เมื่อตลาดหลักทรัพย์ในสหรัฐตกเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 1929 ผลกระทบในเยอรมนีนั้นร้ายแรงมาก หลายล้านคนตกงาน และธนาคารหลักหลายแห่งล้มละลาย ฮิตเลอร์และพรรคนาซีเตรียมฉวยโอกาสจากภาวะฉุกเฉินนี้เพื่อให้พรรคได้รับการสนับสนุน พวกเขาสัญญาจะเสริมสร้างเศรษฐกิจและจัดหางาน[15] ผู้มีสิทธิเลือกตั้งตัดสินใจว่าพรรคนาซีสามารถฟื้นฟูระเบียบ ปราบปรามความไม่สงบ และปรับปรุงชื่อเสียงของเยอรมนีในระดับนานาชาติได้ หลังการเลือกตั้งสหพันธรัฐปี 1932 พรรคนาซีเป็นพรรคใหญ่สุดในไรช์ซทัก โดยครอง 230 ที่นั่ง และได้รับคะแนนเสียงคิดเป็นร้อยละ 37.4[16]
การยึดอำนาจของนาซี
[]แม้นาซีจะมีสัดส่วนคะแนนเสียงของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งมากที่สุดในการเลือกตั้งทั่วไปไรชส์ทาคสองครั้งในปี 1932 แต่ก็ยังมิได้ครองเสียงข้างมาก ฉะนั้นฮิตเลอร์จึงนำรัฐบาลผสมที่มีอายุสั้นตั้งโดยพรรคนาซีและพรรคประชาชนแห่งชาติเยอรมัน (DNVP)[17] วันที่ 30 มกราคม 1933 ประธานาธิบดีฮินเดินบวร์ค ภายใต้แรงกดดันจากนักการเมือง นักอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจ แต่งตั้งฮิตเลอร์เป็นนายกรัฐมนตรีเยอรมนี เหตุการณ์ดังกล่าวรู้จักกันในชื่อ มัคท์แอร์ไกรฟุง ("การยึดอำนาจ") ในอีกหลายเดือนต่อมา พรรคนาซีใช้กระบวนการที่เรียก ไกลช์ชัลทุง ("การประสานงาน") เพื่อนำทุกแง่มุมของชีวิตมาอยู่ภายใต้การควบคุมของพรรคอย่างรวดเร็ว[18] องค์การพลเรือนทุกองค์การ รวมทั้งกลุ่มเกษตรกรรม องค์การอาสาสมัครและสโมสรกีฬา มีการเปลี่ยนตัวผู้นำเป็นผู้ฝักใฝ่นาซีหรือสมาชิกพรรค เมื่อถึงเดือนมิถุนายน 1933 องค์การที่ยังไม่อยู่ในการควบคุมของพรรคนาซีเหลือเพียงกองทัพและศาสนจักรเท่านั้น[19]
คืนวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 1933 อาคารไรชส์ทาคถูกวางเพลิง มารีนึส ฟัน เดอร์ลึบเบอ ชาวดัตช์หัวคอมมิวนิสต์ ถูกวินิจฉัยว่ามีความผิดฐานวางเพลิง นาซีอ้างว่าเหตุลอบวางเพลิงดังกล่าวเป็นสัญญาณของการก่อการกำเริบของคอมมิวนิสต์ เกิดการปราบปรามคอมมิวนิสต์รุนแรงโดยชตวร์มอัพไทลุง (SA) ทั่วประเทศ และสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งเยอรมนีสี่พันคนถูกจับ กฤษฎีกาเพลิงไหม้ไรชส์ทาค กำหนดเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1933 เพิกถอนเสรีภาพพลเมืองส่วนใหญ่ของเยอรมนีเพื่อปราบปรามคู่แข่งทางการเมือง รวมทั้งสิทธิในการชุมนุมและเสรีภาพสื่อ กฤษฎีกาดังกล่าวยังให้ตำรวจมีอำนาจกักขังบุคคลโดยไม่มีกำหนดโดยไม่ต้องมีการตั้งข้อหาหรือคำสั่งศาล กฎหมายนี้มีการโฆษณาชวนเชื่อซึ่งนำให้สาธารณะสนับสนุนมาตรการดังกล่าว[20]
เดือนมีนาคม 1933 รัฐบัญญัติมอบอำนาจ ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเยอรมัน ผ่านความเห็นชอบของสภาไรชส์ทาคด้วยคะแนนเสียง 444 ต่อ 94[21] การแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวให้อำนาจฮิตเลอร์และคณะรัฐมนตรีผ่านกฎหมายซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญก็ได้ โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบของประธานาธิบดีหรือไรชส์ทาค[22] เนื่องจากร่างกฎหมายดังกล่าวต้องการฝ่ายข้างมากสองในสามจึงจะผ่าน นาซีจึงใช้บทบัญญํติแห่งกฤษฎีกาเพลิงไหม้ไรชส์ทาคกันมิให้ผู้แทนพรรคสังคมประชาธิปไตยเข้าร่วมประชุม โดยนักคอมมิวนิสต์ถูกห้ามไปก่อนแล้ว[23][24] วันที่ 10 พฤษภาคม รัฐบาลยึดทรัพย์สินของนักสังคมประชาธิปไตย และถูกห้ามในเดือนมิถุนายน[25] พรรคการเมืองที่เหลือถูกยุบ และในวันที่ 14 กรกฎาคม 1933 เยอรมนีกลายมาเป็นรัฐพรรคการเมืองเดียวโดยพฤตินัย เพราะมีการห้ามตั้งพรรคการเมืองใหม่[26] การเลือกตั้งต่อมาในปลายปี 1933, 1936 และ 1938 อยู่ใต้การควบคุมของนาซีโดยสมบูรณ์ และมีเพียงนาซีและนักการเมืองอิสระจำนวนน้อยที่ได้รับเลือกตั้ง รัฐสภารัฐภูมิภาคและไรช์สรัท (สภาสูงสหพันธรัฐ) ถูกยุบในเดือนมกราคม 1934[27]
ระบอบนาซีเลิกสัญลักษณ์ของสาธารณรัฐไวมาร์ รวมทั้งธงไตรรงค์ดำ-แดง-ทอง และใช้สัญลักษณ์นิยมจักรวรรดิที่ปรับปรุงใหม่ ไตรรงค์ดำ-ขาว-แดงสมัยจักรวรรดิเดิมถูกรื้อฟื้นเป็นหนึ่งในสองธงชาติอย่างเป็นทางการของเยอรมนี ธงที่สองนั้นเป็นธงสวัสดิกะของพรรคนาซี ซึ่งกลายเป็นธงชาติเยอรมันอย่างเดียวในปี 1935 เพลงประจำพรรคนาซี "เพลงฮอสท์ เว็สเซิล" กลายเป็นเพลงชาติเพลงที่สอง[28]
ในสมัยนี้ ประเทศเยอรมนียังตกอยู่ในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เลวร้าย ประชาชนหลายล้านคนว่างงานและการขาดดุลการค้ายังน่ากลัว ฮิตเลอร์ทราบว่าการฟื้นฟูเศรษฐกิจสำคัญ ในปี 1934 มีการใช้โครงการโยธาสาธารณะขาดดุล ชาวเยอรมันรวม 1.7 ล้านคนถูกส่งไปทำงานในโครงการต่าง ๆ ในปี 1934 ปีเดียว[29] ค่าจ้างเฉลี่ยต่อชั่วโมงและต่อสัปดาห์เริ่มเพิ่มขึ้น[30]
ข้อเรียกร้องเพิ่มอำนาจทางการเมืองและทหารของเอสเอก่อให้เกิดความกังวลในหมู่ผู้นำทางทหาร อุตสาหกรรมและการเมือง ฮิตเลอร์สนองโดยกวาดล้างผู้นำเอสเอทั้งหมดในคืนมีดยาว ซึ่งกินเวลาระหว่างวันที่ 30 มิถุนายนถึง 2 กรกฎาคม 1934 ฮิตเลอร์กำหนดแอร์นสท์ เริมและผู้นำเอสเออื่นเป็นเป้าหมาย ซึ่งบุคคลเหล่านี้ ตลอดจนศัตรูการเมืองของฮิตเลอร์อีกจำนวนหนึ่ง (เช่น เกรกอร์ ชตรัสเซอร์และอดีตนายกรัฐมนตรี ควร์ท ฟ็อน ชไลเชอร์) ถูกล้อมจับและยิง[31]
วันที่ 2 สิงหาคม 1934 ประธานาธิบดีฮินเดินบวร์คถึงแก่อสัญกรรม แต่หนึ่งวันก่อน คณะรัฐมนตรีได้ตรา "กฎหมายว่าด้วยตำแหน่งรัฐสูงสุดแห่งไรช์" ซึ่งมีใจความว่า ครั้นฮินเดินบวร์คถึงแก่อสัญกรรม ตำแหน่งประธานาธิบดีจะถูกยุบและรวมอำนาจเข้ากับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ฉะนั้นฮิตเลอร์จึงกลายเป็นประมุขแห่งรัฐเช่นเดียวกับหัวหน้ารัฐบาล เขาได้รับแต่งตั้งเป็น "ฟือเรอร์และนายกรัฐมนตรีไรช์" อย่างเป็นทางการ บัดนี้ ประเทศเยอรมนีเป็นรัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จโดยมีฮิตเลอร์เป็นประมุข ในฐานะประมุขแห่งรัฐ ฮิตเลอร์ได้เป็นผู้บัญชาการสูงสุดแห่งแวร์มัคท์ กฎหมายใหม่เปลี่ยนคำสาบานความภักดีของทหารให้ยืนยันความภักดีต่อฮิตเลอร์ที่เป็นบุคคลมิใช่ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารหรือรัฐ วันที่ 19 สิงหาคม ผู้มีสิทธิออกเสียงร้อยละ 90 ลงประชามติอนุมัติการรวมตำแหน่งประธานาธิบดีกับนายกรัฐมนตรี
ชาวเยอรมันส่วนใหญ่โล่งใจว่าความขัดแย้งและการต่อสู้ตามถนนในสมัยไวมาร์ได้ยุติลง ทั้งได้รับการโฆษณาชวนเชื่อที่โยเซฟ เกิบเบลส์เป็นผู้สั่งการ ซึ่งสัญญาสันติภาพและความบริบูรณ์แก่ประชาชนทุกคนในประเทศเอกภาพปลอดมากซิสต์โดยไม่มีข้อผูกมัดแห่งสนธิสัญญาแวร์ซาย มีการเปิดค่ายกักกันนาซีหลักแห่งแรกซึ่งเดิมใช้ขังนักโทษการเมืองที่ดาเคาในปี 1933[32] มีการตั้งค่ายเหล่านี้หลายร้อยแห่งหลากขนาดและหลากหน้าที่เมื่อสงครามสิ้นสุด[33] เมื่อยึดอำนาจ นาซีใช้มาตรการกดขี่ต่อการคัดค้านทางการเมืองและเริ่มการกีดกันอย่างกว้างขวางต่อบุคคลที่ถือว่าไม่พึงปรารถนาทางสังคม นาซีรวบอำนาจมหาศาลโดยใช้ข้ออ้างการต่อสู้ภัยคุกคามคอมมิวนิสต์บังหน้า นอกเหนือจากนี้ การรณรงค์ต่อชาวยิวที่อาศัยอยู่ในประเทศเยอรมนียังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน 1933 มีการเริ่มมาตรการต่าง ๆ ซึ่งนิยามสถานภาพยิวและสิทธิของยิวในระดับภูมิภาคและชาติ[34] การริเริ่มและการมอบอำนาจกฎหมายต่อชาวยิวลงเอยด้วยการจัดตั้งกฎหมายเนือร์นแบร์คปี 1935 ซึ่งริบสิทธิขั้นพื้นฐานของยิว[35] นาซีจะยึดความมั่งคั่ง การสมรสกับผู้มิใช่ยิว และสิทธิการเข้าทำงานในสาขาต่าง ๆ (เช่น ด้านกฎหมาย แพทยศาสตร์หรือเป็นครูอาจารย์) จนสุดท้ายประกาศว่ายิวไม่พึงปรารถนาที่จะอยู่ร่วมกับพลเมืองและสังคมเยอรมัน ซึ่งยิ่งลดความเป็นมนุษย์ของยิว อาจแย้งได้ว่า การกระทำเหล่านี้ทำให้ชาวเยอรมันเฉยชาถึงขั้นว่าทำให้ลงเอยด้วยฮอโลคอสต์ ชาติพันธุ์เยอรมันผู้ปฏิเสธการผลักไสยิวหรือแสดงสัญญาณใด ๆ ของการต่อต้านโฆษณาชวนเชื่อของนาซีจะถูกเกสตาโปตรวจตรา ถูกริบสิทธิ หรือถูกส่งไปค่ายกักกัน[36]
นโยบายต่างประเทศแสนยนิยม
[]เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 1933 ฮิตเลอร์ประกาศว่าจะต้องสร้างเสริมอาวุธยุทธภัณฑ์ โดยทีแรกกระทำในทางลับ เนื่องจากการดังกล่าวเป็นการละเมิดสนธิสัญญาแวร์ซาย ปีต่อมาเขาบอกผู้นำทหารว่าปี 1942 เป็นวันที่เป้าหมายสำหรับการเข้าสู่สงครามในทางตะวันออก[37] เขาพาประเทศเยอรมนีออกจากสันนิบาตชาติในปี 1933 โดยอ้างว่า ข้อกำหนดการลดกำลังรบขององค์การฯ ไม่ยุติธรรม เนื่องจากมีผลบังคับต่อเฉพาะประเทศเยอรมนี[38] ซาร์ลันท์ซึ่งถูกกำหนดภายใต้การควบคุมดูแลของสันนิบาตชาติเป็นเวลา 15 ปีหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งสิ้นสุด ออกเสียงลงคะแนนในเดือนมกราคม 1935 เป็นส่วนหนึ่งของประเทศเยอรมนี[39] ในเดือนมีนาคม 1935 ฮิตเลอร์ประกาศว่าไรช์สเวร์จะเพิ่มกำลังเป็น 550,000 นายและเขาจะตั้งกองทัพอากาศ[40] บริเตนเห็นชอบว่าชาวเยอรมนีควรได้รับอนุญาตให้สร้างกองทัพเรือโดยการลงนามความตกลงนาวีอังกฤษ-เยอรมันเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 1935[41]
เมื่อการบุกครองเอธิโอเปียของอิตาลีนำสู่การประท้วงเพียงเล็กน้อยจากรัฐบาลบริเตนและฝรั่งเศส วันที่ 7 มีนาคม 1936 ฮิตเลอร์ใช้สนธิสัญญาความช่วยเหลือกันฝรั่งเศส-โซเวียตเป็นข้ออ้างในการสั่งกองทัพบกให้เคลื่อนกำลัง 3,000 นายเข้าสู่เขตปลอดทหารในไรน์ลันท์เป็นการละเมิดสนธิสัญญาแวร์ซาย[42] เนื่องจากดินแดนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเยอรมนี รัฐบาลบริเตนและฝรั่งเศสจึงไม่รู้สึกว่าการพยายามบังคับใช้สนธิสัญญาฯ จะคุ้มความเสี่ยงสงคราม[43] ในการเลือกตั้งพรรคเดียวซึ่งจัดในวันที่ 29 มีนาคม พรรคนาซีได้รับการสนับสนุนร้อยละ 98.9[43] ในปี 1936 ฮิตเลอร์ลงนามกติกาสัญญาต่อต้านโคมินเทิร์นกับประเทศญี่ปุ่น และความตกลงไม่รุกรานกับนายกรัฐมนตรีเบนิโต มุสโสลินี แห่งฟาสซิสต์อิตาลี ซึ่งไม่นานเรียกว่า "อักษะโรม-เบอร์ลิน"[44]
ฮิตเลอร์ส่งหน่วยอากาศและยานเกราะสนับสนุนพลเอก ฟรันซิสโก ฟรังโก และกำลังชาตินิยมในสงครามกลางเมืองสเปนซึ่งปะทุในเดือนกรกฎาคม 1936 สหภาพโซเวียตส่งกำลังที่เล็กกว่าเข้าช่วยรัฐบาลสาธารณรัฐนิยม ฝ่ายชาตินิยมของฟรังโกชนะในปี 1939 และกลายเป็นพันธมิตรอย่างไม่เป็นทางการของนาซีเยอรมนี[45]
ออสเตรียและเชโกสโลวาเกีย
[]ในเดือนกุมภาพันธ์ 1938 ฮิตเลอร์เน้นย้ำความจำเป็นของเยอรมนีในการรักษาความปลอดภัยเขตแดนแก่นายกรัฐมนตรีออสเตรีย ควร์ท ชุชนิค ชุชนิคจัดการลงประชามติว่าด้วยเอกราชของออสเตรียในวันที่ 13 มีนาคม แต่ฮิตเลอร์เรียกร้องให้ยกเลิก วันที่ 11 มีนาคม ฮิตเลอร์ยื่นคำขาดแก่ชุชนิคเรียกร้องให้เขายื่นอำนาจทั้งหมดแก่พรรคนาซีออสเตรียหรือเผชิญการรุกราน แวร์มัคท์ยาตราเข้าออสเตรียวันรุ่งขึ้นและได้รับการต้อนรับอย่างกระตือรือร้นจากประชาชน[46]
สาธารณรัฐเชโกสโลวาเกียเป็นที่พำนักของชนกลุ่มน้อยเยอรมันจำนวนพอสมควรซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในซูเดเทินลันด์ ภายใต้แรงกดดันจากกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในพรรคเยอรมันซูเดเทิน รัฐบาลเชโกสโลวาเกียเสนอสัมปทานเศรษฐกิจแก่ภูมิภาคดังกล่าว[47] ฮิตเลอร์ตั้งสินใจผนวกทั้งประเทศเชโกสโลวาเกียมิใช่เพียงซูเดเทินลันด์เข้าสู่ไรช์[48] นาซีดำเนินการรณรงค์โฆษณาชวนเชื่อเพื่อพยายามปลุกเร้าการสนับสนุนการบุกครอง[49] ผู้นำสูงสุดของกองทัพไม่เห็นชอบกับแผนดังกล่าวเพราะเยอรมนียังไม่พร้อมทำสงคราม[50] วิกฤตการณ์ดังกล่าวนำให้บริเตน เชโกสโลวาเกียและฝรั่งเศส (พันธมิตรของเชโกสโลวาเกีย) ตระเตรียมสงคราม ในความพยายามเลี่ยงสงคราม นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เนวิล เชมเบอร์ลินจัดการประชุมหลายครั้งซึ่งผลลัพธ์คือ ความตกลงมิวนิก ซึ่งลงนามในวันที่ 29 กันยายน 1938 รัฐบาลเชโกสโลวาเกียถูกบีบให้ยอมรับการผนวกซูเดเทินลันด์เข้ากับประเทศเยอรมนี เชมเบอร์ลินได้รับการต้อนรับด้วยเสียงสันบสนุนเมื่อเขาลงจอดในกรุงลอนดอน เขาว่าเป็น "สันติภาพสำหรับยุคของเรา"[51] ความตกลงดังกล่าวกินเวลาหกเดือนก่อนฮิตเลอร์ยึดดินแดนเช็กเกียที่เหลือในเดือนมีนาคม 1939[52] มีการตั้งรัฐหุ่นในสโลวาเกีย[53]
สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
[]เมื่อวันที่ 1 กันยายน 1939 การบุกครองโปแลนด์เริ่มต้นขึ้น อีกสองวันถัดมา สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสประกาศสงครามต่อเยอรมนี แต่ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน โปแลนด์ก็ถูกแบ่งออกเป็นเขตการยึดครองของเยอรมนีและสหภาพโซเวียต ตามข้อตกลงลับในสนธิสัญญาโมโลตอฟ-ริบเบนทรอพซึ่งลงนามไว้ก่อนหน้านี้[54]ไม่มีการเผชิญหน้าทางทหารระหว่างเยอรมนีกับฝ่ายสัมพันธมิตรราว 6 เดือนหลังจากโปแลนด์พ่าย[55] จนกระทั่งการทัพนอร์เวย์ ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 9 เมษายน 1940 เยอรมนีได้ขยายดินแดนไปทางเหนือ ตามด้วยการรุกรานฝรั่งเศสและกลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำ ในเดือนพฤษภาคม
ในยุทธการแห่งบริเตน ซึ่งเป็นการเตรียมการสำหรับการบุกครองเกาะอังกฤษทางบก[56] การทิ้งระเบิดใส่กรุงลอนดอนโดยอุบัติเหตุซึ่งขัดคำสั่งของฮิตเลอร์ ได้เปลี่ยนเส้นทางของสงคราม[57] อังกฤษตอบโต้ด้วยการทิ้งระเบิดกรุงเบอร์ลิน ทำให้ฮิตเลอร์โกรธมาก จึงได้สั่งให้มีการทิ้งระเบิดตามหัวเมืองอังกฤษอย่างหนัก[58] ซึ่งได้เปิดโอกาสให้แก่กองทัพอากาศอังกฤษ ความพ่ายแพ้เหนือน่านฟ้าอังกฤษเป็นความพ่ายแพ้ครั้งแรกของเยอรมนี[59] ฮิตเลอร์จึงหันไปให้ความสนใจในการโจมตีสหภาพโซเวียตแทน[60]
ในช่วงปี 1940-1941 เยอรมนีสามารถยึดครองเกือบทุกประเทศในทวีปยุโรป โดยส่งทหารรุกรานยูโกสลาเวีย กรีซ เกาะครีตและในแถบคาบสมุทรบอลข่าน[61] ในทวีปแอฟริกา กองทัพเยอรมันรุกเข้าไปถึงอียิปต์[62] ด้วยสภาวะเช่นนี้ เยอรมนีต้องทำศึกหลายด้าน หากแต่แผนการรุกรานสหภาพโซเวียตยังคงดำเนินการต่อไป ซึ่งนับว่าผิดหลักยุทธศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง หากแต่มีความคืบหน้าอย่างรวดเร็ว ช่วงปลายปีปี 1941 กองทัพเยอรมันรุกเข้าไปในสหภาพโซเวียตถึง 1,689 กิโลเมตร[63] ล้อมชานนครเลนินกราด[64] แต่ก็ถูกหยุดยั้งที่มอสโกในฤดูหนาวที่โหดร้าย[65] อันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่สหรัฐอเมริกาเข้าสู่สงครามโดยอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตร
ในปี 1942 การโจมตีโต้กลับของกองทัพแดงในแผ่นดินโซเวียตได้ขับไล่กองทัพอักษะออกจากชานเมืองกรุงมอสโก ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ กองทัพฝ่ายอักษะได้โจมตีทุ่งปิโตรเลียมแถบเทือกเขาคอเคซัสและแม่น้ำวอลกาครั้งใหญ่ หากแต่ความพ่ายแพ้ในยุทธการที่สตาลินกราดได้สร้างความสูญเสียครั้งมโหฬารจนไม่สามารถรุกคืบต่อไปได้อีก ในปีเดียวกัน ทางด้านตะวันตก เยอรมนีเผชิญกับการทิ้งระเบิดทางอากาศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสร้างความเสียหายแก่พลเมืองและสาธารณูปโภค[66] พอถึงปี 1943 ในการทัพแอฟริกาเหนือ กองทัพอักษะล่าถอยจากอียิปต์ไปจนถึงตูนิเซีย[67] และเกาะซิซิลีของอิตาลี และในแนวรบด้านตะวันออก กองทัพเยอรมันก็ถูกผลักดันออกมาจากเลนินกราดและสตาลินกราด[68] เช่นเดียวกับความพยายามที่ล้มเหลวในการตีโต้ที่เคิสก์[69] และในปี 1944 ปฏิบัติการขนาดใหญ่ของฝ่ายสัมพันธมิตร – ปฏิบัติการบากราติออนและปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด – ส่งผลให้กองทัพแดงรุกถึงโปแลนด์ในแนวรบด้านตะวันออก[70] และฝ่ายสัมพันธมิตรรุกถึงแม่น้ำไรน์ในแนวรบด้านตะวันตก[71]
ปฏิบัติการในการยับยั้งกองทัพสัมพันธมิตรล้วนแต่ประสบความล้มเหลว และราวเดือนเมษายน 1945 กองทัพสัมพันธมิตรได้รุกเข้าสู่เยอรมนีทั้งทางตะวันตกและทางตะวันออก กรุงเบอร์ลินตกอยู่ใต้วงล้อมของกองทัพโซเวียต ฮิตเลอร์เครียดหนักและตัดสินใจฆ่าตัวตาย[72] โดยส่งมอบอำนาจต่อให้แก่พลเรือเอก คาร์ล เดอนิทซ์[73]
ยอมจำนนและล่มสลาย
[]เดอนิตช์พยายามที่จะติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตรเพื่อขอยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไข[74] เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 1945 ได้มีการยอมจำนนอย่างเป็นทางการ[75] ซึ่งนำไปสู่การสิ้นสุดการคงอยู่ของนาซีเยอรมนี[76]
ในเดือนสิงหาคม ได้มีการจัดการประชุมพ็อทซ์ดัมระหว่างผู้นำมหาอำนาจฝ่ายสัมพันธมิตร เพื่อกำหนดข้อตกลงและแนวทางสำหรับอนาคตของเยอรมนี รวมทั้งเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของเยอรมนีอีกครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง อันเป็นช่วงเวลาเดียวกับการพิจารณาคดีอาชญากรสงครามผู้นำและนายทหารระดับสูงของนาซีที่เนือร์นแบร์ค[77] จำเลยทั้งหมดถูกพิจารณาคดีเกี่ยวกับข้อกล่าวหาอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ซึ่งมีจำนวนหนึ่งที่ถูกตัดสินประหารชีวิตและบางส่วนถูกตัดสินจำคุก
การแบ่งแยกปกครองเยอรมนีเริ่มต้นขึ้นภายใต้การจัดตั้งสภาควบคุมฝ่ายสัมพันธมิตร และแบ่งเยอรมนีและกรุงเบอร์ลินออกเป็น 4 ส่วน ให้อยู่ในการควบคุมของสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และสหภาพโซเวียต โดยส่วนที่ปกครองโดยสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส รวมตัวกันเป็นเยอรมนีตะวันตก และส่วนที่สหภาพโซเวียตปกครองกลายมาเป็นเยอรมนีตะวันออก เยอรมนีทั้งสองเป็นสนามรบของสงครามเย็นในทวีปยุโรป ก่อนที่จะมีการรวมประเทศอีกครั้งในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20
ภูมิศาสตร์
[]เยอรมนีตั้งอยู่ในเขตที่ราบต่ำตอนกลางทวีปยุโรป[78] มีลักษณะภูมิประเทศที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนอยู่สามแห่ง ได้แก่ เขตที่ราบต่ำตอนเหนือ เขตภูเขาตอนกลาง และเขตที่ราบสูงและลุ่มแม่น้ำทางใต้ ดินทางตอนเหนือนั้นมีคุณค่าทางเศรษฐกิจมาก และมีป่าสนกินอาณาเขตกว้างขวางตามตีนเขาของเทือกเขาที่ลากผ่านตอนกลางของประเทศ[79]
ด้านการคมนาคม ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองอุบัติ เยอรมนีมีทางน้ำในประเทศความยาวรวมกว่า 7,000 ไมล์ ซึ่งในจำนวนนี้มีความสำคัญทางเศรษฐกิจถึง 4,830 ไมล์[80] มีเมืองท่าที่สำคัญ คือ ดืสบวร์ค-รูรอร์ท ฮัมบวร์ค และเบอร์ลิน[80] เช่นเดียวกับคลองคีล ซึ่งมีสินค้าผ่านคลองกว่า 9.4 ล้านตันต่อปี ในปี 1936[81] นอกจากนั้น เยอรมนียังมีทางรถไฟยาวกว่า 43,000 ไมล์[81]; ในปี 1937 เยอรมนีมีโครงข่ายถนนยาว 134,000 ไมล์ และทางหลวงพิเศษ (เอาโทบาน) ยาว 3,150 ไมล์ ในปี 1939[82]
เกษตรกรรมในประเทศประสบความสำเร็จอย่างมาก และสามารถปลูกพืชได้หลายชนิด ในปี 1936 ราว 61% ของพื้นที่ทั้งประเทศเป็นพื้นที่เพาะปลูก[83] โดยพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ข้าวไรย์ มันฝรั่ง ชูการ์บีต และไม้องุ่น[84] มีทรัพยากรแร่ธาตุที่สำคัญ ได้แก่ ถ่านหิน ปิโตรเลียม[85] ทองแดง สังกะสี และดีเกลือ[86]
การเปลี่ยนแปลงดินแดนก่อนสงคราม
[]ผลจากความปราชัยในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสนธิสัญญาแวร์ซายซึ่งติดตามมา ประเทศเยอรมนีเสียอัลซาซ-ลอแรน นอร์เทิร์นชเลสวิชและเมเมล ซาร์ลันท์เป็นรัฐในอารักขาของประเทศฝรั่งเศสชั่วคราว โดยมีเงื่อนไขว่าภายหลังผู้อยู่อาศัยจะลงประชามติตัดสินว่าจะเข้ากับประเทศใด ประเทศโปแลนด์แยกออกมาเป็นอีกประเทศหนึ่งและได้ทางออกสู่ทะเลโดยการสถาปนาฉนวนโปแลนด์ ซึ่งคั่นปรัสเซียจากประเทศเยอรมนีส่วนที่เหลือ ดันท์ซิชกลายเป็นเสรีนคร[87]
ประเทศเยอรมนีเข้าควบคุมซาร์ลันท์อีกครั้งผ่านการลงประชามติซึ่งจัดขึ้นในปี 1935 และผนวกออสเตรียในอันชลุสส์ปี 1938[88]ความตกลงมิวนิกปี 1938 ทำให้เยอรมนีได้ควบคุมซูเดเทินลันด์และยึดเชโกสโลวาเกียส่วนที่เหลืออีกหกเดือนต่อมา[51] ภายใต้คำขู่การบุกครองทางทะเล ประเทศลิทัวเนียยอมยกเขตเมเมลในเดือนมีนาคม 1939[89]
ระหว่างปี 1939 ถึง 1941 กองทัพเยอรมันบุกครองประเทศโปแลนด์ ฝรั่งเศส ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์และสหภาพโซเวียต[90]มุสโสลินียกตรีเยสเต เซาท์ไทรอลและอิสเตรียให้ประเทศเยอรมนีในปี 1943 มีการจัดตั้งเขตหุ่นเชิดสองเขตในพื้นที่ คือ เขตปฏิบัติการลิตโตรัลเอเดรียติก (Operational Zone of the Adriatic Littoral) และเขตปฏิบัติการตีนเขาแอลพ์ (Operational Zone of the Alpine Foothills)[91]
การขยายอาณาเขตยามสงคราม
[]ก่อนหน้าสงครามโลกครั้งที่สอง พื้นที่ซึ่งมีพลเมืองชาวเยอรมันอาศัยอยู่ อย่างเช่น ออสเตรีย ซูเดเทินลันด์, ดินแดนมาเมล รวมทั้งดินแดนซึ่งผนวกรวมภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองอุบัติ ได้แก่ ออยเปน-เอท-มัลเมอดี, อัลซาซ-ลอร์เรน, ดันท์ซิช และดินแดนของโปแลนด์ นอกจากนั้น ระหว่างปี 1939-1945 แคว้นโบฮีเมียและโบราเวีย ถูกปกครองในฐานะรัฐในอารักขาของไรช์[92] ซึ่งเยอรมนีมีอำนาจควบคุมและบริหารประเทศ แต่ยังอนุญาตให้มีเงินตราของตัวเอง เช็กไซลีเชียรวมเข้ากับจังหวัดไซลีเชียในช่วงเวลาเดียวกัน ในปี 1942 ลักเซมเบิร์กถูกผนวกรวมกับเยอรมนีโดยตรง[93] โปแลนด์ตอนกลางและแคว้นกาลิเซียถูกปกครองโดยเจอเนอรัลโกอูเวอร์เนเมนท์ (เยอรมัน: Generalgouvernement) ที่เยอรมนีบริหาร[94] ท้ายสุด ชาวโปแลนด์จะถูกอพยพ และจัดให้ชาวเยอรมันห้าล้านคนเข้าไปอาศัยอยู่แทน ปลายปี 1943 นาซีเยอรมนีพิชิตเซาธ์ไทรอล และอิสเตรีย ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ก่อนปี 1919 และยึดตรีเยสเตหลังรัฐบาลฟาสซิสต์อิตาลี (ซึ่งเคยเป็นพันธมิตรฝ่ายอักษะ) ยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตร เขตการปกครองหุ่นเชิดสองเขตถูกจัดตั้งขึ้นแทนที่
การเปลี่ยนแปลงหลังสงคราม
[]พรมแดนโดยพฤตินัยของนาซีเยอรมนีเปลี่ยนแปลงมานานก่อนการล่มสลายในเดือนพฤษภาคม 1945 เพราะกองทัพแดงคืบหน้ามาทางตะวันออก พร้อมกับที่ประชากรเยอรมันหลบหนีมายังแผ่นดินเยอรมนี และสัมพันธมิตรตะวันตกรุกคืบมาทางตะวันออกจากฝรั่งเศส เมื่อสงครามยุติ มีเพียงผืนดินเล็ก ๆ จากออสเตรียถึงโบฮีเมียและโมราเวีย และภูมิภาคที่ถูกโดดเดี่ยวอื่น ๆ เท่านั้นที่ยังไม่ถูกฝ่ายสัมพันธมิตรยึดครอง ฝรั่งเศส สหภาพโซเวียต สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาสถาปนาเขตยึดครอง ดินแดนเยอรมนีก่อนสงครามทางตะวันออกของแนวโอเดอร์-นีซเซ (อันประกอบด้วย ปรัสเซียตะวันออก ไซลีเชีย ปรัสเซียตะวันตก ราวสองในสามของพอเมอเรเนีย และบางส่วนของบรันเดินบวร์ค) และสเทททิน และบริเวณโดยรอบ (เกือบ 25% ของดินแดนเยอรมนีก่อนสงครามเมื่อปี 1937) อยู่ภายใต้การปกครองของโปแลนด์และโซเวียต โดยแบ่งให้โปแลนด์และโซเวียตผนวก นอกจากนี้ ฝรั่งเศสยังได้ยึดครองดินแดนส่วนใหญ่ของแคว้นซาร์ ซึ่งเป็นแหล่งอุตสาหกรรมถ่านหินที่สำคัญของเยอรมนีที่เหลืออีกด้วย ดินแดนส่วนใหญ่ที่เยอรมนีเสียไปนี้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ยกเว้น อัปเปอร์ไซลีเชีย ซึ่งเป็นศูนย์อุตสาหกรรมหนักที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของเยอรมนี ฝ่ายสัมพันธมิตรขับไล่ผู้อยู่อาศัยชาวเยอรมัน ในปี 1947 สภาควบคุมฝ่ายสัมพันธมิตรยุบเลิกปรัสเซียด้วยกฎหมาย ที่ 46 (20 พฤษภาคม 1947) ตามการประชุมพ็อทซ์ดัม ดินแดนปรัสเซียทางตะวันออกของแนวโอเดอร์-นีซเซถูกแบ่งแยกและปกครองโดยโปแลนด์และมณฑลคาลินินกราด ตามสนธิสัญญาสันิภาพขั้นสุดท้าย ภายหลัง โดยการลงนามสนธิสัญญากรุงวอร์ซอ (ค.ศ. 1970) และสนธิสัญญาว่าด้วยการตกลงขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับดินแดนเยอรมนี (ค.ศ. 1990) เยอรมนีสละการอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนที่เสียไประหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง
การเปลี่ยนแปลงดินแดนดังกล่าวส่งผลกระทบให้ชาวเยอรมันราว 14 ล้านคน[95] ถูกขับออกจากดินแดนซึ่งอยู่นอกพรมแดนประเทศเยอรมนีใหม่ มีผู้เสียชีวิตระหว่างเหตุการณ์นี้ประมาณ 1-2 ล้านคน[95] เช่นเดียวกับเมืองใหญ่น้อยทั้งหลาย เช่น ชเท็ททิน, เคอนิชส์แบร์ค, เบร็สเลา, เอ็ลบิง และดันท์ซิช ที่ได้ขับชาวเยอรมันออกจากเมืองเช่นกัน
การเมืองการปกครอง
[]ไรช์ยกย่องฮิตเลอร์ว่าเป็น ฟือเรอร์ ที่รวมศูนย์อำนาจทั้งหมดไว้ในมือ การโฆษณาชวนเชื่อนาซีมีศูนย์กลางอยู่ที่ฮิตเลอร์และสร้างสิ่งที่นักประวัติศาสตร์เรียกว่า "เรื่องปรัมปราฮิตเลอร์" คือ ฮิตเลอร์เป็นผู้รู้แจ้งและความผิดพลาดหรือความล้มเหลวใด ๆ ของผู้อื่นจะถูกแก้ไขให้ถูกต้องหากเขาให้ความสนใจ แต่ในความเป็นจริง ฮิตเลอร์มีความสนใจแคบ และการวินิจฉัยสั่งการกระจายกันระหว่างศูนย์อำนาจที่ซ้ำซ้อนและขัดแย้งกัน ฮิตเลอร์ไม่มีปฏิกิริยาในบางประเด็น เพียงแต่เห็นพ้องกับแรงกดดันจากผู้ใดก็ตามที่เขารับฟัง ข้าราชการระดับสูงรายงานตรงต่อฮิตเลอร์และปฏิบัติตามนโยบายพื้นฐาน แต่ยังมีความเป็นอิสระในงานประจำวันพอสมควร ผ่านการบรรจุสมาชิกพรรคนาซีในตำแหน่งหน้าที่รัฐบาลส่วนใหญ่ จนถึงปี 1935 รัฐบาลแห่งชาติเยอรมันและพรรคนาซีก็แทบจะเป็นหนึ่งเดียวกัน จนถึงปี 1938 ผ่านนโยบายไกลช์ชัลทุง รัฐบาลท้องถิ่นและรัฐสูญเสียอำนาจนิติบัญญัติทั้งหมดและสนองตอบผู้นำพรรคนาซีในการปกครอง ซึ่งเรียกว่า "เกาไลเทอร์"
การแบ่งเขตการปกครองในไรช์
[]เพื่อให้การควบคุมเยอรมนีของฮิตเลอร์เป็นไปโดยรัดกุมยิ่งขึ้น ในปี 1935 ระบอบนาซีแทนที่การปกครองแลนเดอร์ (เยอรมัน: länder) ด้วย "เกา" (เยอรมัน: gau) ซึ่งนำโดยผู้ว่าการที่ตอบสนองต่อรัฐบาลกลางในกรุงเบอร์ลิน การจัดระเบียบใหม่นี้ทำให้ปรัสเซียอ่อนแอลงในทางการเมือง ซึ่งในอดีตปรัสเซียเคยครอบงำการเมืองเยอรมนี เริ่มแรกนั้น เยอรมนีแบ่งออกเป็น 32 เกา และระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง นาซีเยอรมนีสามารถยึดครองดินแดนอื่นได้[96] จึงได้จัดระเบียบการปกครองขึ้นใหม่ เรียกว่า "ไรชส์เกา" (เยอรมัน: reichsgau) กระทั่งปี 1945 นาซีเยอรมนีมีเขตการปกครองรวมทั้งสิ้น 42 เกา[97]
โครงสร้างรัฐบาลไรช์
[]นาซีเยอรมนีประกอบขึ้นจากหลายโครงสร้างอำนาจที่แข่งขันกัน ทั้งหมดล้วนพยายามสร้างความประทับใจแก่ฟือเรอร์ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ฉะนั้นกฎหมายที่มีอยู่หลายฉบับจึงได้รับผลกระทบและถูกแทนที่ด้วยการตีความสิ่งที่ฮิตเลอร์ต้องการ ข้าราชการระดับสูงของพรรคหรือรัฐบาลคนใดสามารถนำหนึ่งในความเห็นของฮิตเลอร์และเปลี่ยนให้เป็นกฎหมายใหม่ได้ ซึ่งฮิตเลอร์อาจอนุมัติหรือไม่อนุมัติอย่างไม่เป็นทางการ จึงกลายมาเป็นที่รู้จักกันว่า "การทำงานมุ่งสู่ฟือเรอร์" เพราะรัฐบาลมิได้เป็นองค์การที่ประสานร่วมมือกัน หากเป็นการรวมปัจเจกบุคคลที่ต่างพยายามสร้างความประทับใจและมีอิทธิพลเหนือฟือเรอร์ บ่อยครั้งจึงทำให้รัฐบาลสับสนยุ่งยากและแตกแยกกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนโยบายที่กำกวมของฮิตเลอร์ในการสร้างตำแหน่งหน้าที่ที่คล้ายกันโดยมีอำนาจทับซ้อนกัน ขบวนการนี้ทำให้นาซีที่ไม่ซื่อสัตย์และทะเยอทะยานกว่าออกไปนำอุดมการณ์ส่วนที่หัวรุนแรงและสุดโต่งกว่าของฮิตเลอร์ เช่น ต่อต้านยิว ทำให้ได้รับความประทับใจทางการเมือง โดยได้รับการปกป้องจากจักรกลโฆษณาชวนเชื่อทรงประสิทธิภาพอย่างยิ่งของเกิบเบิลส์ ซึ่งพรรณารัฐบาลว่าเป็นชุดที่อุทิศตัว รับผิดชอบต่อหน้าที่และมีประสิทธิภาพ การแข่งขันอย่างรุนแรงและการตรากฎหมายอันยุ่งเหยิงจึงสามารถบานปลายได้ ความคิดเห็นทางประวัติศาสตร์แตกกันระหว่าง "กลุ่มเจตนา" ซึ่งเชื่อว่าฮิตเลอร์สร้างระบบนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นวิถีทางเดียวในการประกันทั้งความจงรักภักดีสมบูรณ์และการอุทิศตนของผู้สนับสนุนเขาและการพ้นวิสัยการคบคิด และ "กลุ่มโครงสร้างนิยม" ที่เชื่อว่าระบบนี้พัฒนาขึ้นเอง และเป็นการจำกัดอำนาจที่ควรจะเผด็จการเบ็ดเสร็จของฮิตเลอร์
คณะรัฐบาลไรช์ดำรงอยู่เป็นเวลา 12 ปี ตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 1933 ถึงวันที่ 30 เมษายน 1945 หลังฮิตเลอร์ยิงตัวตายในฟือเรอร์บุงเคอร์ เขาส่งต่ออำนาจให้แก่จอมพลเรือ คาร์ล เดอนิทซ์ ผู้บัญชาการสูงสุดกองทัพเรือ ด้วยความปรารถนาที่จะสืบทอดเจตนารมณ์ของเขาต่อไปอีก
โครงสร้างและผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมืองในรัฐบาลไรช์ ประกอบด้วย
- คณะบริหาร
- คณะรัฐมนตรีฮิตเลอร์ (1933–1945)
- คณะรัฐมนตรีชเวรีน ฟ็อน โครซิค (พฤษภาคม 1945)
- สำนักงานส่วนกลาง
- ทำเนียบฟือเรอร์และนายกรัฐมนตรี (ฟิลิป บูเลอร์)
- สำนักงานที่ทำการพรรค (มาร์ทีน บอร์มัน)
- สำนักทำเนียบประธานาธิบดี (ออทโท ไมส์ซแนร์)
- สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรีไรช์ (ฮันส์ ลัมแมร์ส)
- สภาคณะรัฐมนตรีลับ (ค็อนสตันทีน ฟ็อน น็อยราท)
- กระทรวงไรช์
- กระทรวงมหาดไทยไรช์ (วิลเฮล์ม ฟริค, ไฮน์ริช ฮิมเลอร์)
- กระทรวงโฆษณาแถลงข่าวและโฆษณาชวนเชื่อไรช์ (โยเซฟ เกิบเบิลส์)
- กระทรวงเดินอากาศไรช์ (แฮร์มัน เกอริง)
- กระทรวงการคลัง (ลุทซ์ กราฟ ชเวรีน ฟ็อน โครซิค)
- กระทรวงยุติธรรมไรช์ (ฟรันซ์ เกือร์ทแนร์, ออทโท ไทรัค)
- กระทรวงเศรษฐกิจไรช์ (อัลเฟรด ฮูเกนแบร์ก, ควร์ท ชมิทท์, ฮยัลมาร์ ชัคท์, แฮร์มันน์ เกอริง, วัลเทอร์ ฟุงค์)
- กระทรวงโภชนาการและกสิกรรมไรช์ (รีชาร์ด วัลเทอร์ ดาร์เร, แฮร์แบร์ท บัคเคอ)
- กระทรวงแรงงานไรช์ (ฟรันซ์ เชลด์เทอ)
- กระทรวงวิทยาศาสตร์ ศึกษาธิการ และวัฒนธรรมไรช์ (แบร์นฮาร์ด รุสท์)
- กระทรวงกิจการสงฆ์ไรช์ (ฮันนส์ เคอรรล์)
- กระทรวงคมนาคมไรช์ (ยูลีอุส ดอร์พมึลเลอร์)
- กระทรวงการไปรษณีย์ไรช์ (วิลเฮล์ม โอเนซอร์เกอ)
- กระทรวงยุทธภัณฑ์และผลิตกรรมสงครามไรช์ (ฟริทซ์ ท็อดท์, อัลแบร์ท ชแปร์)
- กระทรวงดินแดนตะวันออกในยึดครองของไรช์ (อัลเฟรด โรเซินแบร์ก)
- รัฐมนตรีไม่ประจำกระทรวง (ค็อนสตันทีน ฟ็อน น็อยราท, ฮันส์ ฟรังค์, ฮยัลมาร์ ชัคท์, อาร์ทูร์ ไซสส์-อินคัวร์ท)
- สำนักงานไรช์
- สำนักงานแผนสี่ปี (แฮร์มันน์ เกอริง)
- สำนักงานผู้ตรวจการทางหลวง
- สำนักงานประธานธนาคารไรช์
- ทบวงกลางความมั่นคงไรช์ (ไรน์ฮาร์ท ไฮดริช)
- สำนักงานพนักงานป่าไม้ไรช์ (แฮร์มันน์ เกอริง)
- สำนักงานเยาวชนไรช์
- สำนักงานกองคลังไรช์
- ผู้ตรวจการใหญ่นครหลวงไรช์
- สำนักงานสมาชิกสภาเมืองหลวงขบวนการ (มิวนิก)
- สำนักงานพรรคนาซี
- สำนักงานนโยบายเชื้อชาติ
- สำนักงานนโยบายอาณานิคม
- สำนักงานการต่างประเทศ
- อัมท์ โรเซินแบร์ค
รัฐบาลเฟล็นส์บวร์ค (1945)
[]คณะรัฐบาลเฟล็นส์บวร์คเป็นรัฐบาลชั่วคราวของไรช์หลังวันที่ 30 เมษายน 1945 อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ได้แต่งตั้งจอมพลเรือคาร์ล เดอนิทซ์ เป็นประธานาธิบดีไรช์ เดอนิทซ์ย้ายที่ทำการรัฐบาลจากกรุงเบอร์ลินไปยังเฟล็นส์บวร์ค ใกล้กับชายแดนเยอรมนี-เดนมาร์ก เป้าหมายของเขาก็คือ การยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขต่อกองทัพสัมพันธมิตรที่รุกมาทางตะวันตก มิใช่กับกองทัพโซเวียตผู้รุกรานมาทางทิศตะวันออก คณะรัฐบาลเฟล็นส์บวร์คสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 1945 และคณะรัฐมนตรีทั้งหมดถูกจับกุมตัวโดยกองทัพสัมพันธมิตรเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 1945
คณะรัฐมนตรีแห่งรัฐบาลเฟล็นส์บวร์ค ประกอบด้วยความโง่
- ประธานาธิบดี: จอมพลเรือ คาร์ล เดอนิทซ์ (ควบตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดแห่งแวร์มัคท์)
- ลุทซ์ กราฟ ชเวรีน ฟ็อน โครซิค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และเป็นประธานคณะรัฐมนตรี
- ไฮน์ริช ฮิมเลอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (ถูกปลดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 1945)
- อัลเฟรท โรเซินแบร์ค (ถูกปลดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 1945)
- ดร. วิลเฮล์ม สทุคอาร์ท รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแทนฮิมเลอร์
- อัลแบร์ท ชแปร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการผลิต
- ดร. แฮร์แบร์ท บัคเคอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาหาร กระทรวงเกษตรกรรมและป่าไม้
- ดร. ฟรานซ์ เชลตท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและกิจการสังคม
- ดร. ยูไลอัส ดอร์พมึลเลอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไปรษณีย์และคมนาคม
อุดมการณ์ของไรช์
[]ชาติสังคมนิยมมีองค์ประกอบอุดมการณ์สำคัญบางอย่างของลัทธิฟาสซิสต์ซึ่งเดิมพัฒนาขึ้นในอิตาลีภายใต้เบนิโต มุสโสลินี อย่างไรก็ดี นาซีไม่เคยประกาศอย่างเป็นทางการว่าตนเป็นฟาสซิสต์ อุดมการณ์ทั้งสองเกี่ยวข้องกับการใช้แสนยนิยม ชาตินิยม ต่อต้านคอมมิวนิสต์และกำลังกึ่งทหารในทางการเมือง และทั้งคู่ตั้งใจจะสร้างรัฐเผด็จการ แต่นาซีจะมีปัจจัยทางด้านเชื้อชาติ(อย่างมีนัยสำคัญ)มากกว่าฟาสซิสต์ในอิตาลี โปรตุเกส และสเปน นาซียังเจตนาสร้างรัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จอย่างสมบูรณ์ ไม่เหมือนกับฟาสซิสต์อิตาลีที่แม้จะสนับสนุนรัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ แต่อนุญาตให้มีเสรีภาพส่วนบุคคลแก่พลเมืองของตนมากกว่า ข้อแตกต่างนี้ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์อิตาลียังดำรงอยู่ได้และมีพระราชอำนาจอย่างเป็นทางการบางอย่าง อย่างไรก็ดี นาซีลอกสัญลักษณ์นิยมของตนจำนวนมากจากฟาสซิสต์ในอิตาลี เช่น การลอกการทำความเคารพแบบโรมันมาเป็นการทำความเคารพแบบนาซี การใช้การชุมนุมมวลชน ทั้งคู่ใช้กำลังกึ่งทหารในเครื่องแบบที่อุทิศตนต่อพรรค (เอสเอในเยอรมนีและเชิ้ตดำในอิตาลี) ทั้งฮิตเลอร์และมุสโสลินีถูกเรียกว่า "ผู้นำ" (ฟือเรอร์ในภาษาเยอรมัน ดูเชในภาษาอิตาลี) ทั้งคู่ต่อต้านคอมมิวนิสต์ ทั้งคู่ต้องการรัฐที่ขับเคลื่อนทางอุดมการณ์ และทั้งคู่สนับสนุนทางสายกลางระหว่างทุนนิยมและคอมมิวนิสต์ ซึ่งรู้จักกันทั่วไปว่า บรรษัทนิยม ตัวพรรคเองปฏิเสธการจัดอยู่ในกลุ่มฟาสซิสต์ โดยอ้างว่าชาติสังคมนิยมเป็นอุดมการณ์เอกลักษณ์เฉพาะของเยอรมนี
ลักษณะรวบอำนาจเบ็ดเสร็จของพรรคนาซีเป็นหนึ่งในหลักสำคัญของพรรค นาซียืนยันว่าทุกความสำเร็จลุล่วงอันยิ่งใหญ่ในอดีตของชาติและประชาชนชาวเยอรมันล้วนเกี่ยวข้องกับอุดมคติชาติสังคมนิยม ก่อนที่อุดมการณ์นั้นจะมีขึ้นจริง ๆ เสียอีก การโฆษณาชวนเชื่อถือว่าการรวบรวมอุดมคตินาซีและความสำเร็จของระบอบเป็นของฟือเรอร์ของระบอบ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้ถูกพรรณาว่าเป็นอัจฉริยะเบื้องหลังความสำเร็จของพรรคนาซีและผู้ช่วยให้รอดของเยอรมนี
"ปัญหาเยอรมัน" ที่มักกล่าวถึงในหมู่นักวิชาการอังกฤษ มุ่งประเด็นการปกครองภูมิภาคเยอรมนีในยุโรปเหนือและยุโรปกลาง ซึ่งเป็นแก่นสำคัญตลอดประวัติศาสตร์เยอรมนี[98] "ตรรกะ" การรักษาให้เยอรมนีมีพื้นที่เล็ก ๆ ได้รับการสนับสนุนจากคู่แข่งเศรษฐกิจรายสำคัญ และเป็นแรงขับในการสร้างรัฐโปแลนด์ขึ้นใหม่ เป้าหมายคือ เพื่อ "ถ่วงดุลอำนาจของเยอรมนี"
นาซีสนับสนุนมโนทัศน์กรอสส์ดอยท์ชลันด์ หรือมหาเยอรมนี และเชื่อว่าการรวมชาวเยอรมันอยู่ในชาติเดียวเป็นก้าวสำคัญสู่ความสำเร็จแห่งชาติของตน การสนับสนุนมโนทัศน์มหาเยอรมนีอย่างหลงใหลของนาซีนี้เองที่นำไปสู่การขยายอาณาเขตของเยอรมนี ที่ให้ความชอบธรรมและการสนับสนุนที่จำเป็นแก่ไรช์ที่สามในการเดินหน้าพิชิตดินแดนที่ประชากรมิใช่ชาวเยอรมันเป็นส่วนใหญ่ที่เสียไปนานมาแล้ว เช่น อดีตดินแดนที่ปรัสเซียเคยได้ในโปแลนด์และเสียให้แก่รัสเซียในคริสต์ศตวรรษที่ 19 หรือเพื่อเข้ายึดดินแดนที่มีประชากรชาวเยอรมันเช่นออสเตรียบางส่วน มโนทัศน์เลเบินส์เราม์ หรือที่เจาะจงกว่านั้น ความจำเป็นในการขยายประชากรชาวเยอรมัน ก็ถูกระบอบนาซีอ้างเป็นเหตุในการขยายอาณาเขตดินแดน
สองประเด็นสำคัญ คือ การบริหารให้ฉนวนโปแลนด์และดันท์ซิชเข้าสู่ไรช์ ขณะที่นโยบายเชื้อชาติขยายขึ้น โครงการเลเบินส์เราม์ก็เชื่อมโยงกับผลประโยชน์คล้ายกัน นาซีกำหนดว่ายุโรปตะวันออกจะถูกตั้งถิ่นฐานโดยชาติพันธุ์เยอรมัน และประชากรสลาฟที่เข้ามาตรฐานเชื้อชาติของนาซีจะถูกกลืนเข้าสู่ไรช์ ส่วนผู้ที่ไม่เหมาะกับมาตรฐานเชื้อชาติจะถูกใช้เป็นแรงงานกรรมกรราคาถูกหรือเนรเทศไปทางตะวันออก
เป้าหมายที่สำคัญสำหรับพรรคนาซีได้แก่การยุบรวมเอาฉนวนโปแลนด์และเสรีนครดันท์ซิชเข้าสู่ไรช์ที่สาม ซึ่งเป็นอีกก้าวหนึ่งของนโยบายการแบ่งแยกเชื้อชาติของนาซี แผนการ Lebensraum มีส่วนที่เกี่ยวข้องกันหลายประการ กล่าวคือ พรรคนาซีเชื่อว่ายุโรปตะวันออกควรจะเป็นดินแดนที่อยู่อาศัยของชาวเยอรมัน และประชาชนชาวสลาฟที่อยู่ในแผ่นดินของนาซีเยอรมนี พวกเขาเหล่านั้นจะถูกใช้เป็นแรงงานราคาถูกหรือถูกเนรเทศไปทางทิศตะวันออกต่อไป[99]
การเหยียดสีผิวและคตินิยมเชื้อชาติเป็นมุมมองสำคัญของสังคมในไรช์ที่สาม นาซีรวมการต่อต้านยิวเข้ากับอุดมการณ์ต่อต้านคอมมิวนิสต์ โดยพิจารณาขบวนการลัทธิอยู่ร่วมกันระหว่างประเทศฝ่ายซ้าย เช่นเดียวกับทุนนิยมตลาดระหว่างประเทศ ว่าเป็นผลงานของ "ยิวที่สมรู้ร่วมคิด" นาซียังเอ่ยถึงขบวนการเช่นนี้ด้วยคำอย่าง "การปฏิวัติของพวกต่ำกว่ามนุษย์ยิว-บอลเชวิค"[100] แนวนโยบายดังกล่าวออกมาในรูปการย้ายประชากร การกักกันและการกำจัดประชากร 11–12 ล้านคนอย่างเป็นระบบระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งราวครึ่งหนึ่งเป็นยิวที่ถูกเป้าหมายในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ที่เรียกว่า ฮอโลคอสต์ ชาติพันธุ์โปแลนด์ 3 ล้านคนเสียชีวิตด้วยผลของการสงคราม พันธุฆาต การตอบโต้ แรงงานเกณฑ์หรือทุพภิกขภัย[101] และอีก 100,000–1,000,000 คนเป็นชาวโรมานี ที่ถูกฆ่าใน Porajmos เหยื่ออื่น ๆ ของการเบียดเบียนโดยนาซี รวมถึงพวกคอมมิวนิสต์ คู่แข่งทางการเมืองทั้งหลาย, ผู้ที่ถูกขับออกจากสังคม, รักร่วมเพศ, นักคิดเสรี, ผู้คัดค้านศาสนา เช่น ผู้นับถือพยานพระยะโฮวา, คริสตาเดลเฟียน, คริสตจักรสารภาพและฟรีเมสัน[102]
กฎหมาย
[]โครงสร้างการศาลและประมวลกฎหมายส่วนใหญ่ของสาธารณรัฐไวมาร์ยังคงใช้อยู่ระหว่างและหลังไรช์ที่สาม แต่มีการเปลี่ยนแปลงในประมวลการศาล (judicial code) เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงสำคัญในคำวินิจฉัยของศาล พรรคนาซีเป็นพรรคการเมืองตามกฎหมายพรรคเดียวในเยอรมนี และพรรคการเมืองอื่นทั้งหมดถูกห้าม สิทธิมนุษยชนส่วนมากในรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐไวมาร์ถูกระงับโดยไรช์ซเกเซทเซอ ("กฎหมายของไรช์") หลายฉบับ ชนกลุ่มน้อยจำนวนมาก เช่น ยิว นักการเมืองฝ่ายตรงข้าม และเชลยศึกถูกเพิกถอนสิทธิและความรับผิดชอบส่วนใหญ่ แผนการเพื่อผ่านโฟล์คซซทรัฟเกเซทซบุค ("ประมวลกระบวนการยุติธรรมทางอาญาประชาชน") มีขึ้นไม่นานหลังปี 1933 แต่ไม่ได้นำปมาใช้จริงกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองยุติ
มีการตั้งศาลประเภทใหม่ โฟล์คซดกริชท์ชอฟ ("ศาลประชาชน") ขึ้นในปี 1934 เพียงเพื่อจัดการกับคดีที่มีความสำคัญทางการเมืองเท่านั้น ตั้งแต่ปี 1934 – กันยายน 1944 ศาลมีคำสั่งประหารชีวิต 5,375 คน ไม่นับรวมโทษประหารชีวิตตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 1944 – เมษายน 1945 ซึ่งประเมินที่ 2,000 คน ตุลาการคนที่โดดเด่นที่สุด คือ โรลันด์ ไฟรซเลอร์ หัวหน้าศาลตั้งแต่เดือนสิงหาคม 1942 – กุมภาพันธ์ 1945
เศรษฐกิจ
[]เมื่อพรรคนาซีเป็นรัฐบาลใหม่ ๆ นั้น ปัญหาทางเศรษฐกิจที่กดดันมากที่สุด คือ อัตราการว่างงานที่สูงถึงประมาณ 30%[103] ในตอนเริ่มต้น นโยบายเศรษฐกิจของไรช์ที่สามเป็นแนวคิดของนักเศรษฐศาสตร์ ดร. ยัลมาร์ ชัคท์ ประธานไรช์บังค์ (ค.ศ. 1933) และรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ (ค.ศ. 1934) ผู้ช่วยนายกรัฐมนตรีอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ในการนำนโยบายการพัฒนาใหม่ของนาซี การกลับมาปรับให้เป็นอุตสาหกรรม และการสร้างเสริมอาวุธยุทธภัณฑ์ ในอดีต เขาเคยเป็นผู้ตรวจการเงินตราสาธารณรัฐไวมาร์และประธานไรช์บังค์[104] ในตำแหน่งหน้าที่รัฐมนตรีเศรษฐกิจ ชัคท์เป็นหนึ่งในรัฐมนตรีจำนวนน้อยที่ใช้ประโยชน์จากเสรีภาพด้านการบริหารที่เป็นผลจากการถอนเงินตราไรช์มาร์คจากมาตรฐานทองคำ เพื่อรักษาอัตราดอกเบี้ยต่ำ และการขาดดุลงบประมาณสูง การโยธาอย่างกว้างขวาง เช่น เอาโทบาน การลดการว่างงาน เป็นนโยบายเงินทุนขาดดุล[104] ผลการบริหารของรัฐมนตรีเศรษฐกิจชัคท์ทำให้อัตราการว่างงานลดลงอย่างมาก ถือว่าเร็วที่สุดในทุกประเทศระหว่างภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่[104] ท้ายสุด นโยบายเศรษฐศาสตร์สำนักเคนส์นี้ได้รับการสนับสนุนโดยการเพิ่มอุปสงค์การผลิตของการสงคราม การเพิ่มงบประมาณทางการทหาร และเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐบาล ไรช์เวร์ ซึ่งเดิมมีทหาร 100,000 นายในกองทัพบก ขยายเป็นหลายล้านนาย และถูกเปลี่ยนชื่อเป็นแวร์มัคท์ในปี 1935[104][105]
ขณะที่รัฐแทรกแซงเศรษฐกิจอย่างเข้มงวด และนโยบายการสร้างเสริมแสนยานุภาพขนานใหญ่ เกือบทำให้มีการจ้างงานเต็มอัตราระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1930 (แต่สถิติไม่นับรวมผู้ที่มิใช่พลเมืองหรือสตรี) ค่าจ้างแท้จริงในเยอรมนีลดลงราว 25% ระหว่างปี 1933 ถึง 1938[104]สหภาพแรงงานถูกยกเลิก เช่นเดียวกับการร่วมเจรจาต่อรองกับสิทธิในการนัดหยุดงาน[104] สิทธิในการลาออกก็หายไปเช่นกัน มีการริเริ่มสมุดแรงงาน (labour book) ในปี 1935 และต้องการความยินยอมของผู้ว่าจ้างคนก่อนเพื่อได้รับการว่าจ้างในตำแหน่งงานใหม่[104]
การควบคุมธุรกิจของนาซีจำกัดการลงทุนแรงกระตุ้นกำไรลดลง ซึ่งถูกควบคุมด้วยการวางระเบียบทางเศรษฐกิจที่ประนีประนอมการทำหน้าที่ของบริษัทกับข้อกำหนดการผลิตแห่งชาติของไรช์ กระทั่งการคลังภาครัฐกลายมาครอบงำการลงทุนเอกชน ในช่วงปี 1933–34 สัดส่วนหลักทรัพย์เอกชนลดลงจากกว่า 50% ของทั้งหมด ลงเหลือประมาณ 10% ในช่วงปี 1935–38 ภาษีกำไรมหาศาลจำกัดบริษัทที่จัดหาเงินทุนเอง และในทางปฏิบัติ บริษัทขนาดใหญ่ที่สุด (ซึ่งโดยปกติเป็นผู้รับจ้างรัฐบาล) ส่วนใหญ่กำไรได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี ปีเตอร์ เทมิน เขียนว่า การควบคุมของรัฐบาลอนุญาต "เพียงเปลือกกรรมสิทธิ์เอกชน" ในเศรษฐกิจไรช์ที่สามเท่านั้น[106] ในทางตรงข้าม คริสตอฟ บุชไฮม์ และโยนัส แชร์แนร์ แย้งว่า แม้การควบคุมภาครัฐ ธุรกิจยังมีเสรีภาพในการผลิตและการวางแผนการลงทุนอยู่มาก ขณะที่เศรษฐกิจยังถูกควบคุมทางการเมืองเป็นส่วนใหญ่ ก็ "ไม่จำเป็นต้องหมายความว่า กรรมสิทธิ์การประกอบการของเอกชนจะไม่มีความสำคัญใด ๆ [...] เพราะแม้กิจกรรมวางระเบียบอย่างกว้างขวางโดยการบริหารรัฐกิจแบบเข้าแทรกแซง แต่บริษัทห้างร้านยังสงวนภาวะอิสระของตนอยู่มากแม้ภายใต้ระบอบนาซี"[107]
ในปี 1937 แฮร์มันน์ เกอริงเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจแทนฮยัลมาร์ ชัคท์ และเสนอแผนสี่ปีเพื่อทำให้เศรษฐกิจเยอรมันสามารถพึ่งตนเองได้จนสามารถก่อสงคราม โดยลดการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ตรึงค่าจ้างและราคา ซึ่งผู้ละเมิดจะถูกนำตัวไปกักกันที่ค่าย เงินปันผลหลักทรัพย์ถูกจำกัดที่ 6% ของทุนบัญชี ฯลฯ เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ คือ เพื่อให้บรรลุโดยไม่สนใจราคา ดังเช่นในเศรษฐกิจโซเวียต ฉะนั้น จึงมีการสร้างโรงงานยางสังเคราะห์ โรงงานเหล็กกล้า โรงงานสิ่งทออัตโนมัติ ฯลฯ อย่างรวดเร็ว[104] แผนสี่ปีมีการอภิปรายในรายงานฮอสส์บัค (5 พฤศจิกายน 1937) การประชุมสรุปของฮิตเลอร์และผู้นำทางทหารและนโยบายต่างประเทศที่วางแผนทำสงครามรุกราน ถึงกระนั้น เมื่อนาซีเยอรมนีเปิดฉากสงครามโลกครั้งที่สองในเดือนกันยายน 1939 แผนสี่ปียังไม่หมดอายุกระทั่งปี 1940 รัฐมนตรีเศรษฐกิจ เกอริง ตั้งสำนักงานแผนสี่ปีเพื่อควบคุมเศรษฐกิจไรช์
เศรษฐกิจยามสงครามและแรงงานเกณฑ์
[]เช่นเดียวกับการผสานความเชื่อทางการเมืองของฟาสซิสต์ เศรษฐกิจสงครามของนาซีเป็นเศรษฐกิจแบบผสมระหว่างตลาดเสรีกับการวางแผนจากส่วนกลาง นักประวัติศาสตร์ ริชาร์ด โอเวรี รายงานว่า "เศรษฐกิจเยอรมนีอยู่ระหว่างม้านั่งสองตัว ไม่มีการบัญชาเศรษฐกิจเพียงพอจะทำอย่างที่ระบบโซเวียตทำได้ แต่ก็ไม่เป็นทุนนิยมเพียงพอจะพึ่งพาการสรรหาวิสาหกิจเอกชนอย่างของอเมริกา"[108]
ค.ศ. 1942 หลังการเสียชีวิตของฟริทซ์ ทอดท์ ฮิตเลอร์แต่งตั้งสถาปนิกคนโปรด อัลแบร์ท ชแปร์ ให้บัญชาเศรษฐกิจภายในประเทศ[109] ชแปร์สถาปนาเศรษฐกิจสงครามในนาซีเยอรมนี ซึ่งลดการบริโภคของพลเรือนและทำให้เศรษฐกิจสงครามมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น[110] จนถึงปี 1944 สงครามกิน 75% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเยอรมนี เทียบกับ 60% ในสหภาพโซเวียต 55% ในอังกฤษ และ 45% ของสหรัฐอเมริกา[111]
ลำดับความสำคัญสูงสุดตกแก่การผลิตเครื่องบินรบ ซึ่งมีการประสานงานอย่างเลวและพึ่งพาแรงงานฝีมือที่ขาดแคลนมากเกินไป ชแปร์ทำให้การผลิตเพิ่มขึ้นมากหลังปี 1942 วิธีการของเขารวมถึงการจัดองค์การเส้นกระแส คือ การใช้เครื่องจักรวัตถุประสงค์เดี่ยวที่เดินโดยแรงงานไร้ฝีมือ การจัดสรรวิธีการผลิตให้เหมาะสม และการประสานงานที่ดีขึ้นระหว่างหลายรูปแบบที่ประกอบขึ้นจากองค์ประกอบหลายหมื่นชนิด โรงงานถูกย้ายให้ห่างจากลานรถไฟซึ่งเป็นเป้าหมายการทิ้งระเบิด ท้ายสุด ระบบนี้ตามทันการผลิตของอังกฤษในปี 1944 แต่ถึงขณะนั้น ก็สายเกินไปและปริมาณแกโซลีนที่เหลืออยู่น้อยหมายความว่า เครื่องบินรบใหม่มีเวลาการบินสั้น[112][113]
ขณะนี้ เศรษฐกิจพึ่งพาการจัดหาผู้ใช้แรงงานเกณฑ์ขนานใหญ่ เพื่อช่วยปฏิบัติงานโรงงานและไร่นา เยอรมนีจึงนำประชากร 12 ล้านคน จากราว 20 ประเทศยุโรป เข้าประเทศ ประมาณ 75% เป็นชาวยุโรปตะวันออก[114] ผู้ใช้แรงงานเกณฑ์ทำงานเป็นเวลานาน โดยทั่วไปในโรงงานยุทโธปกรณ์ หลายคนได้รับมอบหมายให้เก็บกวาดซากอาคารหลังการตีโฉบฉวยทิ้งระเบิด พวกเขาได้รับการคุ้มครองการตีโฉบฉวยทางอากาศที่เลว และหลายคนเสียชีวิตจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตร สภาพความเป็นอยู่ที่เลวมากทำให้มีอัตราการเจ็บป่วย บาดเจ็บและเสียชีวิตสูง เช่นเดียวกับการก่อวินาศกรรมและการก่ออาชญากรรม[115]
สตรีมีบทบาทใหญ่เพิ่มขึ้น ฮาเกมันน์รายงานว่า ในปี 1944 สตรีกว่าครึ่งล้านคนเป็นกองหนุนในกองทัพเยอรมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน่วยต่อต้านอากาศยานของลุฟท์วัฟเฟอ กว่าครึ่งล้านคนทำงานในการป้องกันทางอากาศพลเรือน และ 400,000 คนเป็นพยาบาลอาสาสมัครในโรงพยาบาล สตรีจำนวนมากแทนที่บุรุษที่ถูกเกณฑ์ในเศรษฐกิจยามสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไร่นาและร้านค้าขนาดเล็กที่เป็นกิจการของครอบครัว[116]
การทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์อย่างหนักมากโดยสหรัฐอเมริกาและอังกฤษมุ่งไปยังระบบขนส่งของเยอรมนี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลานรถไฟ[117] คลองและโรงกลั่นผลิตน้ำมันสังเคราะห์และแกโซลีน ลุฟท์วัฟเฟอพยายามป้องกันเป้าหมายเหล่านี้แต่กลับถูกทำลายเสียเองเพราะเนื่องจากความแข็งแกร่งของกองทัพอากาศสัมพันธมิตรทำให้สามารถยึดครองน่านฟ้ายุโรปได้ น้ำมัน ดีเซลและแกโซลีนสำรองหมดไปในปลายปี 1944 และทางรถไฟถูกรบกวนเสียจนเศรษฐกิจกลายเป็นเกลียวมรณะ[118] โอเวรีแย้งว่า การทิ้งระเบิดไม่เพียงแต่สร้างความแตกแยกทางสังคมครั้งใหญ่เท่านั้น แต่ยังสร้างการสนองเชิงรับที่ขึงเศรษฐกิจสงครามของเยอรมนีและบังคับให้เยอรมนีหันเหกำลังคนและอุตสาหกรรมถึงหนึ่งในสี่ไปกับทรัพยากรต่อต้านอากาศยาน โอเวรีสรุปว่าการทัพทิ้งระเบิดอาจย่นระยะเวลาของสงคราม[119]
ฮิตเลอร์ได้พยายามแก้ไขปัญหาในเรื่องของน้ำมันซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญมากในการทำศึกสงครามต่อไปในระยะยาวได้และต้องฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจของเยอรมนีในช่วงสงคราม ดังนั้นจึงตัดสินใจทำการบุกโจมตีสหภาพโซเวียตในปฏิบัติการบาร์บารอสซาเพื่อบุกเข้ายึดแหล่งน้ำมันในเทือกเขาคอเคซัสทางตอนใต้ของสหภาพโซเวียตและคาดหวังจะใช้ผลประโยชน์จากดินแดนโซเวียตและแรงงานทาสของประชากรชาวรัสเซียเพื่อนำมาแก้ไขปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ แต่กองทัพเยอรมันกลับไม่สามารถเข้ายึดได้สำเร็จและต้องประสบความปราชัยในที่สุด
ในช่วงปลายสงคราม กองทัพสัมพันธมิตรได้รุกมาจากแนวรบตะวันตกและตะวันออกทำให้เยอรมนีต้องรับศึกอย่างหนักและปราชัยอย่างต่อเนื่อง ฮิตเลอร์ได้ทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดที่มีนำไปใช้ในการป้องกันการรุกของฝ่ายสัมพันธมิตรและทำการวิจัยเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น รถถังทีเกอร์ 2, จรวดวี-2 และอื่นรวมไปถึงการวิจัยในการสร้างระเบิดปรมาณูเพื่อหาทางให้ได้มาซึ่งชัยชนะแก่อาณาจักรไรช์ที่สามที่เขาสร้างมากับมือแต่ทว่ากลับต้องประสบความล้มเหลวและทรัพยากรก็ถูกล้างผลาญไปจนเกือบหมด
เมื่อวิกฤตของไรช์ที่สามได้มาถึง เมื่อกองทัพสัมพันธมิตรได้รุกเข้าสู่เยอรมนีและกรุงเบอร์ลินถูกล้อม ฮิตเลอร์ได้ออกคำสั่งแก่อัลแบร์ท ชแปร์ ให้ทำลายโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งหมดในกรุงเบอร์ลินและเยอรมนีเพื่อไม่ให้ไปตกอยู่ในมือของสัมพันธมิตร แต่ชแปร์กลับขัดคำสั่งของฮิตเลอร์และแจ้งให้ฮิตเลอร์ทราบแต่ฮิตเลอร์กลับไม่ได้ต่อว่าและรู้สึกเฉย ๆ เหมือนกลับปลงทุกสิ่ง จนกระทั่งฮิตเลอร์กระทำอัตวินิบาตกรรมและเยอรมนียอมแพ้สงคราม โรงงานและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในเยอรมนีทั้งตะวันตกและตะวันออกถูกยึดครองโดยสี่ประเทศคือสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐฝรั่งเศส และสหภาพโซเวียต
การทหาร
[]ในปี 1935 ฮิตเลอร์ได้เปลี่ยนชื่อกองทัพเยอรมันจาก ไรชส์แวร์ ไปเป็น แวร์มัคท์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นกองทัพของเยอรมนีตั้งแต่ปี 1935–1945 โดยมีแฮร์ (กองทัพบก) ครีกซมารีเนอ (กองทัพเรือ) ลุฟท์วัฟเฟอ (กองทัพอากาศ) และองค์การกึ่งทหาร วัฟเฟิน-เอ็สเอ็ส ซึ่งโดยพฤตินัยเป็นเหล่าทัพที่สี่ของแวร์มัคท์
สนธิสัญญาแวร์ซายกำหนดให้กองกำลังทางบก (ไรชส์แฮร์) มีกำลังพลได้ไม่เกิน 100,000 นาย แต่ฮิตเลอร์แอบสร้างเสริมแสนยานุภาพอย่างลับ ๆ จากนั้นก็สั่งระดมพลทั่วประเทศในปี 1935 ซึ่งชาวเยอรมันอายุตั้งแต่ 18–45 ปีต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหาร รวมถึงจัดตั้งกองทัพอากาศในปีเดียวกันด้วย ทว่า อังกฤษและฝรั่งเศสต่างไม่ได้ต่อต้านแต่ประการใด เพราะเชื่อมั่นว่าฮิตเลอร์ปรารถนาสันติภาพ ต่อมา ก็มีการทำข้อตกลงการเดินเรืออังกฤษ–เยอรมัน ซึ่งเป็นการขยายขนาดกองทัพเรือเยอรมัน
มโนทัศน์ก้าวหน้าของกองทัพบกเยอรมันบุกเบิกระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยการรวมกำลังภาคพื้นและทางอากาศมาเป็นชุดอาวุธผสม ประกอบกับวิธีการสู้รบสงครามแต่เดิม เช่น การโอบล้อมและ "การยุทธ์การทำลายล้าง" กองทัพเยอรมันจึงคว้าชัยชนะรวดเร็วปานสายฟ้าหลายครั้งในปีแรกของสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้นักหนังสือพิมพ์ต่างชาติสร้างคำใหม่แก่สิ่งที่เขาพบเห็นว่า บลิทซครีก จำนวนทหารทั้งหมดที่รับรัฐการในแวร์มัคท์ระหว่างที่มีอยู่ตั้งแต่ปี 1935–1945 เชื่อกันว่าถึง 18.2 ล้านนาย ตัวเลขอย่างเป็นทางการระบุว่ามีทหารเยอรมันเสียชีวิตตลอดสงครามราว 5.3 ล้านนาย
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง พรรคนาซีใช้กองทัพในฮอโลคอสต์[120] ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีตั้งแต่นายทหารชั้นสัญญาบัตรจนถึงผู้บังคับบัญชาระดับสูง[121] และยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมและการสังหารหมู่ประชาชนในเขตยึดครอง[122] ซึ่งถือว่าเป็นอาชญากรรมสงครามต่อมวลมนุษยชาติ
การพัฒนาทางด้านการทหารของนาซีเยอรมนีเจริญไปจนถึงขั้นมีโครงการทดลองระเบิดปรมาณูของตัวเอง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์สองคน ออทโท ฮานและฟริทซ์ สทรัซซ์มันน์ ซึ่งได้ยืนยันผลการทดลองขั้นแรกของตนเมื่อวันที่ 13 มกราคม 1939[123][124] แต่ทว่าเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่สองยุติลงด้วยความพ่ายแพ้ของเยอรมนี ดังนั้นการทดลองจึงยังไม่สัมฤทธิ์ผล[125]
สังคม
[]การศึกษา
[]การศึกษาภายใต้ระบอบนาซีเยอรมนีมุ่งเน้นชีววิทยาเชื้อชาติ นโยบายประชากร วัฒนธรรม ภูมิศาสตร์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมรรถภาพทางกาย[126] การศึกษาทางทหารกลายมาเป็นองค์ประกอบศูนย์กลางของพลศึกษาเพื่อเตรียมพร้อมชาวเยอรมันในการสงครามทั้งทางจิตใจ จิตวิญญาณ และร่างกาย[127] ตำราเรียนวิทยาศาสตร์นำเสนอการคัดเลือกโดยธรรมชาติในแง่ที่เน้นมโนทัศน์ความบริสุทธิ์ของเชื้อชาติ[128]
นโยบายต่อต้านยิวนำไปสู่การขับครู ศาสตราจารย์และเจ้าหน้าที่ชาวยิวทั้งหมดจากระบบการศึกษาในปี 1933 ครูที่ไม่พึงปรารถนาทางการเมือง เช่น นักสังคมนิยม ถูกขับเช่นกัน โดยเป็นส่วนหนึ่งของ "กฎหมายเพื่อการฟื้นฟูรัฐการพลเรือน" ครูส่วนมากถูกกำหนดให้เป็นสมาชิกของสมาคมครูชาติสังคมนิยม" ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยทุกคนถูกกำหนดให้เป็นสมาชิกน่าเชื่อถือของสมาคมผู้บรรยายมหาวิทยาลัยชาติสังคมนิยม[129]
วิธีการสอนที่ระบอบชาติสังคมนิยมสนับสนุนนั้นเป็นเชิงประสบการณ์และมีประสิทธิภาพในการแนะแนว อย่างไรก็ดี ส่วนใหญ่เป็นการต่อขยายทัศนคติต่อต้านสติปัญญาของผู้นำนาซี และมิใช่ความพยายามหลักเพื่อทดลองกับวิธีการคำสอน
ในการแสวงหนทางเพื่อให้การศึกษาเป็นนามธรรมลดลง ใช้สติปัญญาลดลงและห่างไกลจากเด็กลดลง นักการศึกษาจึงเรียกร้องให้บทบาทภาพยนตร์ขยายขึ้นมาก ไรช์ซฟิลมินเทนดันท์และหัวหน้าส่วนภาพยนตร์ในกระทรวงโฆษณาการ ฟริทซ์ ฮิพเพลอร์ เขียนว่า ภาพยนตร์กระทบต่อประชาชน "ส่วนใหญ่ในระดับสายตาและอารมณ์ นั่นคือ ระดับที่ไม่ใช่สติปัญญา"[130] ผู้นำนาซียังมองภาพยนตร์ว่าเป็นสื่อที่ตนสามารถพูดคุยกับเด็กได้โดยตรง ดร. แบร์นฮาร์ด รุสท์ มองภาพยนตร์ว่าเป็นเครื่องมือสำคัญ โดยกล่าวว่า "รัฐชาติสังคมนิยมทำให้ภาพยนตร์เป็นเครื่องส่งอุดมการณ์ของรัฐอย่างแน่นอนและโดยไตร่ตรอง"[131]
สวัสดิภาพสังคม
[]งานวิจัยล่าสุดโดยนักวิชาการเช่นเกิทซ์ อาลือ ได้เน้นบทบาทของโครงการสวัสดิภาพสังคมขนานใหญ่ของนาซีซึ่งมุ่งจัดหางานแก่พลเมืองเยอรมันและประกันมาตรฐานการครองชีพขั้นต่ำสุด ที่มุ่งเน้นอย่างหนัก คือ ความคิดชุมชนสัญชาติเยอรมันหรือโฟลค์ซเกไมน์ชัฟท์[132] เพื่อช่วยเพิ่มความรู้สึกของชุมชน ประสบการณ์กรรมกรและความบันเทิงของชาวเยอรมัน จากเทศกาล ถึงการเดินทางวันหยุดและโรงหนังกลางแปลง ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ "ความแข็งแรงผ่านความรื่นเริง" (Kraft durch Freude, KdF) การนำบริการกรรมกรแห่งชาติ (National Labour Service) และองค์การยุวชนฮิตเลอร์ไปปฏิบัติโดยบังคับให้เป็นสมาชิกสำคัญต่อการสร้างความจงรักภักดีและมิตรภาพ นอกเหนือจากนี้ ยังมีการดำเนินโครงการสถาปัตยกรรมจำนวนหนึ่ง คาเดเอฟสร้างคาเดเอฟวาเกน ที่ภายหลังรู้จักกันในชื่อ ฟ็อลคส์วาเกิน ("รถของประชาชน") ซึ่งได้รับการออกแบบมาให้เป็นรถยนต์ที่พลเมืองเยอรมันทุกคนสามารถซื้อได้ เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองปะทุ รถดังกล่าวถูกแปลงเป็นพาหนะทางทหารและการผลิตฝ่ายพลเรือนถูกหยุดลง อีกโครงการแห่งชาติหนึ่ง คือ การก่อสร้างเอาโทบาน เป็นระบบถนนไม่จำกัดความเร็วแห่งแรกของโลก
การรณรงค์บรรเทาฤดูหนาวไม่เพียงเป็นการรวบรวมเงินบริจาคแก่ผู้อาภัพเท่านั้น แต่ยังเป็นเสมือนพิธีกรรมเพื่อสร้างอารมณ์สาธารณะ[133] ส่วนหนึ่งของการรวมศูนย์อำนาจนาซีเยอรมนี ใบปิดประกาศกระตุ้นให้ประชาชนบริจาคแทนที่จะให้ขอทานโดยตรง[134]
สาธารณสุข
[]นาซีเยอรมนีให้ความสำคัญด้านสาธารณสุขอย่างมาก ต่างจากที่หลายคนเข้าใจ[135] จากการศึกษาวิจัยของโรเบิร์ต เอ็น. พร็อกเตอร์ ในหนังสือ The Nazi War on Cancer ของเขา[136][137] นาซีเยอรมนีอาจเป็นประเทศที่มีการต่อต้านบุหรี่อย่างหนักที่สุดในโลกก็ว่าได้ คณะวิจัยเกี่ยวกับโทษของบุหรี่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างแข็งขัน[138] และนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันสามารถพิสูจน์ได้ว่าควันพิษจากบุหรี่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งเป็นครั้งแรกของโลก[139][140][141][142] ต่อมา การวิจัยบุกเบิกด้านระบาดวิทยาเชิงทดลองนำไปสู่งานวิจัยโดยฟรันซ์ ฮา มึลเลอร์ในปี 1939 และงานวิจัยโดยเอเบอร์ฮาร์ด ไชแรร์ และเอริช เชอนีแกร์ในปี 1943 ซึ่งแสดงให้เห็นแน่ชัดว่าการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปอด[143] รัฐบาลกระตุ้นให้แพทย์ชาวเยอรมันให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วยต่อต้านการสูบบุหรี่ การวิจัยของเยอรมนีต่ออันตรายของบุหรี่เงียบหายไปหลังสงครามยุติ และอันตรายของบุหรี่กลับมาถูกค้นพบอีกโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันและอังกฤษในต้นคริสต์ทศวรรษ 1950[135] โดยมีความลงรอยทางการแพทย์เกิดขึ้นในต้นคริสต์ทศวรรษ 1960
นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันยังพิสูจน์ว่าแร่ใยหินมีอันตรายต่อสุขภาพ และในปี 1943 เยอรมนีรับรองโรคที่เกิดจากใยหิน เช่น มะเร็งปอด เป็นโรคจากการประกอบอาชีพที่มีคุณสมบัติได้รับเงินชดเชย ซึ่งนับเป็นชาติแรกในโลกที่เสนอประโยชน์นี้
ในส่วนหนึ่งของการรณรงค์สาธารณสุขทั่วไปในนาซีเยอรมนี น้ำประปาถูกทำให้สะอาดขึ้น ตะกั่วและปรอทถูกนำออกจากสินค้าผู้บริโภค และสตรีถูกกระตุ้นให้เข้ารับการตรวจมะเร็งเต้านมเป็นประจำ[136][137]
ระบบสาธารณสุขของนาซียังถือเป็นแนวคิดกลางของมโนทัศน์สุพันธุศาสตร์ คนบางกลุ่มถูกมองว่าเป็นพวก "ด้อยพันธุ์" และตกเป็นเป้าถูกกำจัดผ่านการทำหมันผ่านคำสั่งศาลอนามัยวงศ์ตระกูล (Erbgesundheitsgericht) หรือถูกฆ่าหมดสิ้นด้วยมาตรการ T4 ผู้เชี่ยวชาญข้อมูลทางการแพทย์ใช้ขบวนการและเทคโนโลยีใหม่ เช่น ระบบบัตรเจาะรูและการวิเคราะห์ราคา เพื่อช่วยในขบวนการและคำนวณประโยชน์ต่อสังคมจากการฆ่าเหล่านี้[144](
นโยบายเชื้อชาติ
[]เป็นที่ประจักษ์ว่าชุมชนยิวในเยอรมนีเป็นเป้าแห่งความเกลียดชังตั้งแต่การปราศรัยและงานเขียนแรก ๆ ของฮิตเลอร์ อุดมการณ์นาซีวางกฎเข้มงวดเกี่ยวกับว่าใครเป็นหรือไม่เป็นสายเลือด "อารยัน" บริสุทธิ์ มีการกำหนดการปฏิบัติเพื่อทำให้เชื้อชาติอารยันบริสุทธิ์ ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นหนึ่งเดียวกับเชื้อชาตินอร์ดิก ตามด้วยเชื้อชาติรองที่เล็กกว่าของเชื้อชาติอารยันเพื่อเป็นตัวแทนของเชื้อชาติปกครองที่เป็นอุดมคติและบริสุทธิ์ ผลของนโยบายสังคมนาซีในเยอรมนีแบ่งแยกระหว่างผู้ที่ถูกมองว่าเป็น "อารยัน" กับ "มิใช่อารยัน" ยิว หรือส่วนหนึ่งของกลุ่มชนกลุ่มน้อยอื่น สำหรับเชื้อชาติอารยัน การดำเนินโยบายสังคมจำนวนมากที่เอื้อประโยชน์ต่อคนกลุ่มนี้โดยระบอบนาซีเพิ่มขึ้นตามกาล รวมถึงการคัดค้านการสูบบุหรี่โดยรัฐ การล้างมลทินแก่เด็กอารยันที่เกิดแก่บิดามารดานอกสมรส เช่นเดียวกับการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ครอบครัวเยอรมันอารยันที่ให้กำเนิดบุตร[145] วันที่ 1 เมษายน 1933 ฮิตเลอร์ประกาศคว่ำบาตรสถานประกอบธุรกิจยิวทั้งประเทศ ครอบครัวยิวจำนวนมากเตรียมตัวออกนอกประเทศ แต่อีกหลายครอบครัวหวังว่าการดำรงชีพของพวกตนและทรัพย์สินจะปลอดภัย เพราะตนเป็นพลเมืองเยอรมัน
พรรคนาซีดำเนินนโยบายเชื้อชาติและสังคมผ่านการเบียดเบียนและการสังหารผู้ที่ถูกมองว่าเป็นผู้ที่สังคมไม่พึงปรารถนาหรือ "ศัตรูแห่งไรช์" ที่ตกเป็นเป้าพิเศษ คือ ชนกลุ่มน้อยเช่น ยิว โรมานี (หรือยิปซี) ผู้นับถือพยานพระยะโฮวาห์[146] ผู้ที่มีความพิการทางจิตหรือทางกาย และพวกรักร่วมเพศ ในคริสต์ทศวรรษ 1930 แผนเพื่อโดดเดี่ยวและกำจัดยิวอย่างสมบูรณ์ในเยอรมนีท้ายส
วิกิพีเดีย, วิกิ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, มือถือ, โทรศัพท์, แอนดรอยด์, ไอโอเอส, แอปเปิ้ล, สมาร์ทโฟน, พีซี, เว็บ, คอมพิวเตอร์, ข้อมูลเกี่ยวกับ นาซีเยอรมัน, นาซีเยอรมัน คืออะไร? นาซีเยอรมัน หมายความว่าอะไร?


ฝากคำตอบ
ต้องการเข้าร่วมการสนทนาหรือไม่?คุณสามารถร่วมเขียนได้!