ซั่งไห่

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก )
เซี่ยงไฮ้

上海市

ช่างไห่
นครปกครองโดยตรง
image
ทิวนครบริเวณลู่เจียจุ่ยและแม่น้ำหวงผู่
image
สวนยวี่หยวน
image
เมืองเก่าเซี่ยงไฮ้
image
ศูนย์การแสดงนิทรรศการเซี่ยงไฮ้
image
ถนนหนันจิง
image
อาคารเอสเอสบีซีที่เดอะบันด์
image
วัดจิ้งอัน
ที่มาของชื่อ: 上海浦 (Shànghăi Pǔ)
"ชื่อเดิมของแม่น้ำหฺวางผู่"
แผนที่
image
ที่ตั้งของเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ในประเทศจีน
พิกัด (จัตุรัสประชาชน): 31°13′43″N 121°28′29″E / 31.22861°N 121.47472°E / 31.22861; 121.47472
ประเทศจีน
ตั้งถิ่นฐานป. 4000 ปีก่อนคริสตกาล[1]
ก่อตั้ง
 • เมืองชิงหลง

ค.ศ. 746[2]
 • อำเภอเซี่ยงไฮ้ค.ศ. 1292[3]
 • เทศบาลนคร7 กรกฎาคม ค.ศ. 1927
เขตการปกครอง
 • ระดับอำเภอ
 • ระดับตำบล

16 เขต
210 เมืองและแขวง
การปกครอง
  ประเภทนครปกครองโดยตรง
  เลขาธิการพรรคหลี่ เฉียง (李强)
  นายกเทศมนตรีกง เจิ้ง (龚正)
พื้นที่[4][5][6]
  เทศบาลนคร6,341 ตร.กม. (2,448 ตร.ไมล์)
  พื้นน้ำ697 ตร.กม. (269 ตร.ไมล์)
  เขตเมือง (ค.ศ. 2018)[7]4,000 ตร.กม. (1,550 ตร.ไมล์)
ความสูง[8]4 เมตร (13 ฟุต)
ประชากร
 (ค.ศ. 2019)[9]
  เทศบาลนคร24,281,400 คน
  อันดับที่ 1 ของประเทศ
  ความหนาแน่น3,800 คน/ตร.กม. (9,900 คน/ตร.ไมล์)
  รวมปริมณฑล[10]34,000,000 คน
เขตเวลาUTC+08:00 (CST)
รหัสไปรษณีย์200000–202100
รหัสพื้นที่21
รหัส ISO 3166CN-SH
Nominal GDP[9]2019
 • ทั้งหมด3.82 ล้านล้านเหรินหมินปี้ (ที่ 11 ของประเทศ)
 • ต่อหัว157,279 เหรินหมินปี้ (ที่ 2 ของประเทศ)
 • ความเติบโตimage 6.0%
HDI (ค.ศ. 2018)0.867[11] (ที่ 2 ของประเทศ) – สูงมาก
ป้ายทะเบียนรถ沪A, B, D, E, F, G, H, J, K, L, M, N
沪C (เฉพาะชานเมืองด้านนอก)
อักษรย่อSH / ฮู่ (; )
ดอกไม้ประจำนครอฺวี้หลานแมกโนเลีย (Magnolia denudata)
ภาษาภาษาเซี่ยงไฮ้
ภาษาจีนมาตรฐาน
เว็บไซต์www.shanghai.gov.cn

เซี่ยงไฮ้ หรือ ช่างไห่ (จีน: 上海; พินอิน: Shànghǎi, เสียงอ่านภาษาจีนมาตรฐาน: [ʂâŋ.xài] , เสียงอ่านภาษาอู๋: [zɑ̃̀.hɛ́]) เป็นหนึ่งในสี่นครปกครองโดยตรงของประเทศจีน ตั้งอยู่บริเวณทางใต้ของปากแม่น้ำแยงซี และมีแม่น้ำหวงผู่ไหลผ่านกลางเมือง มีประชากรใน ค.ศ. 2023 จำนวน 24.8 ล้านคน และหากนับรวมในเขตเมืองทั้งหมดจะมีประชากร 29.87 ล้านคน ทำให้เป็นเขตเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศจีน และเป็นนครที่มีประชากรมากเป็นอันดับสามของโลก ปัจจุบันได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งในเมืองที่พัฒนามากที่สุดในโลก[12] และหนึ่งในศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลก[13]

เซี่ยงไฮ้เป็นศูนย์กลางระดับโลกทางด้านการเงิน, การวิจัย, นวัตกรรม, อุตสาหกรรมการผลิต, การท่องเที่ยว, วัฒนธรรม และการขนส่ง คาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในนครเซี่ยงไฮ้มีมูลค่าสูงถึง 13 ล้านล้านหยวน (1.9 ล้านล้านดอลลาร์) ใน ค.ศ. 2022[14] เซี่ยงไฮ้ในอดีตเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมง และเริ่มมีการพัฒนามากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในศตวรรษที่ 19 เนื่องมาจากการค้าขายและทำเลที่ตั้งท่าเรือที่เหมาะสม ท่าเรือเซี่ยงไฮ้เป็นหนึ่งในห้าท่าเรือที่ต้องเปิดให้มีการค้าต่างประเทศหลังสงครามฝิ่นครั้งที่หนึ่ง ตามมาด้วยยุทธการชื่นปีครั้งที่สองใน ค.ศ. 1841 ซึ่งอยู่ห่างจากมาเก๊าของโปรตุเกสไปทางทิศตะวันออกมากกว่า 60 กิโลเมตร (37 ไมล์) มาเก๊าถูกควบคุมโดยโปรตุเกสตามข้อตกลงลูโซ-จีนใน ค.ศ. 1554 จนถึงการส่งมอบมาเก๊าไปยังจีนในวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1999 ตามมาด้วยการก่อตั้งเขตการระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศเซี่ยงไฮ้ และเขตสัมปทานฝรั่งเศสตามลำดับ

เซี่ยงไฮ้เติบโตขึ้นจนกลายเป็นศูนย์กลางทางการค้า และการเงินของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในทศวรรษ 1930 หลังเหตุการณ์ยุทธการที่เซี่ยงไฮ้ในช่วงสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง ตามมาด้วยสงครามกลางเมืองจีน ซึ่งอุบัติขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างพรรคชาตินิยมจีน และพรรคคอมมิวนิสต์จีน และหลังจากที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เข้าครอบครองจีนแผ่นดินใหญ่ใน ค.ศ. 1949 อิทธิพลทางการค้าของเซี่ยงไฮ้ลดลงเป็นเวลากว่าสองทศวรรษ ในช่วงทศวรรษ 1980 การปฏิรูปเศรษฐกิจจีนโดยเติ้ง เสี่ยวผิง ส่งผลให้เกิดการพัฒนาเมืองครั้งใหญ่ โดยเฉพาะเขตผู่ตง การลงทุนจากต่างประเทศกลับมายังเซี่ยงไฮ้ และมีสถานะเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอีกครั้ง เซี่ยงไฮ้เป็นที่ตั้งของตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ หนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกโดยมูลค่าตามราคาตลาด และเขตการค้าเสรีเซี่ยงไฮ้เป็นเขตการค้าเสรีแห่งแรกของจีน เซี่ยงไฮ้ได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองระดับโลก (Global City)[15] โดยเครือข่ายการวิจัยโลกาภิวัตน์และเมืองโลก และเป็นที่ตั้งของบริษัทชั้นนำของโลกโดยฟอร์จูน โกลบอล 500 จำนวน 13 แห่ง และอยู่ในอันดับ 4 ตามการจัดอันดับตามดัชนีศูนย์กลางการเงินโลก เซี่ยงไฮ้ยังเป็นที่ตั้งของสำนักวิจัยและสถานศึกษาชื่อดังหลายแห่ง[16] เช่น มหาวิทยาลัยฟู่ตัน และ มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เจียวทง รถไฟใต้ดินเซี่ยงไฮ้ซึ่งให้บริการมาตั้งแต่ ค.ศ. 1993 ยังเป็นเป็นเครือข่ายระบบขนส่งมวลชนเร็วที่ใหญ่ที่สุดในโลกโดยวัดตามความยาวเส้นทางทั้งหมด ให้บริการการเดินทางซึ่งคิดเป็น 73% ของการคมนาคมทั้งหมดในเซี่ยงไฮ้ นอกจากนี้ ท่าเรือเซี่ยงไฮ้ยังถือเป็นท่าเรือที่คับคั่งที่สุดในโลก[17]

เซี่ยงไฮ้ได้รับการยอมรับในระดับสากลมาเป็นเวลาเกือบหนึ่งศตวรรษ และได้รับการยกย่องเป็น "แหล่งเชิดหน้าชูตา" ให้แก่เศรษกิจและวัฒนธรรมของประเทศ เมืองนี้ยังมีจุดเด่นในด้านสถาปัตยกรรมที่มีความหลากหลาย ได้รับการตกแต่งตามแบบอลังการศิลป์ และสถาปัตยกรรมดั้งเดิมแบบชิกุเมน สถานที่ซึ่งเป็นที่รู้จักได้แก่ ลู่เจียจุ่ย หนึ่งในศูนย์กลางทางการเงินของประเทศ และยังรายล้อมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เช่น ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเซี่ยงไฮ้ และ สวนยฺวี่-ยฺเหวียน งานเซียงไฮ้เอ็กซ์โปยังถือเป็นงานจัดแสดงที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยกินพื้นที่กว่า 5.28 ตารางกิโลเมตร หอไข่มุกตะวันออกเป็นอีกสถานที่สำคัญซึ่งได้รับการจัดอันดับคุณภาพให้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวระดับ 5A เซี่ยงไฮ้ยังมีจุดเด่นในด้านอาหารเซี่ยงไฮ้, ภาษาเซี่ยงไฮ้ และวัฒนธรรมสากล และมีจำนวนตึกระฟ้ามากที่สุดอันดับหกของโลก และอันดับสามในประเทศต่อจากเชินเจิ้น และ กว่างโจว

ประวัติศาสตร์

[]

สมัยโบราณ

[]

ดินแดนทางภาคตะวันตกของเซี่ยงไฮ้ในปัจจุบันมีผู้อยู่อาศัยเมื่อประมาณ 6,000 ปีที่แล้ว[18] ในอดีตซึ่งตรงกับช่วงยุควสันตสารท (ประมาณ 771 ถึง 476 ปีก่อนคริสตกาล) ดินแดนแห่งนี้อยู่ภายใต้การปกครองโดยรัฐอู๋ซึ่งต่อมาถูกยึดครองโดยรัฐเยว่ (Yue) ตามด้วยรัฐฉู่ (Chu) ตามลำดับ[19] ต่อมาในช่วงยุครณรัฐ 475 ปีก่อนคริสตกาล เซี่ยงไฮ้เป็นส่วนหนึ่งของดินแดนศักดินาของเจ้าเมืองชุนเซินแห่งรัฐฉู่ หนึ่งใน "สี่กงจื่อรณรัฐ" พระองค์ทรงรับสั่งให้ขุดแม่น้ำหวงผู่โดยชื่อเดิมหรือชื่อตามบทกวีของแม่น้ำนี้คือ แม่น้ำชุนเชิน (春申江) ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเล่นของเซี่ยงไฮ้ว่า "เชิน"[20] ชาวประมงที่อาศัยอยู่ในเขตเซี่ยงไฮ้จึงได้สร้างเครื่องมือจับปลาที่เรียกว่า "ฮู่" (hù) ซึ่งได้นำชื่อนี้มาใช้กับทางออกของลำธารซูโจวทางเหนือของเมืองเก่า และกลายเป็นชื่อเล่นและคำย่อทั่วไปของเมือง

ยุคจักรวรรดิ

[]

ในสมัยราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ่ง เมืองชิงหลง (青龙镇) ในเขตชิงผู่ในปัจจุบันเคยเป็นท่าเรือการค้าที่สำคัญ ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 746 และได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นสิ่งที่ในอดีตถูกขนานนามว่าเป็น "เมืองใหญ่แห่งตะวันออกเฉียงใต้" ท่าเรือแห่งนี้มีการค้าขายที่เจริญรุ่งเรืองกับมณฑลต่าง ๆ ตามแนวแม่น้ำแยงซีและชายฝั่งจีน รวมไปถึงต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่นและชิลลา ต่อมา เมื่อสิ้นสุดยุคราชวงศ์ซ่ง ศูนย์กลางทางการค้าได้ย้ายจากบริเวณปลายน้ำของแม่น้ำอู่ซ่งไปสู่บริเวณที่เป็นเซี่ยงไฮ้ในปัจจุบัน ในช่วงเวลาดังกล่าวสถานะของเมืองนี้ได้ถูกยกระดับจากหมู่บ้านกลายเป็นเมืองตลาดใน ค.ศ. 1074 และใน ค.ศ. 1172 กำแพงกั้นทะเลแห่งที่สองถูกสร้างขึ้นเพื่อรักษาความมั่นคงให้กับแนวชายฝั่งทะเล โดยเสริมจากเขื่อนกั้นน้ำเดิม[21]

image
เมืองเก่าเซี่ยงไฮ้ในศตวรรษที่ 17

นับตั้งแต่สมัยของราชวงศ์หยวนใน ค.ศ. 1292 เรื่อยมาจนกระทั่งเซี่ยงไฮ้ได้รับการจัดตั้งเป็นเทศบาลอย่างเป็นทางการในปี 1927 ศูนย์กลางของเซี่ยงไฮ้มีรูปแบบการปกครองเป็นมณฑลโดยอยู่ภายใต้ซ่งเจียง กำแพงเมืองเซี่ยงไฮ้แห่งแรกสร้างขึ้นใน ค.ศ. 1554 เพื่อป้องกันเมืองจากการจู่โจมของโจรสลัดญี่ปุ่น (วัวโค่ว) กำแพงมีความสูง 10 เมตร (33 ฟุต) และมีเส้นรอบวง 5 กิโลเมตร (3 ไมล์) ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเซี่ยงไฮ้ซึ่งเป็นที่รู้จักจนถึงปัจจุบันถูกสร้างขึ้นใน ค.ศ. 1602 ในรัชสมัยของจักรพรรดิว่านลี่ เกียรติยศดังกล่าวมักถูกสงวนไว้สำหรับเมืองที่มีสถานะเป็นเมืองหลวงของจังหวัดเท่านั้น และมักจะไม่มอบให้แก่เมืองใหญ่อื่น ๆ เช่น เซี่ยงไฮ้ นักวิชาการได้ตั้งทฤษฎีว่าสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญทางเศรษฐกิจของเมือง[22]

ในสมัยราชวงศ์ชิง การเปลี่ยนสำคัญทางนโยบายสองประการโดยรัฐบาลกลางทำให้เซี่ยงไฮ้กลายเป็นท่าเรือที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี ครั้งแรกเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1684 เมื่อจักรพรรดิคังซีทรงยกเลิกข้อห้ามเรือเดินทะเลใน ค.ศ. 1525 ต่อมาใน ค.ศ. 1732 จักรพรรดิเฉียนหลงได้ย้ายสำนักงานศุลกากรของมณฑลเจียงซู (江海关;) จากซ่งเจียงไปยังเซี่ยงไฮ้ และมอบอำนาจควบคุมการจัดเก็บภาษีศุลกากรสำหรับการค้าต่างประเทศของเจียงซูให้กับเซี่ยงไฮ้อย่างเบ็ดเสร็จ เซี่ยงไฮ้จึงกลายเป็นท่าเรือการค้าหลักของภูมิภาคแม่น้ำแยงซีตอนล่างใน ค.ศ. 1735 แม้จะยังคงสถานะต่ำสุดตามระดับการแบ่งลำดับชั้นการบริหารทางการเมืองก็ตาม[23] ในศตวรรษที่ 19 ความสนใจและการยอมรับจากนานาชาติเกี่ยวกับศักยภาพทางเศรษฐกิจและการค้าที่แม่น้ำแยงซีเกียงเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ[24] ก่อนจะถูกยึดครองโดยอังกฤษในช่วงสงครามฝิ่นครั้งที่หนึ่ง[25] สงครามยุติลงสิ้นเชิงในปี 1842 ด้วยสนธิสัญญานานกิงซึ่งเป็นการเปิดให้เซี่ยงไฮ้กลายเป็นหนึ่งในห้าท่าเรือสนธิสัญญาสำหรับการค้าระหว่างประเทศ[26]

image
แผนที่เซี่ยงไฮ้ใน ค.ศ. 1884: แบ่งสีตามการปกครอง (สีเหลือง–จีน, สีแดง–ฝรั่งเศส, สีน้ำเงิน–อังกฤษ และสีส้ม–สหรัฐอเมริกา)

อย่างไรตาม สนธิสัญญาไม่เป็นธรรมหลายฉบับ ได้แก่ สนธิสัญญาโบก, สนธิสัญญาหวังเซีย และ สนธิสัญญาหวัมเปา ซึ่งลงนามระหว่าง ค.ศ. 1843 ถึง 1844 บังคับให้จีนยอมผ่อนปรนความต้องการเดินทางและค้าขายในจีนแก่ชาวยุโรปและอเมริกัน โดยมีอังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกาได้ตั้งฐานที่ตั้งนอกนครเซี่ยงไฮ้ที่มีกำแพงล้อมรอบ ซึ่งยังคงอยู่ภายใต้การปกครองโดยตรงของจีน นครเซี่ยงไฮ้อันเก่าแก่ที่จีนยึดครองโดยกลุ่มกบฏสมาคมดาบเล็กในปี 1853 แต่รัฐบาลชิงก็สามารถยึดคืนมาได้ในเดือนกุมภาพันธ์ 1855[27] ใน ค.ศ. 1854 สภาเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ได้รับการจัดตั้งขึ้นเพื่อบริหารจัดการการตั้งถิ่นฐานของชาวต่างชาติ ระหว่างปี 1860 ถึง 1862 กบฏไท่ผิงเทียนกั๋วได้โจมตีเซี่ยงไฮ้สองครั้งและทำลายเขตชานเมืองทางตะวันออกรวมถึงบริเวณทางใต้ของเมือง ทว่าไม่สามารถยึดเมืองได้

ใน ค.ศ. 1863 นิคมของอังกฤษทางตอนใต้ของอ่าวซูโจว (ทางตอนเหนือของเขตหวงผู่) และนิคมของสหรัฐอเมริกาทางตอนเหนือ (เขตหงโข่วทางใต้) ได้รวมตัวกันก่อตั้งนิคมนานาชาติเซี่ยงไฮ้ (Shanghai International Settlement) แต่ฝรั่งเศสเลือกที่จะไม่เข้าร่วมสภาเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ และยังคงรักษาเขตปกครองสัมปทานของตนเองไว้ทางตอนใต้และตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง[28]สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่หนึ่งสิ้นสุดลงด้วยสนธิสัญญาชิโมโนเซกิใน ค.ศ. 1895 ซึ่งยกระดับญี่ปุ่นให้กลายเป็นมหาอำนาจต่างชาติอีกแห่งหนึ่งในเซี่ยงไฮ้ ญี่ปุ่นริเริ่มสร้างโรงงานแห่งแรกในเซี่ยงไฮ้ซึ่งเป็นต้นแบบให้แก่มหาอำนาจอื่น ๆ สืบเนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ก้าวหน้ากับต่างชาตินี้ ทำให้เซี่ยงไฮ้ได้รับการขนานว่า "เอเธนส์อันยิ่งใหญ่ของจีน"[29]

ยุคสาธารณรัฐ

[]

ในปี 1912 กำแพงเมืองเก่าได้ถูกรื้อถอนเนื่องจากขัดขวางการขยายตัวของเมือง[30] ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1921 พรรคคอมมิวนิสต์จีนก่อตั้งขึ้นในเขตปกครองเดิมของฝรั่งเศสเซี่ยงไฮ้ ต่อมาเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1925 ขบวนการสามสิบพฤษภาคมได้ปะทุขึ้นเมื่อคนงานในโรงงานปั่นฝ้ายของญี่ปุ่นถูกหัวหน้าคนงานชาวญี่ปุ่นยิงเสียชีวิต[31] อันเป็นชนวนไปสู่การประท้วงและการนัดหยุดงานทั่วไปอย่างกว้างขวาง ก่อให้เกิดลัทธิชาตินิยมในประเทศจีน[32]

ยุคทองของเซี่ยงไฮ้เริ่มต้นขึ้นเมื่อมีการยกระดับเป็นเทศบาลหลังจากแยกออกจากมณฑลเจียงซูเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 1927 เทศบาลใหม่ของจีนแห่งนี้มีพื้นที่ 494.69 ตารางกิโลเมตร (191.0 ตารางไมล์) และครอบคลุมเขตเป่าซาน, หยางผู่, จาเป่ย, หนานซี และผู่ตง รัฐบาลซึ่งมีนายกเทศมนตรีและสภาเทศบาลจีนเป็นผู้นำ ได้นำแผนการพัฒนาเมืองครั้งใหญ่ หรือ "Greater Shanghai" มาใช้เพื่อสร้างศูนย์กลางเมืองแห่งใหม่ในเมืองเจียงวาน ในเขตหยางผู่นอกเขตสัมปทานต่างประเทศ[33] เซี่ยงไฮ้กลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าอันรุ่งเรืองในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในทศวรรษ 1930[34] ในช่วงหลายทศวรรษต่อมา พลเมืองจากหลายประเทศอพยพไปยังเซี่ยงไฮ้ ผู้อยู่อาศัยที่นั่นเป็นเวลานานเรียกตัวเองว่า "ชาวเซี่ยงไฮ้"[35] ในช่วงระหว่างทศวรรษ 1920 และ 1930 ชาวรัสเซียผิวขาวจำนวนกว่า 20,000 รายอพยพออกจากสหภาพโซเวียตซึ่งก่อตั้งได้ไม่นาน มาตั้งรกรากที่เซี่ยงไฮ้[36] ชาวรัสเซียเซี่ยงไฮ้เหล่านี้ถือเป็นชุมชนชาวต่างชาติที่ใหญ่เป็นอันดับสอง และในปี 1932 เซี่ยงไฮ้กลายเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับห้าของโลก และมีชาวต่างชาติอาศัยอยู่ประมาณ 70,000 คน[37] ตามมาด้วยการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของผู้อพยพชาวยิวจากยุโรปประมาณ 30,000 คนในทศวรรษ 1930[38]

การรุกรานของญี่ปุ่น

[]
image
เหตุเพลิงไหม้ในจาเป่ย ค.ศ. 1937

เมื่อวันที่ 28 มกราคม 1932 หรือ อุบัติการณ์เซี่ยงไฮ้ (28 มกราคม–3 มีนาคม 1932) เมืองนี้ถูกรุกรานโดยกองทัพญี่ปุ่น ร้านค้ามากกว่า 10,000 แห่ง โรงงาน และอาคารสาธารณะหลายร้อยแห่งถูกทำลายย่อยยับ[39] ทำให้เขตจาเป่ยพังทลาย โดยมีพลเรือนเสียชีวิต บาดเจ็บ หรือสูญหายราว 18,000 คน การโจมตียุติลงจากการเจรจาในวันที่ 5 พฤษภาคม ในปี 1937 ยุทธการที่เซี่ยงไฮ้ส่งผลให้พื้นที่เซี่ยงไฮ้ที่ปกครองโดยจีนนอกเขตนิคมอุตสาหกรรมนานาชาติและเขตสัมปทานฝรั่งเศสถูกยึดครอง ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองต้องเผชิญกับความหิวโหย การทารุณกรรม และความตาย[40] เขตสัมปทานต่างชาติถูกยึดครองโดยญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1941 และอยู่ภายใต้การยึดครองต่อเนื่องจนกระทั่งการยอมจำนนของญี่ปุ่นในปี 1945[41]

ชาวยิวจำนวนมากเดินทางมาถึงเซี่ยงไฮ้ในช่วงที่ญี่ปุ่นยึดครอง ชิอูเนะ ซูงิฮาระ ซึ่งดำรงตำแหน่งรองกงสุลแห่งประเทศญี่ปุ่นประจำลิทัวเนีย ได้ออกวีซ่าหลายพันฉบับให้กับผู้ลี้ภัยชาวยิวที่หลบหนีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และรัฐบาลญี่ปุ่นได้ย้ายชาวยิวจำนวนมากมายังเซี่ยงไฮ้ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1941 ในขณะที่ผู้ลี้ภัยชาวยิวคนอื่น ๆ เดินทางมาจากอิตาลี ส่วนผู้ลี้ภัยจากยุโรปถูกกักตัวในเขตชุมชมชาวยิวเซี่ยงไฮ้ในเขตหงโข่วภายหลังการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ ชุมชนผู้ลี้ภัยจำนวนมากได้รับการปลดแอกโดยกองทัพจีนหลังการยอมจำนนของญี่ปุ่น และชาวยิวส่วนใหญ่ได้จากดินแดนแห่งนี้ไปในไม่กี่ปีต่อมา[42]

สาธารณรัฐประชาชนจีน

[]
image
ถนนหนานจิงใน ค.ศ. 1967 ในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม

เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1949 กองทัพปลดปล่อยประชาชนได้เข้าควบคุมเซี่ยงไฮ้ผ่านการรณรงค์เซี่ยงไฮ้ ภายใต้สาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) เซี่ยงไฮ้เป็นหนึ่งในสามเทศบาลที่ไม่ถูกรวมเข้ากับมณฑลใกล้เคียง (อีกสองมณฑลคือปักกิ่งและเทียนจิน)[43] บริษัทต่างชาติส่วนใหญ่ได้ย้ายสำนักงานจากเซี่ยงไฮ้ไปยังฮ่องกงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขายหุ้นให้แก่ต่างชาติอันเนื่องมาจากชัยชนะของสาธารณรัฐประชาชนจีน[44] ภายหลังสงครามยุติ เซี่ยงไฮ้ได้รับการฟื้นฟูต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1949 ถึง 1952 ผลผลิตทางการเกษตรและอุตสาหกรรมของเมืองเพิ่มขึ้น 51.5% และ 94.2% ตามลำดับ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมของจีนที่มีแรงงานอุตสาหกรรมที่มีทักษะสูงที่สุด เซี่ยงไฮ้จึงกลายเป็นศูนย์กลางของกลุ่มซ้ายจัดในช่วงทศวรรษ 1950 และ 1960[45] ในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม (ค.ศ. 1966–1976) สังคมของเซี่ยงไฮ้เสื่อมโทรมอย่างหนัก คนงานส่วนใหญ่ของธนาคารประชาชนจีนคือกลุ่มยุวชนแดง (Red Guard) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเหมา เจ๋อตง ตั้งตนเป็นศาลเตี้ยอย่างอุกอาจด้วยการยุบองค์กรเศรษฐกิจในเซี่ยงไฮ้ ตลอดจนสอบสวนการถอนเงินจากธนาคาร และขัดขวางการให้บริการธนาคารทั่วไปในเมือง[46] แม้ความก้าวหน้าจะหยุดชะงักจากการปฏิวัติวัฒนธรรม แต่เซี่ยงไฮ้ยังคงรักษาการผลิตทางเศรษฐกิจด้วยอัตราการเติบโตประจำปีที่เป็นบวก

การปฏิรูปเศรษฐกิจและการเปิดประเทศในปี 1990 โดยเติ้ง เสี่ยวผิง ทำให้การลงทุนจากนานาชาติหลั่งไหลเข้าสู่เมืองอีกครั้งรวมทั้งมีการพัฒนาในเขตผู่ตง ตามมาด้วยการถือกำเนิดของลู่เจียจุ่ย[47] ในปีนั้น รัฐบาลกลางของจีนกำหนดให้เซี่ยงไฮ้เป็น "หัวมังกร" แห่งการปฏิรูปเศรษฐกิจ ในปี 2022 เซี่ยงไฮ้ได้รับผลกระทบจากการระบาดทั่วของโควิด-19 อย่างหนัก ส่งผลให้รัฐบาลจีนประกาศปิดเมืองในวันที่ 5 เมษายน 2022 ตามมาด้วยการเกิดภาวะขาดแคลนอาหารอย่างกว้างขวางทั่วเมือง เนื่องจากห่วงโซ่อุปทานอาหารหยุดชะงักอย่างรุนแรง ข้อจำกัดเหล่านี้ถูกยกเลิกในวันที่ 1 มิถุนายน[48]

ภูมิศาสตร์

[]
image
เขตเมืองเซี่ยงไฮ้ในปี 2016 พร้อมด้วยหมู่เกาะสำคัญจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือไปยังตะวันออกเฉียงใต้: ฉงหมิง, ฉางซิง, เหิงซา และจิ่วตวนซานอกชายฝั่งผู่ตง สามารถมองเห็นการระบายตะกอนตามธรรมชาติของแม่น้ำแยงซีได้

เซี่ยงไฮ้ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำแยงซีทางชายฝั่งตะวันออกของประเทศจีน อาณาเขตทางทิศเหนือติดแม่น้ำแยงซี และทางทิศใต้เชื่อมกับอ่าวหางโจว และทิศตะวันออกติดกับทะเลจีนตะวันออก แผ่นดินทั้งหมดเกิดจากการทับถมตามธรรมชาติของแม่น้ำแยงซีและการถมดิน ประกอบไปด้วยดินทรายจำนวนมากและตึกระฟ้าในเมืองต้องสร้างด้วยเสาคอนกรีตเพื่อป้องกันการจมลงไปในดินที่อ่อนนุ่ม บริเวณปากแม่น้ำและเกาะโดยรอบจำนวนมากอยู่ในการกำกับดูแลของเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ มีอาณาเขตติดกับมณฑลเจ้อเจียงทางทิศใต้ และมณฑลเจียงซูทางทิศเหนือและทิศตะวันตก[49] จุดที่อยู่เหนือสุดของเทศบาลแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะฉงหมิง ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสองในจีนแผ่นดินใหญ่หลังจากการขยายตัวในช่วงศตวรรษที่ 20

พื้นที่ของเซี่ยงไฮ้ตั้งอยู่บนที่ราบตะกอนน้ำพา และพื้นที่ส่วนใหญ่กว่า 6,340.5 ตารางกิโลเมตร (2,448.1 ตารางไมล์) เป็นที่ราบ โดยมีระดับความสูงเฉลี่ย 4 เมตร (13 ฟุต)[50] เขตที่ราบน้ำขึ้นน้ำลงพบเห็นได้รอบปากแม่น้ำ แต่ได้ถูกดัดแปลงเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเกษตร[51] เนินเขาซึ่งพบได้เพียงไม่กี่แห่งในเมืองนี้ เช่น เฉอซาน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ จุดที่สูงที่สุดคือยอดเขาของเกาะ Dajinshan (103 เมตร หรือ 338 ฟุต) ในอ่าวหางโจว เซี่ยงไฮ้มีทั้งแม่น้ำ คลอง ลำธาร และทะเลสาบ และเป็นที่รู้จักในด้านแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของลุ่มน้ำทะเลสาบไท่

ใจกลางเมืองเซี่ยงไฮ้ถูกแบ่งครึ่งโดยแม่น้ำหวงผู่ ซึ่งเป็นลำน้ำสาขาแม่น้ำแยงซีที่มนุษย์สร้างขึ้นในช่วงสงครามระหว่างรัฐ ศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของเมืองตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำหวงผู่ (ผู่ซี) ใกล้กับปากแม่น้ำซูโจว เชื่อมต่อกับทะเลสาบไท่และคลองใหญ่ ส่วนย่านศูนย์กลางทางธุรกิจคือ ลู่เจียจุ่ย ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำหวงผู่ (ผู่ตง) ตามแนวชายฝั่งตะวันออกของเซี่ยงไฮ้ การทำลายพื้นที่ชุ่มน้ำในท้องถิ่นอันเนื่องมาจากการก่อสร้างท่าอากาศยานนานาชาติซ่างไห่ผู่ตง ได้รับการชดเชยบางส่วนจากการปกป้องและขยายพื้นที่สันดอนใกล้เคียงในชื่อจิ่วตวนซาซึ่งเป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ[52]

สภาพอากาศ

[]

เซี่ยงไฮ้มีภูมิอากาศแบบอบอุ่นชื้นกึ่งเขตร้อน โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยรายปีอยู่ที่ 17.5 องศาเซลเซียส (63.5 องศาฟาเรนไฮต์) สำหรับพื้นที่ใจกลางเมือง และ 16.2–17.2 องศาเซลเซียส (61.2–63.0 องศาฟาเรนไฮต์) สำหรับเขตชานเมือง เมืองนี้มีสี่ฤดูกาลที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ฤดูหนาวมีอากาศอบอุ่นถึงหนาวจัดและชื้น ลมตะวันตกเฉียงเหนือจากไซบีเรียอาจทำให้อุณหภูมิในตอนกลางคืนลดลงต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง ในแต่ละปีจะมีหิมะตกเฉลี่ย 4.7 วัน และหิมะปกคลุมประมาณ 1.6 วัน ฤดูร้อนมีอากาศร้อนและชื้น อาจมีฝนตกหนักหรือพายุฝนฟ้าคะนองเป็นครั้งคราว โดยเฉลี่ยแล้ว อุณหภูมิจะสูงกว่า 35 องศาเซลเซียส (95 องศาฟาเรนไฮต์) ประมาณ 14.5 วันต่อปี ในฤดูร้อนและต้นฤดูใบไม้ร่วง เซี่ยงไฮ้มีโอกาสเผชิญกับพายุไต้ฝุ่น[53]

ฤดูกาลที่สดใสที่สุดโดยทั่วไปคือฤดูใบไม้ผลิ แม้ว่าจะมีความแปรปรวนและมักมีฝนตกก็ตาม รวมทั้งฤดูใบไม้ร่วงซึ่งมักจะมีแดดจัดและแห้งแล้ง ด้วยปริมาณแสงแดดที่เป็นไปได้ต่อเดือนตั้งแต่ 28% ในเดือนมิถุนายนจนถึง 46% ในเดือนสิงหาคม เซี่ยงไฮ้ได้รับแสงแดดประมาณ 1,754 ชั่วโมงต่อปี ตามมาตรฐานการแบ่งฤดูกาลของจีน ตั้งแต่ ค.ศ. 2001 ถึง 2025 เซี่ยงไฮ้จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิในวันที่ 9 มีนาคม, เข้าสู่ฤดูร้อนในวันที่ 15 พฤษภาคม, ฤดูใบไม้ร่วงในวันที่ 5 ตุลาคม และฤดูหนาวในวันที่ 4 ธันวาคม อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดสามสัปดาห์ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคมถึง 8 สิงหาคมสูงกว่า 30 องศาเซลเซียส (86.0 องศาฟาเรนไฮต์) อุณหภูมิสูงสุดนับตั้งแต่ ค.ศ. 1951 อยู่ระหว่าง -10.1 องศาเซลเซียส (13.8 องศาฟาเรนไฮต์) ในวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 1977 (บันทึกอย่างไม่เป็นทางการที่ -12.1 องศาเซลเซียส (10.2 องศาฟาเรนไฮต์) ในวันที่ 19 มกราคม 1893) จนถึง 40.9 องศาเซลเซียส (105.6 องศาฟาเรนไฮต์) ในวันที่ 21 กรกฎาคม 2017[54] และ 13 กรกฎาคม 2022[55] ในขณะที่อุณหภูมิต่ำสุดรายวันสูงสุดที่ 32.2 องศาเซลเซียส (90.0 องศาฟาเรนไฮต์) ณ วันที่ 10 สิงหาคม 2025 ที่ Xujiahui

การปกครอง

[]

เช่นเดียวกับการปกครองทั้งหมดในจีนแผ่นดินใหญ่ เซี่ยงไฮ้มีระบบพรรคการเมืองและรัฐบาลคู่ขนาน[56] โดยเลขาธิการคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเรียกอย่างเป็นทางการว่าเลขาธิการคณะกรรมการเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน มีตำแหน่งสูงกว่านายกเทศมนตรี คณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนทำหน้าที่เป็นองค์กรสูงสุดในการกำหนดนโยบาย โดยทั่วไปประกอบด้วยสมาชิก 12 คน (รวมเลขานุการ) และมีอำนาจควบคุมรัฐบาลประชาชนเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้[57] อำนาจทางการเมืองในเซี่ยงไฮ้ถือเป็นก้าวสำคัญสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นในรัฐบาลกลาง นับตั้งแต่เจียง เจ๋อหมินดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1989 อดีตเลขาธิการพรรคเซี่ยงไฮ้และรองเลขาธิการพรรคหลายคนได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดในจีนโดยพฤตินัย เจ้าหน้าที่ที่มีความเชื่อมโยงกับฝ่ายบริหารเซี่ยงไฮ้รวมตัวกันเป็นกลุ่มที่มีอำนาจในรัฐบาลกลางที่เรียกว่า Shanghai Clique ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อกลุ่ม Tuanpai คู่แข่งสำคัญในเรื่องการแต่งตั้งบุคลากรและการตัดสินใจด้านนโยบาย[58]

เศรษฐกิจ

[]

ภาพรวม

[]

เซี่ยงไฮ้มีสถานะเป็นศูนย์กลางทางการเงินและนวัตกรรมระดับโลก[59] และเป็นศูนย์กลางการพาณิชย์ การค้า และการขนส่งแห่งชาติ[60] โดยมีท่าเรือตู้คอนเทนเนอร์ที่พลุกพล่านที่สุดในโลกนั่นก็คือ ท่าเรือเซี่ยงไฮ้ ณ ค.ศ. 2568 เขตมหานครเซี่ยงไฮ้ซึ่งประกอบด้วยซูโจว, อู๋ซี, หนานทง, หนิงปัว, เจียซิง, โจวชาน และหูโจว คาดว่าจะผลิตผลิตภัณฑ์มวลรวมในเขตเมืองได้เกือบ 13 ล้านล้านหยวน (1.9 ล้านล้านดอลลาร์)[61] ณ ปี 2020 เศรษฐกิจของเซี่ยงไฮ้คาดว่าจะมีมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ซึ่งจัดอยู่ในเขตมหานครที่มีผลผลิตสูงที่สุดของจีน และอยู่ในกลุ่มเศรษฐกิจมหานครที่ใหญ่ที่สุดในโลก 10 อันดับแรก[62] อุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุด 6 อย่างของเซี่ยงไฮ้ ได้แก่ การค้าปลีก การเงิน ไอที อสังหาริมทรัพย์ การผลิตเครื่องจักร และการผลิตยานยนต์ หรือคิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของจีดีพีของเมือง[63]

ณ ปี 2024 เซี่ยงไฮ้มีจีดีพีอยู่ที่ 5.39 ล้านล้านหยวน (757 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในด้านมูลค่าตามราคาตลาด 1.52 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในด้านกำลังซื้อ) ซึ่งคิดเป็น 4% ของจีดีพีรวมงของประเทศจีน และมีอัตราจีดีพีต่อหัวอยู่ที่ 216,791 หยวน (30,448 ดอลลาร์สหรัฐในด้านมูลค่าตามราคาตลาด 61,068 ดอลลาร์สหรัฐในด้านอำนาจซื้อ) ในปี 2022 รายได้เฉลี่ยต่อปีที่ใช้จ่ายได้ของประชากรเซี่ยงไฮ้อยู่ที่ 79,610 หยวนจีน (11,836 ดอลลาร์สหรัฐ) ต่อคน ในขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อปีของผู้ที่ทำงานในเขตเมืองในเซี่ยงไฮ้อยู่ที่ 212,476 หยวนจีน (31,589 ดอลลาร์สหรัฐ)[64] ทำให้เป็นหนึ่งในเมืองที่มีความมั่งคั่งสูงที่สุดของจีน[65] ทว่าก็เป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดบนจีนแผ่นดินใหญ่ตามการศึกษาใน ค.ศ. 2023 โดยดิ อีโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนซ์ ยูนิต[66] นอกจากนี้ เซี่ยงไฮ้ยังเป็นเมืองที่ค่าครองชีพสูงที่สุดในโลกสำหรับการใช้ชีวิตแบบหรูหราในปี 2021[67]

ใน ค.ศ. 2023 มูลค่าการนำเข้าและส่งออกของเมืองสูงถึง 7.73 ล้านล้านหยวน (1.07 ล้านล้านดอลลาร์) คิดเป็น 18.5% ของยอดรวมของประเทศ[68] เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองที่มีความมั่งคั่งสูงที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลกในปี 2021 โดยมีมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 1.8 ล้านล้านดอลลาร์[69] และมีจำนวนมหาเศรษฐีมากที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลกตามการจัดอันดับโดยฟอบส์ ณ ปี 2022[70] คาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของเซี่ยงไฮ้จะสูงถึง 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2035 (เป็นอันดับ 1 ในประเทศจีน) ทำให้เซี่ยงไฮ้กลายเป็น 1 ใน 5 เมืองใหญ่ที่มีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศระดับภูมิภาค (GRP) มากที่สุดของโลก ตามการศึกษาวิจัยของ Oxford Economics และจากข้อมูลในเดือนสิงหาคม 2024 เซี่ยงไฮ้อยู่ในอันดับสี่ของโลก และอันดับสองในจีนแผ่นดินใหญ่ (รองจากปักกิ่ง) ในแง่จำนวนบริษัทชั้นนะระดับโลก (ฟอร์จูน โกลบอล 500)[71]

การเงิน

[]
image
ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้เป็นหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อพิจารณาจากมูลค่าตลาด

เซี่ยงไฮ้เป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับโลก โดยอยู่ในอันดับที่ 3 ของเอเชียและอันดับที่ 8 ของโลกในดัชนีศูนย์กลางการเงินโลก[72] เซี่ยงไฮ้ยังเป็นศูนย์กลางขนาดใหญ่ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของจีนและระดับโลก และเป็นที่ตั้งของระบบสตาร์ทอัพขนาดใหญ่ ณ ปี 2021 เซี่ยงไฮ้ได้รับการจัดอันดับให้เป็นศูนย์กลางอันดับ 2 ของโลกทางเทคโนโลยีด้านการเงิน (Fintech) รองจากนิวยอร์ก[73] ณ ปี 2019 ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้มีมูลค่าตลาด 4.02 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีนและใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก ในปี 2009 ปริมาณการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์สำคัญ 6 รายการ ได้แก่ ยาง ทองแดง และสังกะสี ในตลาดซื้อขายล่วงหน้าเซี่ยงไฮ้ ล้วนอยู่ในอันดับหนึ่งของโลก[74] เซี่ยงไฮ้มีสถาบันการเงิน 1,491 แห่ง โดย 251 แห่งเป็นการลงทุนจากต่างชาติในปี 2017

การผลิต

[]

ในฐานะหนึ่งในศูนย์กลางอุตสาหกรรมหลักของจีน เซี่ยงไฮ้มีบทบาทสำคัญในภาคการผลิตภายในประเทศและอุตสาหกรรมหนัก เขตอุตสาหกรรมหลายแห่ง ได้แก่ เขตพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีเซี่ยงไฮ้หงเฉีย, เขตแปรรูปเศรษฐกิจส่งออกจินเฉียว, เขตพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีหมินหาง และเขตพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงเซี่ยงไฮ้เฉาเหอจิง ล้วนเป็นแกนหลักของภาคอุตสาหกรรมรองของเซี่ยงไฮ้ ในด้านการผลิตยานยนต์ SAIC Motor ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเซี่ยงไฮ้ เป็นหนึ่งในสามบริษัทผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน และมีพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ ฟ็อลคส์วาเกิน และ เจเนรัลมอเตอร์[75]

การท่องเที่ยว

[]
image
เซี่ยงไฮ้ดิสนีย์แลนด์

นอกเหนือจากขีดความสามารถการแข่งขันทางเศรษฐกิจแล้ว เซี่ยงไฮ้ยังเป็นหนึ่งในปลายทางการท่องเที่ยวระดับโลก ในปี 2020 จำนวนนักท่องเที่ยวภายในประเทศเดินทางเข้ามาในเมืองเพิ่มขึ้น 7.5% เป็น 318 ล้านคน ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 2.2% เป็น 8.73 ล้านคน และเป็นเมืองที่ทำรายได้จากการท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก ณ ปี 2017[76] ตามรายงานของสมาคมการประชุมและการประชุมนานาชาติ เซี่ยงไฮ้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติทั้งสิ้น 82 ครั้งในปี 2018 ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 34 จาก 61 ครั้งในปี 2017[77] ณ ปี 2023 มีโรงแรมระดับ 5 ดาว 57 แห่ง, โรงแรมระดับ 4 ดาว 52 แห่ง, บริษัทตัวแทนท่องเที่ยว 1,942 แห่ง, สถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับการจัดอันดับ 144 แห่ง และสถานที่ท่องเที่ยวสีแดง 34 แห่ง[78]

ในปี 2023 เซี่ยงไฮ้มีจำนวนนักท่องเที่ยว 3.64 ล้านคน เพิ่มขึ้น 4.8 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีมูลค่าการท่องเที่ยว 177,120 ล้านหยวน (24,530 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 98.5% จากปีก่อนหน้า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 2.41 ล้านคนซึ่งเพิ่มขึ้น 5.2 เท่า

เขตการค้าเสรี

[]

ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2023 เซี่ยงไฮ้ได้เปิดตัวเขตการค้าเสรีเซี่ยงไฮ้ซึ่งเป็นเขตการค้าเสรีแห่งแรกในจีนแผ่นดินใหญ่ เขตการค้าเสรีนี้ได้นำการปฏิรูปหลายประการมาใช้เพื่อจูงใจการลงทุนจากต่างชาติ หนังสือพิมพ์เดอะแบงเกอร์รายงานว่า เซี่ยงไฮ้ดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจากภาคการเงินได้มากที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกใน ค.ศ. 2013[79] และในเดือนตุลาคม 2019 ได้กลายเป็นเขตการค้าเสรีใหญ่ที่สุดอันดับสองในจีนแผ่นดินใหญ่ในแง่ขนาดพื้นที่ (รองจากเขตการค้าเสรีไห่หนาน) ครอบคลุมพื้นที่ 240.22 ตารางกิโลเมตร (92.75 ตารางไมล์)

ประชากรศาสตร์

[]

เซี่ยงไฮ้มีประชากร 24,874,500 คนใน ค.ศ. 2023 รวมถึงผู้ที่ลงทะเบียนอย่างถูกกฏหมาย (หูโขว่) จำนวน 14,801,700 คน (59.5%) ข้อมูลในปี 2022 พบว่า 89.3% ของประชากรอาศัยในเขตเมือง ในขณะที่ 10.7% อาศัยอยูในเขตชนบท[80] เมื่อพิจารณาจากจำนวนประชากรในเขตพื้นที่บริหารทั้งหมด เซี่ยงไฮ้เป็นเทศบาลที่ใหญ่เป็นอันดับสองจากทั้งหมดสี่แห่งของประเทศจีนรองจากฉงชิ่ง แต่โดยทั่วไปถือว่าเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในจีน เนื่องจากประชากรในเขตเมืองของฉงชิ่งมีจำนวนน้อยกว่ามาก[81] และข้อมูลจากองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา ระบุว่าเขตมหานครเซี่ยงไฮ้มีประชากรประมาณ 34 ล้านคน[82] สำนักงานสถิติเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้รายงานว่ามีชาวต่างชาติอาศัยอยู่ในเซี่ยงไฮ้ประมาณ 157,900 ราย โดยเป็นชาวญี่ปุ่น 28,900 ราย, ชาวอเมริกัน 21,900 ราย และชาวเกาหลี 20,800 ราย[83] ซึ่งจำนวนดังกล่าวน่าจะยังน้อยกว่าความเป็นจริงมาก[84]

เซี่ยงไฮ้ยังเป็นที่อยู่อาศัยของผู้อพยพจำนวนมาก โดย 40.3% (9.8 ล้านคน) ของผู้อยู่อาศัยในเมืองนี้มาจากภูมิภาคอื่น ๆ ของจีน อัตราการคาดหมายคงชีพของประชากรที่ลงทะเบียนในเมืองทั้งหมดคือ 83.18%[85] ซึ่งสูงที่สุดในจีนแผ่นดินใหญ่ ด้วยเหตุนี้ประชากรเซี่ยงไฮ้จึงเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย โดยในปี 2021 ประชากรที่ลงทะเบียนไว้ของเมืองนี้กว่า 17.4% (4.3 ล้านคน) มีอายุมากกว่า 65 ปี ในปี 2017 รัฐบาลจีนดำเนินการควบคุมจำนวนประชากรในเซี่ยงไฮ้ ส่งผลให้จำนวนประชากรลดลง 10,000 คนภายในสิ้นปี[86]

ศาสนา

[]

เนื่องด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนาน เซี่ยงไฮ้จึงผสมผสานมรดกทางศาสนาไว้อย่างลงตัว โดยปรากฏอาคารและสถานที่สำคัญทางศาสนากระจายอยู่ทั่วเมือง จากผลสำรวจในปี 2012 พบว่า 13.1% ของประชากรในเมืองนับถือศาสนาอย่างเป็นระบบ ซึ่งรวมถึงศาสนาพุทธ 10.4% ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ 1.9% นิกายคาทอลิก 0.7% และศาสนาอื่น ๆ 0.1% ส่วนที่เหลืออีก 86.9% อาจเป็นผู้ที่ไม่ศรัทธาในพระเจ้า หรือนับถือเทพเจ้าและบรรพบุรุษ หรือนับถือศาสนาชาวบ้านจีน[87]

จำนวนผู้นับถือศาสนาในเซี่ยงไฮ้ (ค.ศ. 2012):

  ศาสนาพื้นบ้านจีน หรือผู้ที่ไม่ศรัทธาพระเจ้า (87.46%)
  ศาสนาพุทธ (10.30%)
  ศาสนาคริสต์ (1.88%)
  ศาสนาอิสลาม (0.36%)

พุทธศาสนาแบบจีนได้เข้ามามีบทบาทในเซี่ยงไฮ้ตั้งแต่ยุคสามก๊ก ซึ่งเป็นช่วงที่มีการก่อตั้งวัดหลงฮวาซึ่งเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในเซี่ยงไฮ้รวมถึงวัดจิ้งอัน[88] ณ ปี 2014 พุทธศาสนาในเซี่ยงไฮ้มีวัดจำนวน 114 แห่ง เจ้าหน้าที่ฝ่ายสงฆ์ 1,182 คน และผู้นับถือศาสนาพุทธที่ลงทะเบียน 453,300 คน ศาสนานี้ยังมีวิทยาลัยและสำนักพิมพ์ของตนเอง คือ วิทยาลัยพุทธศาสนาเซี่ยงไฮ้ และ สำนักพิมพ์พุทธเซี่ยงไฮ้[89] ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกเข้ามาเผยแพร่ในเซี่ยงไฮ้ใน ค.ศ. 1608 โดยมิชชันนารีชาวอิตาลี ลาซซาโร คัตตาเนโอ[90]เขตผู้แทนพระสันตะปาปา สร้างขึ้นในปี 1933 และได้รับการยกระดับเป็นสังฆมณฑลเซี่ยงไฮ้ในปี 1946[91]มหาวิหารเซนต์อิกเนเชียสแห่งโลโยลาเป็นโบสถ์คาทอลิกที่ใหญ่ที่สุดในเมือง เซี่ยงไฮ้มีความหนาแน่นของชาวคาทอลิกในเมืองสูงที่สุดในประเทศจีน[92]:38 ศาสนาคริสต์นิกายอื่น ๆ ในเซี่ยงไฮ้ ได้แก่ นิกายออร์โธดอกซ์ตะวันออกที่เป็นชนกลุ่มน้อย และตั้งแต่ปี 1996 เป็นต้นมา ก็มีคริสตจักรโปรเตสแตนต์ที่จดทะเบียนแล้วเช่นกัน

image
มหาวิหารเซนต์อิกเนเชียสแห่งโลโยลา โบสถ์คาทอลิกที่ใหญ่ที่สุดในเซี่ยงไฮ้

ครอบครัวชาวยิวที่มีชื่อเสียงอพยพมายังเซี่ยงไฮ้เมื่อสนธิสัญญานานกิงเปิดเมืองเพื่อรับประชากรชาวตะวันตก[93] ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวยิวหลายพันคนอพยพมายังเซี่ยงไฮ้เพื่อลี้ภัยจากนาซีเยอรมนี พวกเขาอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่กำหนดเรียกว่า เกตโตเซี่ยงไฮ้ และก่อตั้งชุมชนขึ้นโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่โบสถ์ยิวโอเฮล โมอิเช (ปัจจุบันคือพิพิธภัณฑ์ผู้ลี้ภัยชาวยิวเซี่ยงไฮ้) ในปี 1939 ฮอเรซ คาดูรี หัวหน้าครอบครัวชาวยิวเซฟาร์ดิกผู้ใจบุญที่ทรงอิทธิพลในเซี่ยงไฮ้ ได้ก่อตั้งสมาคมเยาวชนชาวยิวเซี่ยงไฮ้ขึ้นเพื่อสนับสนุนผู้ลี้ภัยชาวยิวผ่านการศึกษาภาษาอังกฤษ เพื่อเตรียมพร้อมที่จะอพยพออกจากเซี่ยงไฮ้[94]

ศาสนาอิสลามเข้ามาในเซี่ยงไฮ้ในสมัยราชวงศ์หยวน มัสยิดแห่งแรกของเมืองคือมัสยิดซ่งเจียง สร้างขึ้นในยุคจื้อเจิ้ง (至正) ในรัชสมัยทอกอนโทโมร์ ข่าน (ครองราชย์ ค.ศ. 1333 – 1368) ประชากรชาวมุสลิมในเซี่ยงไฮ้เพิ่มขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 (เมื่อเมืองนี้กลายเป็นท่าเรือสนธิสัญญา) ในช่วงเวลาดังกล่าว มีการสร้างมัสยิดหลายแห่ง รวมถึงมัสยิดเสี่ยวเถา-ยฺเหวียน มัสยิดหูซี และมัสยิดผู่ตง สมาคมอิสลามเซี่ยงไฮ้ตั้งอยู่ในมัสยิดเสี่ยวเถาหยวนในหวงผู่ ตามสำมะโนประชากรของจีนในปี 2010 พบว่ามีชาวมุสลิมประมาณ 85,000 คนในเซี่ยงไฮ้[95] เซี่ยงไฮ้มีวัดทางศาสนาพื้นบ้านหลายแห่ง รวมถึงวัดเทพเจ้าประจำเมืองที่ใจกลางเมืองเก่า ศาลาต้าจิงเกะที่อุทิศให้แก่แม่ทัพสามก๊กผู้เกรียงไกรอย่างกวนอู รวมทั้งวัดขงจื๊อของเซี่ยงไฮ้ และวัดเมฆขาวเซี่ยงไฮ้ซึ่งเป็นศูนย์กลางของลัทธิเต๋าที่สำคัญ อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของสมาคมเต๋าเซี่ยงไฮ้

ภาษา

[]
ความสามารถในการพูดภาษาถิ่น/ภาษาอื่น ๆ ในเซี่ยงไฮ้ (2013)[96]
ภาษา ความสามารถในการสื่อสาร
ภาษาจีนมาตรฐาน
 
97.0%
ภาษาเซี่ยงไฮ้
 
81.4%
ภาษาอังกฤษ
 
47.5%
ภาษาจีนแบบอื่น
 
29.7%
ภาษาต่างประเทศอื่น ๆ
 
7.8%
ผลสำรวจจากกลุ่มประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไป

ภาษาพื้นเมืองที่พูดในเมืองนี้คือภาษาเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มภาษาไทหูอู่ในตระกูลภาษาอู๋ ซึ่งแตกต่างจากภาษาจีนกลางซึ่งเป็นภาษาประจำชาติ ซึ่งไม่สามารถเข้าใจได้เหมือนกับภาษาอู๋[97] ภาษาเซี่ยงไฮ้สมัยใหม่มีต้นกำเนิดมาจากภาษาพื้นเมืองวูที่พูดกันในอดีตจังหวัดซ่งเจียง แต่ได้รับอิทธิพลจากภาษาถิ่นอื่นๆ ของไท่หูวู โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาซูโจวและหนิงปัว ก่อนการแพร่หลาย ภาษาที่พูดในเซี่ยงไฮ้ไม่โดดเด่นเท่ากับภาษาที่พูดในบริเวณใกล้เคียงอย่างเจียซิงและซูโจวในเวลาต่อมา และเป็นที่รู้จักในชื่อ "ภาษาถิ่น" (本地閑話) ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้เฉพาะในเขตชานเมืองเท่านั้น[98]

ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ภาษาเซี่ยงไฮ้กลางเมือง (市區閑話 หรือเรียกสั้น ๆ ว่า 上海閑話) ได้ถือกำเนิดขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและแทนที่ภาษาซูโจวในฐานะภาษาถิ่นอันทรงเกียรติของภูมิภาคสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี ในขณะนั้น ผู้อพยพส่วนใหญ่เข้ามาในเมืองมาจากสองมณฑลที่อยู่ติดกัน คือ เจียงซูและเจ้อเจียง ซึ่งภาษาถิ่นของมณฑลนี้มีอิทธิพลต่อภาษาเซี่ยงไฮ้มากที่สุด ภายหลังปี 1949 ภาษาจีนกลาง (ภาษาจีนกลางมาตรฐาน) เข้ามามีอิทธิพลต่อชาวเซี่ยงไฮ้เช่นกัน เนื่องจากการส่งเสริมจากรัฐบาล นับตั้งแต่ทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา ผู้ย้ายถิ่นฐานจำนวนมากจากนอกภูมิภาคที่พูดภาษาอู๋เดินทางมายังเซี่ยงไฮ้เพื่อจุดประสงค์ด้านการศึกษาและประกอบอาชีพ โดยพวกเขามักไม่สามารถพูดภาษาถิ่นได้และใช้ภาษาจีนกลางเป็นภาษากลาง เนื่องจากภาษาจีนกลางและภาษาอังกฤษได้รับความนิยมมากกว่า ภาษาเซี่ยงไฮ้จึงเริ่มเสื่อมถอยลง และทักษะการพูดในหมู่คนรุ่นใหม่ก็ลดน้อยลง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการเคลื่อนไหวภายในเมืองเพื่อส่งเสริมภาษาท้องถิ่นและปกป้องไม่ให้ภาษานี้เลือนหายไป[99][100]

การศึกษาและการวิจัย

[]
image
ห้องสมุดมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เจียวทง

เซี่ยงไฮ้เป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนาในระดับนานาชาติ และในปี 2024 เซี่ยงไฮ้ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่สองของโลก (รองจากปักกิ่ง) ตามผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์โดย Nature Index[101] ณ ปี 2023 เซี่ยงไฮ้มีมหาวิทยาลัยและวิทยาลัย 68 แห่ง ครองอันดับหนึ่งในภูมิภาคจีนตะวันออกในฐานะเมืองที่มีสถาบันอุดมศึกษาสูงที่สุด[102] หน่วยงานซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลด้านการศึกษาของรัฐบาลคือคณะกรรมการการศึกษาเทศบาลเซี่ยงไฮ้[103]

เซี่ยงไฮ้มีมหาวิทยาลัย 15 แห่งที่อยู่ใน 147 มหาวิทยาลัยชั้นนำ Double First Class ซึ่งอยู่อันดับสองของประเทศในบรรดาเมืองต่าง ๆ ของจีน (รองจากปักกิ่ง) ตามการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกที่ดีที่สุดของ U.S. News & World Report ประจำปี 2025–26 เซี่ยงไฮ้มีมหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพสูงเป็นอันดับสามในบรรดาเมืองใหญ่ทั้งหมดในโลกที่รวมอยู่ในอันดับ โดยมีทั้งหมด 22 แห่ง โดยมี 3 แห่งอยู่ใน 125 อันดับแรก และ 6 แห่งอยู่ใน 500 อันดับแรกของโลก ในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกประจำปี 2025 เซี่ยงไฮ้มีมหาวิทยาลัย 2 แห่งติดอยู่ใน 40 อันดับแรก, และมี 3 แห่งติดใน 150 อันดับแรก และ 9 แห่งติดใน 500 อันดับแรก[104] มหาวิทยาลัยบางแห่งได้รับเลือกเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ "มหาวิทยาลัย 985" หรือ "มหาวิทยาลัย 211" นับตั้งแต่ทศวรรษ 1990 โดยรัฐบาลจีนเพื่อสร้างมหาวิทยาลัยระดับโลก

image
มหาวิทยาลัยฟู่ตั้น

เซี่ยงไฮ้เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยสองแห่ง (มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เจียวทง และ มหาวิทยาลัยฟู่ตั้น) ซึ่งเป็นสมาชิกของ C9 League หรือพันธมิตรมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีนที่นำเสนอการศึกษาที่ครอบคลุมและความเป็นผู้นำ ทั้งสองมหาวิทยาลัยนี้ติดอันดับ 10 อันดับแรกของเอเชียอย่างต่อเนื่อง[105] ณ ปี 2025 มหาวิทยาลัยฟูตันและมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เจียวทงได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน 40 มหาวิทยาลัยวิจัยที่ครอบคลุมระดับโลก โดยพิจารณาจากประสิทธิภาพโดยรวมจากการจัดอันดับมหาวิทยาลัย 4 แห่งที่ได้รับการสังเกตการณ์อย่างกว้างขวาง[106]

มหาวิทยาลัยมีชื่ออีกสองแห่งที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ 985 ได้แก่ Tongji University และ East China Normal University มีชื่อเสียงระดับโลก ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 150–175 ของโลกโดย Times Higher Education World Reputation Rankings[107] มหาวิทยาลัยกีฬาเซี่ยงไฮ้ตั้งอยู่ในเมืองซึ่งติดอันดับมหาวิทยาลัยที่เชี่ยวชาญด้านกีฬาที่ดีที่สุดในประเทศจีนอย่างต่อเนื่อง[108]

เมืองนี้มีสถาบันการศึกษาร่วมระหว่างจีน–ต่างประเทศหลายแห่ง เช่น โรงเรียนธุรกิจมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีซิดนีย์ ตั้งแต่ปี 1994 สถาบันร่วมมหาวิทยาลัยมิชิแกน–เซี่ยงไฮ้เจียวทง ตั้งแต่ปี 2006 และมหาวิทยาลัยนิวยอร์กเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยร่วมทุนจีน–สหรัฐฯ แห่งแรกตั้งแต่ปี 2012[109][110] ในปี 2013 เทศบาลนครเซี่ยงไฮ้และสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีนได้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย ShanghaiTech ในอุทยานเทคโนโลยี Zhangjiang ในผู่ตง[111] เมืองนี้ยังเป็นที่ตั้งของสถาบันวิทยาศาสตร์สังคมแห่งเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดของจีน[112]

ในสิ้นปี 2023 เมืองนี้ยังมีสถาบันการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษารวมทั้งสิ้น 49 แห่ง, โรงเรียนมัธยมศึกษา 900 แห่ง, โรงเรียนอาชีวศึกษา 70 แห่ง, โรงเรียนประถมศึกษา 664 แห่ง และโรงเรียนการศึกษาพิเศษ 31 แห่ง การศึกษาระดับประถมศึกษาจำนวน 5 ปี และการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นอีก 4 ปีไม่มีเสียค่าเล่าเรียน และมีอัตราการลงทะเบียนเรียนรวมมากกว่า 99.9% ในปี 2009 และ 2012 นักเรียนอายุ 15 ปีจากเซี่ยงไฮ้ติดอันดับหนึ่งในทุกวิชา (คณิตศาสตร์ การอ่าน และวิทยาศาสตร์) ในโครงการประเมินนักเรียนนานาชาติ[113][114] การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายสามปีติดต่อกันนั้นต้องเสียค่าใช้จ่าย และใช้การสอบเข้าโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย (Zhongkao) ซึ่งเป็นกระบวนการคัดเลือก โดยมีอัตราการลงทะเบียนเรียนรวมอยู่ที่ 98% โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายเซี่ยงไฮ้, โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายหมายเลข 2 ที่สังกัดมหาวิทยาลัยครูจีนตะวันออก, โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายที่สังกัดมหาวิทยาลัยฟู่ตั้น และโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายที่สังกัดมหาวิทยาลัยเจียวทงเซี่ยงไฮ้ ได้รับการขนานนามว่าเป็น "โรงเรียนทั้งสี่" ("四校") ของเซี่ยงไฮ้ และได้รับการยกย่องว่ามีคุณภาพการสอนที่ดีที่สุดในเมือง[115]

กาารคมนาคม

[]

ระบบขนส่งสาธารณะ

[]
image
image
image
image
รูปแบบการขนส่งสาธารณะต่างๆ ในเซี่ยงไฮ้ จากบนลงล่าง ซ้ายไปขวา: รถไฟใต้ดินเซี่ยงไฮ้, รถโดยสารประจำทาง, แม็กเลฟ และรถรางเบา

เซี่ยงไฮ้มีระบบขนส่งสาธารณะที่ประกอบด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน รถประจำทาง เรือข้ามฟาก และแท็กซี่ ซึ่งสามารถเข้าถึงได้โดยใช้บัตรโดยสาร Shanghai Public Transport Card ระบบขนส่งมวลชนเร็วของเซี่ยงไฮ้ หรือ รถไฟฟ้ามหานครเซี่ยงไฮ้ ประกอบด้วยรถไฟใต้ดินและรถไฟฟ้ารางเบา ครอบคลุมพื้นที่เขตเมืองหลักและเขตชานเมืองใกล้เคียง ณ ค.ศ. 2025 มีรถไฟฟ้ามหานครให้บริการ 19 สาย (ไม่รวมรถไฟฟ้าแม็กเลฟเซี่ยงไฮ้และรถไฟจินซาน) 508 สถานี และระยะทาง 808 กิโลเมตร (502 ไมล์) ทำให้เป็นเครือข่ายรถไฟฟ้าที่ยาวที่สุดในโลก เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 2019 ได้สร้างสถิติผู้โดยสารรถไฟฟ้าใต้ดินรายวันสูงสุดของเมืองด้วยจำนวน 13.3 ล้านคน[116]

รถไฟแม็กเลฟเซี่ยงไฮ้เปิดให้บริการในปี 2004 ถือเป็นรถไฟแม็กเลฟความเร็วสูงเชิงพาณิชย์คันแรกและเร็วที่สุดในโลก โดยมีความเร็วสูงสุดในการเคลื่อนที่ 430 กม./ชม. (267 ไมล์/ชม.)[117] เส้นทางรถรางสายแรกในเซี่ยงไฮ้เปิดให้บริการในปี 1908 และในปี 1925 มีรถราง 328 คันและเส้นทาง 14 เส้นทางที่ดำเนินการโดยบริษัทจีน ฝรั่งเศส และอังกฤษร่วมกัน[118] และโอนมาเป็นของรัฐอย่างเต็มรูปแบบใน ค.ศ. 1949 ตั้งแต่ทศวรรษ 1960 เส้นทางรถรางถูกรื้อถอนหรือแทนที่ด้วยรถโดยสารประจำทางไฟฟ้าหรือรถโดยสารประจำทาง เซี่ยงไฮ้มีเครือข่ายรถประจำทางที่ครอบคลุมมากที่สุดในโลก รวมถึงระบบรถรางที่เปิดให้บริการต่อเนื่องยาวนานที่สุดในโลก โดยมีสายรถ 1,575 สาย ครอบคลุมความยาวรวม 8,997 กม. (5,590 ไมล์) ในปี 2019 ซึ่งดำเนินการโดยบริษัทหลายแห่ง[119] ณ ปี 2024 มีรถแท็กซี่ให้บริการในเซี่ยงไฮ้ 30,900 คันซึ่งให้บริการผู้โดยสาร 134 ล้านคนในปีนั้น[120]

ถนนและทางด่วน

[]

เซี่ยงไฮ้เป็นศูนย์กลางสำคัญของเครือข่ายทางด่วนของจีน ทางด่วนระดับชาติหลายสายผ่านหรือสิ้นสุดที่เซี่ยงไฮ้ ณ ปี 2019 เซี่ยงไฮ้มีสะพาน 12 แห่งและอุโมงค์ 14 แห่งที่ข้ามแม่น้ำหวงผู่[121][122] เลนจักรยานเป็นที่นิยมในเซี่ยงไฮ้ แบ่งแยกการจราจรของรถยนต์และรถที่ไม่ใช้เครื่องยนต์ออกจากการจราจรของรถยนต์บนถนนผิวดินส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม จักรยานและรถจักรยานยนต์ถูกห้ามใช้บนทางด่วนและถนนสายหลักบางสาย การปั่นจักรยานได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเนื่องจากระบบแบ่งปันจักรยานแบบไร้จุดจอดที่ใช้แอปพลิเคชัน[123][124]

อัตราการครอบครองรถยนต์ส่วนตัวในเซี่ยงไฮ้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว: ในปี 2019 มีรถยนต์ส่วนตัวในเมือง 3.40 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 12.5% ​​จากปีก่อนหน้า ในขณะที่รถยนต์ส่วนบุคคลใหม่ไม่สามารถขับขี่ได้หากไม่มีป้ายทะเบียน ซึ่งจะถูกขายในการประมูลป้ายทะเบียนรายเดือน มีการประมูลป้ายทะเบียนประมาณ 9,500 คันในแต่ละเดือน และราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 89,600 หยวนจีน (12,739 ดอลลาร์สหรัฐ) ในปี 2019[125] นโยบายนี้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายเพื่อจำกัดการเติบโตของปริมาณการจราจรทางรถยนต์และบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัด[126]

ทางอากาศและทางทะเล

[]
image
ภาพถ่ายภายในอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานนานาชาติซ่างไห่ผู่ตงใน ค.ศ. 2023

เซี่ยงไฮ้เป็นหนึ่งในศูนย์กลางการขนส่งทางอากาศที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย[127] เมืองนี้เป็นที่ตั้งของท่าอากาศพาณิชย์หลักสองแห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติซ่างไห่ผู่ตงและท่าอากาศยานนานาชาติซ่างไห่หงเฉียว โดยแห่งแรกมีสถานะเป็นท่าอากาศยานหลักของเมือง ในขณะที่ท่าอากาศยานหงเฉียวให้บริการเที่ยวบินในประเทศเป็นหลัก โดยมักเป็นเที่ยวบินระยะสั้น ณ ปี 2018 ท่าอากาศยานนานาชาติซ่างไห่ผู่ตงให้บริการผู้โดยสาร 74.0 ล้านคน และขนส่งสินค้า 3.8 ล้านตัน ทำให้เป็นท่าอากาศยานที่มีปริมาณผู้โดยสารหนาแน่นเป็นอันดับ 9 และอันดับที่ 3 ตามลำดับ ในปีเดียวกันนั้น ท่าอากาศยานนานาชาติหงเฉียวให้บริการผู้โดยสาร 43.6 ล้านคน ทำให้มีปริมาณผู้โดยสารหนาแน่นเป็นอันดับ 19[128]

ท่าเรือเซี่ยงไฮ้เป็นท่าเรือที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของจีนตั้งแต่เปิดใช้งาน[129] ท่าเรือหยางซานสร้างขึ้นในปี 2005 เนื่องจากสภาพของแม่น้ำสายนี้ไม่เอื้อต่อการใช้เป็นจอดเรือคอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ ท่าเรือแห่งนี้เชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่ผ่านสะพานตงไห่ที่มีความยาว 32 กิโลเมตร (20 ไมล์) ในปี 2010 ท่าเรือแห่งนี้กลายเป็นท่าเรือคอนเทนเนอร์ที่คึกคักที่สุดในโลก ด้วยปริมาณการขนส่งตู้สินค้า 42 ล้านทีอียูต่อปีในปี 2018 ท่าเรือเซี่ยงไฮ้ยังรองรับเรือสำราญ 259 ลำและผู้โดยสาร 1.89 ล้านคนในปี 2019

วัฒนธรรม

[]

วัฒนธรรมเซี่ยงไฮ้ก่อตัวขึ้นจากการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมอู่เยว่และวัฒนธรรมไห่ไป่ที่ผสมผสานวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตก อิทธิพลของวัฒนธรรมอู่เยว่ปรากฏอย่างเด่นชัดในภาษาเซี่ยงไฮ้ ซึ่งผสมผสานสำเนียงท้องถิ่นจากเมืองเจียซิง ซูโจว และหนิงปัว และอาหารเซี่ยงไฮ้ก็ได้รับอิทธิพลจากอาหารของมณฑลเจียงซูและเจ้อเจียง[130] วัฒนธรรมไห่ไป่เกิดขึ้นหลังจากที่เซี่ยงไฮ้กลายเป็นท่าเรือที่เจริญรุ่งเรืองในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยมีชาวต่างชาติจากยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และอินเดียย้ายเข้ามาในเมือง[131] การผสมผสานของวัฒนธรรมตะวันตกและวัฒนธรรมท้องถิ่น ขยายอิทธิพลยังขยายไปถึงวรรณกรรม แฟชั่น สถาปัตยกรรม ดนตรี และอาหารของเมือง[132] คำว่า "ไห่ไป่" ถูกคิดขึ้นโดยนักเขียนชาวปักกิ่งในปี 1920 เพื่อวิพากษ์วิจารณ์นักวิชาการเซี่ยงไฮ้ที่ชื่นชมทุนนิยมและวัฒนธรรมตะวันตก[133] ในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 เซี่ยงไฮ้ได้รับการยอมรับว่าเป็นอิทธิพลและแรงบันดาลใจใหม่สำหรับวัฒนธรรมไซเบอร์พังก์ เซี่ยงไฮ้ได้รับการยกย่องโดยยูเนสโกให้เป็น "เมืองแห่งการออกแบบ" ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010[134]

อาหาร

[]
image
เสี่ยวหลงเปาในเซี่ยงไฮ้

อาหารเปิ่นปัง (本帮菜)[135] เป็นรูปแบบการปรุงอาหารที่มีต้นกำเนิดในช่วง ค.ศ. 1600 โดยได้รับอิทธิพลจากจังหวัดโดยรอบ เน้นการใช้เครื่องปรุงรสโดยยังคงรสชาติดั้งเดิมของวัตถุดิบไว้ น้ำตาลเป็นส่วนผสมสำคัญในอาหารเปิ่นปัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผสมกับซีอิ๊ว อาหารขึ้นชื่อของอาหารเปิ่นปัง ได้แก่ เสี่ยวหลงเปา, หมูสามชั้นตุ๋นน้ำแดง และปูขนเซี่ยงไฮ้ อาหารไห่ไป่เป็นรูปแบบการปรุงอาหารที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก มีต้นกำเนิดในเซี่ยงไฮ้ โดยใช้ส่วนผสมจากอาหารฝรั่งเศส, อังกฤษ, รัสเซีย, เยอรมัน และอิตาลี มาปรับให้เข้ากับรสนิยมท้องถิ่นและผสมผสานกับวัตถุดิบท้องถิ่น อาหารไห่ไป๋ได้แก่ บอชช์สไตล์เซี่ยงไฮ้ (罗宋汤, "ซุปรัสเซีย"), หมูทอดกรอบ และสลัดเซี่ยงไฮ้ ซึ่งได้มาจากสลัดโอลิเวียร์[136] ทั้งอาหารเปิ่นปังและไหไป่ใช้วัตถุดิบอาหารทะเลหลากหลายชนิด เช่น ปลาน้ำจืด, กุ้ง และปู[137]

กีฬา

[]

เซี่ยงไฮ้เป็นที่ตั้งของทีมฟุตบอลหลายทีม รวมถึงสองสโมสรชื่อดังในไชนีสซูเปอร์ลีก: เซี่ยงไฮ้เสิ่นหัว และ เซี่ยงไฮ้พอร์ต[138] ทีมบาสเกตบอลชั้นนำอย่าง Shanghai Sharks เป็นทีมของเหยา หมิง ก่อนที่จะเข้าไปสร้างชื่อในฐานะผู้เล่นชั้นนำของสมาคมบาสเกตบอลแห่งชาติ (NBA)[139] ทีมเบสบอล Shanghai Golden Eagles ลงเล่นในลีกเบสบอลของจีน[140] สโมสรคริกเกตเซี่ยงไฮ้ก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1858 โดยมีการบันทึกการแข่งขันคริกเกตครั้งแรกระหว่างทีมกะลาสีอังกฤษกับทีมเซี่ยงไฮ้ 11 ทีมคริกเกตเซี่ยงไฮ้ได้จัดการแข่งขันระดับนานาชาติหลายรายการระหว่างปี 1866 ถึง ค.ศ. 1948 ในฐานะทีมคริกเกตแห่งชาติจีนโดยพฤตินัย หลังจากพักการแข่งขันในปี 1949 หลังจากการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน สโมสรได้ก่อตั้งขึ้นใหม่ใน ค.ศ. 1994 โดยชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในเมือง และเติบโตจนมีสมาชิกมากกว่า 300 คน[141]

เซี่ยงไฮ้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาระดับโลกหลายรายการรวมถึงเซี่ยงไฮ้อินเตอร์เนชันแนลเซอร์กิต, เทนนิสเอทีพีมาสเตอร์ 1000 และรายการกอล์ฟอาชีพ[142] ในปี 2023 เซี่ยงไฮ้เป็นเจ้าภาพจัดงานกีฬา 118 รายการ มีผู้เข้าร่วม 190,000 คน และผู้ชม 1.29 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 3.713 พันล้านหยวน (510.83 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)[143]

ภาพสถานที่สำคัญ

[]

อ้างอิง

[]
  1. . Shanghai Qingpu Museum. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 มกราคม 2017. สืบค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม 2017.
  2. 上海青浦青龙镇遗址 [Ruins of Qinglong Town in Qingpu, Shanghai]. Institute of Archaeology, Chinese Academy of Social Sciences. 24 March 2017. จากแหล่งเดิมเมื่อ 31 August 2017. สืบค้นเมื่อ 16 July 2017.
  3. 上海镇、上海县、上海县城考录 (ภาษาจีน). Government of Shanghai. จากแหล่งเดิมเมื่อ 5 มีนาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 10 พฤศจิกายน 2017.
  4. "Doing Business in China – Survey". Ministry Of Commerce – People's Republic Of China. จากแหล่งเดิมเมื่อ 26 พฤษภาคม 2014. สืบค้นเมื่อ 5 สิงหาคม 2013.
  5. "Land Area". Basic Facts. Shanghai Municipal People's Government. จากแหล่งเดิมเมื่อ 3 ตุลาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2011.
  6. "Water Resources". Basic Facts. Shanghai Municipal People's Government. จากแหล่งเดิมเมื่อ 3 October 2011. สืบค้นเมื่อ 19 July 2011.
  7. Cox, W. (2018). Demographia World Urban Areas. 14th Annual Edition (PDF). St. Louis: Demographia. p. 22. (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 3 May 2018. สืบค้นเมื่อ 15 June 2018.
  8. "Topographic Features". Basic Facts. Shanghai Municipal People's Government. จากแหล่งเดิมเมื่อ 3 October 2011. สืบค้นเมื่อ 19 July 2011.
  9. [Statistical Communiqué of Shanghai on the 2019 National Economic and Social Development]. tjj.sh.gov.cn (ภาษาจีน). Shanghai Municipal Statistics Bureau. 9 March 2020. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-03-24. สืบค้นเมื่อ 24 March 2020.
  10. Justina, Crabtree (20 September 2016). "A tale of megacities: China's largest metropolises". CNBC. จากแหล่งเดิมเมื่อ 9 December 2017. สืบค้นเมื่อ 8 December 2017.
  11. "Subnational Human Development Index". Global Data Lab China. 2020. สืบค้นเมื่อ 9 เมษายน 2020.{{cite web}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  12. 张洁. "Top 10 Chinese cities with great development potential". global.chinadaily.com.cn.
  13. "Shanghai rated world's number-one smart city for 2022 | Computer Weekly". ComputerWeekly.com (ภาษาอังกฤษ).
  14. . web.archive.org. 2024-01-31. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-01-31. สืบค้นเมื่อ 2024-10-23.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  15. aoife.oriordan (2024-07-24). "Global City Guidebook: Shanghai". Global Traveler (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  16. "Top 6 Innovation Centres in Shanghai | Collective Campus". collectivecampus.io (ภาษาอังกฤษ).
  17. Gardham, Richard (2021-09-17). "The ten busiest ports in the world by container traffic". Investment Monitor (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  18. . museum.shqp.gov.cn. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-01-04. สืบค้นเมื่อ 2025-10-04.
  19. . shanghai.cultural-china.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-06-16. สืบค้นเมื่อ 2025-10-04.
  20. . shanghai.cultural-china.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-06-16. สืบค้นเมื่อ 2025-10-04.
  21. Monin, Étienne (2012-07-07). "Trames du delta du Yangzi : recompositions métropolitaines et aménagement des périphéries agricoles de Shanghai, Chine". Projets de paysage (8). doi:10.4000/paysage.14948. ISSN 1969-6124.
  22. Monin, Étienne (2012-07-07). "Trames du delta du Yangzi : recompositions métropolitaines et aménagement des périphéries agricoles de Shanghai, Chine". Projets de paysage (8). doi:10.4000/paysage.14948. ISSN 1969-6124.
  23. "Chongming Yangtze River Delta National Geopark, Shanghai", Dictionary of Geotourism, Springer Singapore, pp. 80–80, 2019-11-11, ISBN 978-981-13-2537-3, สืบค้นเมื่อ 2025-10-04
  24. Sergeant, Harriet (1990). Shanghai: collision point of cultures 1918-1939 (1. American ed ed.). New York: Crown. ISBN 978-0-517-57025-8. {{cite book}}: |edition= has extra text (help)
  25. Rait, Robert S. (Robert Sangster) (1903). The life and campaigns of Hugh, first Viscount Gough, Field-Marshal. Cornell University Library. Westminster, A. Constable & Co., Ltd.
  26. "The Opium war (or how Hong Kong began)". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). 2011-07-24. สืบค้นเมื่อ 2025-10-04.
  27. Scarth, John (1860). Twelve years in China; the people, the rebels, and the mandarins. University of California Libraries. Edinburgh, T. Constable and co.; [etc., etc.]
  28. "Shanghai International Settlement". www.fotw.info. สืบค้นเมื่อ 2025-10-04.
  29. Gordon Cumming, C. F. (Constance Frederica). "The inventor of the numeral-type for China : by the use of which illiterate Chinese both blind and sighted can very quickly be taught to read and write fluently". Rare & Special e-Zone. สืบค้นเมื่อ 2025-10-04.
  30. 洪智勤. "上海市区最后的古城墙在哪里?这些青砖堆砌的故事讲给你听". sh.cctv.com. สืบค้นเมื่อ 2025-10-04.
  31. Ku, Hung-Ting (1979-04). "Urban Mass Movement: The May Thirtieth Movement in Shanghai". Modern Asian Studies. 13 (2): 197–216. doi:10.1017/s0026749x00008295. ISSN 0026-749X. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  32. Nolan, Cathal J. (2002). The Greenwood Encyclopedia of International Relations: S-Z (ภาษาอังกฤษ). Greenwood Pub. ISBN 978-0-313-32383-6.
  33. Monin, Étienne (2012-07-07). "Trames du delta du Yangzi : recompositions métropolitaines et aménagement des périphéries agricoles de Shanghai, Chine". Projets de paysage (8). doi:10.4000/paysage.14948. ISSN 1969-6124.
  34. (PDF). www.hkjournal.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-06-24. สืบค้นเมื่อ 2025-10-04.
  35. . www.cbc.ca. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-04-01. สืบค้นเมื่อ 2025-10-04.
  36. "Shanghai's White Russians (1937)". Shanghai Sojourns (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2018-08-21. สืบค้นเมื่อ 2025-10-04.
  37. . www.talesofoldchina.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-05-20. สืบค้นเมื่อ 2025-10-04.
  38. . www.time.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-08-14. สืบค้นเมื่อ 2025-10-04.
  39. . คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-09-07.
  40. Crawford, Paul F. (2007-09). "Pilgrims to Jerusalem in the Middle Ages - By Nicole Chareyron. Translated by W. Donald Wilson. New York: Columbia University Press, 2005, xi + 291 pp. $45.00 cloth". Church History. 76 (3): 617–619. doi:10.1017/s000964070050064x. ISSN 0009-6407. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  41. . news.xinhuanet.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-12-24. สืบค้นเมื่อ 2025-10-04.
  42. Griffiths, James (2013-11-21). "Shanghai's Forgotten Jewish Past". The Atlantic (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-10-04.
  43. . www.earnshaw.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-09-28. สืบค้นเมื่อ 2025-10-04.
  44. (PDF). core.ac.uk. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2019-02-23. สืบค้นเมื่อ 2025-10-04.
  45. Yeung, Yue-man (1996). Shanghai: Transformation and Modernization Under China's Open Policy (ภาษาอังกฤษ). Chinese University Press. ISBN 978-962-201-667-5.
  46. Liu, Zongyuan Zoe (2023). Sovereign funds: how the Communist Party of China finances its global ambitions. Cambridge, Massachusetts London, England: The Belknap Press of Harvard University Press. ISBN 978-0-674-27191-3.
  47. . www.xinhuanet.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-09-29. สืบค้นเมื่อ 2025-10-04.
  48. Li, Stella Yifan Xie and Cao (2022-04-07). "Shanghai, in Lockdown, Struggles to Feed Itself". The Wall Street Journal (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-10-04.
  49. "Geography". english.shanghai.gov.cn. สืบค้นเมื่อ 2025-10-05.
  50. "上海年鉴2023". www.shtong.gov.cn. สืบค้นเมื่อ 2025-10-05.
  51. Murray, Nicholas J; Clemens, Robert S; Phinn, Stuart R; Possingham, Hugh P; Fuller, Richard A (2014-05-08). . Frontiers in Ecology and the Environment (ภาษาอังกฤษ). 12 (5): 267–272. doi:10.1890/130260. ISSN 1540-9295. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-02-15.
  52. "Fourth island wetland emerging - China.org.cn". www.china.org.cn. สืบค้นเมื่อ 2025-10-05.
  53. . www.telegraph.co.uk. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-10-13. สืบค้นเมื่อ 2025-10-05.
  54. "Hottest day ever in Shanghai as heat wave bakes China". phys.org (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-10-05.
  55. "Temperature in Shanghai hits record high - People's Daily Online". en.people.cn. สืบค้นเมื่อ 2025-10-05.
  56. sgp.fas.org (PDF) https://sgp.fas.org/crs/row/R41007.pdf. สืบค้นเมื่อ 2025-10-05. {{cite web}}: |title= ไม่มีหรือว่างเปล่า (help)
  57. "上海年鉴2023". www.shtong.gov.cn. สืบค้นเมื่อ 2025-10-05.
  58. "Factions Help Drive Modern China History (Published 2010)" (ภาษาอังกฤษ). 2010-02-24. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-09-14. สืบค้นเมื่อ 2025-10-05.
  59. Yu, Sheila (2017-03-07). "Shanghai tops next global innovation hub ranking". TechNode (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  60. "上海简介". www.scio.gov.cn. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-05-08. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  61. . www.yicai.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-01-31. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  62. "Global Wealth PPP Distribution: Who Are The Leaders Of The Global Economy? - Full Size". www.visualcapitalist.com. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  63. . www.stats-sh.gov.cn. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-03-04. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  64. "National Data". data.stats.gov.cn. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  65. "National Data". data.stats.gov.cn. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  66. "These are the world's most expensive cities". The Economist. ISSN 0013-0613. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  67. Lee, Yoojung; Wee, Denise (2021-04-09). "For the Rich, Living in Asia Is Costlier Than Anywhere Else". Bloomberg.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  68. "International Economic Center_This is Shanghai". english.shanghai.gov.cn. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  69. Wealth, New World. . New World Wealth (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-01-22. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  70. McEvoy, Jemima. "Where The Richest Live: The Cities With The Most Billionaires 2022". Forbes (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  71. "Fortune Global 500". Fortune (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  72. "GFCI 38 Rank - Long Finance". www.longfinance.net. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  73. Mukhi, Sushree Sangeeta; Tiwari, Bhupendra Bahadur; Kuriakose, Annu (2025-01-13). "From Downloads to Dollars: The Dominance of Active Users Over Downloads". doi.org. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  74. . english.cntv.cn. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-01-18. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  75. . www.saicgroup.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-05-29. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  76. News, Focus on Travel (2018-10-22). "WTTC reveals the world's best performing tourism cities - Focus on Travel News" (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-10-03. {{cite web}}: |last= มีชื่อเรียกทั่วไป (help)
  77. . www.iccaworld.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-10-21. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  78. "2023年上海市国民经济和社会发展统计公报_统计公报_上海市统计局". tjj.sh.gov.cn. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  79. "再添6个!18个自贸试验区构筑开放新版图_政策解读_中国政府网". www.gov.cn. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  80. "National Data". data.stats.gov.cn. สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.
  81. (PDF). courses.washington.edu. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2013-01-15. สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.
  82. CNBC.com, Justina Crabtree; special to (2016-09-20). "A tale of megacities: China's largest metropolises". CNBC (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.
  83. . tjj.sh.gov.cn. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-03-22. สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.
  84. "Shanghai Population 2025". World Population Review (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.
  85. . www.xinhuanet.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-08-22. สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.
  86. Roxburgh, Helen (2018-03-19). "China's radical plan to limit the populations of Beijing and Shanghai". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.
  87. (PDF). iwr.cass.cn. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2014-08-09. สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.
  88. . mzzj.sh.gov.cn. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-10-23. สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.
  89. . mzzj.sh.gov.cn. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-10-23. สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.
  90. . mzzj.sh.gov.cn. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-10-23. สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.
  91. . mzzj.sh.gov.cn. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-10-24. สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.
  92. Mariani, Paul P. (2016). "The Four Catholic Bishops of Shanghai: "Underground" and "Patriotic" Church Competition and Sino–Vatican Relations in Reform-Era China". Journal of Church and State. 58 (1): 38–56. doi:10.1093/jcs/csu078. ISSN 0021-969X. JSTOR 24708489.
  93. . The Jewish Chronicle (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-05-06. สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.
  94. "Collections Search - United States Holocaust Memorial Museum". collections.ushmm.org (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2025-04-19. สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.
  95. "Muslim in Shanghai: Muslim Population, Market, Restaurant, Mosques". www.topchinatravel.com. สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.
  96. 上海市民语言应用能力调查. (ภาษาจีน). Shanghai Municipal Bureau of Statistics. 7 February 2014. จากแหล่งเดิมเมื่อ 5 May 2024. สืบค้นเมื่อ 5 May 2024.
  97. "Chinese languages | History, Characteristics, Dialects, Types, & Facts | Britannica". www.britannica.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.
  98. www.shobserver.com https://www.shobserver.com/staticsg/res/html/web/newsDetail.html?id=110722. สืบค้นเมื่อ 2025-10-06. {{cite web}}: |title= ไม่มีหรือว่างเปล่า (help)
  99. . CNNGo.com (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-09-03. สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.
  100. "City News Services | Shanghai and China City News Service and Life Guide". www.citynewsservice.cn. สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.
  101. "Leading 200 science cities | | Supplements | Nature Index". www.nature.com. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  102. "全国普通高等学校名单 - 中华人民共和国教育部政府门户网站". hudong.moe.gov.cn. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  103. "上海市教育委员会". edu.sh.gov.cn. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  104. "ShanghaiRanking's Academic Ranking of World Universities". www.shanghairanking.com. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  105. "Asia University Rankings". Times Higher Education (THE) (ภาษาอังกฤษ). 2023-06-13. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  106. symondsgsb (2025-09-07). "Top 100 - BlueSky Ranking of University Rankings 2025/26". Bluesky Thinking (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  107. "World Reputation Rankings". Times Higher Education (THE) (ภาษาอังกฤษ). 2021-10-25. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  108. . www.shanghairanking.com (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-07-18. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  109. 顾馨. "Program offers global degrees". www.chinadaily.com.cn. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  110. "上海中外合作办学走过25年 已在各区遍地开花_神州学人". www.chisa.edu.cn. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-02-24. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  111. Rouhi, A. Maureen (2025-01-21). "ShanghaiTech Aims To Raise The Bar For Higher Education In China". Chemical & Engineering News (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  112. . english.sass.org.cn. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-09-10. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  113. "Top Test Scores From Shanghai Stun Educators (Published 2010)" (ภาษาอังกฤษ). 2010-12-07. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2025-09-20. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  114. "How China is winning the school race". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2011-09-06. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  115. address, author,email. "新中考名额分配补充说明发布 "四校"65%招生计划数参与名额分配". www.shanghai.gov.cn (ภาษาจีน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-08-07. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03. {{cite web}}: |first= มีชื่อเรียกทั่วไป (help)
  116. "【 1329.4万人次】3月8日上海地铁客流创历史新高". 微信公众平台. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  117. "How we can make super-fast hyperloop travel a reality". The Independent (ภาษาอังกฤษ). 2017-01-19. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  118. Warr, Anne (2007). Shanghai architecture. Watermark architectural guides. Sydney: Watermark Press. ISBN 978-0-949284-76-1.
  119. . jtw.sh.gov.cn (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-11-03. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  120. "2024年上海市国民经济和社会发展统计公报_统计公报_上海市统计局". tjj.sh.gov.cn. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  121. "页面没有找到". sh.sina.com.cn. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  122. www.jfdaily.com https://www.jfdaily.com/staticsg/res/html/web/newsDetail.html?id=96784. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03. {{cite web}}: |title= ไม่มีหรือว่างเปล่า (help)
  123. Koetse, Manya (2017-04-28). "Ofo, Mobike, BlueGogo: China's Messy Bikeshare Market" (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  124. "City News Services | Shanghai and China City News Service and Life Guide". www.citynewsservice.cn. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  125. www.jfdaily.com https://www.jfdaily.com/staticsg/res/html/web/newsDetail.html?id=184394. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03. {{cite web}}: |title= ไม่มีหรือว่างเปล่า (help)
  126. address, author,email. . www.shanghai.gov.cn (ภาษาจีน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-08-07. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03. {{cite web}}: |first= มีชื่อเรียกทั่วไป (help)
  127. Chan, K. G. (2019-08-15). "New satellite terminals to propel Shanghai's ascent". Asia Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  128. "One moment, please..." aci.aero (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-09-20. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  129. "上海:一个城市的传奇和梦想_新闻中心_新浪网". news.sina.com.cn. สืบค้นเมื่อ 2025-10-03.
  130. June 2, Dahvida Falanitule | 00:00 UTC+8; Edition, 2018 | Print (2018-06-01). "The key ingredients of Shanghai culture". archive.shine.cn. สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.
  131. "Shanghai Style Culture: Haipai Culture Development & Feature". www.topchinatravel.com. สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.
  132. . www.chinaculture.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-12-16. สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.
  133. "中国经济学风云史:下卷(IV)", 中国经济学风云史:下卷(IV), Global Publishing, pp. 1–328, 2018-04-20, ISBN 978-981-323-814-5, สืบค้นเมื่อ 2025-10-06
  134. "Shanghai". Cities of Design Network (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.
  135. . shanghai.kankanews.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-07-04. สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.
  136. "上海故事 | "吃西菜到红房子":海派西餐那些事_澎湃号·湃客_澎湃新闻-The Paper". www.thepaper.cn. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2025-08-18. สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.
  137. "Shanghai Food: Top 5 Dishes of Hu Cuisine, Benbang & Haipai Features". www.travelchinaguide.com. สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.
  138. 新浪体育 (2018-11-07). "新王登基!上港终夺中超冠军 再也不是"千年老二"". sports.sina.com.cn. สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.
  139. . Yahoo! News (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-11-30. สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.
  140. America (Firm), Baseball (2007-01-02). Baseball America 2007 Almanac: A Comprehensive Review of the 2006 Season (ภาษาอังกฤษ). Simon and Schuster. ISBN 978-1-932391-13-8.
  141. "About the Shanghai Cricket Club - Shanghai Cricket Club" (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.
  142. "European Tour, CGA unveil BMW Masters - Chinadaily.com.cn". www.chinadaily.com.cn. สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.
  143. "《2023年上海市体育赛事影响力评估报告》发布-新华网". sh.news.cn. สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.

แหล่งข้อมูลอื่น

[]

วิกิพีเดีย, วิกิ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, มือถือ, โทรศัพท์, แอนดรอยด์, ไอโอเอส, แอปเปิ้ล, สมาร์ทโฟน, พีซี, เว็บ, คอมพิวเตอร์, ข้อมูลเกี่ยวกับ ซั่งไห่, ซั่งไห่ คืออะไร? ซั่งไห่ หมายความว่าอะไร?

0 ตอบกลับ

ฝากคำตอบ

ต้องการเข้าร่วมการสนทนาหรือไม่?
คุณสามารถร่วมเขียนได้!

เขียนคำตอบ

ช่องที่จำเป็นถูกทำเครื่องหมายด้วยดาว *