ชุมชนกุฎีจีน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
กุฎีจีน
ชุมชน
image
image
image
image
image
  • ศาลเจ้าเกียนอันเกง
  • วัดซางตาครู้ส
  • บ้านเลขที่ 130
  • เรือนจันทนภาพ
  • พิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน
image
image
กุฎีจีน
พิกัด: 13°44′20″N 100°29′35″E / 13.73889°N 100.49306°E / 13.73889; 100.49306
แขวงวัดกัลยาณ์
เขตธนบุรี
เขตปกครองพิเศษกรุงเทพมหานคร
ประเทศไทย
การปกครอง
  ประธานชุมชนปิ่นทอง วงษ์สกุล
พื้นที่
  ทั้งหมด0.0512 ตร.กม. (0.0198 ตร.ไมล์)
รหัสไปรษณีย์10600

กุฎีจีน หรือ กะดีจีน เป็นย่านชุมชนเก่าแก่แห่งหนึ่งบริเวณทางทิศใต้ของคลองบางกอกใหญ่ (หรือ บางหลวง) ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งอยู่ในแขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร ที่นี่เป็นแหล่งอาศัยของประชากรหลากเชื้อชาติอาศัยอยู่ร่วมกันมายาวนานตั้งแต่ยุคอาณาจักรธนบุรี ประกอบไปด้วยชาวไทยเชื้อสายโปรตุเกส จีน มอญ ญวน และอื่น ๆ ที่อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง[1]

จุดหมายตาที่สำคัญของกุฎีจีนล้วนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่หลากหลายของชุมชน เช่น วัดซางตาครู้ส และศาลเจ้าเกียนอันเกง[2] รวมไปถึงวัฒนธรรมด้านอาหาร เช่น ขนมฝรั่งกุฎีจีน ขนมกุสรัง หรืออาหารอิทธิพลโปรตุเกสอื่น ๆ ที่ยังตกทอดอยู่ภายในชุมชน[3][4] ปัจจุบันมีหน่วยงานจากทั้งภาครัฐและเอกชนเล็งเห็นต้นทุนทางวัฒนธรรมของกุฎีจีน จึงได้เข้ามาวางแผนการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในชุมชน[5]

ศัพทมูลวิทยา

[]

ชื่อ "กุฎีจีน" สันนิษฐานว่า เป็นหลักแหล่งอาศัยของชาวจีนมาแต่ดั้งเดิม[3] ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ (2565) อธิบายว่า ตั้งชื่อตามศาลเจ้าจีนซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ คือ ศาลเจ้าพ่อกวนอู และศาลโจวซือกง สร้างโดยชาวจีนที่ติดตามสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ต่อมาศาลเจ้าทั้งสองทรุดโทรมลงตามกาลเวลา บรรพชนของสกุลตันติเวชกุลและสิมะเสถียรจึงรื้อศาลทั้งสองและสร้างศาลเจ้าเกียนอันเกงแทน พร้อมกับอัญเชิญพระโพธิสัตว์กวนอิมจากประเทศจีนมาประดิษฐาน[6] สอดคล้องกับคำอธิบายของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และยังทรงตั้งข้อสังเกตว่า อาจมีศาลเจ้ากุฎีจีนมานานแล้ว เพราะศาลเจ้าหันไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือที่อดีตเคยเป็นหัวแหลมแม่น้ำเลี้ยวเมื่อแรกขุดคลองลัดบางกอก ต่อมาเมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีรวบรวมชาวจีนจากกรุงเก่ามาตั้งบ้านเรือนทางตอนเหนือของคลองกุฎีจีนฝั่งวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร และให้ฝรั่งโปรตุเกสตั้งบ้านเรือนทางใต้ของคลองกุฎีจีน เรียกว่า ฝรั่งกุฎีจีน[7]

อนึ่ง คำว่า "กุฎี" ในพื้นที่คลองบางหลวงและบางท้องที่ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา[8] ใช้เรียกศาสนสถานของศาสนาอื่น[6] โดยเฉพาะศาสนาอิสลาม ทั้งนิกายซุนนีและชีอะฮ์ เช่น กุฎีเจ้าเซ็น กุฎีเจริญพาศน์ กุฎีปลายนา กุฎีบ้านสวน กุฎีใหญ่ และกุฎีขาว เป็นต้น[8][6] ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงอธิบายที่มาของคำว่ากุฎีไว้ว่า "...คำกะเต ถูกลากเอาไปเข้าคำกุฎี ก็ควรแล้วเพราะ คำกะเตเลือนมาเข้าใจกันเป็นตัวเรือนไปเสียแล้ว ลักษณะก็ใกล้กับกฎี ชื่อก็ใกล้กับกฎี เราคุ้นเคยกับคำกฎี คำกะเตจึงถูกลากมาเป็นกฎี ขอให้สังเกตว่า ไม่ใช่มีแต่กฎีเจ้าเซ็น ซ้ำมีกฎีจีนต่อไปอีก ออกจะแปลยาก ดูไม่มีจีนอยู่ที่นั้นเลย..."[8]

บางแห่งอธิบายว่า มาจากคำว่า "กุลีจีน" เพราะเป็นหลักแหล่งของกุลีชาวจีนจำนวนมาก[4]

ที่ตั้งและอาณาเขต

[]

ชุมชนกุฎีจีน มีพื้นที่ทั้งหมด 32 ไร่[9] ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งธนบุรี ขึ้นกับแขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร โดยมีอาณาเขตดังนี้[10]

  • ทิศเหนือ จรดชุมชนวัดกัลยาณ์
  • ทิศใต้ จรดโรงเรียนซางตาครู้สศึกษา
  • ทิศตะวันออก จรดแม่น้ำเจ้าพระยา
  • ทิศตะวันตก จรดถนนเทศบาลสาย 1

ทางทิศเหนือของชุมชนกฎีจีนจรดแม่น้ำเจ้าพระยา ไปจนถึงด้านตะวันออกสุดบริเวณอาคารเรียนโรงเรียนซางตาครู้สศึกษาริมคลองวัดประยุรวงศ์ จากขอบรั้วโรงเรียนซางตาครู้สศึกษาไปจนถึงถนนเทศบาลสาย 1 บริเวณทางเข้าซอยวัดกัลยาณ์ด้านขวามือ ใช้คลองกุฎีจีนที่ไหลไปเชื่อมกับแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นตัวแบ่งเขต[11]

ประวัติ

[]
image
ขนมฝรั่งกุฎีจีน

ชุมชนกุฎีจีนเป็นชุมชนของชาวไทยเชื้อสายโปรตุเกสที่อพยพมาจากกรุงศรีอยุธยาเมื่อสงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ในปี พ.ศ. 2310 หลังสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี มีชุมชนชาวโปรตุเกสตั้งถิ่นฐานอยู่มาก่อนหน้านี้คือที่วัดคอนเซ็ปชัญ เรียกว่า ชุมชนบ้านเขมร และต่อมาได้พระราชทานที่ดินให้ชาวโปรตุเกสอีกกลุ่มตั้งถิ่นฐานที่ชุมชนกุฎีจีน มีจำนวน 14 คน[12] เป็นความชอบที่ชาวโปรตุเกสช่วยพระองค์ในการรบกับพม่าที่เมืองจันทบุรีและติดตามพระองค์มาที่กรุงธนบุรี[13][14] บาทหลวงฝรั่งเศสจึงก่อสร้างวัดซางตาครู้ส (Santa Cruz) มีลักษณะเหมือนวัดจีน ทั้งยังตั้งอยู่บนที่ดินที่เคยมีคนจีนอาศัยอยู่ก่อน จึงเรียกว่า "วัดกุฎีจีน" ส่วนชาวโปรตุเกสในนั้นก็ถูกเรียกว่า "ฝรั่งกุฎีจีน"[15][16] คนโปรตุเกสวัดคอนเซ็ปชัญสืบเชื้อสายจากฝรั่งแม่นปืน แต่คนวัดซางตาครู้สนั้นโดยมากเป็นล่าม จึงมีการเปรียบเปรยเอาไว้ว่า "ผู้สืบเชื้อสายโปรตุเกสบ้านกุฎีจีน เป็นฝ่ายบุ๋น (คือถนัดทางเจรจา) ฝ่ายผู้สืบเชื้อสายโปรตุเกสบ้านคอนเซ็ปชัญ เป็นฝ่ายบู๊ (คือถนัดทางการรบ)"[17]

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีประกาศกระทรวงนครบาลกำหนดเขตตำบลกุฎีจีน พ.ศ. 2457 และได้พระราชทานกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่มิสซังโรมันคาทอลิก โดยระบุว่าผู้ที่อยู่ในที่ดินนั้น ๆ จะต้องเป็นบุคคลที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเท่านั้น และห้ามขายโอนที่ดินแก่ผู้อื่น ด้วยเหตุนี้กรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนใหญ่จึงเป็นของวัดซางตาครู้ส โดยกำหนดเงื่อนไขว่าเจ้าบ้านต้องนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกจึงจะมีสิทธิ์ในการอยู่อาศัย ใน พ.ศ. 2550 การถือครองที่ดินในกุฎีจีนเป็นของวัดซางตาครู้ส ร้อยละ 70 ที่ดินส่วนบุคคลที่ซื้อต่อจากวัดซางตาครู้สเพื่ออยู่อาศัย ร้อยละ 30[18] ส่วนการครอบครองที่ดิน แบ่งเป็น ประชากรเช่าที่วัดซางตาครู้ส ร้อยละ 55.31 ประชากรที่มีบ้านและที่ดินของตนเอง ร้อยละ 33.75 ประชากรที่เช่าบ้านอาศัย ร้อยละ 7.81 ประชากรที่เช่าห้องอยู่อาศัยและอื่น ๆ ร้อยละ 3.31[18]

สังคม

[]

ชุมชนกุฎีจีนเป็นชุมชนแออัด[9] ในอดีตชาวกุฎีจีนนิยมปลูกสร้างที่อยู่อาศัยเป็นบ้านไม้ทรงไทยยกใต้ถุนสูง บ้างปลูกเรือนแพริมแม่น้ำเจ้าพระยา[19] มีทางเดินทุกสายมุ่งตรงไปสู่โบสถ์คริสต์ อันเป็นศูนย์กลางของชุมชน[20] ปัจจุบันชุมชนยังคงปลูกเป็นเรือนไม้ประชิดติดกัน บางส่วนเป็นเรือนแถว ซึ่งอาศัยกันมายาวนานตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ คนในชุมชนโดยเฉพาะคนรุ่นเก่า มีความเป็นอยู่เรียบง่าย มีความสัมพันธ์แบบเครือญาติ มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน[21] ขณะที่คนที่ย้ายเข้ามาในชุมชนกลุ่มใหม่ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ ใช้ชีวิตต่างคนต่างอยู่ มุ่งเน้นการทำมาหากิน จนทำให้เกิดปัญหาชุมชนแออัด ปัญหาขยะ ปัญหามลพิษ และสิ่งปลูกสร้างไร้ระเบียบที่ขยายพื้นที่มากขึ้นเรื่อย ๆ[22]

ชุมชนกุฎีจีนมีการเผยแพร่ข่าวสารประชาสัมพันธ์ผ่านเสียงตามสายสำหรับติดต่อกับคนภายในชุมชนเป็นประจำ เช่น กิจกรรมสำคัญในชุมชน และกิจกรรมจิตอาสาต่าง ๆ[22] อีกทั้งยังมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในชุมชน เช่น การซ้อมดับเพลิง การซ้อมหนีไฟ การซ้อมเตรียมการป้องกันน้ำท่วม โดยคนในชุมชนล้วนให้ความร่วมมือทุกบ้าน เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน[23]

เศรษฐกิจ

[]

คนในชุมชนกุฎีจีนประกอบอาชีพอย่างหลากหลายตามลักษณะของสังคมเมือง เช่น ข้าราชการ พนักงานบริษัท พนักงานขับรถ ขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง และค้าขาย เป็นอาทิ[24] ชุมชนแห่งนี้มีขนมฝรั่งกุฎีจีนขาย ซึ่งเป็นขนมพื้นเมืองของชุมชนนี้ และขนมกุฎีจีนถือได้ว่าเป็นขนมพื้นเมืองดั้งเดิมของกรุงเทพมหานคร จัดเป็นขนมโบราณที่ทำสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยอยุธยาหรือต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยดัดแปลงมาจากขนมหลายชนิดของโปรตุเกสจากตำรับของท้าวทองกีบม้า[25][26]

สถานที่ท่องเที่ยว

[]
  1. ศาลเจ้าเกียนอันเกง
  2. โบสถ์ซางตาครู้ส
  3. พิพิธภัณฑ์บ้านกุฎีจีน
  4. มัสยิดบางหลวง
  5. วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร หรือ วัดกัลยาณ์
  6. วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร

ดูเพิ่ม

[]
  • เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร)
  • พระอนุวัฒน์ราชนิยม (ฮง เตชะวณิช)
  • พระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง)
  • หลวงอัคนีนฤมิตร (จิตร จิตราคนี)

อ้างอิง

[]
  1. ชุมชนกุฎีจีน-(กะดีจีน) lovethailand.org
  2. "สถาปัตยกรรม "กะดีจีน" ชุมชน 3 ศาสนา 4 ความเชื่อ". ประชาชาติธุรกิจ. 2012-02-17. สืบค้นเมื่อ 2018-01-07.
  3. หนุ่มลูกทุ่ง (19 มิถุนายน 2550). "เยือน"กุฎีจีน"ฝั่งธนฯ ยลชุมชนนานาชาติ". ผู้จัดการออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 30 ตุลาคม 2568. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  4. "ความเป็นมาของชุมชนกุฎีจีน". Weeblysite. สืบค้นเมื่อ 30 ตุลาคม 2568. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  5. มนัส สามารถกุล (2564). การมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมกรณีศึกษา ชุมชนกุฎีจีน. คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. p. 1-2.
  6. ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ (30 ธันวาคม 2565). "ชุมชน 'กุฎีจีน' ได้ชื่อมาจากศาลเจ้าจีน ไม่ใช่เพราะเคยมีภิกษุจำพรรษาอยู่". มติชนสุดสัปดาห์. สืบค้นเมื่อ 28 ตุลาคม 2568. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  7. ปรีดี พิศภูมิวิถี (2553). กระดานทองสองแผ่นดิน. กรุงเทพฯ: มติชน. p. 194-195.
  8. อาลี เสือสมิง (10 พฤศจิกายน 25653). "ศาสนสถานนาม "กุฎี" ในฝั่งธนบุรีและกรุงเก่า". อาลี เสือสมิง. สืบค้นเมื่อ 31 ตุลาคม 2568. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |date= (help)
  9. ผศ.ดร. ปิ่นรัชฎ์ กาญจนัษฐิติ และคณะ (2547). รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการศึกษาเพื่ออนุรักษ์และพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำในกรุงเทพฯ ชั้นในและบริเวณใกล้เคียง (PDF). สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย. p. 8.
  10. นพวรรณ ศรีนรดิษฐ์เลิศ (2559). ทัศนคติต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์เนื่องจากโครงการพื้นที่ส่วนขยายริมแม่น้ำเจ้าพระยา : บริเวณชุมชนและพาณิชยกรรมริมน้ำ (PDF). บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. p. 46.
  11. ตริตราภรณ์ โพธิ์ศรี (2552). การพัฒนาพื้นที่ชุมชนกุฎีจีน กรุงเทพมหานคร. คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. p. 32.
  12. จันทร์แจ่ม สุดสวาสดิ์ (2550). ความเปลี่ยนแปลงและความสืบเนื่องในวิถีชีวิตของชุมชนชาวไทยคริสต์เชื้อสายเวียดนามในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ระหว่าง พ.ศ. 2482–2504 (PDF). สาขาวิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. p. 20-22.
  13. ปรีดี พิศภูมิวิถี (2553). กระดานทองสองแผ่นดิน. กรุงเทพฯ: มติชน. p. 194.
  14. ไกรฤกษ์ นานา (2553). 500 ปี สายสัมพันธ์สองแผ่นดิน ไทย-โปรตุเกส. กรุงเทพฯ: มติชน. p. 158.
  15. ไกรฤกษ์ นานา (2553). 500 ปี สายสัมพันธ์สองแผ่นดิน ไทย-โปรตุเกส. กรุงเทพฯ: มติชน. p. 217.
  16. อาณัติ อนันตภาค (2549). หลากชาติ หลายพันธุ์ ใต้ร่มเงาสยาม. กรุงเทพฯ: สยามบันทึก. p. 51.
  17. ไกรฤกษ์ นานา (2553). 500 ปี สายสัมพันธ์สองแผ่นดิน ไทย-โปรตุเกส. กรุงเทพฯ: มติชน. p. 215-216.
  18. ตริตราภรณ์ โพธิ์ศรี (2552). การพัฒนาพื้นที่ชุมชนกุฎีจีน กรุงเทพมหานคร. คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. p. 34.
  19. ชนิกานต์ แสงดี (2548). ความสัมพันธ์ไทย-โปรตุเกส : กรณีศึกษาชุมชนชาวโปรตุเกส และผู้ที่สืบเชื้อสายในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและกรุงเทพมหานคร (PDF). คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. p. 81.
  20. ชนิกานต์ แสงดี (2548). ความสัมพันธ์ไทย-โปรตุเกส : กรณีศึกษาชุมชนชาวโปรตุเกส และผู้ที่สืบเชื้อสายในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและกรุงเทพมหานคร (PDF). คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. p. 82.
  21. มนัส สามารถกุล (2564). การมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมกรณีศึกษา ชุมชนกุฎีจีน. คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. p. 23.
  22. มนัส สามารถกุล (2564). การมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมกรณีศึกษา ชุมชนกุฎีจีน. คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. p. 27.
  23. มนัส สามารถกุล (2564). การมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมกรณีศึกษา ชุมชนกุฎีจีน. คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. p. 40.
  24. มนัส สามารถกุล (2564). การมีส่วนร่วมของชุมชนในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมกรณีศึกษา ชุมชนกุฎีจีน. คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. p. 43.
  25. "ธนบุรี ราชธานีที่หายไป 1". พินิจนคร. 2009-02-09. สืบค้นเมื่อ 2018-01-07.
  26. "ธนบุรี ราชธานีที่หายไป 2". พินิจนคร. 2009-02-16. สืบค้นเมื่อ 2018-01-07.

แหล่งข้อมูลอื่น

[]

วิกิพีเดีย, วิกิ, หนังสือ, ห้องสมุด, บทความ, อ่าน, ดาวน์โหลด, ฟรี, ดาวน์โหลดฟรี, มือถือ, โทรศัพท์, แอนดรอยด์, ไอโอเอส, แอปเปิ้ล, สมาร์ทโฟน, พีซี, เว็บ, คอมพิวเตอร์, ข้อมูลเกี่ยวกับ ชุมชนกุฎีจีน, ชุมชนกุฎีจีน คืออะไร? ชุมชนกุฎีจีน หมายความว่าอะไร?

0 ตอบกลับ

ฝากคำตอบ

ต้องการเข้าร่วมการสนทนาหรือไม่?
คุณสามารถร่วมเขียนได้!

เขียนคำตอบ

ช่องที่จำเป็นถูกทำเครื่องหมายด้วยดาว *